แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Fri, 13 Dec 2024 03:44:20 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 พลิก 3 จุดอ่อน AI ประเทศไทย สู่แนวทางแก้ไขพัฒนา AI ให้เติบโตทั้งระบบนิเวศ https://www.nectec.or.th/news/news-article/aws-public-sector2024.html Thu, 12 Dec 2024 08:50:25 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=38417

สาระจากการเสวนา Driving AI Innovation in the Public Sector ในเวที AWS Public Sector Day Thailand 2024

เนคเทค สวทช. ร่วมเสนอความก้าวหน้าและทิศทางการพัฒนา AI ในประเทศ จากมุมมองของแผน AI แห่งชาติ ในเสวนา Driving AI Innovation in the Public Sector ในเวที AWS Public Sector Day Thailand 2024 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ สามารถสรุปได้เป็น 2 ประเด็น ดังนี้

จากจุดอ่อนในดัชนีความพร้อม AI สู่ 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อขับเคลื่อน AI ประเทศไทย

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำด้าน AI ในประเทศไทยเป็นเรื่องท้าทาย และยังจำเป็นต้องพัฒนาแอปพลิเคชันหรือโดเมนต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวนมาก ดังนั้น แผน AI แห่งชาติ จึงมุ่งสนับสนุนการเติมเต็มระบบนิเวศการพัฒนา AI เติมเต็มสิ่งที่ยังขาดในหลายด้าน จากผลการสำรวจดัชนีความพร้อมด้าน AI ของรัฐบาลไทย ปี 2566 (Government AI Readiness Index 2023) โดย Oxford Insight ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 197 ประเทศ โดยพบประเด็นที่ต้องเร่งการพัฒนาใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1) การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
“การวิจัยและพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ สิ่งที่ต้องสนับสนุนอย่างยิ่งกลับไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีเสมอไป แต่หากเป็นเรื่องการเข้าถึงข้อมูล” ดร.ชัย ตั้งข้อสังเกต

ยกตัวอย่าง การวิจัยและพัฒนา AI ในด้านการแพทย์และสาธารณะสุข จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการรวบรวมข้อมูล (Data Collection) ที่มากเพียงพอ และเปิดเป็นข้อมูลสาธารณะให้ได้มากที่สุดโดยไม่ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (Data Privacy) ถึงการพัฒนาเครื่องมือ AI ให้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) รวมถึงข้อมูลด้านมาตรฐานด้านความปลอดภัย การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsibility AI) เป็นต้น โดยเนคเทค สวทช. มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนรวบรวมและแชร์ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้พัฒนานวัตกรรมด้าน AI

2) ด้านกำลังคน (Human Capital)
การขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI เป็นปัญหาใหญ่ในการพัฒนา AI ของประเทศ แผน AI แห่งชาติจึงตั้งเป้าพัฒนากำลังคนด้าน AI กว่า 30,000 คนภายในปี 2570 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Super AI Engineer ที่จะขยายศูนย์ภูมิภาคจาก 6 เป็น 11 แห่ง และเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมในรอบไฟนอลจาก 200 เป็น 400 คนในปีหน้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กร

3) การพัฒนา AI ภายในประเทศ (In-house AI Development) 
การใช้งาน AI ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในลักษณะการประยุกต์ใช้มากกว่าการพัฒนาเอง แผน AI แห่งชาติจึงมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ภายในประเทศ เช่น LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) สำหรับการเทรนด์โมเดล AI ขนาดใหญ่ โดย ThaiSC สวทช. เปิดให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงแพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย หรือ AI for Thai ซึ่งใช้บริการ APIs AI ครอบคลุมทั้งด้านเสียง ภาพ และข้อความ ทั้งงานวิจัยจากเนคเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสนับสนุนและเป็นตัวเร่งการพัฒนา AI ภายในประเทศ

“ผู้บริหารต้องเข้าใจขีดจำกัดของ AI และตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับธุรกิจ อย่าคาดหวังกับ AI สูงมากเกินไปจนคิดว่า AI ทำได้ทุกอย่าง โดยเนคเทค สวทช. มีแผนในการพัฒนาส่วนให้คำปรึกษาการพัฒนา AI อย่างเป็นระบบมากขึ้น อาจให้บริการแบบ Counter Service ที่ตอบโจทย์หน่วยงานรัฐและเอกชน” ดร.ชัย กล่าวทิ้งท้าย

