innovation – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 06:41:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png innovation – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 AtTime ระบบลงเวลาด้วยการยืนยันตัวตนครบวงจร https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/time-attendance.html Mon, 14 Jul 2025 07:50:54 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40567

Time Attendance System with Comprehensive Authentication หรือ AtTime

หลายองค์กรอาจเคยเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการลงเวลาเข้า-ออกงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวนาน อุปกรณ์ชำรุดจนไม่สามารถลงเวลาได้ ปัญหาการลงเวลาแทนกัน รวมถึงการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกันซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ทำให้ ‘ทุกครั้งที่ลงเวลาเป็นเรื่องง่าย’ ด้วยระบบลงเวลาโดยใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication) ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยอ้างอิงหลักการยืนยันตัวตนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลผ่าน 3 ปัจจัย ได้แก่ สิ่งที่คุณรู้ (Something you know), สิ่งที่คุณมี (Something you have), สิ่งที่คุณเป็น (Something you are) โดยการผสมผสานทั้ง 3 ปัจจัยนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานวิจัยนี้จึงได้เพิ่ม ‘ปัจจัยที่สี่’ ตำแหน่งที่คุณอยู่ (Somewhere you are) เข้าไปเพื่อเสริมความปลอดภัยและยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น หรือเรียกว่าระบบ AtTime

ระบบ AtTime เป็นระบบลงเวลาทำงานที่ใช้สถาปัตยกรรมการยืนยันตัวตนด้วยปัจจัยที่หลากหลาย อันได้แก่ ภาพใบหน้า รหัสผ่าน โทรศัพท์มือถือ และสถานที่ของผู้ใช้งาน ซึ่งได้ออกแบบระบบในลักษณะ API Services เพื่อรองรับการเชื่อมต่อจากผู้ใช้งานในหลากหลายช่องทาง ทั้งผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ KIOSK โดยได้ใช้เทคนิคการยืนยันตัวตนในแนวคิด Security for use เช่น ผู้ใช้งาน 1 คน จะสามารถใช้งานกับอุปกรณ์สมาร์ตโฟนได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นเครื่องที่ได้ผ่านการลงทะเบียนจากผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของเครื่องเท่านั้น เพื่อป้องกันบุคคลอื่นใช้เครื่องอื่นไปใช้ลงเวลาแทนกัน นอกจากนี้ยังออกแบบให้ใช้ชื่อบัญชีและรหัสผ่านชุดเดียวกันกับของหน่วยงานในลักษณะ Single account ในการยืนยันตัวตน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการบัญชีผู้ใช้งาน

นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จึงได้มีการออกแบบระบบให้ป้องกันการแกะรอยในการรับ-ส่งข้อมูล (Data Transmission Security) โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลด้วยวิธี Hybrid Encryption พร้อมทั้งเพิ่มเทคนิค วิธีการเข้ารหัสในรูปแบบ Proprietary Encryption และใช้การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายในลักษณะของ Perfect Forward Secrecy เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะ Replay Attack และยังคำนึงถึงการออกแบบและพัฒนาหน้าจอสำหรับการตรวจจับใบหน้า (Face Detection) ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยเฉพาะที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android, iOS ที่มีหลากหลายในท้องตลาด

เทคโนโลยีในการพัฒนา

  • ใช้เทคนิคการพิสูจน์ตัวตนแบบ 4 ปัจจัยที่ต่างกัน ประกอบด้วย Something you know (ต้องรู้รหัสผ่าน), Something you have (ต้องมีและใช้มือถือของผู้ใช้เท่านั้น) Something you are (ต้องใช้ใบหน้า) Somewhere you are (ต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด) การยืนยันตัวตนดำเนินการผ่านชื่อบัญชีและรหัสผ่านของหน่วยงานในรูปแบบ Single Account ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบเดิมของสำนักงาน
  • ใช้เทคนิค Face Verification ในการตรวจสอบใบหน้า โดยเปรียบเทียบใบหน้าปัจจุบันกับข้อมูลใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้า ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)  
  • ใช้เทคนิคการตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้งาน ได้หลายวิธีจาก Internet Wireless Network และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดการระบุตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
  • ใช้เทคนิคการระบุตำแหน่งผู้ใช้งานจากหลายวิธี เช่น ผ่านเครือข่ายไร้สาย และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

จุดเด่นของ AtTime

  • สะดวกต่อการใช้งาน: ผู้ใช้งานสามารถลงเวลาได้จากทุกที่ ลดการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้: ระบบสามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับลักษณะงานและความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มเป้าหมาย

  • หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องบันทึกผลการลงเวลาปฏิบัติงานของบุคลากร
  • หน่วยงานที่ต้องการระบบสำหรับการเช็กอินเข้า-ออกในการเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การอบรม สัมมนา หรือการประชุมต่าง ๆ

การนำไปใช้ประโยชน์

ให้บริการในการบันทึกผลการเข้า-ออกปฏิบัติงาน ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในแพลตฟอร์ม Android และ iOS ที่ชื่อแอปพลิเคชัน “AtTime” รวมถึงเวอร์ชั่น KIOSK ซึ่งถูกนำไปใช้งานสำหรับการลงทะเบียนผู้เข้าอบรม ณ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ ยังมีการนำโมดูล Face Detection ไปประยุกต์ใช้ในการตรวจจับใบหน้าบนอุปกรณ์ Mutherm FaceSense

แอปพลิเคชัน “AtTime” เป็นระบบการยืนยันตัวตนด้วย 4 ปัจจัยที่สามารถใช้งานได้จริง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของการลงเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลงานดังกล่าวได้รับ รางวัลระดับดีมาก ในสาขา เทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์  จากงาน “วันนักประดิษฐ์” (Thailand Inventors Day 2025) ซึ่งจัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
กลุ่มวิจัยสื่อสารและเครือข่าย 

]]>
Pathumma LLM : เทคโนโลยีพัฒนา AI ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทย https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-service/pathumma-llm.html Wed, 04 Jun 2025 03:31:17 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39629

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Pathumma LLM ถือเป็นก้าวสำคัญของ AI สัญชาติไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการ AI ในบริบทที่มีลักษณะเฉพาะทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรมไทย

