AI ทางการแพทย์ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 07:44:14 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png AI ทางการแพทย์ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทค สวทช. ร่วมเวที TCELS ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ สู่นวัตกรรมเพื่อประชาชน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/tcels-ai-healthcare.html Wed, 13 Aug 2025 12:19:22 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40903

13 สิงหาคม 2568 – ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของประเทศ ที่งานเสวนา “Public–Private Partnership for AI Expansion in Healthcare” จัดโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ภาคเอกชน และสมาคมเฮลท์เทคไทย ภายใต้งาน อว.แฟร์ 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ได้รับเกียรติจาก นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมเป้าหมายสำคัญด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand’s Vision: AI for Equitable, Efficient, and Scalable Healthcare”

ภายในงานได้เปิดตัวแผนงานมุ่งเป้าของประเทศเพื่อผลักดัน “เครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา” เพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภายในประเทศ ลดการนำเข้า รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท และขยายโอกาสให้ประชาชนกว่า 8.5 ล้านคนเข้าถึงนวัตกรรมที่ผลิตโดยคนไทยภายในปี 2569 พร้อมเวที เสวนาแสดงศักยภาพนวัตกรรมไทยที่สามารถเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาทิ กรณีตัวอย่าง “นวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)”

ดร.ชัย กล่าวในช่วงเสวนาว่า แผนพัฒนา AI ของไทยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 โดยด้านการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ เนื่องจากประเทศมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านองค์กรการแพทย์ บุคลากร และฐานข้อมูลสุขภาพ ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) เพื่อสนับสนุนการทำงานของสตาร์ตอัปและโรงพยาบาลในไทยร่วมกัน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) เพื่อเชื่อมโยงผู้พัฒนาและหน่วยงานให้ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ขณะนี้มีข้อมูลครอบคลุม 9 กลุ่มโรค รวมกว่า 2 ล้านภาพบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีการผลักดัน การทดสอบมาตรฐาน (Standard Testing) ในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างประเทศ พร้อมขยายศักยภาพห้องปฏิบัติการและบุคลากรผ่านความร่วมมือแบบ Public–Private Partnership

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ (Commercialization) ผ่านเครื่องมืออย่าง บัญชีนวัตกรรม ที่มอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ขึ้นทะเบียนให้สามารถจัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกลุ่มการแพทย์และเครื่องมือแพทย์มีผลงานขึ้นบัญชีแล้ว 88 ชิ้น และอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 12 ชิ้น ซึ่งกระบวนการพิจารณามีความเข้มงวดแต่พัฒนาให้รวดเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังเน้นการสร้างผู้บริหารสตาร์ตอัปที่มุ่งมั่นทำงานกับโรงพยาบาลอย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการแพทย์ของไทยให้เติบโต

ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของไทยสู่การใช้งานจริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน

]]>
เนคเทค สวทช. จับมือ TCELS และ อย. จัดสัมมนาใหญ่ ดัน AISaMD ไทยสู่มาตรฐานสากล https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2025aisamd.html Thu, 03 Jul 2025 01:00:03 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40490

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ SQUAT ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญ “AISaMD Forum: หลักเกณฑ์การทดสอบและแนวทางการใช้งานเพื่อนำผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ไทย มุ่งสู่มาตรฐานในระดับสากล” เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทยให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ เมื่อ 2 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

นายแพทย์ รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร

นายแพทย์รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย. มีทิศทางการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นในอนาคต คือหลักในการกำกับดูแล AISaMD (AI-driven Software as a Medical Device) คือการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจัดเป็น เครื่องมือแพทย์ ตามกฎหมายหรือไม่ โดยต้องส่งเสริมการใช้แนวทางทดสอบตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังรวมถึงการออกข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และการทำงานร่วมกับหน่วยงานวิชาการและภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมนวัตกรรมอย่างมีคุณภาพควบคู่ไปกับความปลอดภัย โดยหน้าที่ของสำนักงาน อย. ไม่ใช่เพียง “ควบคุม” เท่านั้น แต่คือ “สนับสนุนให้ผู้พัฒนาไทยสามารถเติบโตได้ภายใต้กติกาที่เป็นธรรมและโปร่งใส” การควบคุมที่ดีในศตวรรษที่ 21 จึงต้อง “ชัดเจนในหลักเกณฑ์ และยืดหยุ่นต่อโอกาสใหม่”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่า เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบบริการสุขภาพของโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “โปรแกรมอัจฉริยะ” สู่การเป็น “เครื่องมือแพทย์” ที่มีผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมี กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่เราใช้เป็นฐานในการรับรองคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทุกประเภท

ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุลดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum จัดขึ้นเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหลากหลายภาคส่วน เพื่อจุดมุ่งหมายร่วมกันในการยกระดับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ ได้อย่างมั่นใจ ภายใต้กฎหมายและเป็นไปตามแนวทางมาตรฐานสากล

โดยสอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทอย่างลึกซึ้งในวงการแพทย์ โดยเฉพาะใน รูปแบบของ AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย การรักษา และการดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน เรากลับพบว่าผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในประเทศไทยยังประสบอุปสรรคทั้งด้านกฎหมาย ขาดแนวทางการทดสอบที่ชัดเจน ไม่ทราบกระบวนการพัฒนาและขาดแนวทางการจัดทำเอกสารที่สามารถใช้ยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ กับ อย. ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบ AISaMD ซึ่งดำเนินการโดยเนคเทค สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) และความร่วมมือจากหน่วยงานหลักคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

จากการดำเนินงานในระยะที่ผ่านมา โครงการสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้แก่ พัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล เอกสาร AISaMD Template ที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค ด้านกฎหมาย และด้านการจัดทำเอกสาร และแผนในการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบนำร่อง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ตั้งเป้าทดสอบผลิตภัณฑ์จริงไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ และการจัดเวทีสัมมนาในวันนี้ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น

AISaMD ไม่ใช่แค่ “ซอฟต์แวร์เครื่องมือแพทย์” แต่คือ “เครื่องมือแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์” ในฐานะหน่วยงานวิจัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เนคเทค สวทช. มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิด ศูนย์กลางการทดสอบผลิตภัณฑ์ AISaMD ในประเทศไทยอย่างถาวร โดยเชื่อมโยงกับระบบการกำกับดูแลของ อย. เพื่อขับเคลื่อนภายใต้ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย”

นายนิติพล มนต์ไตรเวศย์

นายนิติพล มนต์ไตรเวศย์ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์กรมหาชน) กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum เป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นผู้นำในด้าน AI ด้านเครื่องมือแพทย์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AI Software as a Medical Device – หรือ AISaMD ที่ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น ดูแลผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน นวัตกรรมก็ไม่อาจเดินไปถึงผู้ป่วยได้

ในฐานะที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และลงทุนในนวัตกรรมสุขภาพของไทย TCELS อยากให้ทุกท่านเข้าใจว่า เราไม่ได้เพียงแค่ “ให้ทุน” เพื่อสร้างโปรเจกต์หนึ่ง แต่เรากำลัง “วางโครงสร้างพื้นฐาน” ให้คนไทยทั้งระบบได้มีนวัตกรรมที่เชื่อถือได้ โครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ในวันนี้ จึงไม่ใช่โครงการทดลองแต่คือจุดเริ่มต้นของ มาตรฐานใหม่ที่จับต้องได้ อีกทั้ง เป้าหมายของโครงการนี้ได้แก่ระบบทดสอบที่ได้มาตรฐาน, การสร้าง AISaMD Template ที่ใช้งานได้จริงร่วมกับที่ปรึกษา, การทำให้กระบวนการขึ้นทะเบียนกับ อย. เป็นเรื่องเข้าใจง่าย, และการเชื่อมโยงภาครัฐ วิชาการ และภาคเอกชนเข้าด้วยกัน คือเป้าหมายหลัก 4 ประการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อน AISaMD ของไทยให้ก้าวสู่ตลาดจริงอย่างมั่นใจและยั่งยืน เรามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและความสามารถของคนไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก หากเรามีระบบการรับรองที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เราจะสามารถก้าวไปได้ไกลกว่าที่เคยเป็นมา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม TCELS จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการลักษณะนี้ต่อไป

โอกาสนี้เชิญชวน ผู้ประกอบการ นักพัฒนา Startup หรือนักวิจัยที่มีผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ มาร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ของท่านกับเรา ในช่วงนำร่องนี้ เพราะท่านจะได้ประเมินความพร้อมของผลิตภัณฑ์ ได้รับคำแนะนำที่อิงมาตรฐานระดับโลก และที่สำคัญ ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนจริงกับ อย. อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
5 มุมมองขับเคลื่อน Medical AI: ใช้พลังข้อมูลเสริม AI สู่นวัตกรรมการแพทย์เพื่อคนไทย https://www.nectec.or.th/news/news-article/medical-ai-consortium.html Thu, 24 Apr 2025 07:12:22 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39771