แค่คิดก็ผิดแล้ว ! AI วงการแพทย์ไม่ควรเริ่มที่การวินิจฉัย

นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) ยังได้ร่วมนำเสนอประเด็นการใช้งาน AI ในด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างชัดเจน นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเริ่มต้นเรื่อง AI มาตั้งแต่ปี 2560 โดยสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการฝึกฝนด้าน Machine Learning และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องทำให้การผลักดันนโยบายด้าน AI เริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วเพราะมีพื้นฐานบุคลากรที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ อย่างไรก็ตามการใช้ AI ด้านการแพทย์ยังมีควมท้าทายด้านข้อมูล แม้จะในประเทศไทยมีข้อมูลจำนวนมาก แต่การขาดระเบียบข้อบังคับ (Regulation) ในการนำข้อมูลมาใช้ทำให้เกิดปัญหา การสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งร่างกฎระเบียบข้อมูลจะช่วยผลักดันเรื่อง AI ในวงการแพทย์ได้มาก

“การวินิจฉัยโรคเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ ประสบการณ์ของแพทย์ และการพิจารณาจากหลายปัจจัยของคนไข้ ซึ่งในหลายกรณีนั้นยากที่จะอธิบายกระบวนการการวินิจฉัยออกมาเป็นอัลกอริทึม ดังนั้นการเริ่มต้นพัฒนา AI เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคจึงเป็งานที่ท้าทาย ซับซ้อน ใช้เวลา และต้องผ่านการรับรองที่เข้มงวด หรือ การทดลองทางคลินิก ซึ่งอาจทำให้โครงการหยุดชะงักไปก่อน” นพ.สุรัคเมธ อธิบาย

DMIND แอปพลิเคชันคัดกรองซึมเศร้าเป็นหนึ่งตัวอย่างของการนำ AI มาใช้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความสำเร็จของ DMIND ไม่ได้เกิดจากการแก้ปัญหาทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม คือ การช่วยให้กลุ่มผู้มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงได้รับการดูแลก่อน

ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า DMIND เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI Multimodel ผสานการวิเคราะห์ภาพ เสียง และข้อความเพื่อประเมินระดับภาวะซึมเศร้าของผู้ใช้งานในระดับสีเขียว เหลือง และแดง สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มสีแดง ระบบจะส่งต่อข้อมูลไปยังกรมสุขภาพจิตและสายด่วน 1323 เพื่อให้ความช่วยเหลือทันที ช่วยลดเวลารอสายและเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรอง โดยลดจำนวนผู้รอสายลงมากกว่า 60% พร้อมพัฒนา Voicebot เพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มสีแดงหรือสีส้มได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการจัดการทรัพยากรให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้ตรงจุด

“อีกปัจจัยสำคัญในการพัฒนา AI ให้ประสบความสำเร็จ คือ การทำงานร่วมกันระหว่างทีมเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ (Domain Expert) ทีมแพทย์ด้านจิตวิทยาที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีเป็นสะพานเชื่อมที่ทำให้ทั้งสองทีมเข้าใจโจทย์ เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ

AWS Public Sector Day Thailand 2024 เป็นเวทีรวมรวมแนวคิดล้ำสมัยและนวัตกรรมล่าสุดในด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้องค์กรภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานรัฐบาล สถาบันการศึกษา องค์กรด้านสาธารณสุข และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร สามารถรับมือกับความท้าทายที่ต้องเผชิญพร้อมพลิกความท้าทายเหล่านั้นให้เป็นโอกาส ภายในงานจะให้ความสำคัญกับหลากหลายประเด็น อาทิ บทบาทของ AI, ความปลอดภัยและการสร้างความยืดหยุ่น, การปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย, การย้ายสู่ระบบคลาวด์ และนวัตกรรมการให้บริการสาธารณะ ที่จะช่วยยกระดับการบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

]]>
เนคเทค ร่วมกับ RxTradex จัดกิจกรรม METALEX AI FORUM 2023: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ – ปฏิวัติอุตสาหกรรมการผลิต https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/metalex-aiforum2023.html Mon, 27 Nov 2023 07:23:35 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34609

เนคเทคเผยนโยบายแผน AI แห่งชาติ กับผลงานที่ผ่านมาใน 1 ปี และความท้าทายต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิต

ดร.อภิวดี ปิยธรรมรงค์ นักวิจัย กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. บรรยายพิเศษ “ยุทธศาสตร์ชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ หนุนการผลิตอัจฉริยะ” โดยกล่าวถึง นโยบายและผลงานที่ผ่านมาแล้ว 1 ปี ของแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Strategy: NAIS) ในฐานะที่เนคเทคมีบทบาทเป็นผู้ช่วยเลขานุการจัดทำแผนฯ รวมถึงบอกเล่าความท้าทายถัดไปเพื่อหาความร่วมมือต่อไปในอนาคต

ดร.อภิวดี กล่าวว่า งานด้าน AI กับงานทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เนคเทคมีความพยายามที่จะใช้ AI ในอุตสาหกรรมการผลิตมาอย่างยาวนาน อาทิ งานวิจัยที่มีโจทย์จริงที่จะคาดการณ์ว่าโรงงานกำลังมีความเสี่ยงต่อการที่เกิดไฟฟ้ากระชากหรือไฟฟ้าตก ซึ่งงานนี้ต้องอาศัยเทคนิคทางด้าน Image Processing  หรือ Neural Network ทว่าความยากของงานนั้นก็คือเราไม่สามารถที่จะทำข้อมูลแบบ Real Time ได้ด้วยข้อจำกัดทางด้าน Infrastructure ที่กำลังในการประมวลผลไม่มากพอ แต่ในปัจจุบันนี้ตัว Network ได้ถูกพัฒนาขึ้นมีสิ่งที่เรียกว่า Deep Neural Network ซึ่งมีระดับเลเยอร์เป็นหลักร้อย มีจำนวนพารามิเตอร์เป็นล้านๆ ตัว ทำให้สามารถที่จะทำนายหรือจัดกลุ่มการทำงานได้อย่าง Real Time ตัวอย่าง Chat GPT สามารถผลิตคำได้มากกว่า 300 ล้านคำ/นาที และยังคงมีพลังต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหยั้ง  ซึ่งหากสามารถประยุกต์ใช้รวมเข้ากับอุตสาหกรรมการผลิต จะเกิดความเป็นไปได้อย่างไม่สิ้นสุด

แต่เหรียญมักมี 2 ด้านเสมอ ประโยชน์ย่อมมาพร้อมกับความกังวล ทั่วโลกต่างกังวลว่าใช้ AI แล้วจะปลอดภัยได้อย่างไร? ใช้อย่างไรให้มีสิทธิภาพ สามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างไรในเมื่อ AI สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง

สำหรับประเทศไทยนั้นได้จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570)” เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและนําไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน

  • ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฏหมาย และกฏระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์
  • ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ ต่อเนื่องสู่ยุทธศาสตร์ 4 และ 5
  • ยุทธศาสตร์ 4 การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
  • ยุทธศาสตร์ 5 การส่งเสริมให้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและ ระบบปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชน สิ่งทีวางแผนดำเนินการ คือ การส่งเสริมการใช้ AI ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่มโดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ

ระยะที่ 1 คือการใช้งานและบริการภาครัฐ เกษตรและอาหาร การแพทย์และสุขภาวะ 

ระยะที่ 2 เริ่มที่อุตสาหกรรมการผลิต การศึกษา การท่องเที่ยง ความมั่งคงและปลอดภัย โลจิสติกส์และการขนส่ง การเงินและการค้า พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้จะเริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570

และสำหรับโครงการต่อไปที่จะดำเนินต่อไปตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรม แต่สิ่งที่จะไฮไลท์ต่อไป คือ โจทย์ที่ท้าทายจากอุตสาหกรรมการผลิต ที่นำ Visual Inspection เข้ามาช่วยในอุตสาหกรรมไทยได้เนื่องจากพบว่ามีความพร้อมด้านเทคโนโลยี สิ่งที่ขาด คือ SI ในการเชื่อมโยงเทคโนโลยีให้ไปถึงโรงงานได้ รวมถึงขาด Start-up ที่ช่วยทำโจทย์และขยายงานด้วย

ดร. ณิชา อภิชิตโสภา นักวิจัย ทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. บรรยายพิเศษ หัวข้อ “NecML: No-Code Machine learning platform”

คุณณฐพล ตันสังวรณ์ นักวิจัย ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. บรรยายพิเศษ หัวข้อ DaySie: Edge-AI Application Platform

ดร. วโรดม คำแผ่นชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท บริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด บรรยายพิเศษ หัวข้อ “AIoT Energy Management and Analytics Platform