Pathumma LLM (ปทุมมา แอลแอลเอ็ม) คือโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) ที่พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ (Text), เสียง (Audio), และภาพ (Vision) พร้อมความเชี่ยวชาญในการเข้าใจภาษาไทยและบริบทของประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง

จุดเด่นของ Pathumma LLM

  • รองรับการใช้งานภาษาไทยโดยเฉพาะ
    โมเดลนี้ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทย จึงทำให้สามารถเข้าใจบริบท และประมวลผลภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Multi-Modal LLM
    สามารถประมวลผลข้อมูลได้ทั้งข้อความ เสียง และภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสร้างแชตบอต การถอดเสียง การวิเคราะห์ภาพ เป็นต้น
  • โมเดลแบบเปิด (Open Source)
    เปิดให้นักพัฒนา ผู้สนใจสามารถเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งในรูปแบบของแอปพลิเคชัน (APP), อินเทอร์เฟซสำหรับนักพัฒนา (API) และโมเดลสำหรับดาวน์โหลด

บริการเด่นของ Pathumma LLM

1. DocChat – AI ผู้ช่วยค้นหาข้อมูลจากเอกสารหลายๆ หน้า
ในรูปแบบถาม-ตอบ ที่ผู้ใช้สามารถพูดคุย (Chat with Document) สอบถามข้อมูลที่ต้องการจากเอกสารได้โดยตรง
รองรับเอกสาร Plain Text, .docx, .PDF, Website เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลนโยบาย เอกสารราชการ หรือคู่มือใช้งานอย่างรวดเร็ว

2. DocGen – AI ช่วยสร้างเอกสารภาษาไทยอัตโนมัติ
เข้าใจภาษาราชการ สามารถแก้ไขเอกสารได้ รองรับการดาวน์โหลดเอกสารในรูปแบบไฟล์ เช่น รายงาน จดหมายราชการ ร่าง TOR หรือแบบฟอร์มต่างๆ ช่วยลดระยะเวลาการทำเอกสารซ้ำซ้อน เพิ่มความถูกต้องตามรูปแบบเอกสาร 

3. Partii Note – AI ถอดความเสียงพูดภาษาไทยเป็นข้อความอัตโนมัติ พร้อมสรุปใจความสำคัญ
รองรับการถอดความเสียงทั้งในรูปแบบไฟล์เสียง, YouTube จากผู้พูดคนเดียว หรือมากกว่า สามารถส่งออกเป็นไฟล์ .doc ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการถอดความเสียงจากการประชุม บรรยาย หรือสัมมนา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:

งานพัฒนาพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ (SPDS)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.)
email: spe-spds@nectec.or.th, business@nectec.or.th
Tel. 02 564 6900 ต่อ 2339

]]>
แพลตฟอร์ม “Acamp” เทคโนโลยีเพื่อจัดการคาร์บอนอัตโนมัติ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/acamp.html Thu, 26 Sep 2024 09:12:57 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37730

ในยุคที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน “Acamp” หรือ Automated Carbon Accounting Management Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการคาร์บอนแบบอัตโนมัติจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้

จุดเด่นของ Acamp

  • การติดตามแบบเรียลไทม์ : Acamp ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรแบบเรียลไทม์ บันทึกและจัดเก็บข้อมูลปีฐาน ช่วยให้เห็นภาพรวมและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ในทันที สามารถใช้ในการวางแผน การลดต้นทุนการผลิตและติดตามการใช้ทรัพยากรอย่างใกล้ชิด
  • ความแม่นยำและการลดความผิดพลาด : ระบบ Acamp เชื่อมต่อกับเซนเซอร์และอุปกรณ์วัดผลต่างๆ ที่ทันสมัย สามารถเชื่อมต่อกับ Power Meter เพื่อคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์แบบเรียลไทม์ ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและ ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อบันทึกข้อมูลด้วยมือ
  • การลดต้นทุน : การเก็บข้อมูลเพื่อการจัดทำคาร์บอนเครดิตและโครงการลดคาร์บอนถือเป็นการลดต้นทุนในระยะยาว ซึ่งการลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบ การลดการปล่อยคาร์บอนส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายในองค์กร
  • เชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทาน : สามารถเชื่อมต่อข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรไปยังห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้ ทำให้สามารถติดตามและจัดการคาร์บอนในทุกส่วนของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการขนส่งและกระจายสินค้า
  • สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ : ข้อมูลที่ได้จาก Acamp สามารถใช้เป็นหลักฐานในโครงการลดคาร์บอนและการขอเครดิตคาร์บอนได้ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด และโอกาสในการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Acamp

แพลตฟอร์ม Acamp มุ่งเน้นการพัฒนาระบบอัตโนมัติที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ กล่อง Zcarbon และ ซอฟต์แวร์ Acamp

  1. กล่อง Zcarbon สำหรับตรวจวัดการลดคาร์บอนอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับเซนเซอร์ผ่าน RS-485 ช่วยให้การบันทึกข้อมูลการปล่อยคาร์บอนมีความสะดวกและแม่นยำ
  2. ซอฟต์แวร์ Acamp สำหรับคำนวณค่าคาร์บอนเทียบเท่า (Carbon Equivalent: CO2e) อย่างอัตโนมัติ โดยใช้ค่า Factor ที่ประกาศโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) 

ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลผลและแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นภาพรวมการปล่อยคาร์บอนขององค์กรได้อย่างชัดเจน

กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับการใช้งาน Acamp

  • โรงงานอุตสาหกรรม
  • ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)

หน่วยงานพันธมิตร/ร่วมวิจัย/แหล่งทุน

  • บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน (DTI)

กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
เนคเทค สวทช.

