AI – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 06:39:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png AI – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทคและพันธมิตร ร่วมเวที Techsauce Global Summit 2025 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/techsauce2025.html Wed, 06 Aug 2025 10:14:00 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40860

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 – เนคเทค ร่วมกับ ปตท. และ After You จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Digital and AI in Manufacturing: Automation Frontier of Humans and Machines” ภายในงาน Techsauce Global Summit 2025 เพื่อสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

เวทีเสวนานี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่

  • ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.
  • คุณธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ผู้จัดการส่วนตลาดและขายเอนเนอร์ยี่ โซลูชั่นส์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
  • คุณแม่ทัพ ต.สุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน)
    ดำเนินรายการ โดย ดร.เอมอัชนา นิรันตสุขรัตน์ หัวหน้าทีมวิจัยระบบไซเบอร์กายภาพ เนคเทค สวทช.

วิทยากรทั้งสามท่านได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มของการประยุกต์ใช้ AI, Automation, Digital Transformation ในการยกระดับภาคการผลิต ทั้งในระดับองค์กรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ไปจนถึงภาคบริการและธุรกิจ

โดย ดร.ชัย เน้นย้ำถึง บทบาทของ AI ที่ไม่ใช่การมาแทนที่แรงงาน แต่จะมาช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างชาญฉลาด ขณะที่คุณธเนศ ผู้แทนจาก ปตท. ได้กล่าวถึงการใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร ด้านคุณแม่ทัพ ผู้บริหาร After You ได้แบ่งปันมุมมองจากภาคธุรกิจบริการ ที่ได้ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนากระบวนการภายในและสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

การเสวนาครั้งนี้ตอกย้ำถึงแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มุ่งสู่การทดแทนมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี แต่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง “มนุษย์” และ “เครื่องจักร” อย่างกลมกลืน เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนและมีศักยภาพ
นอกจากนี้ภายในงาน เนคเทค สวทช. ยังร่วมออกบูธจัดแสดงผลงานบริการด้าน AI อาทิ “NomadML” แพลตฟอร์มเทรน AI โดยไม่ต้องเขียนโค้ด และ “Pathumma LLM” โมเดลสำหรับสร้าง Generative AI รองรับการประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ , เสียง , และภาพ พร้อมความเชี่ยวชาญในการเข้าใจภาษาไทยและบริบทของประเทศไทย

งาน Techsauce Global Summit 2025 มหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม 2568 ภายใต้ธีม “The Dawn of Symbiosis” ชูแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงาน การตัดสินใจ และการบริหารจัดการในภาคการผลิตอย่างรวดเร็ว

]]>
เนคเทค สวทช. จับมือ TCELS และ อย. จัดสัมมนาใหญ่ ดัน AISaMD ไทยสู่มาตรฐานสากล https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2025aisamd.html Thu, 03 Jul 2025 01:00:03 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40490

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ห้องปฏิบัติการทดสอบซอฟต์แวร์ SQUAT ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS พร้อมด้วยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดงานสัมมนาครั้งสำคัญ “AISaMD Forum: หลักเกณฑ์การทดสอบและแนวทางการใช้งานเพื่อนำผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ไทย มุ่งสู่มาตรฐานในระดับสากล” เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทยให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศ เมื่อ 2 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

นายแพทย์ รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร

นายแพทย์รุ่งฤทัย มวลประสิทธิ์พร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย. มีทิศทางการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นในอนาคต คือหลักในการกำกับดูแล AISaMD (AI-driven Software as a Medical Device) คือการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่าจัดเป็น เครื่องมือแพทย์ ตามกฎหมายหรือไม่ โดยต้องส่งเสริมการใช้แนวทางทดสอบตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังรวมถึงการออกข้อกำหนดในการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ และการทำงานร่วมกับหน่วยงานวิชาการและภาคอุตสาหกรรม เพื่อสร้างระบบนิเวศที่ส่งเสริมนวัตกรรมอย่างมีคุณภาพควบคู่ไปกับความปลอดภัย โดยหน้าที่ของสำนักงาน อย. ไม่ใช่เพียง “ควบคุม” เท่านั้น แต่คือ “สนับสนุนให้ผู้พัฒนาไทยสามารถเติบโตได้ภายใต้กติกาที่เป็นธรรมและโปร่งใส” การควบคุมที่ดีในศตวรรษที่ 21 จึงต้อง “ชัดเจนในหลักเกณฑ์ และยืดหยุ่นต่อโอกาสใหม่”

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่า เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบบริการสุขภาพของโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียง “โปรแกรมอัจฉริยะ” สู่การเป็น “เครื่องมือแพทย์” ที่มีผลต่อชีวิตผู้ป่วยโดยตรง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมี กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม ทันสมัย และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. 2562 ที่เราใช้เป็นฐานในการรับรองคุณภาพ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ทุกประเภท

ดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุลดร.ปิยวุฒิ ศรีชัยกุล รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum จัดขึ้นเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้ก้าวสู่การรับรองมาตรฐานในระดับสากลอย่างเป็นระบบ ซึ่งการจัดงานในวันนี้ เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของหลากหลายภาคส่วน เพื่อจุดมุ่งหมายร่วมกันในการยกระดับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ของไทย ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ ได้อย่างมั่นใจ ภายใต้กฎหมายและเป็นไปตามแนวทางมาตรฐานสากล

โดยสอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ได้เข้ามามีบทบาทอย่างลึกซึ้งในวงการแพทย์ โดยเฉพาะใน รูปแบบของ AI Software as a Medical Device หรือ AISaMD ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะที่ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัย การรักษา และการดูแลสุขภาพผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกัน เรากลับพบว่าผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในประเทศไทยยังประสบอุปสรรคทั้งด้านกฎหมาย ขาดแนวทางการทดสอบที่ชัดเจน ไม่ทราบกระบวนการพัฒนาและขาดแนวทางการจัดทำเอกสารที่สามารถใช้ยื่นขอขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ กับ อย. ได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบ AISaMD ซึ่งดำเนินการโดยเนคเทค สวทช. ภายใต้การสนับสนุนจาก ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) และความร่วมมือจากหน่วยงานหลักคือ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)

จากการดำเนินงานในระยะที่ผ่านมา โครงการสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน ได้แก่ พัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบสำหรับผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ตามมาตรฐานสากล เอกสาร AISaMD Template ที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคนิค ด้านกฎหมาย และด้านการจัดทำเอกสาร และแผนในการเปิดรับสมัครผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบนำร่อง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ตั้งเป้าทดสอบผลิตภัณฑ์จริงไม่น้อยกว่า 5 ผลิตภัณฑ์ภายในปีนี้ และการจัดเวทีสัมมนาในวันนี้ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ดังที่กล่าวมาข้างต้น

AISaMD ไม่ใช่แค่ “ซอฟต์แวร์เครื่องมือแพทย์” แต่คือ “เครื่องมือแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์” ในฐานะหน่วยงานวิจัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เนคเทค สวทช. มุ่งมั่นที่จะสนับสนุนให้เกิด ศูนย์กลางการทดสอบผลิตภัณฑ์ AISaMD ในประเทศไทยอย่างถาวร โดยเชื่อมโยงกับระบบการกำกับดูแลของ อย. เพื่อขับเคลื่อนภายใต้ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย”

นายนิติพล มนต์ไตรเวศย์

นายนิติพล มนต์ไตรเวศย์ รักษาการรองผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์กรมหาชน) กล่าวว่า งานสัมมนา AISaMD Forum เป็นอีกก้าวสำคัญของการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมทางการแพทย์ ที่จะนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นผู้นำในด้าน AI ด้านเครื่องมือแพทย์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เห็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AI Software as a Medical Device – หรือ AISaMD ที่ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคแม่นยำขึ้น ดูแลผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และช่วยชีวิตคนได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่มีระบบรองรับที่ชัดเจน นวัตกรรมก็ไม่อาจเดินไปถึงผู้ป่วยได้

ในฐานะที่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน และลงทุนในนวัตกรรมสุขภาพของไทย TCELS อยากให้ทุกท่านเข้าใจว่า เราไม่ได้เพียงแค่ “ให้ทุน” เพื่อสร้างโปรเจกต์หนึ่ง แต่เรากำลัง “วางโครงสร้างพื้นฐาน” ให้คนไทยทั้งระบบได้มีนวัตกรรมที่เชื่อถือได้ โครงการพัฒนาหลักเกณฑ์และบริการทดสอบผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ในวันนี้ จึงไม่ใช่โครงการทดลองแต่คือจุดเริ่มต้นของ มาตรฐานใหม่ที่จับต้องได้ อีกทั้ง เป้าหมายของโครงการนี้ได้แก่ระบบทดสอบที่ได้มาตรฐาน, การสร้าง AISaMD Template ที่ใช้งานได้จริงร่วมกับที่ปรึกษา, การทำให้กระบวนการขึ้นทะเบียนกับ อย. เป็นเรื่องเข้าใจง่าย, และการเชื่อมโยงภาครัฐ วิชาการ และภาคเอกชนเข้าด้วยกัน คือเป้าหมายหลัก 4 ประการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อน AISaMD ของไทยให้ก้าวสู่ตลาดจริงอย่างมั่นใจและยั่งยืน เรามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและความสามารถของคนไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก หากเรามีระบบการรับรองที่ชัดเจนและได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง เราจะสามารถก้าวไปได้ไกลกว่าที่เคยเป็นมา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม TCELS จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนโครงการลักษณะนี้ต่อไป

โอกาสนี้เชิญชวน ผู้ประกอบการ นักพัฒนา Startup หรือนักวิจัยที่มีผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์เครื่องมือแพทย์ มาร่วมทดสอบผลิตภัณฑ์ของท่านกับเรา ในช่วงนำร่องนี้ เพราะท่านจะได้ประเมินความพร้อมของผลิตภัณฑ์ ได้รับคำแนะนำที่อิงมาตรฐานระดับโลก และที่สำคัญ ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการขึ้นทะเบียนจริงกับ อย. อย่างมีประสิทธิภาพ

]]>
Thai LLM เสริมพลังให้ข้อมูลวิจัยไทย เข้าถึงง่าย และใช้ได้จริง https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/thaillm-thailand-research-expo2025.html Sat, 21 Jun 2025 05:04:53 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40440

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 – สวทช. โดยเนคเทคร่วมจัดเสวนาหัวข้อ “Thai LLM: AI Powered Search Engine เพื่อบูรณาการ เชื่อมโยงและใช้ประโยชน์ข้อมูล ววน.” เพื่อถ่ายทอดแนวคิดและศักยภาพของ Thai LLM ในการยกระดับการให้บริการข้อมูลวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2568 (Thailand Research Expo 2025) ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

การเสวนาครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายหน่วยงาน อาทิ

  • ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ (เนคเทค สวทช.)
  • คุณปฏิภาณ ประเสริฐสม (BDI)
  • ผศ.ดร.รัชฎา คงคะจันทร์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)
  • ดร.ณิฎา เด่นไพศาล (UniNet)
    ดำเนินรายการโดย คุณนิรมล ประทีปะจิตติ (เนคเทค สวทช.)