สรุปสาระจากเสวนา Medical AI ก้าวสำคัญสู่การพัฒนาการแพทย์แห่งอนาคต

วงการสาธารณสุขไทยกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนจากงานเปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวถึงนโยบาย อว. for AI และเป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ Medical AI Consortium เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย

ภายในงาน ยังมีเสวนา “Medical AI ก้าวสำคัญสู่การพัฒนาการแพทย์แห่งอนาคต” ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำจากหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง เพื่อฉายภาพวิสัยทัศน์ ความท้าทาย ซึ่งมี 5 มุมมองสำคัญที่จะขับเคลื่อน Medical AI ของไทยไว้อย่างน่าสนใจ

1. พลังข้อมูล หัวใจขับเคลื่อน AI การแพทย์ไทย

ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ฉายภาพความสำคัญของ AI ในทางการแพทย์ โดยชี้ให้เห็นว่า AI มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ Big Data แม้ไทยอาจยังตามหลังด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ แต่ไทยเป็นเจ้าของข้อมูล “ศักยภาพของ Big Data จะเป็นของประเทศไทยได้นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถจัดระเบียบข้อมูลของเราได้ดีเพียงใด ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร กล่าว ตัวอย่างความสำเร็จที่ชัดเจน คือ AI อ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก หรือ Inspectra CXR ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพัฒนาร่วมกับสตาร์ทอัปไทยอย่าง Perceptra ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจาก อย. ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลใช้งานแล้วกว่า 90 แห่ง

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ นพ.ปิยะมิตร ยังกล่าวถึง การใช้เทคนิค Retrieval-Augmented Generation (RAG) เพื่อให้ AI เรียนรู้และตอบคำถามจากชุดข้อมูลเฉพาะของประเทศไทย เพื่อให้ AI สามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลที่อยู่ในบริบทของประเทศไทยได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการรวมข้อมูลจาก 3 กองทุนสุขภาพหลักของไทย ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ รวมถึงระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ Health Link แอปพลิเคชันหมอพร้อม และข้อมูลจีโนมิกส์จากโครงการ Genomics Thailand จะเป็นฐานข้อมูลอันทรงพลังสำหรับ AI การแพทย์ของไทย

2. AI ช่วยแพทย์คัดกรอง เพิ่มประสิทธิภาพ ลดเหลื่อมล้ำการเข้าถึงบริการรักษา

ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นำเสนอมุมมองของผู้ใช้งาน AI ด้านการแพทย์ โดยเน้นย้ำบทบาทของกรมการแพทย์ในการนำนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริงและเท่าเทียมกัน โดยกล่าวว่า “สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษา ถือเป็นภารกิจหลักของกรมการแพทย์” และยกตัวอย่างความสำเร็จของการใช้ AI คัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ซึ่งริเริ่มโดยโรงพยาบาลราชวิถีร่วมกับ Google AI ตั้งแต่ปี 2018 โดยไทยพบผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน โดยร้อยละ 15-20% เสี่ยงเกิดภาวะดังกล่าว ในขณะที่ประเทศไทยมีจักษุแพทย์เฉพาะทางด้านจอประสาทตาประมาณ 250 คน และส่วนใหญ่ปฏิบัติงานในกรุงเทพฯ สวนทางกับการกระจายตัวของผู้ป่วยทั่วประเทศ โดย AI มีความไว (Sensitivity) ในการตรวจคัดกรองสูงถึง 97 เทียบกับ 74 ของการคัดกรองโดยแพทย์ และมีความแม่นยำ (Specificity) สูงถึงร้อยละ 96 ดังนั้นการใช้ AI ช่วยคัดกรองภาวะดังกล่าว ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนและกระจายตัวที่ไม่สมดุลของจักษุแพทย์ได้