]]>
KidBright μAI : Intelligence of Coding https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/kidbright-ai.html Tue, 24 Sep 2024 10:24:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37750

KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ) คือ เครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้โค้ดดิ้ง และ AI ในรูปแบบ STEM Education ผสมผสานการเรียนรู้ใช้งานบอร์ดควบคุม อัตโนมัติ (Micro-controller) พร้อมระบบ AI สำหรับแยกภาพ เสียง หรือ ตรวจจับวัตถุ ด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) ผ่าน KidBright μAI IDE ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาโจทย์ในชีวิตประจำวัน พัฒนากระบวนการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์

ผลงานเปิดตัวในงาน “รวมพลคน KidBright” KidBright Developer Conference 2024 (KDC24) ครั้งที่ 5  และส่งมอบไปยังโรงเรียนแกนนำกว่า 100 บอร์ด เปิดเป็นแพลตฟอร์ม Open-source ให้ผู้ที่สนใจร่วมพัฒนาระบบและ ปลั๊กอินเสริม พร้อมเปิดอบรมการใช้งานและการพัฒนาปลั๊กอินเสริมด้วย

จุดเด่น "เรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI พร้อมกันในบอร์ดเดียว"

  •  ผสมผสานการเรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI ในบอร์ดเดียว
  • สามารถพัฒนาโมเดล AI ได้ใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บข้อมูล การติดป้ายกำกับ การเรียนรู้และสร้างโมเดล AI และการประยุกต์ใช้ผ่านการสร้างชุดคำสั่ง แบบบล็อก
  • รองรับการพัฒนาและติดตั้งปลั๊กอินเสริม สำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ input /output ดิจิทัลภายนอก และการสื่อสาร IoT ผ่าน Wi-Fi เก็บข้อมูลภาพความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และข้อมูลเสียงด้วยไมโครโฟนบนอุปกรณ์ พร้อมการแสดงผลบนจอสี IPS 1.3 นิ้ว
  • เป็นแพลตฟอร์ม Open-source สำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อสังคมและเชิงพาณิชย์ ส่งเสริมผู้ประกอบการ

สิ่งที่ผู้ใช้งานจะได้รับ

  •  สามารถออกแบบระบบเทคโนโลยี Coding, AI และ IoT เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ในชีวิตจริงได้เอง
  • เรียนรู้หลักการพัฒนาระบบ AI สำหรับการแยกภาพ เสียง และตรวจจับวัตถุ
  • ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณ (Computational Skill)

KidBright μAI เหมาะกับใครบ้าง?

  • นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา
  • ผู้สนใจที่เริ่มเรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI
  • ผู้ประกอบการที่สนใจผลิตและร่วมพัฒนาระบบ

พันธมิตร ร่วมวิจัย/แหล่งทุน

  •  KidBright Community
  • หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)

ผู้วิจัยและพัฒนา

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EDT)
กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
เนคเทค สวทช.

]]>
Adaptive Education Platform : ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ แนะนำเนื้อหาเฉพาะบุคคล https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/adaptive-education.html Tue, 24 Sep 2024 09:21:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37703

การศึกษาไม่ได้จํากัดแค่ในห้องเรียน เรียนได้ ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เทรนด์การศึกษาของโลกในปี 2024 เน้นผู้เรียนเป็นหลัก เป็นการเรียนที่ปรับวิธีการเรียนให้ตรงกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การปรับเนื้อหาและรูปแบบให้เข้ากับผู้เรียน จะทำให้การเรียนรู้ทำได้รวดเร็ว เหมาะสม สอดคล้องกับความสามารถเพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ยุคใหม่

Adaptive Learning

แพลตฟอร์มสอนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม แบบ Adaptive มุ่งพัฒนาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมตามระดับความสามารถ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะแห่งอนาคต ช่วยทำให้ผู้เรียนทุกคนบรรลุเป้าหมายได้ โดยเพิ่มทักษะการลงมือปฏิบัติผ่านเครื่องมือออนไลน์

ในระบบ e-Learning การนำเข้าบทเรียนเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว แต่ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้เรียนได้นั้นยังไม่มี “ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้” ที่พัฒนาจะตอบโจทย์เทรนด์การศึกษา ‘เรียนแล้วติดตาม วิเคราะห์ประเมินผล จบครบในที่เดียว’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้และนำผลการวิเคราะห์มาแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้และแนะนำเนื้อหาเฉพาะบุคคล เป็นเครื่องมือเพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้บนเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ เน้นการนำไปใช้กับ e-Learning ซึ่งสามารถนำไปใช้ในแบบอื่น ๆ ได้

ออกแบบเนื้อหาเฉพาะบุคคล

 เทคโนโลยีจะออกมาในลักษณะของ STEM Base บูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาในปัจจุบัน และเป็นโครงการที่อยู่ในเทรนด์ของโลก การวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะนำไปใช้กับ e-Learning ซึ่งในประเทศและต่างประเทศ มีการใช้ e-Learning อย่างแพร่หลาย เช่น Coursera Plus, Conicle, OpenDurian เป็นต้น

ระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีบางประเด็นที่น่าจะเพิ่มเติมได้ e-Learning ทั่วไป ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็น PDF, VDO หากต้องการเพิ่มวิชาเฉพาะ เช่น STEM ต้องใช้เนื้อหาในรูปแบบอื่นที่ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น อีกทั้งส่วนที่ยังขาดใน e-learning ปัจจุบันก็คือ เครื่องมือที่ติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างละเอียดมาก ๆ ซึ่งยังไม่มีการนำเครื่องมือติดตามตัวอื่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามพฤติกรรมการอ่าน pdf การดู vdo หรือ การใช้งาน simulator แล้วยังเรื่อง coding วิทยาการข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเน้นทักษะการลงมือปฏิบัติก็ยังไม่มี ที่สำคัญยังไม่สนับสนุนให้สร้างเนื้อหาที่มีการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ แต่เราจะสร้างเครื่องมือ และเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ สามารถนำเครื่องมือไปใช้ติดตามพฤติกรรมบน e-Learning ที่มีอยู่ได้

โครงสร้างของระบบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  1. ส่วนจัดการเนื้อหา Learning Management System, LMS
  2. ส่วนเครื่องมือ Adaptive Education Components, AE
  3. ส่วนโครงสร้างพื้นฐานAdaptive Infrastructure

Learning Management System, LMS ระบบแนะนำเนื้อหาการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียน โดยใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการประเมินศักยภาพการเรียนรายวิชา เพื่อแนะนำเนื้อหาที่สอดคล้องและเหมาะสมสำหรับผู้เรียนเฉพาะบุคคล สำหรับหน่วยงานที่มีระบบการเรียน e-Learning เป็นของตนเอง หน่วยงานสามารถเลือกใช้เครื่องมือตามรูปแบบเนื้อหาที่ต้องการ แยกส่วนการวิเคราะห์ และแสดงผลนั้นได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันทั้งหมดก็ได้

Adaptive Education Components, AE ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย เครื่องมือติดตามพฤติกรรม 3 รูปแบบ