เวทีเสวนานำเสนอแง่มุมสำคัญ ได้แก่

  • การพัฒนาบริการข้อมูลวิจัยและนวัตกรรมด้วย Thai LLM
  • ศักยภาพและความท้าทายของการสร้าง LLM ภาษาไทย
  • แนวทางเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อประโยชน์เชิงบริการและนโยบาย
  • การใช้ประโยชน์จากข้อมูลวิจัยผ่านโมเดลภาษาไทยในระดับมหภาค

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงแนวทางขยายผล Thai LLM ให้ครอบคลุมการใช้งานที่หลากหลาย การเสวนานี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมที่ต้องการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับฐานข้อมูลวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ โดยหวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อนระบบข้อมูล ววน. อย่างมีประสิทธิภาพในยุคปัญญาประดิษฐ์

]]>
สำนักงานศาลปกครอง จับมือเนคเทค สวทช. พลิกโฉม “ศาลอัจฉริยะ” ดันใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับให้บริการกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2025mou-admincourt.html Fri, 20 Jun 2025 10:45:31 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40372

19 มิถุนายน 2568 สำนักงานศาลปกครอง ผนึกกำลังสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล หวังใช้พลังเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เสริมภารกิจ พลิกโฉมการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ที่สะดวกรวดเร็ว เที่ยงตรง และเป็นธรรม โดยมีนายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. เป็นประธานในพิธีลงนาม พร้อมด้วยผู้บริหารจากทั้งสองหน่วยงาน ได้แก่ นายชำนาญ ทิพยชนวงศ์ รองเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง และดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายจำนงค์ ถาวรวิสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง กล่าวว่า สำนักงานศาลปกครอง โดยศูนย์วิทยาการสารสนเทศ และเนคเทค สวทช. มีความร่วมมือในการนำ AI คือ Speech to text มาประยุกต์ใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนาและใช้งานถอดความเสียงจนประสบความสำเร็จมาเป็นลำดับ ต่อยอดมาสู่ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะ AI มาใช้เพื่อให้บริการแก่ประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพในการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง โดยสำนักงานศาลปกครองมีภารกิจหน้าที่ในการสนับสนุนกระบวนงานพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการองค์กร การบริการให้แก่ประชาชนด้วยระบบดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนการเป็นศาลปกครองอิเล็กทรอนิกส์ที่สมบูรณ์ ในปีพ.ศ. 2570 และเป็นศาลปกครองอัจฉริยะ (Smart Admin Court) ในปี พ.ศ. 2575 ที่จะอำนวยความยุติธรรม สร้างระบบในการพิจารณาคดีด้วยความเป็นธรรม รวดเร็ว ทันสมัย เสริมสร้างธรรมาภิบาลในสังคมด้วยมาตรฐานที่เป็นสากล เพื่อส่งมอบบริการที่ดี และสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปัจจุบัน AI นอกจากจะเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานส่วนบุคคลได้เป็นอย่างดีแล้ว กำลังจะกลายเป็นพลังที่ถูกนำมาใช้ในหน่วยงานอย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับบริการภาครัฐ สำนักงานศาลปกครอง ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่สามารถเป็นต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านนี้ พร้อมย้ำถึงบทบาทของ สวทช. ในการผลักดันแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ (พ.ศ. 2565 – 2570) ที่มี 5 ยุทธศาสต์หลักทั้งการใช้งาน AI อย่างถูกต้อง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนากำลังคน พัฒนานวัตกรรม และการประยุกต์ใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ โดยเนคเทค สวทช. เปรียบเสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ” พร้อมนำความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัยด้าน AI ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานกว่า 20 ปี ร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ หรือ Generative AI และ LLM โมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่เป็นหัวใจอยู่เบื้องหลัง ที่เนคเทค สวทช. ได้พัฒนา “Pathumma LLM” ที่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี และเป็น Opensource ให้กับประเทศไทย ซึ่งจะนำมาใช้พัฒนาให้ตอบโจทย์ในบริบทของสำนักงานศาลปกครองที่มีเนื้อหาข้อมูลเฉพาะเจาะจงทางด้านข้อกฎหมาย และการพิจารณาคดี ยังรวมถึง AI อื่น ๆ เพื่อพัฒนากระบวนพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนการให้บริการต่างๆ ตามภารกิจของสำนักงานศาลปกครอง

5 มิติสำคัญของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงฯ ฉบับนี้ ได้แก่

  • การพัฒนาและประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model: LLM) ที่เข้าใจภาษากฎหมายไทย ผนวกกับชุดข้อมูลศาลปกครองและสำนักงานศาลปกครอง เพื่อช่วยตรวจวิเคราะห์ข้อมูลคดี ในรูปแบบที่แม่นยำ และรวดเร็ว
  • การนำเทคโนโลยี OCR ที่เหมาะสมกับเอกสารคดีปกครอง เสริมการแปลงข้อมูลจากเอกสารกระดาษเป็นดิจิทัล เพื่อให้บริการประชาชนและการพิจารณาพิพากษาคดี ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานของเจ้าหน้าที่
  • การพัฒนาแพลตฟอร์มด้าน NLP และ Speech & Text Understanding ที่เกี่ยวข้องกับภาษาพูดและภาษาเขียน รองรับในบริบทข้อมูลของศาลปกครอง เพื่อช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลและความรู้ทางกฎหมายสำหรับประชาชนง่ายและเข้าใจได้มากขึ้น
  • การทดสอบและใช้งานเทคโนโลยีต้นแบบจากเนคเทค สวทช. สำหรับการประยุกต์ใช้กับข้อมูลของศาลปกครองในการให้บริการประชาชน หน่วยงานของรัฐ และสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการศาลปกครอง
  • การพัฒนาทักษะ ศักยภาพบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยี AI อย่างมีประสิทธิภาพ