ดร. อภินันทน์ ตั้นพันธุ์ บริษัท สมาร์ท เซนส์ อินดัสเตรียล ดีไซน์ จำกัด บรรยายพิเศษ หัวข้อ “AIoT for Small & Medium Manufacturers”

ต่อด้วยการเสวนา ในหัวข้อ “Best practices & Lesson learnt – AI in Manufacturing “

พร้อมมีบูธให้คำปรึกษาแก่ผู้ร่วมกิจกรรมประกอบไปด้วย

  • NSTDA i4.0 Platform
  • บริการจากศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC)
  • NecML
  • Daysie
  • AltoTech
  • SMART Sense Industrial Design
  • ผู้ให้บริการด้าน AI : REPCO NEX
]]>
เนคเทค สวทช. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเทคโนโลยี AI กับความมั่นคงของไทย https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/ai-national-security.html Mon, 06 Nov 2023 10:46:10 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34513

เนคเทค สวทช. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเทคโนโลยี AI กับความมั่นคง ในเสวนา “บทบาทของเทคโนโลยีใหม่กับการพัฒนาอาวุธตามแบบ: ความท้าทายต่อความมั่นคงของไทย”

ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. และอุปนายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในงานเสวนาหัวข้อ “บทบาทของเทคโนโลยีใหม่กับการพัฒนาอาวุธตามแบบ: ความท้าทายต่อความมั่นคงของไทย” ร่วมกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปัญญวัชร์ วังยาว ประธานหลักสูตรวิศวกรรมและเทคโนโลยีการป้องกันประเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีบุคลากรภาคส่วนความมั่นคง ภาคธุรกิจ และการศึกษา เข้าร่วมรับฟัง โดยเนื้อหาครอบคลุมด้านอากาศยานไร้คนขับ ปัญญาประดิษฐ์ สงครามไซเบอร์ และแนวโน้มในอนาคต เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2566 ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ จัดโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ

ดร.เทพชัย ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์เทคโนโลยี AI กับความมั่นคง รวมถึงความก้าวหน้าการดำเนินงานแผนปฏิบัติการด้าน AI ประเทศไทย เนื้อหาการเสวนากล่าวถึงภาพรวมความจำเป็นของการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทย เนื่องจาก AI เป็นเทคโนโลยีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับสังคมในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคของธุรกิจ อุตสาหกรรม หน่วยงานรัฐ และความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะ AI ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความสามารถคล้ายกับสมองของมนุษย์ เลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ จึงทำหน้าที่แทนคนหรือทำงานร่วมกับคนได้ดี การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ในสาขาต่าง ๆ เช่น การแพทย์ การเงิน ความปลอดภัย วิทยาศาสตร์ เกษตรกรรม ศิลปะและดนตรี ฯลฯ

แผนปฏิบัติการด้าน AI ของไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) ภายใต้ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน เพื่อสร้างระบบนิเวศในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI ที่มีประสิทธิภาพ นําไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่ผ่านมาขับเคลื่อนแผน AI เริ่มมีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมในด้านต่าง ๆ เช่น AI for Thai : Thai AI Service Platform แพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อเน้นตอบโจทย์ผู้ใช้งานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการบริการต่าง ๆ ในประเทศไทย NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ระดับชาติที่ให้บริการทรัพยากรด้านการคำนวณด้วยระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง ให้บริการหน่วยวิจัย องค์กรภาครัฐและเอกชนทุกภาคส่วน รวมถึงโครงการสำคัญในระยะถัดไปและความท้าทายที่ยังขาดความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยมีโจทย์สำคัญตามยุทธศาสตร์และอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว Tourist Map รวมข้อมูลเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ขาดความร่วมมือของหน่วยงานเจ้าของข้อมูล 2) อุตสาหกรรมการค้าและการเงิน Fraud Detection AI สำหรับ Fraud Detection/ Fraud Behavior Modelling ในธุรกรรมการเงิน ขาดแนวทางการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลและธรรมาภิบาลข้อมูลสำหรับ AI 3) อุตสาหกรรมการผลิต AI Visual Inspection การวิเคราะห์ภาพสำหรับการผลิตในอุตสาหกรรม ขาดกำลังคน SI, Talent, และStartup ที่ช่วยทำโจทย์และขยายงาน 4) อุตสาหกรรมความมั่นคง Biometric การตรวจสอบและประเมินอัตลักษณ์บุคคลจากข้อมูลชีวมิติ ขาดมาตรฐานข้อมูล 5) การวิจัยและพัฒนา LLM การสร้างแบบจำลอง AI สำหรับ Generative AI ที่รองรับภาษาไทย ขาดความร่วมมือและการส่งเสริมงานวิจัย+นวัตกรรม สำหรับโจทย์ภาษาไทย