  1. เครื่องมือติดตามพฤติกรรมการอ่าน PDF ซึ่งจะวิเคราะห์พฤติกรรมการอ่าน โดยวัดจากความสนใจ ระยะเวลาที่อยู่กับเนื้อหาของผู้เรียน ระบบสามารถบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านการพลิกหน้า การจดบันทึก การทำไฮไลต์ ขณะที่ผู้เรียน ๆ ผ่าน e-book ระบบจะวิเคราะห์การเรียนรู้จาก PDF และนำมาแสดงผลการติดตาม
  2. Coding Simulator ติดตามพฤติกรรม การเขียนคำสั่งโดยการลากและวาง Block บนบอร์ดจำลองเพื่อดูความเข้าใจ ความถูกต้อง และนำไปวิเคราะห์การและติดตามผู้เรียน
  3. Chatbot ช่วยในส่วนคำถามคำตอบ โดย chatbot จะส่งคำถามให้ผู้เรียนหลายระดับ ถ้าผู้เรียนสามารถตอบคำถามระดับใดได้ดี Chatbot ก็จะคัดเลือกคำถามที่เหมาะสมให้กับผู้เรียน

Adaptive Infrastructure ออกแบบโครงสร้างให้รองรับการเพิ่มเครื่องมือติดตามพฤติกรรม และจะมีการส่งผลการวิเคราะห์ของเครื่องมือนั้นไปที่ Adaptive analytics เพื่อประมวลผลรวม ซึ่งเก็บอยู่บนอยู่บน MECA แพลตฟอร์มคลาวด์เซอร์วิส ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่

การใช้งาน

  • สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ใช้ Book Roll เครื่องมือในการติดตามการอ่าน PDF
  • เนคเทค ใช้ PDF, Coding Simulator กับหลักสูตรที่อบรมด้านการพัฒนากำลังคน
  • สำนักการศึกษา กทม. ออกแบบร่วมกับเนคเทคในการทำหลักสูตรทุกช่วงชั้น
  • ร่วมกับด้านการแพทย์ ส่งเสริม 3A Learning Platform ในกลุ่มผู้บกพร่องด้านการเรียนรู้

การขยายผล

มีการขยายผลไปสู่หน่วยงานด้านการศึกษา ได้แก่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และขยายผลการใช้งานในโรงเรียนเขตพื้นที่ EEC

ในการพัฒนาระบบนั้นอาศัยความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยหลายส่วน อาทิ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย ทีมวิจัยอิเล็กทรอนิกส์และระบบทางชีวการแพทย์ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ และทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ งานแพลตฟอร์มบริการและนวัตกรรมอินเทอร์เน็ต ในการเป็นแนวร่วมในการพัฒนา โดยในปี 2567 ผู้พัฒนาได้ส่งมอบ

  • ระบบ Adaptive Education ที่แล้วเสร็จ โดยมีเนื้อหาเบื้องต้นเป็นวิชาวิทยาการคำนวณ ช่วงชั้น ป .4 – ม.4
  • ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือ BookRoll, KidBright Simulator และ Chatbot
  • ส่วนวิเคราะห์การเรียนรู้จากการนำผลการติดตามพฤติกรรมของแต่ละเครื่องมือมาประมวลผลร่วมกัน
  • ระบบแสดงผลการการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
  • นำร่องอบรมการใช้งานระบบให้แก่คุณครูและนักเรียน 600 คน

เปิดให้บริการติดตั้งแพลตฟอร์ม Adaptive Education และ Maintenance แก่หน่วยงานที่ต้องการ (Private service) ติดต่อสอบถามได้ที่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ info@nectec.or.th

]]>
Museum Pool ระบบจัดการข้อมูลพิพิธภัณฑ์แบบเครือข่ายแบบครบวงจร https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-mobile-application/2024museum-pool.html Fri, 13 Sep 2024 10:36:50 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37540

Museum Pool ระบบจัดการข้อมูลพิพิธภัณฑ์แบบเครือข่าย วิจัยพัฒนาโดยทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการเนื้อหานำชมพิพิธภัณฑ์ที่สะดวกทั้งผู้จัดแสดงและผู้เยี่ยมชม นำชมได้ด้วยตนเอง สะดวกและได้รับความรู้เรื่องราวด้านศิลปวัฒนธรรม และเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชนในอีกมิติหนึ่ง

บริหารจัดการข้อมูลและนำชม

Museum Pool แบ่งส่วนการจัดการข้อมูลและการนำชมพิพิธภัณฑ์ ออกเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนผู้จัดแสดง มีเว็บแอปพลิเคชันให้สำหรับเจ้าของข้อมูลในการบริหารจัดการข้อมูลสื่อนำชม สามารถเสร้างเนื้อหานำชมได้ด้วยตนเอง รองรับสื่อนำเสนอหลายรูปแบบ ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง วิดิทัศน์ Augmented Reality (AR) หรือ Virtual Reality (VR) และสรุปสถิติการเข้าชมแต่ละชิ้นงานจัดแสดง ตรวจสอบสถิติการเข้าชมแต่ละพื้นที่จัดแสดง เพื่อนำไปบริหารจัดการจุดนำชมต่าง ๆ ได้ ซึ่งระบบสามารถรองรับการนำชมได้ทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคาร
  • ส่วนผู้เยี่ยมชม เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันครั้งเดียว ก็สามารถใช้ได้กับทุกพิพิธภัณฑ์ในเครือข่ายของ Museum Pool ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เปิดแอปและสแกนบาร์โค้ดบนชิ้นงาน ก็สามารถรับฟังข้อมูลภาพและเสียงได้ทันที ทำให้เด็กและเยาวชนไทยเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน อีกทั้งยังรองรับการใช้งานได้หลายภาษา ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าใจวัฒนธรรมไทยได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น ในงานแสดงสินค้า นิทรรศการหมุนเวียน โบราณสถาน แหล่งความรู้ในชุมชน หรือจุดท่องเที่ยว โมไบล์แอปพลิเคชัน (Mobile Application) จะทำให้ผู้เข้าชมเข้าถึงข้อมูล ก่อนที่จะมาถึงสถานที่ และได้ข้อมูลเชิงลึกเมื่อเข้าถึงสถานที่ ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เพียงเปิดแอปพลิเคชันและสแกน QR หรือ อ่าน Near Field Communication (NFC) บนชิ้นงานจัดแสดง ก็สามารถรับฟังข้อมูลสภาพ เสียง วิดีโอ AR หรือ VR ได้ทันที