ความร่วมมือครั้งนี้ จึงถือเป็นก้าวแรกของการสร้าง “ศาลปกครองอัจฉริยะ” ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลอย่างแท้จริง พร้อมสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีเหล่านั้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการอำนวยความยุติธรรมการปกครอง ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชน และยังถือเป็นก้าวสำคัญของการสร้างต้นแบบที่สามารถขยายผลไปสู่การพัฒนากระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการทำงานในหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ให้ก้าวทันยุคดิจิทัลได้ในอนาคต

ภายหลังพิธีลงนามฯ ท่านเลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้นำคณะผู้บริหาร และทีมงานจากเนคเทค สวทช. เข้าเยี่ยมชมพื้นที่การให้บริการของศาลปกครอง อาทิ ห้องพิจารณาคดี พื้นที่ให้คำปรึกษาทางคดี รวมถึงหอสมุดกฎหมายมหาชน ที่มีบริการยืม-คืน หนังสือกฎหมายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และพิพิธภัฑณ์ศาลปกครอง ซึ่งได้รวบรวมเรื่องรางวิวัฒนาการขององค์กรวินิจฉัยคดีปกครอง เปิดบริการในวัน/ เวลาราชการ ให้แก่ประชาชนทั่วไปเข้าไปศึกษาค้นคว้า หาความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมาย การพิจารณาคดี และประวัติความเป็นมาของศาสปกครองในประเทศไทย

ท่านที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.admincourt.go.th

ภาพถ่ายโดย สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลปกครอง

]]>
ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ดัน AI และเซมิคอนดักเตอร์ พาอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nepconforum2025-semiconductor.html Fri, 20 Jun 2025 09:17:23 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40343

18 มิถุนายน 2568 – สวทช. โดย NECTEC SMC TMEC และพันธมิตร ร่วมกับ RX Tradex จัดเวทีเสวนา NEPCON Forum ภายใต้หัวข้อ “พลังขับเคลื่อน AI และเซมิคอนดักเตอร์อัจฉริยะสู่ Industry 4.0” ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการ นักวิจัย และผู้สนใจด้านเทคโนโลยีการผลิตเป็นจำนวนมาก ภายในงาน Manufacturing Expo 2025 ณ ฮอลล์ 104 ไบเทค บางนา

เริ่มต้นด้วยการบรรยาย โดย ดร.ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการอาวุโส และ Chief of Staff บริษัท ลูเมนตั้ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ในหัวข้อ “ก้าวกระโดดของประเทศไทย ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดัคเตอร์ โฟโตนิกส์ และอุตสาหกรรม 4.0” กล่าวถึงทิศทางและศักยภาพของประเทศไทยในการยกระดับฐานการผลิตด้วยเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ โฟโตนิกส์ และระบบอุตสาหกรรม 4.0 โดยมองว่าเส้นทางใหม่ของประเทศไทยในอุตสาหกรรม 4.0 คือจุดเปลี่ยนในการยกระดับประเทศผู้ผลิตแบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอัจฉริยะแห่งภูมิภาค และได้เปรียบเทียบ “AI” คือสมองที่เรียนรู้ วิเคราะห์ และตัดสินใจแทนมนุษย์ “เซมิคอนดักเตอร์” คือระบบประสาท ที่ตรวจจับ เปลี่ยนสัญญาณและควบคุมเครื่องจักร ส่วน “โฟโตนิกส์” ก็คือหลอดเลือดที่ส่งข้อมูลด้วยความเร็วแสง สร้างการเชื่อมต่อแบบไร้ร้อยต่อ เมื่อทั้งสามเทคโนโลยีนี้ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกัน อุตสาหกรรม 4.0 จึงไม่ใช่เพียงความฝัน แต่เป็นภารกิจและโอกาสที่สำคัญ

ต่อด้วยการบรรยายหัวข้อ “ระบบนิเวศเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมไทย” โดย ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) กล่าวว่า TMEC ยังคงเป็นหน่วยงานหลักในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงสนับสนุนลูกค้าที่ออกแบบชิปแต่ไม่มีโรงงานผลิตของตนเอง สำหรับระบบนิเวศของเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศไทยด้าน Wafer Fabrication ยังมีขนาดเล็กอยู่เมื่อเทียบกับตลาดและความต้องการของผู้ใช้งาน ปัจจุบันรัฐบาลเองก็มีหลายกลไกที่จะผลักดันอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอันดับแรกที่ต้องพัฒนาก็คือด้านกำลังคน