ดร.เทพชัย กล่าวเสริมถึงโจทย์อื่น ๆ โครงการภายใต้แผนปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เช่น โครงการสร้างแนวปฎิบัติเกี่ยวกับธรรมาภิบาลข้อมูลและจริยธรรมเพื่อการประยุกต์ใช้ AI (AI ELSI) โดยมีเป้าหมาย การเตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาและปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมาตรการต่าง ๆ ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ส่งเสริมการใช้งานอย่างมีจริยธรรมและความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน และสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ด้านจริยธรรม กฎหมาย และผลกระทบต่อสังคม เพื่อให้ประชาชนทั่วไป และบุคลากรพัฒนาในด้าน AIมีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีและพร้อมเข้าสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์

และกล่าวถึงด้านจริยธรรมหลักการที่เกี่ยวข้องในเรื่องความมั่นคงและปลอดภัย (Security and Safety) ว่า AI ควรถูกสร้างให้มีความมั่นคงและปลอดภัย รวมถึงป้องกันภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อมนุษย์ สิ่งแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ และประเทศ จากการใช้งานที่มากเกินไปและไม่เหมาะสม ฉะนั้นการใช้งานและการตัดสินใจของ AI ควรเกิดจากความตั้งใจของมนุษย์ หรือมีกลไกให้มนุษย์สามารถแทรกแซงการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การตัดสินใจที่ผิดพลาด การคุกคามจากผู้ไม่ประสงค์ดี และการนำไปใช้ ในทางที่ผิด ซึ่งรวมถึงการใช้เสมือนเป็นอาวุธ การทำให้เข้าใจผิดหรือให้ข้อมูลที่นำไปสู่การเข้าใจผิด โดยยกตัวอย่างงานวิจัยเนคเทคร่วมกับกรมควบคุมโรค และสภากาชาดไทย พัฒนาเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมชีวมิติ (Biometrics) และการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาโปรแกรมการระบุตัวตน ทั้งรูปแบบการจดจำลายม่านตา (Iris Recognition) และการจดจำใบหน้า (Face Recognition) ให้ระบุตัวตนได้อย่างแม่นยำ ให้กับบุคคลที่ไม่มีเอกสารประจำตัว เช่น ต่างด้าว ชาติพันธุ์ ชนกลุ่มน้อย เพื่อการสาธารณสุขและช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การวิจัย ออกแบบและพัฒนา AI อาจใช้ชุดข้อมูลที่อ่อนไหว ชุดข้อมูลที่เป็นความลับ หรือชุดข้อมูลที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหากถูกเข้าถึงโดยผู้ไม่ประสงค์ดีแล้วก็จะส่งผลถึงความเสียหายต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ จึงควรคำนึงถึงหลักการรักษาความมั่นคงปลอดภัย และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วยเช่นกัน

]]>
รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ สร้างคน เทคโนโลยี การเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจด้วย AI https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/national-ai-committee.html Fri, 09 Dec 2022 07:17:21 +0000 https://nectec.or.th/?p=31122

8 ธ.ค.65 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2565 ร่วมกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ด้วยการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งพัฒนาทักษะของบุคลากรภายในประเทศ บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ให้การขับเคลื่อนการพัฒนาบรรลุผลและเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนมุ่งสู่ประเทศไทย 4.0 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) โดยความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งประเทศไทยและทั่วโลกต่างให้ความสำคัญอย่างมากเนื่องจากขณะนี้โลกกำลังขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ดังนั้นประเทศไทยและทุกคนจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ ซึ่งเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเรื่องใหม่ที่ภาครัฐต้องเร่งศึกษาและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถของประเทศไทยในระยะต่อไป โดยเฉพาะการนำไปขับเคลื่อน Next Generation Growth ตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งนี้ ในดำดับแรกภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญกับการสร้างบุคคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ AI ในสาขาต่าง ๆ ที่ตรงตามความต้องการของภาคเอกชน ตลอดจนสร้างระบบการรับรองคุณวุฒิของบุคลากรที่เป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและสากล นอกจากนี้ ภาครัฐต้องเน้นการสร้างสภาพแวดล้อม (Ecosystem) ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างต่อเนื่องและไม่เกิดการปิดกั้นทางความคิด รวมไปถึงการออกกฎหมายหรือระเบียบเพื่อกำกับดูแล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาความต้องการ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ผลกระทบของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการอย่างรอบคอบ เพื่อให้กฎระเบียบเอื้อต่อการส่งเสริมสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการฯ ในแต่ละช่วงเวลาด้วย