รูปแบบการให้บริการ

Museum Pool ให้บริการนำชมพิพิธภัณฑ์ ทั้งแบบที่เดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์จริงและแบบพิพิธภัณฑ์เสมือน การนำชมในแบบพิพิธภัณฑ์เสมือนจะนำเสนอข้อมูลเบื้องต้นให้กับผู้ใช้งานเท่านั้น ในขณะที่การนำชมในพิพิธภัณฑ์จริง ผู้เข้าชมสามารถดูเนื้อหาของวัตถุจัดแสดงแบบละเอียดได้โดยการอ่าน QR Code ที่ติดอยู่กับวัตถุเพื่อให้ผู้เข้าชมเข้าใจในวัตถุจัดแสดงมากยิ่งขึ้น

“รองรับเน็ตสะดุด” พัฒนาระบบฯ แบบพกพา แก้ปัญหาข้อจำกัดของเครือข่าย

การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ผ่านอุปกรณ์ส่วนตัวของผู้เข้าชม หรือนักท่องเที่ยว มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สามารถเลือกรับข้อมูลวัตถุจัดแสดงต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ มีความเป็นส่วนตัว และไม่รบกวนนักท่องเที่ยวรายอื่น ถือเป็นจุดเด่นของ Museum Pool ที่สำคัญ แต่ยังมีข้อจำกัดของสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ ไม่รองรับการใช้งานของพื้นที่ที่จัดแสดง ทีมวิจัย Museum Pool จึงพัฒนา “อุปกรณ์แบบพกพาสำหรับบริหารจัดการพิพิธภัณฑแบบคู่เสมือน” เพื่อแก้ปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ไม่เสถียร ตัวอุปกรณ์จะทำหน้าที่สร้างเครือข่ายภายในขึ้นมาเพื่อให้บริการในบริเวณดังกล่าว ด้วยการใช้เทคนิคการปรับสแกนทางเครือข่ายเพื่อให้นักท่องเที่ยวยังคงใช้วิธีการสแกนป้ายคิวอารโค้ด เพื่อเขาถึงข้อมูลได้อย่างไม่ติดขัด


ด้วยจำนวนพิพิธภัณฑ์ที่มีมากเกือบถึง 100 แห่ง การจะทำให้ระบบที่พัฒนาเกิดความยั่งยืน เกิดการส่งต่อเทคโนโลยีไปใช้ยังพิพิธภัณฑ์อื่น ๆ จำต้องใช้การทำงานร่วมกับชุมชน สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานระดับท้องถิ่น ซึ่งมีความพร้อมและมีบุคลากรที่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี ในพื้นที่ที่ขาดความพร้อมด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์สามารถเลือกใช้ระบบบริหารจัดการข้อมูลพิพิธภัณฑ์แบบเครือข่าย Museum Pool แบบพกพาได้

ปัจจุบันขยายผลการใช้ประโยชน์เทคโนโลยี Museum Pool แบบพกพา นำร่องสู่การใช้งานจริงในเครือข่ายพิพิธภัณฑ์ ติดตั้งระบบที่พิพิธภัณฑ์และชุมชน รวมทั้งหมด 9 แห่ง ได้แก่

  1. เรือนพ่อคง เรือนโคราช จ.นครราชสีมา
  2. ศูนย์วัฒนธรรมไทโส้ จ.สกลนคร
  3. เสาหินบะซอลต์ จ.บุรีรัมย์
  4. พิพิธภัณฑ์ศูนย์การเรียนรู้หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาด่านเกวียน จ.นครราชสีมา 
  5. พระมหาเจดีย์ชัยมงคล จ.ร้อยเอ็ด
  6. วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เมืองเรืองแสง จ.อุบลราชธานี 
  7. วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด
  8. พิพิธภัณฑ์วัดบ้านสร้างเรือง จ.ศรีสะเกษ
  9. ตามรอยหลวงปู่มั่น จ.อุบลราชธานี
]]>
“สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/saiwat2024.html Wed, 17 Jul 2024 07:14:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37140

ลดเวลา เพิ่มมาตรฐานด้านอาหารสัตว์น้ำ
เนคเทค สวทช. พัฒนา “สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) วิจัยและพัฒนา “สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบขนาดอาหารสัตว์ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์น้ำได้ ทดแทนการวัดด้วยเวอร์เนีย ซึ่งสามารถวัดหลายร้อยเม็ดพร้อมกัน เพียงใช้เวลาการวัด 1 นาที พร้อมสรุปรายงานวิเคราะห์เชิงสถิติทั้งตารางและกราฟฮิสโตแกรม ช่วยลดปัญหาขนาดอาหารกุ้งไม่ได้มาตรฐานของผู้ประกอบการ SME ไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำให้ผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารสัตว์ต้องลดข้อผิดพลาด ลดระยะเวลาในการวัดขนาดของอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านคุณภาพในการผลิต 

คุณสมบัติ

  • สามารถวัดขนาดอาหารที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งยากในการใช้มือจับวัด สามารถวัดได้พร้อมกันตั้งแต่ 100-800 เม็ด โดยใช้เวลาไม่นาน ขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด (ประมาณ 1-3 นาที)
  • สายวัดทำงานต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆได้
  • สามารถวัดความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางของอาหารเม็ดอย่างอัตโนมัติ
  • มีสรุปรายงานการตรวจสอบคุณภาพ ออกเป็นไฟล์ pdf , excel หรือ word ได้
  • สามารถเพิ่มสเปคอาหารได้ไม่จำกัด

พัฒนาโดย

ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (SAI)
กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ (DSARG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)

สอบถามเพิ่มเติม

คุณสุรีรัตน์ รัตนสมบูรณ์
งานธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญา
สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (TLO)
โทร : 0 2564 7000 ต่อ 1619
Email: tlo-ipb[at]nstda.or.th

]]>
ระบบวัดสัณฐานของรากมันสำปะหลัง เพื่อการคัดสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/cassava.html Tue, 16 Jul 2024 09:15:00 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36768