จากนั้น ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองในหัวข้อ “AI กับการยกระดับอุตสาหกรรม เตรียมพร้อมสู่ Industry 4.0” กล่าวถึง ความสำคัญของเทคโนโลยี 3 ด้าน ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, AI และ Industry 4.0 เป็น “พลังสามประสาน” ทำงานร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดย เซมิคอนดักเตอร์ คือรากฐานของการพัฒนา AI ทั้งในรูปของชิปประมวลผลและเซนเซอร์ IoT ที่ช่วยให้เครื่องจักรอัจฉริยะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้แนวโน้มการใช้ AI จะเพิ่มขึ้น แต่ในอุตสาหกรรมการผลิตของไทยยังมีอัตราการนำมาใช้น้อยเมื่อเทียบกับภาคการศึกษา การเงิน และโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้ตั้งคณะกรรมการ AI แห่งชาติและเริ่มขับเคลื่อนแผนพัฒนา ทั้งด้านกำลังคน โครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการ AI สาธารณะ ด้าน Generative AI และ Chatbot ก็มีบทบาทใหม่ เช่น ระบบจับคู่โรงงานผลิตตามความต้องการลูกค้าด้วย LLM ที่เข้าใจทั้งข้อความและรูปภาพ ตลอดจน “DocChat” แชตบอทสำหรับถาม-ตอบเอกสารเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมอย่างคู่มือการผลิตหรือมาตรฐาน ISO ปัจจุบันภาครัฐยังมีสิทธิประโยชน์สนับสนุนหลายด้านในการพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ด้วย AI อย่างยั่งยืน

ด้าน คุณอิทธิโชติ ดำรงรักษ์ธรรม ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวถึงบทบาทและยุทธศาสตร์ของ BOI ในการขับเคลื่อนการลงทุนของไทย ส่งเสริม สนับสนุน และให้บริการแบบ Start-to-Stop Service แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่ให้ข้อมูลเบื้องต้น สิทธิประโยชน์ การเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรในประเทศ ไปจนถึงการประสานกับหน่วยงานรัฐต่าง ๆ ในแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี BOI เน้นส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ผ่าน 3 แนวทางหลัก คือ การสร้างสรรค์นวัตกรรม การเพิ่มขีดความสามารถประเทศ และการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive growth) โดยหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคการผลิตในยุคดิจิทัล

ช่วงสุดท้ายเป็นการเสวนาพิเศษ หัวข้อ “พลังขับเคลื่อนจาก AI และเซมิคอนดักเตอร์อัจฉริยะสู่ Industry 4.0: ศักยภาพในการต่อยอดและประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย
  • ดร.ปรอง กองทรัพย์โต ผู้อำนวยการอาวุโส และ Chief of Staff บริษัท ลูเมนตั้ม อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด
  • ดร.นิธิ อัตถิ หัวหน้าทีมวิจัยนวัตกรรมพื้นผิววัสดุและอุปกรณ์ไมโครฟลูอิดิก ศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC)
  • คุณอิทธิโชติ ดำรงรักษ์ธรรม ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
  • ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย สวทช.
    ดำเนินรายการโดย ดร.มติ ห่อประทุม หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเซนเซอร์แสงไฟฟ้าเคมี เนคเทค สวทช.

มาร่วมกันฉายภาพความท้าทาย โอกาส และทิศทางการพัฒนาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมโดยมี AI, Industry 4.0, เซมิคอนดักเตอร์ และโฟโตนิกส์ เป็นฟันเฟืองหลัก ทั้งนี้การเข้ามาของ AI และ Machine Learning ได้กระตุ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมโฟโตนิกส์อย่างก้าวกระโดด

ความสำเร็จของอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนและกองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการดึงดูดผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาบุคลากรและระบบนิเวศในประเทศ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์ม Thailand i4 checkup และ BOI Online Clinic ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในการยกระดับสู่ Industry 4.0 สะท้อนให้เห็นถึงพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และวงการวิจัย ในการยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไทยสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

]]>
Pathumma LLM : เทคโนโลยีพัฒนา AI ที่เข้าใจบริบทและวัฒนธรรมไทย https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-service/pathumma-llm.html Wed, 04 Jun 2025 03:31:17 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39629

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว Pathumma LLM ถือเป็นก้าวสำคัญของ AI สัญชาติไทย ที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการ AI ในบริบทที่มีลักษณะเฉพาะทั้งด้านภาษาและวัฒนธรรมไทย

Pathumma LLM (ปทุมมา แอลแอลเอ็ม) คือโมเดลปัญญาประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (Large Language Model – LLM) ที่พัฒนาโดยเนคเทค สวทช. ถูกออกแบบให้รองรับการประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ (Text), เสียง (Audio), และภาพ (Vision) พร้อมความเชี่ยวชาญในการเข้าใจภาษาไทยและบริบทของประเทศไทยอย่างลึกซึ้ง

จุดเด่นของ Pathumma LLM

  • รองรับการใช้งานภาษาไทยโดยเฉพาะ
    โมเดลนี้ถูกฝึกฝนด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาษาไทย จึงทำให้สามารถเข้าใจบริบท และประมวลผลภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Multi-Modal LLM
    สามารถประมวลผลข้อมูลได้ทั้งข้อความ เสียง และภาพ ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสร้างแชตบอต การถอดเสียง การวิเคราะห์ภาพ เป็นต้น
  • โมเดลแบบเปิด (Open Source)
    เปิดให้นักพัฒนา ผู้สนใจสามารถเข้าถึงและพัฒนาต่อยอดได้ ทั้งในรูปแบบของแอปพลิเคชัน (APP), อินเทอร์เฟซสำหรับนักพัฒนา (API) และโมเดลสำหรับดาวน์โหลด

บริการเด่นของ Pathumma LLM

1. DocChat – AI ผู้ช่วยค้นหาข้อมูลจากเอกสารหลายๆ หน้า
ในรูปแบบถาม-ตอบ ที่ผู้ใช้สามารถพูดคุย (Chat with Document) สอบถามข้อมูลที่ต้องการจากเอกสารได้โดยตรง
รองรับเอกสาร Plain Text, .docx, .PDF, Website เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลนโยบาย เอกสารราชการ หรือคู่มือใช้งานอย่างรวดเร็ว