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำให้ภาครัฐเตรียมการให้พร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะการเร่งพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทยให้เพียงพอสอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ โดยให้ภาครัฐประสานความร่วมมือในการทำงานกับภาคเอกชนอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันดำเนินงานขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ขณะเดียวกันการดำเนินการต่าง ๆ ก็ขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก เยาวชนและคนรุ่นใหม่ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) สู่การปฏิบัติ เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ของประเทศให้เกิดขึ้นอย่างครบถ้วน เป็นรูปธรรม และยั่งยืน เน้นสร้างและพัฒนากำลังคนให้มีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์ในทุกระดับ ทั้งการผลิตและใช้งานเทคโนโลยี AI รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและบริการ AI เพื่อส่งเสริมการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน สามารถเข้าถึงและนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนการใช้งานเริ่มที่ 15 ล้านครั้งในปี 2566 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ จะกำกับดูแลบูรณาการการทำงานสู่การปฏิบัติ และย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์เชิงรุก เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง

NAIS-fb-03

ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565–2570) ให้สอดคล้องตามวิสัยทัศน์ของแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ที่มุ่งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วน และเชื่อมโยงแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น นำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570 โดยมีเป้าประสงค์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ สร้างคนและเทคโนโลยี สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้

1. ส่งเสริมการพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 13,500 คนต่อปี ผ่านหลักสูตรการอบรมพัฒนาทักษะความรู้ที่เหมาะสม โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นสูง คือ กลุ่มนักวิจัยและนักพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (2) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นกลาง คือ กลุ่มนวัตกรและวิศวกร และ (3) กลุ่มบุคลากรปัญญาประดิษฐ์ระดับทักษะขั้นต้น คือ กลุ่มอาชีพการทำงานอื่น ๆ ที่สามารถใช้งานบริการปัญญาประดิษฐ์ขั้นต้นในกลุ่มอาชีพของตนเอง

2. จัดทำแพลตฟอร์มกลางบริการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) รองรับการให้บริการปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวในการสร้างนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ให้แก่ทุกภาคส่วนภายในประเทศ

NAIS-fb-05

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งบูรณาการความร่วมมือเพื่อดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ประกอบด้วย 

ยุทธศาสตร์ที่ 1: เตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ การพัฒนาข้อกำหนด กฎหมาย มาตรฐาน และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับ AI ของประเทศ การสื่อสาร และการสร้างการรับรู้ด้านจริยธรรม AI 

ยุทธศาสตร์ที่ 2: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ได้แก่ การสร้างเครือข่ายเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พัฒนาศูนย์เชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ พัฒนาแพลตฟอร์มกลางระดับประเทศเชิงบูรณาการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการประมวลผลและการคำนวณขั้นสูง 

ยุทธศาสตร์ที่ 3: เพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ทุกระดับการเรียนรู้ สนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรสู่ภาคธุรกิจ พัฒนากลไกความร่วมมือกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ 

ยุทธศาสตร์ที่ 4: พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้แก่ ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแก่กลุ่มสาขาเป้าหมาย พัฒนาเทคโนโลยีฐาน (Core Technology) และการวิจัยเพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มด้านปัญญาประดิษฐ์ 

ยุทธศาสตร์ที่ 5: ส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐ และภาคเอกชน ได้แก่ การใช้ AI ในภาครัฐ การใช้ AI ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งเสริมอุตสาหกรรมเชื่อมโยง AI สู่การใช้งาน พัฒนากลไก และ Sand Box เพื่อนวัตกรรม ทางธุรกิจ และ AI Startup