สัณฐานของมันสำปะหลัง

ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (Morphology) ของพืชส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้อธิบายการแสดงออกของพืช เป็นลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ หรือสามารถวัดลักษณะนั้นได้ เช่น สี น้ำหนัก ความสูง โครงสร้าง ขนาด รูปร่าง รูปแบบ เป็นตัวบ่งชี้ถึงการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม (Environment) และลักษณะทางพันธุกรรม (Genotype) โดยทั่วไปนักสรีรวิทยาจะอาศัยการตรวจวัดลักษณะสัณฐานวิทยาต่างๆ (Traits) ของพืช เช่น  ความกว้าง ความยาว น้ำหนัก และลักษณะอื่นๆ  เพื่อการศึกษาและจำแนกลักษณะสายพันธุ์

สำหรับมันสำปะหลังแต่ละสายพันธุ์ มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่แตกต่างกัน นักปรับปรุงพันธุ์จำเป็นต้องมีความรู้ในสาขาต่างๆ รวมไปถึงความรู้ ด้านพันธุ์ศาสตร์ การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ที่จะสามารถจำแนกพันธุ์ของมันสำปะหลัง เพื่อนำลักษณะเด่นมาใช้ในการระบุสายพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง ลักษณะการพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังเป็นลักษณะที่สำคัญลักษณะหนึ่ง ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีการพัฒนาที่แตกต่างกัน และกลายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่เหมาะกับการ ปลูกในช่วงต่าง ๆ ของแต่ละฤดูปลูก และมีอายุที่พร้อมเก็บเกี่ยวในเวลาต่างกัน ให้ผลผลิต สูง เปอร์เซ็นต์แป้งสูง มีการใช้น้ำ และใช้ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ ปรับตัวในสภาพแวดล้อมเฉพาะท้องที่ เพื่อกระจายผลผลิตที่จะเข้าสู่โรงงาน รองรับความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการบริโภค รวมถึงอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน

การวัดสัณฐานรากสะสมอาหารข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาสายพันธุ์

การพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังเป็นลักษณะที่สาคัญลักษณะหนึ่งในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง ซึ่งแต่ละพันธุ์มีการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการศึกษาลักษณะทางฟีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง เพื่อให้ได้พันธุ์มันสำปะหลังที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร

การศึกษาลักษณะทางฟีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง เป็นวิธีการหนึ่งในการค้นหาสายพันธุ์ของมันสำปะหลังหลังที่ให้ผลผลิตสูง นำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง โดยการเปรียบเทียบลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังวัดการเจริญเติบโตของรากสะสมอาหารของรากมันสำปะหลัง รวมถึงศึกษาฟีโนไทป์ของรากสะสมมันสำปะหลังด้วย การใช้วิธีทางแมชชีนวิชั่น ด้วยการตรวจวัดฟีโนไทป์แบบปริมาณงานสูง (High throughput phenotyping)   

เป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง ที่ช่วยสร้างต้นแบบแสดงวิธีการวัดลักษณะทางสัณฐานของรากมันสำปะหลัง สามารถนำมาใช้ช่วยการเร่งกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ให้มีความรวดเร็วขึ้นตามความต้องการในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีทางด้านแมชชีนวิชั่น เป็นการใช้การถ่ายภาพและการประมวลผลภาพมาทำการตรวจวัดลักษณะของพืชแบบไม่ทำลายและสามารถทำการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การหาค่าการเปลี่ยนแปลงเชิงสันฐานวิทยาในการทดสอบการทนแล้ง  และอาจใช้ลักษณะอื่นๆ  จำเพาะของสายพันธุ์พืช เป็นตัวชี้วัดการทนต่อการขาดน้ำ  ซึ่งการวิเคราะห์ด้วยการประมวลผลภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวัดได้แบบอัตโนมัติโดยการหาพื้นที่ภาพฉาย (Projected area)

นักวิจัยเนคเทคโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล  ได้พัฒนาระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลัง ใช้วัดระดับการเจริญเติบโตของรากสะสมอาหารของรากมันสำปะหลังหลัง  จำนวนกว่า 600 สายพันธุ์ ร่วมกับ BMBF, JULICH และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง

รูปที่ 1 ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง

ตัวชี้วัดในระบบสามมิติ

แสดงตามรูปที่ 2 โดยการใช้ภาพสามมิติ ที่มีคุณสมบัติในการกระจายตัวของจุดสามมิติอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งอณูของวัตถุ ที่เกิดจากเทคนิคการสกัดจากเงาวัตถุ (Voxel carving) และเส้นโครงรากมันสำปะหลัง สามารถสร้างตัวชี้วัดในระบบสามมิติได้อย่างหลากหลาย ได้แก่ จำนวนราก, ความยาวราก, ความลึกราก, รัศมีราก, มุมราก และ ปริมาตรราก เป็นต้น

รูปที่ 2 ลักษณะทางสัญฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลังในระบบสามมิติ

วิธีการหาเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง

วิธีการหาเส้นโครงของราก (Root skeleton) ตามวิธีการของเรา คำนวณจากภาพสามมิติของรากมันสำปะหลัง โดยใช้การไล่สำรวจ (Tracing) ไปทีละส่วนของราก ในการสร้างจุดโครงอันใหม่ จะใช้จุดโครงล่าสุดเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อสร้างพื้นผิวของทรงกลม ซึ่งมีมุมกวาดรอบทิศทาง ทำการสำรวจส่วนของรากท่อนถัดไป ใช้จุดตัดของพื้นผิวของทรงกลมและภาพสามมิติของรากในการสร้างจุดโครงอันใหม่ การใช้พื้นผิวของทรงกลม ทำให้การไล่สำรวจไปตามภาพสามมิติของรากมีประสิทธิภาพสูง

3.1 ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง 
3.2 ภาพวิดิโอในแต่ละมุมมอง 
3.3 เทคนิค voxel carving
3.4 ภาพสามมิติ
3.5 การสกัดเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง 

ขั้นตอนการเก็บข้อมูล

แสดงตามรูปที่ 3 เริ่มจากการนำรากมันสำปะหลัง ไปยึดไว้กับหัวจับ ภายในห้องถ่าย ซึ่งภายในมีกล้องบันทึกวิดิโอ และแหล่งกำเนิดแสง จากนั้นให้ทำการปิดประตูห้องถ่าย เพื่อทำการบันทึกภาพวิดีโอของรากมันรอบทิศทาง โดยการหมุนหัวจับ 360 องศา ระบบจะสร้างภาพสามมิติของรากมัน จากภาพวิดิโอรอบทิศทาง ด้วยเทคนิคการสกัดจากเงาวัตถุ จากนั้นจึงทำการคำนวณหาเส้นโครงรากมันตามวิธีการที่เราประดิษฐ์ขึ้น