2. DocGen – AI ช่วยสร้างเอกสารภาษาไทยอัตโนมัติ
เข้าใจภาษาราชการ สามารถแก้ไขเอกสารได้ รองรับการดาวน์โหลดเอกสารในรูปแบบไฟล์ เช่น รายงาน จดหมายราชการ ร่าง TOR หรือแบบฟอร์มต่างๆ ช่วยลดระยะเวลาการทำเอกสารซ้ำซ้อน เพิ่มความถูกต้องตามรูปแบบเอกสาร 

3. Partii Note – AI ถอดความเสียงพูดภาษาไทยเป็นข้อความอัตโนมัติ พร้อมสรุปใจความสำคัญ
รองรับการถอดความเสียงทั้งในรูปแบบไฟล์เสียง, YouTube จากผู้พูดคนเดียว หรือมากกว่า สามารถส่งออกเป็นไฟล์ .doc ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการถอดความเสียงจากการประชุม บรรยาย หรือสัมมนา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:

งานพัฒนาพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ (SPDS)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.)
email: spe-spds@nectec.or.th, business@nectec.or.th
Tel. 02 564 6900 ต่อ 2339

]]>
ภาครัฐไทย เตรียมพร้อมเร่งสร้างศักยภาพใหม่ด้วย AI https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2025ai-gov.html Thu, 24 Apr 2025 05:38:40 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39827

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กำลังก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนสำคัญของการดำเนินงานแทบทุกภาคส่วน “ภาครัฐ” ในฐานะกลไกหลักในการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในมิติต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ นั่นคือ การปรับตัวเพื่อประยุกต์ใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบริหารการเปลี่ยนแปลงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) หน่วยงานหลักที่มีภารกิจในการพัฒนาระบบราชการ ตามหลักธรรมาภิบาลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ได้จัดการประชุมสัมมนา “AI for Gov. : ปัญญาประดิษฐ์เปลี่ยนเกมภาครัฐ” เพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ และสนับสนุนการทำงานของกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร เสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ AI ในการทำงานของหน่วยงานราชการ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาองค์กรให้สอดรับกับคลื่นเทคโนโลยี AI ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมี นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการ ก.พ.ร. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมแสดงปาฐากถาพิเศษให้แก่บุคลากรภาครัฐ ทั่วประเทศ จำนวนกว่า 300 คน ในหัวข้อ “ความท้าทาย ทิศทาง และมาตรการสำคัญเพื่อในการพัฒนาระบบราชการไทย” โดยชี้ให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการ (พ.ศ. 2567-2570) ที่มีวิสัยทัศย์พัฒนาภาครัฐที่ทันสมัย น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ประชาชน ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ ขับเคลื่อนการดำเนินงานภาครัฐด้วยนวัตกรรม และดิจิทัลเพื่อยกระดับการทำงานด้วยข้อมูลในการตัดสินใจ, ปรับระบบงาน เงิน คนและโครงสร้างให้ยืดหยุ่นคล่องตัว, ปรับระบบงานภาครัฐให้มีความโปร่งใส ไร้ทุจริตคอร์รัปชัน ภาครัฐจะไม่ใช่เพียงผู้ตามเทคโนโลยี แต่สามารถเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ได้ หากรู้จักใช้เทคโนโลยีดจิทัล นวัตกรรม AI อย่างเข้าใจ มีเป้าหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

ร่วมด้วยการบรรยายพิเศษ โดย ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ที่ได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในหัวข้อ “AI Governance กับการนำมาประยุกต์ใช้ในภาครัฐ” เพื่อเน้นย้ำถึงธรรมาภิบาลในการประยุกต์ใช้ AI หรือ AI Governance ซึ่งถือเป็น หลักการกำกับดูแลการปฏิบัติงานในทุกประบวนการที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้ AI โดยจัดให้มีมาตรการในการกำกับดูผ่านการกำหนดนโยบาย ขั้นตอนปฏิบัติ และเครื่องมือในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible AI) สพธอ. โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเครือข่าย ผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้จัดตั้งศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance Center: AIGC) เพื่อพัฒนากรอบธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์สำหรับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในทุกภาคส่วนตลอดจนให้คำปรึกษา พัฒนา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์สำหรับองค์กร สามารถติดตามการดำเนินงาน และดาวน์โหลดเอกสาร แนวทางการประยุกต์ใช้ Generative AI อย่างมีธรรมาภิบาลสำหรับองค์กร ได้ที่ https://www.etda.or.th/th/Our-Service/AIGC/OurServices.aspx

คุณชนิกานต์ โปรญานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานกลุ่มธุรกิจภาครัฐ ภาคการศึกษา และสาธารณสุข บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ผ่านการบรรยาย หัวข้อ “ขับเคลื่อนโลกด้วย AI” นำเสนอเทรนด์ของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน และตัวอย่างของการนำ AI มาใช้งานจริงในวงการผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ

ในโอกาสนี้ เนคเทค สวทช. นำโดย ดร.วาทยา ชุณห์วิจิตรา หัวหน้าทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ กลุ่มวิจัยปํญญาประดิษฐ์ ได้ร่วมถ่ายทอดความรู้ ในหัวข้อ “Generative AI เพื่อยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ” โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Strategy) กำหนดให้มีการส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อการพัฒนานวัตกรรม AI ช่วยสนับสนุนการยกระดับการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งในปัจจุบันมีหลากหลายเครื่องมือ Generative AI ที่หน่วยงานภาครัฐสามารถประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์งานทั้งในรูปแบบข้อความ, รูปภาพ, เสียง, วีดีโอ โดยตัวอย่างแนวทางการใช้งาน AI กับการทำงานของภาครัฐ ได้แก่
  •  AI เพื่อให้บริการประชาชน เช่น Chatbot บริการตอบคำถามอัตโนมัติ ให้ข้อมูลแก่ประชาชน, เครื่องมือสนับสนุนการจองคิว/ จองสถานที่
  • AI เพื่อการจัดการกระบวนการภายใน เช่น ระบบค้นหาข้อมูลภายในหน่วยงาน (ระบบสารบรรณ), ระบบถอดความเสียง และสรุปความจากที่ประชุม, ระบบร่างเอกสารราชการ, การแปลภาษาเอกสาร, การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อการตัดสินใจ
  • AI เพื่อสนับสนุนภารกิจหน่วยงาน เช่น AI สำหรับการแพทย์ช่วยคัดกรอง วินิฉัยโรค, การวิเคราะห์โรคพืช, สร้างแบบจำลอง หาองค์ประกอบของโมเลกุลเพื่อควบคุมโรคระบาด
พร้อมด้วยทีมนักวิจัย เนคเทค สวทช. ได้แก่ ดร.ชัยอนันต์ ดำรงค์รัตน์ คุณอานนท์ แซ่อึ่ง กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ คุณชาญชัย จันฤาชัย งานยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (LTSS) ร่วมจัดแสดงนิทรรศการแนะนำ Generative AI สัญชาติไทย ซึ่งได้พัฒนาจาก Pathumma LLM โมเดล AI ของเนคเทค สวทช. ที่พัฒนาให้รองรับการประมวลผลข้อมูลสำหรับภาษาไทยโดยเฉพาะ ทั้งข้อความ เสียง และภาพ ได้แก่
  • DocChat: เครื่องมือ AI ที่สามารถสรุปสาระสำคัญของเอกสาร ตั้งประเด็นคำถามที่น่าสนใจโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถพูดคุยตอบโต้หรือตั้งคำถามกับเอกสารที่กำหนดได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • DocGen: เครื่องมือ AI ที่สร้างเอกสารอัตโนมัติ รองรับการร่างเอกสารตามคาสั่งของผู้ใช้ เข้าใจภาษาราชการ สามารถแก้ไขเอกสารได้ รองรับการดาวน์โหลดเอกสารในรูปแบบไฟล์
  • Partii Note: ระบบ AI แปลงเสียงพูดเป็นข้อความอัตโนมัติ รองรับการถอดความเสียงทั้งในรูปแบบไฟล์เสียง และ YouTube จากผู้พูดคนเดียว หรือมากกว่า สามารถส่งออกไฟล์ได้หลากหลายรูปแบบ PDF, Word, และไฟล์ข้อความ
สามารถทดลองใช้บริการต่างๆ เหล่านี้ ได้ที่ https://aiforthai.in.th/pathumma-llm

AI for Thai: แพลตฟอร์มบริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทย ให้บริการ APIs ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ เทคโนโลยีการประมวลผลภาพ (Vision) การสนทนา (Conversation) และข้อความ (Language) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้นักวิจัย นักพัฒนา ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ผู้ประกอบการ ได้นำไปต่อยอด สร้างสรรค์ พัฒนาเป็นแอปพลิเคชัน หรือบริการต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ ปัจจุบันมีบริการจากเนคเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร จำนวน 93 บริการ ทดลองใช้งานที่ https://aiforthai.in.th/

การจัดประชุมสัมมนาครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงการถ่ายทอดเทคนิคการใช้ AI เท่านั้น แต่ยังเป็นการปลุกพลังของบุคลากรภาครัฐทุกระดับ ให้ก้าวสู่อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้ นวัตกรรม และหัวใจของการบริการที่มุ่งเน้นที่ประชาชนอย่างแท้จริง ท่านที่สนใจสามารถติดตามรับชมบันทึกการสัมมนาย้อนหลังได้ที่ YouTube สำนักงาน ก.พ.ร. 

]]>
สรุป 5 ประเด็น AI เติมไฟให้ภาคอุตสาหกรรม พลิกโฉมธุรกิจสู่ Indusrty 4.0 https://www.nectec.or.th/news/news-article/2024-metalex-ai.html Thu, 19 Dec 2024 09:44:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=38508

เก็บครบทั้งนโยบายรัฐ แพลตฟอร์มใช้ง่ายใช้ฟรี และตัวอย่างการใช้ AI ในโรงงานจริง สาระงานจากงาน METALEX AI FORUM 2024 “ก้าวสู่ Smart Factory: พลิกโฉมธุรกิจด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์”

เนคเทค สวทช. และ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ พร้อมพันธมิตรจากภาคเอกชน และภาคอุคสาหกรรม หน่วยงานจากองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) สมาคมไทยไอโอที และ บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จากัด (มหาชน) จัด METALEX AI FORUM 2024 ภายใต้แนวคิด “ก้าวสู่ Smart Factory: พลิกโฉมธุรกิจด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์” เป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญด้าน AI จากหลากหลายองค์กร ทั้งจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เมื่อ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

(1) บทบาทของแผน AI แห่งชาติ กับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