3. แรงหนุนจากนโยบายและทุน: ขับเคลื่อน Medical AI สู่ S-Curve ใหม่

ความสำเร็จของ Medical AI ประเทศไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดระบบนิเวศที่สนับสนุน โดย ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งบริหารกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ววน.) ได้ให้มุมมองเชิงนโยบายว่า Medical AI สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งการแพทย์เป็น 1 ใน 4 สาขาหลัก และมีศักยภาพสูงที่จะเป็น S-Curve ใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางตลาด AI โลกที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเน้นย้ำถึงความได้เปรียบของไทยในด้านข้อมูลทางคลินิก (Clinical Data) และข้อมูลจีโนมิกส์ ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานอย่าง LANTA Supercomputer ของ สวทช. และบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ ความร่วมมือ “หากเราสามารถรวมพลังและใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายเดียวกันของประเทศได้ จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” ศาสตราจารย์ สมปอง กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง ได้อธิบายบทบาทของ กองทุน ววน. โดยเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือน “กองทุนที่ 4” จากแตกต่าง จาก 3 กองทุนสุขภาพหลักซึ่งเน้นการเป็นแหล่งข้อมูล แต่ กองทุน ววน.จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน และการสร้างแนวทางประยุกต์ใช้ใหม่ ๆ เพื่อเติมเต็มและสร้างความสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ Medical AI ของประเทศ นอกจากนี้ ยังมุ่งสนับสนุนเป้าหมายรูปธรรม เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์และบริการทางการแพทย์เพื่อทดแทนการนำเข้า และมีการหารือกับ สปสช. เพื่อผลักดันให้การวินิจฉัยและรักษาโรคด้วย AI เบื้องต้นราว 10 กลุ่มโรคให้สามารถเบิกจ่ายได้ในอนาคต

4. บพค. กับการสร้าง Ecosystem AI การแพทย์

ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวถึงการสนับสนุนของ บพค. ที่มีต่อโครงการ Medical AI Consortium มาแล้วกว่า 90 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์ม บุคลากร ต้นแบบ AI Model และกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นว่าแพลตฟอร์มนี้มีความปลอดภัย โดยวิสัยทัศน์ของ บพค. สนับสนุน 4 ภารกิจหลักตามที่ได้รับมอบหมายจากการปฏิรูประบบ ววน. คือ การพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง, การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน ววน., งานวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research) และการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาและการวิจัย โดย มองว่าการพัฒนาเทคโนโลยี AI ต้องมองไปข้างหน้าและจำเป็นต้องมีการคาดการณ์อนาคตเพื่อเตรียมความพร้อม แม้ AI จะพัฒนาไปเร็วเพียงใด แต่ก็ยังต้องการมนุษย์ในการตรวจสอบ (Validate) และตัดสินใจขั้นสุดท้าย ดร.ณิรวัฒน์ เปรียบการขับเคลื่อน Medical AI เหมือนการปีนเขาเอเวอเรสต์ที่ต้องมีหมุดหมาย (Milestone) เล็ก ๆ ระหว่างทาง โดยเน้นความสำคัญของการสร้างความร่วมมือให้กว้างขวางขึ้น การสร้างมาตรฐานข้อมูล และการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการนำ AI ไปใช้ประโยชน์จริง

5. รากฐานทางเทคโนโลยี: เน้นสร้างเครื่องมือให้ “คนไทย” ประยุกต์ใช้ AI ได้จริง

ในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาชั้นนำของประเทศ สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำ AI มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ได้ให้มุมมองว่า AI จะฉลาดและมีประสิทธิภาพได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับตรรกะและ วิธีการสอน ให้ AI เรียนรู้และมองเห็นสิ่งที่สำคัญในข้อมูลนั้น เฉกเช่นเดียวกับที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้ประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรค

ภายใต้วิสัยทัศน์นี้ สวทช. โดย เนคเทค จึงได้จับมือกับพันธมิตรสำคัญ ทั้งกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium ริเริ่มและพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ขึ้น ปัจจุบันรวมภาพถ่ายทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ เช่น โรคทรวงอก มะเร็งเต้านม โรคตา โรคช่องท้อง โรคผิวหนัง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น