รูปที่ 4 ตัวอย่างของภาพสามมิติรากมันสำปะหลัง และเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง 

ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง เป็นการเสนอวิธีการคำนวณหาเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง (Root skeleton) ได้แก่ พิกัดของเส้นทางที่วางอยู่ในแนวกึ่งกลางของราก โดยกำหนดให้ แต่ละรากประกอบไปด้วยเส้นทางเพียงเส้นทางเดียว ไม่มีการแตกสาขา และทุกรากมีจุดกำเนิดออกมาจากลำต้น เส้นโครงของรากสามารถนำมาใช้ในการคำนวณลักษณะสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลังได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ภาพวิดิโอของรากมันสำปะหลังหลังรอบทิศทาง ยังถูกใช้เป็นฐานข้อมูลของภาพดิจิตอล เพื่อในอนาคตสามารถเปิดให้นักวิชาการเกษตรและผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเรียกใช้ เพื่อศึกษาการกระตุ้นผลผลิตรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง และใช้วิเคราะห์หาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่สูง สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ที่ต้องการเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของประเทศไทยในอนาคต

แหล่งข้อมูล

  • อารันต์ พัฒโนทัย, กมล เลิศรัตน์, ประสิทธิ์ ใจศิล, บุญรัตน์ จงดี “มองอนาคตระบบการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยทางการเกษตร:กรณีข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย 2566” อ้างอิงจาก https://www.khonthai4- 0.net/system/resource/file/kpfgo_content_attach_file_509_1.pdf สืบค้น 14 มี.ค. 2567
  • Amares Kaewpunya, Teera Phatrapornnant, Panithi Sira-Uksorn, Paniti Pumviset, Pairat Chaichanadee, Sirichai Parittotakapron, “Spherical-Based Three Dimensional Cassava Root Skeleton Extraction”, 2022 19th International Conference on Electrical Engineering/Electronics, Computer, Telecommunications and Information Technology (ECTI-CON), May 2022.
  • สุวลักษณ์ อะมะวัลย์, ประพิศ วองเทียม  “การขยายพันธุ์เชื้อพันธุกรรมมันสำปะหลังหลังสาหรับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางฟีโนไทป์ และจีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลังหลัง  06-05-2019” อ้างอิงจาก https://www.doa.go.th/research/showthread.php?tid=2714&pid=2732  สืบค้น 13 มี.ค.67
  • วลัยพร ศะศิประภา, จิณณจาร์ หาญเศรษฐสุข, ณิชา โป๋ทอง, เถลิงศักดิ์ วีระวุฒิ และวารีย์ ทองมี  “พันธุ์และการจำแนกพันธุ์มันสำปะหลัง” สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร. อ้างอิงจาก  https://at.doa.go.th/cassvar/document.html  สืบค้น 13 มี.ค. 2567
  • ยินดี ชาญวิวัฒนา 2560 “การประเมินความสัมพันธ์ของจีโนไทป์และฟีโนไทป์พืชจากการกระตุ้นการแสดงออกของยีนเพิ่ม ผลผลิตในกลุ่ม ARGOSของ Arabidopsis และมันสำปะหลัง: Phase II ” อ้างอิงจาก https://tarr.arda.or.th/preview/item/n_ttJHxDj2M3OazSkjTwX?isAI=true สืบค้น 13 มี.ค. 67

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
เรียบเรียงโดย กานตวี ปานสีทา

]]>
MagikFresh : ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/magikfresh.html Thu, 23 Nov 2023 10:51:47 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34533

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นปัญหาที่คนในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ต้องเผชิญเป็นประจำทุกปี ซึ่งฝุ่น PM2.5 นี้ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าสูง สิ่งที่เราทำได้เพื่อรับมือกับฝุ่น PM2.5 คือการสวมหน้ากากอนามัย เปิดเครื่องกรองอากาศในอาคารบ้านเรือน และมักจะมีคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมภายนอกอาคาร  โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพราะการออกกำลังกาย ร่างกายจะมีอัตราการหายใจเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น การใส่หน้ากากขณะออกกำลังกาย แม้จะช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ แต่ก็ทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น

หลายหน่วยงานให้ความสำคัญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยการติดตั้งเครื่องกรองอากาศขนาดใหญ่ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่โล่งภายนอกอาคาร แม้ว่าเครื่องกรองอากาศเหล่านี้จะสามารถช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเปรียบเทียบปริมาณอากาศที่เครื่องเหล่านี้สามารถกรองได้ กับปริมาณอากาศภายนอกแล้ว คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากๆ และเนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ฝุ่น PM2.5 สามารถกระจายไปได้ทั่วทุกบริเวณ ส่งผลให้มีบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน มีพื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายได้ ทีมวิจัย ซึ่งมีประสบการณ์ในการวิจัยพัฒนาเครื่องกรองอากาศขนาดใหญ่สำหรับใช้ในพื้นที่ปิด จึงได้คิดค้นหาแนวทางการช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ แม้ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าสูงเกินมาตรฐาน จึงเป็นที่มาของนวัตกรรมสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่นี้ หรือที่มีชื่อเรียกว่า “MagikFresh”

MagikFresh คืออะไร

MagikFresh เป็นการออกแบบการจัดวางโครงสร้าง MagikFresh Pavilion และระบบกรองอากาศ MagikFresh Air Cleaner ให้ทำงานสอดประสานกัน ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของอากาศสะอาดที่ผ่านการกรองแล้วภายในพื้นที่ อากาศสะอาดเหล่านี้จะไหลเวียนออกไปยังช่องเปิดด้านบน สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่น PM2.5 จากภายนอกเข้ามาภายในพื้นที่ของ MagikFresh นี้ได้ ส่งผลให้สามารถรักษาระดับค่าฝุ่น PM2.5 ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้งานสามารถทำกิจกรรมนันทนาการและออกกำลังกายภายในพื้นที่นี้ได้อย่างสดชื่นและปลอดภัย