NAIS-fb-04

สำหรับภาพรวมผลกระทบต่อประเทศ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2570 ได้แก่ (1) มีมูลค่าที่เกิดการจ้างงานและสร้างอาชีพในประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากบุคลากรที่มีทักษะทางด้านดิจิทัล และ AI รองรับการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้น (2) GDP ของประเทศเพิ่มสูงขึ้น จากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการจากการนำ AI มาประยุกต์ใช้ ตลอดจนการมีจำนวนผู้ประกอบการใหม่ด้านเทคโนโลยีในประเทศมากขึ้น (3) ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม จากการที่หน่วยงานภาครัฐนำ AI มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำงานและการให้บริการ และ (4) ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถใช้ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ได้ในวงกว้าง สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยใหม่ได้เพื่อสร้างประโยชน์และอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงช่วยในการบริหารจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

]]>
ครม. ผ่าน (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 – 2570) https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/national-ai-draft.html Fri, 29 Jul 2022 04:42:29 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=28216

ครม. ผ่าน (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 – 2570) ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ซึ่ง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)  และ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) เป็นเลขานุการร่วม

26 กรกฎาคม 2565 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งที่ 30/2565 ณ ทำเนียบรัฐบาล มีมติเห็นชอบผ่าน (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 – 2570) ภายใต้วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเกิดระบบนิเวศที่ครบถ้วนและเชื่อมโยงแบบบูรณาการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และนำไปสู่การยกระดับเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในปี พ.ศ. 2570” ทั้งนี้ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะคณะทำงานและเลขานุการร่วมในคณะทำงานจัดทำร่างแผนฯ ร่วมด้วย ดร.กัลยา อุดมวิทิต (รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ) และ ดร.กุสุมาภรณ์ สมพงษ์ (ผู้ช่วยเลขานุการในคณะทำงานฯ) ได้เข้าร่วมชี้แจงวาระดังกล่าวต่อ ครม. ด้วย

(ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ฯ

(ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์ฯ มีเป้าประสงค์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ (1) การสร้างคนและเทคโนโลยี (2) การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ (3) การสร้างผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้วย 5 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน ได้แก่

  • ยุทธศาสตร์ที่ 1 การเตรียมความพร้อมของประเทศในด้านสังคม จริยธรรม กฎหมาย และกฎระเบียบสำหรับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์
  • ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสนับสนุนด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • ยุทธศาสตร์ที่ 3 การเพิ่มศักยภาพบุคลากรและการพัฒนาการศึกษาด้านปัญญาประดิษฐ์
  • ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
  • ยุทธศาสตร์ที่ 5 การส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและระบบปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชน

เมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ในปี พ.ศ. 2570 จะทำให้เกิดประโยชน์ในภาพรวมต่อประเทศ ได้แก่ มีมูลค่าที่เกิดจากการจ้างงานและสร้างอาชีพในระบบเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมีจำนวนทรัพยากรบุคคลที่สามารถปรับทักษะและพัฒนาทักษะใหม่ทางด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรองรับอาชีพและการทำงานในรูปแบบใหม่ในประเทศเพิ่มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบริการในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ รวมทั้งประชาชนในประเทศมีความเหลื่อมล้ำลดลงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม ผ่านกุญแจสู่ความสำเร็จทั้ง 9 ด้านได้แก่

  1. ประชาชนไม่ต่ำกว่า 600,00 คน-ครั้ง เกิดความตระหนักทางด้านปัญญาประดิษฐ์
  2. กฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ถูกประกาศใช้งานไม่ต่ำกว่า 1 ฉบับ
  3. ยกระดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาลไทยให้สูงขึ้นไม่ต่ำกว่าลำดับที่ 50 ของโลก
  4. เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสำหรับสนับสนุนงานด้านปัญญาประดิษฐ์ในภาครัฐและภาคเอกชนเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี
  5. บุคลากรด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศ เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 30,000 คน
  6. ความเข้มแข็งทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพิ่มขึ้น โดยเกิดต้นแบบจากผลงานวิจัยพัฒนาและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ไม่ต่ำกว่า 100 ต้นแบบ
  7. ผลงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมด้านปัญญาประดิษฐ์ถูกนำไปใช้อย่างทั่วถึงและช่วยสร้างผลกระทบในภาคธุรกิจและภาคสังคมได้ไม่ต่ำกว่า 4.8 หมื่นล้านบาทในปี พ.ศ. 2570
  8. เกิดจำนวนหน่วยงานที่มีการใช้งานนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ทั้งในภาครัฐ ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการใหม่ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี หรือไม่ต่ำกว่า 600 รายใน 6 ปี 
  9. ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ของประเทศเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าตลาดปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6 หมื่นล้านบาทในปี พ.ศ. 2570
]]>