หัวใจสำคัญที่ สวทช. มุ่งมั่นพัฒนา ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างคลังข้อมูล แต่คือการสร้างเครื่องมือที่จะปลดล็อกให้นักวิจัยและบุคลากรทางการแพทย์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ทางการแพทย์ได้ด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีราคาสูงจากต่างประเทศ สวทช. โดย เนคเทค ได้พัฒนาเครื่องมือสำคัญ ได้แก่ “RadiiView” ซอฟต์แวร์และคลาวด์แอปพลิเคชันสำหรับกำกับข้อมูล (Annotation) หรือการระบุลักษณะสำคัญบนภาพทางการแพทย์ได้อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างชุดข้อมูลคุณภาพสูงสำหรับสอน AI “NomadML” แพลตฟอร์มที่ช่วยให้นักวิจัยพัฒนาโมเดล AI ได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน และสามารถเชื่อมต่อกับ LANTA Supercomputer เพื่อใช้พลังการประมวลผลสมรรถนะสูงของ สวทช. ในการเร่งกระบวนการพัฒนาและฝึกสอนโมเดล AI ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ศ.ดร.ชูกิจ เน้นย้ำว่า ยุทธศาสตร์ของไทยไม่ใช่การแข่งขันพัฒนา AI แต่คือการนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาดในบริบทที่ไทยมีจุดแข็ง ซึ่งก็คือ ข้อมูลทางการแพทย์ และความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร การมีแพลตฟอร์มกลางที่ทำให้ข้อมูลจากโรงพยาบาลต่าง ๆ มาแชร์และเรียนรู้ร่วมกันจะทำให้ AI ที่พัฒนาขึ้นมีความสามารถสูง

“ศักยภาพของ AI ทางการแพทย์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิเคราะห์ภาพถ่ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพในองค์รวม เพื่อสร้างแบบจำลองดิจิทัลเสมือนของตัวบุคคล (Digital Twin) ที่สามารถให้คำแนะนำด้านสุขภาพเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง Medical AI Data Platform นี้จะเป็นฐานข้อมูลสำคัญสำหรับการพัฒนาต่อยอดในอนาคต” ศ.ดร.ชูกิจ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมย้อนหลัง - งานสัมมนา Medical AI Consortium

การเสวนาและการเปิดตัวแพลตฟอร์มครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนในการผลักดัน Medical AI ของไทย การเกิดขึ้นของ Medical AI Data Platform และความร่วมมือภายใต้ Medical AI Consortium ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทลายกำแพงด้านข้อมูล สร้างมาตรฐาน และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์อย่างก้าวกระโดด ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาด้านสาธารณสุขและเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ของประเทศ แม้จะมีความท้าทายรออยู่ แต่ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกัน การสนับสนุนเชิงนโยบายและงบประมาณ รวมถึงความร่วมมือแบบ “ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้” เชื่อมั่นได้ว่า Medical AI จะไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่คืออนาคตของการแพทย์ไทย ที่จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืน

Medical AI Consortium ยังคงเปิดรับและขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อต่อยอดการพัฒนา AI ทางการแพทย์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 

สำหรับหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกหรือพันธมิตรของ Medical AI Consortium หรือการใช้งาน Medical AI Data Platform สามารถติดต่อกลับได้ที่ MedicalAI@dms.mail.go.th

]]>
เปิดตัว Medical AI Data Platform ชวนโรงพยาบาล แชร์-เชื่อม-ใช้ ภาพทางการแพทย์ 2.2 ล้านภาพ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/medical-ai.html Tue, 22 Apr 2025 01:34:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39725

กระทรวง อว. จับมือ สธ. โดย สวทช. ม.มหิดล กรมการแพทย์ และพันธมิตร เปิดตัว Medical AI Data Platform ชวนโรงพยาบาล แชร์-เชื่อม-ใช้ ภาพทางการแพทย์ 2.2 ล้านภาพ หวังเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ใช้ AI เป็นตัวช่วยคัดกรอง-หมอวินิจฉัยโรครวดเร็ว

(วันที่ 21 เมษายน 2568) โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ลุมพินี กรุงเทพฯ: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เดินหน้าขับเคลื่อนการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคสาธารณสุข โดยมีนางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวถึงนโยบาย อว. for AI และเป็นสักขีพยานในการประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ ประกอบด้วย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย Medical AI Consortium ซึ่งภายในงานมีการ เปิดตัว “แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)” อย่างเป็นทางการ ที่มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศข้อมูลที่เข้มแข็ง รองรับการพัฒนานวัตกรรม AI ทางการแพทย์เพื่อคนไทย โดยมี พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดร.ณิรวัฒน์ ธรรมจักร์ ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานแถลงข่าว

นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. กล่าวว่า “กระทรวง อว. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ผ่านนโยบาย ‘อว. for AI’ ซึ่งมุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ที่ครบวงจร การแพทย์เป็นเป้าหมายสำคัญที่ AI จะช่วยเพิ่มความแม่นยำ รวดเร็ว และลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การสนับสนุนการจัดตั้ง Medical AI Consortium ผ่านทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาการวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) เพื่อพัฒนา Medical AI Data Platform ถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของประเทศ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงคลังข้อมูล แต่ยังประกอบด้วยเครื่องมือที่พัฒนาโดย สวทช. ซึ่งจะช่วยให้นักวิจัยและแพทย์สามารถพัฒนานวัตกรรม AI ได้ง่ายขึ้น ถือเป็นภารกิจสำคัญในการสร้างรากฐาน AI การแพทย์ที่มั่นคงของประเทศ จึงขอเชิญชวนโรงพยาบาลและโรงเรียนแพทย์ร่วมแบ่งปันข้อมูลและระบุโจทย์ที่สำคัญ และนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาร่วมพัฒนาโมเดล AI ที่ใช้ได้จริง เพื่อร่วมกันยกระดับสาธารณสุขไทยให้ก้าวทันโลก และใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ”

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สวทช. กล่าวว่า “สวทช. มีพันธกิจในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ Medical AI Consortium และ แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ ที่พัฒนาขึ้นนี้ คือ ตัวอย่างของการ บูรณาการความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลและ AI ของ สวทช. เข้ากับความรู้ทางการแพทย์จากพันธมิตร เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างของเทคโนโลยีอย่าง RadiiView และ NomadML ที่พัฒนาโดยนักวิจัยเนคเทค สวทช. จะช่วยปลดล็อกให้นักวิจัยและแพทย์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ได้เอง ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำไปสู่ AI ทางการแพทย์ที่ตอบโจทย์บริบทของประเทศไทยอย่างแท้จริง”

แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform)

แพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ประกอบด้วยเทคโนโลยีที่สนับสนุนกระบวนการพัฒนา AI ทางการแพทย์ของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ครบวงจร และปลอดภัยตามมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC) ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ครอบคลุม 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ส่วนบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) รองรับการรวบรวม จัดเก็บ จัดทำรายการข้อมูลภาพทางการแพทย์อย่างปลอดภัยและเป็นระบบ มีการกำกับดูแลสิทธิ์การเข้าถึงตามหลักธรรมาภิบาลข้อมูล นอกจากนี้ นักวิจัยเนคเทค สวทช. ยังพัฒนา RadiiView ซอฟต์แวร์และคลาวด์แอปพลิเคชันสำหรับการกำกับข้อมูลภาพทางการแพทย์ (Annotation) ที่มีเครื่องมือช่วยให้แพทย์ระบุลักษณะสำคัญบนภาพได้อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างชุดข้อมูล
2. ส่วนพัฒนาและฝึกสอน AI (AI Modeling) ผ่านแพลตฟอร์ม NomadML ที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพัฒนาโมเดลได้โดย ไม่ต้องเขียนโค้ดโปรแกรมที่ซับซ้อน เพียงนำชุดข้อมูลที่กำกับแล้วจาก RadiiView มาใช้บนแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งเชื่อมต่อกับทรัพยากรประมวลผลสมรรถนะสูงอย่าง LANTA Supercomputer ของ สวทช. เพื่อเร่งกระบวนการพัฒนาโมเดล
3. ส่วนบริการ AI (AI Service Deployment) มุ่งเน้นการนำโมเดล AI ที่ผ่านการพัฒนาและตรวจสอบประสิทธิภาพแล้ว ไปสู่การใช้งานจริงในระบบบริการสุขภาพ โดยอาจให้บริการผ่าน National AI Service Platform เพื่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้าง

โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว ได้รวบรวมภาพทางการแพทย์แล้วกว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคทรวงอก, มะเร็งเต้านม (ภาพแมมโมแกรม), โรคตา (ภาพจอประสาทตา), โรคในช่องท้อง (ภาพอัลตราซาวด์), โรคผิวหนัง, โรคหลอดเลือดสมอง (ภาพ CT/MRI), และโรคกระดูกพรุน (ภาพ BMD/VFA) พร้อมทั้งพัฒนาโมเดล AI ต้นแบบแล้ว 2 บริการ ซึ่งมีศักยภาพในการช่วยแบ่งเบาภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย และขยายโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพ

ปัจจุบัน Medical AI Consortium มีสมาชิกเข้าร่วมขับเคลื่อนรวม 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์, คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ และ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล ม.นวมินทราธิราช