จุดเด่นของ MagikFresh

  • โครงสร้าง MagikFresh Pavilion มีขนาดพื้นที่ 100 ตารางเมตร มีลักษณะเฉพาะในการรับอากาศสะอาดจากด้านข้างของโครงสร้าง ในตำแหน่งที่ช่วยเสริมให้มีการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในพื้นที่ และดันออกสู่ช่องเปิดขนาดใหญ่ด้านบน ซึ่งปริมาณอากาศสะอาด ตำแหน่งทางเข้าของอากาศสะอาด และขนาดของช่องเปิดที่เหมาะสม จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่น PM2.5 จากภายนอกเข้ามาภายใน MagikFresh Pavilion ได้ ทำให้สามารถรักษาระดับค่าฝุ่น PM2.5 ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยกับสุขภาพ และหายใจได้อย่างสดชื่น ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับการคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว
  • ระบบกรองอากาศ MagikFresh Air Cleaner เป็นระบบกรองอากาศที่มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์รวม 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิตแบบมีโอโซนต่ำในการกรองอากาศ สามารถดักจับฝุ่นที่ได้รับประจุให้ไปติดบนแผ่นที่มีขั้วตรงข้ามได้ ชุดกรองอากาศจึงสามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ ไม่ต้องถอดทิ้งเปลี่ยนใหม่ช่วยให้ลดขยะและลดต้นทุน
  • ระบบกรองอากาศ สามารถปรับการทำงานได้อย่างอัตโนมัติตามค่าฝุ่น PM2.5 ช่วยให้สามารถลดการใช้พลังงานได้ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าต่ำ
  • นวัตกรรม MagikFresh ช่วยให้ผู้เข้าใช้พื้นที่ ได้รับอากาศสะอาดที่มีค่าฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในระดับดี หรือสีเขียว ซึ่งระดับค่าฝุ่นใน MagikFresh นี้ จะมีตัวเลขบอกไว้บนหน้าจอบริเวณทางเข้า และแถบไฟสีบริเวณใจกลาง MagikFresh นอกจากนั้น ใน MagikFresh นี้ยังมีอัตราการไหลเวียนของอากาศที่สูง ช่วยให้ผู้เข้ามาทำกิจกรรมนันทนาการหรือออกกำลังกายในพื้นที่ มีความรู้สึกสดชื่น สูดหายใจเอาอากาศสะอาดเข้าไปได้เต็มปอด
  • โครงสร้างของต้นแบบ MagikFresh สามารถถอดประกอบได้ ทำให้เคลื่อนย้ายต้นแบบไปใช้งานในพื้นที่ที่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 อื่นๆ ได้อีกด้วย

สนใจใช้บริการ

ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสวนจตุจักร สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ MagikFresh เพื่อหายใจรับอากาศสะอาดให้เต็มปอดได้ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง เดือนพฤษภาคม 2567

สำหรับหน่วยงานที่สนใจจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ หรือ หน่วยงานที่สนใจนำนวัตกรรม MagikFresh ไปติดตั้งใช้งาน/รับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถติดต่อได้ที่ 

กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.)
โทร. 0 2564 6900

ขอบคุณ : สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และ สวนจตุจักร

]]>
KidBright Net โครงข่ายการสื่อสารเพื่อการศึกษา https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/kidbrightnet.html Tue, 24 Oct 2023 10:52:58 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34357

KidBright ได้ก้าวไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มการศึกษา (Education Platform) ในการพัฒนาทักษะของเด็กไทยทางด้านเทคโนโลยีที่จำเป็น ทั้งในด้านการเขียนโค้ดดิ้ง ทักษะด้านวิทยากรข้อมูล วิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล ทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ และทักษะที่จำเป็นอื่นๆ  การต่อยอดให้ KidBright เป็นเครื่องมือในการสอน Internet of Things และ Big Data ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนได้เข้ามาใช้ประโยชน์ สามารถเข้ามาเรียนรู้ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในการเข้าถึงความรู้ เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองได้อย่างเท่าเทียม

การพัฒนา KidBright  Net โครงข่ายการสื่อสารเพื่อการศึกษา เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล  และวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาการข้อมูลให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้โรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งองค์ความรู้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนวิทยาศาสตร์ข้อมูล และองค์ความรู้ในการสร้างโครงข่ายการ สื่อสารขึ้นใช้งานเอง ก่อให้เกิดเป็น Education Community

คุณลักษณะ

KidBright Net ประกอบด้วย ส่วน KidBright Net Gateway และสถานีอุตุน้อย LoRa ทั้งสองส่วนมีการส่งข้อมูลระหว่างกันโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายด้วยคลื่นวิทยุสามารถรับส่งข้อมูลได้ในระยะไกล ความเร็วการรับส่งข้อมูลไม่สูง ใช้พลังงานต่ำ ที่ย่านความถี่ AS923 (920 ถึง 925 MHz) ที่เรียกว่า LoRa (Long Range Network) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานกับการส่งข้อมูลของ IoT devices

สถานีอุตุน้อย LoRa เป็นสถานีวัดสภาพอากาศ ซึ่งติดตั้งเซนเซอร์ วัดสภาพอากาศ ได้แก่ ทิศทางลม ความเร็วลม ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความชื้น และ KidBright Net Gateway ทำหน้าที่รับข้อมูลจากสถานีอุตุน้อย LoRa (หลายตัว) เพื่อนำส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์

KidBright Net มีแอปพลิเคชันรองรับการแสดงผลข้อมูลที่ส่งขึ้นคลาวด์ รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ การส่งข้อมูล การแสดงผล และการวิเคราะห์ผล ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน WATCH และ PLAYGROUND

จุดเด่น

  1. เป็นเครื่องมือสอนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล  และวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล ได้แก่โครงข่ายการสื่อสารไร้สาย อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (IoT) วิทยาการข้อมูล และระบบสมองกลฝังตัว
  2. สามารถ Download ส่วนบริหารจัดการที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  3. ราคาในการดูแลโครงข่ายมีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเชิงพาณิชย์

กลุ่มผู้ใช้งาน

  1. นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั่วประเทศ
  2. โรงเรียนที่สอนในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ

เครือข่าย KidBright Net ได้รับทุนสนับสนุนจากจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)  ติดตั้งใช้งานในโรงเรียนนำร่อง 30 แห่งทั่วประเทศ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย

Facebook : KidBright

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
112 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถ.พหลโยธิน
ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
เบอร์โทรศัพท์:: 0 2564 6900
E-mail: business[at]nectec.or.th

]]>