อย่างไรก็ดี สวทช. และพันธมิตร เชื่อมั่นว่าความร่วมมือและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลกลางทางการแพทย์นี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งสร้างนวัตกรรม AI ทางการแพทย์ที่ใช้งานได้จริงในวงกว้าง จึงขอเชิญชวนหน่วยงานทางการแพทย์ สถาบันการศึกษา นักวิจัย และภาคเอกชน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้ เพื่อขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขไทยให้ก้าวหน้าต่อไป

 ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ตัวอย่าง AI ที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ร่วมกับ บริษัทสตาร์ตอัป เริ่มพัฒนาการใช้ AI เพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) ทางการแพทย์และสร้างรายงานทางการแพทย์เพื่อใช้ในการวินิจฉัยความผิดปกติของภาพเอกซเรย์ทรวงอก เพื่อขยายผลการให้บริการผู้ป่วยในโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ และศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก รวมทั้งโรงพยาบาลอื่น ๆ ในราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อโปรแกรม AI มาจากต่างประเทศ ช่วยลดงบประมาณค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลในประเทศไทย โดยล่าสุดเทคโนโลยีเพื่อการอ่านผลภาพเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray) ได้ผ่านมาตรฐานกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขแล้ว และคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กำลังพัฒนาไปยังโรคอื่น ๆ ซึ่งในอนาคตมีแผนจะดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้าง AI สำหรับใช้ในโรงพยาบาลนำไปสู่การใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป

อย่างไรก็ตาม Medical AI Consortium เป็นเครือข่ายสำคัญที่จะเป็นโอกาสให้ประเทศไทยดึง DATA มาร่วมแบ่งเป็นข้อมูลในการทำงานด้านการแพทย์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาข้อมูลทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์เพื่อให้ AI เรียนรู้ข้อมูลได้ฉลาดและแม่นยำมากขึ้น 

ด้าน นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวางในทุกภาคส่วน รวมถึงในวงการแพทย์ โดย AI ได้รับการยอมรับมากขึ้นในฐานะเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลรักษาทางการแพทย์ ทั้งในด้านการวินิจฉัย การรักษา และการบริหารจัดการระบบสุขภาพ

ในประเทศไทยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานกว่า 6 ล้านคน ราว 15–20% เสี่ยงภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา แต่มีจักษุแพทย์เฉพาะทางเพียง 250 คน จากข้อจำกัดดังกล่าว ได้มีการศึกษาทดลองการใช้ AI ใน 13 เขตสุขภาพจากบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมการตรวจคัดกรองโรคจอประสาทตา พบว่า การตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์มีความไว (sensitivity) อยู่ที่ร้อยละ 74 และมีความแม่นยำ (specificity) สูงถึงร้อยละ 98 ขณะที่การตรวจโดยใช้ AI ให้ผลความไวที่สูงกว่ามาก คือประมาณร้อยละ 97 และมีความแม่นยำอยู่ที่ร้อยละ 96 ทำให้เห็นว่าระดับความแม่นยำจะใกล้เคียงกัน แต่ AI มีความสามารถในการตรวจคัดกรองโรคได้รวดเร็วและมีความไวสูงกว่า

“การนำ AI มาใช้ในการคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาสามารถช่วยลดระยะเวลาการรอคอยในการเข้ารับการตรวจ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของประชาชน และทำให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะสูญเสียการมองเห็นและความพิการในผู้ป่วยเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ทั้งนี้การพัฒนา AI สำหรับการแพทย์จำเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพทางการแพทย์คุณภาพสูงปริมาณมาก ซึ่งที่ผ่านมามีความท้าทายในการรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน Medical AI Consortium จึงก่อตั้งขึ้นและขับเคลื่อนให้เกิด แนวคิด “ร่วมแชร์ เชื่อม ใช้” เพื่อเป็นกลไกความร่วมมือในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์ข้อมูลทางการแพทย์อย่างมีธรรมาภิบาล โดยมีแพลตฟอร์มข้อมูลกลางทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ที่พัฒนาขึ้นโดย เนคเทค สวทช. เป็นแพลตฟอร์มกลางดิจิทัล ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ บริหารจัดการ และให้บริการข้อมูลแก่สมาชิกในเครือข่ายและคนทั่วไป ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลและมาตรฐานคลาวด์กลางภาครัฐ (GDCC)

]]>