ดร.ศวิต กาสุริยะ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. บรรยายพิเศษ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ สู่การผลิตอัจฉริยะ” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญด้านเทคโนโลยี หนึ่งในหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ดังนั้นการพัฒนา AI จึงไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่จำเป็นสำหรับการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีโลก โดย AI จะเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่ม GDP และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Thailand 4.0 แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องมีการผลักดันให้ AI ถูกนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม

ประเทศไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (AI Thailand) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561–2580) ที่เน้นเป้าหมายในการเสริมสร้างศักยภาพใน 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยและพัฒนา สำหรับแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ จริยธรรม โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนากำลังคน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และการส่งเสริมการใช้งาน AI เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการพัฒนาและใช้ประโยชน์จาก AI อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายสำคัญในการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมไทย ประกอบด้วย การขาดแคลนข้อมูลและกำลังคนที่มีทักษะด้าน AI รวมถึงความไม่ชัดเจนในทิศทางการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ 1-2 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อแรงงาน โดยเฉพาะความจำเป็นในการเรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีซึ่งจะกลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในอนาคต นอกจากนี้ เงินทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาพร้อมกับโซลูชันและเครื่องจักรที่มี AI ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะเร่งการเปลี่ยนแปลงนี้

อย่างไรก็ตามหน่วยงานต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของ AI และพยายามปรับตัวใช้งาน จากการสำรวจพบว่าในปี พ.ศ. 2566 – 2567 มีบริษัทถึง 70% กำลังพิจารณานำ AI มาใช้ และมี 15-17% ที่ใช้งานจริงแล้ว โดยอุตสาหกรรมที่นำ AI มาใช้มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การศึกษา การเงินและธนาคาร และการขนส่ง

ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เนคเทค สวทช. ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 โดยจัดทำเครื่องมือประเมินความพร้อมอุตสาหกรรม หรือ Thailand i4.0 index จัดหลักสูตรฝึกอบรม และพัฒนาแพลตฟอร์มโซลูชัน รวมถึงให้ข้อมูลการเข้าถึงมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวนำเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึง AI มาใช้ประโยชน์อีกด้วย

(2) แม้ AI ในอุตสาหกรรมยังมีโอกาส ‘หลอน’ แต่ไม่ควรมองข้ามศักยภาพ

ดร.ปรัชญา บุญขวัญ หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. นำเสนอประเด็น LLM for Smart Manufacturing โดยกล่าวถึง AI กำลังเข้ามามีบทบาทอย่างมากในวงการอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Large Language Models หรือ LLM แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ที่กำลังพลิกโฉมวิธีการทำงานในหลากหลายบริบท โดยเฉพาะความสามารถในการสื่อสารที่ใกล้เคียงกับมนุษยมากขึ้น ผ่าน Generative AI ในการสร้างเนื้อหาใหม่ได้ตามคำสั่ง ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ ตอบคำถาม หรือสร้างวิดีโอ

นอกจากนี้ แนวคิดของ Internet of Things (IoT) ยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ AI เข้ามามีส่วนในอุตสาหกรรม โดยการนำเซ็นเซอร์มาติดตั้งกับเครื่องจักร ให้สามารถสื่อสารและส่งข้อมูลระหว่างกันได้ ทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระการทำงานของบุคลากร และสามารถควบคุมการผลิตได้อย่างแม่นยำ

LLM อาศัยการเรียนรู้จากข้อมูลขนาดใหญ่หลายพันล้านคำ เพื่อเรียนรู้วิธีการใช้ภาษา สำนวน และโครงสร้างประโยค ทำให้สามารถสร้างข้อความที่มีความเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ LLM ในอุตสาหกรรม เช่น ระบบที่สามารถอ่านคู่มือหรือแคตาล็อกสินค้าแล้วตอบคำถามได้อย่างแม่นยำ หรือ การสร้างระบบเครือข่ายเอกสารที่เชื่อมโยงกันคล้ายวิกิพีเดีย ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาและจัดการข้อมูล

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี AI ยังมีข้อจำกัด โดยเฉพาะปัญหา AI Hallucination ที่อาจตอบคำถามไม่ตรงประเด็นหรือสร้างข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งเกิดจากการตั้งคำถามที่ไม่ชัดเจนหรือกว้างเกินไป แต่คาดว่าปัญหานี้จะค่อย ๆ ลดลงในอนาคตและพัฒนาไปสู่ขั้นที่สามารถอธิบายเหตุผลของคำตอบได้ และปรับตัวเข้าหาความต้องการของมนุษย์มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังมีข้อจำกัดบางประการ แต่ศักยภาพของ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงานในภาคอุตสาหกรรมเป็นโอกาสที่น่าจับตามอง องค์กรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ควรเตรียมพร้อมและศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3) NomadML - No code, No math, No madness

ดร.ธีศิษฏ์ ลีลาสวัสดิ์สุข นักวิจัยทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. นำเสนอเรื่องราวของ “NomadML” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Visual Inspection ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างและเทรน AI โมเดลโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม (coding) เพียงใช้ชุดข้อมูลต้นแบบ เช่น ภาพสินค้าที่ดีและภาพสินค้าที่มีข้อผิดพลาด เมื่ออัปโหลดข้อมูลเข้าไปในระบบ NomadML จะช่วยปรับพารามิเตอร์ของโมเดลโดยอัตโนมัติ และสร้าง AI โมเดลที่พร้อมใช้งานในสายการผลิต ความสามารถหลักของ NomadML ครอบคลุมสามฟังก์ชันสำคัญในการประมวลผลภาพ ได้แก่ การจำแนกประเภทภาพ การตรวจจับวัตถุ และการแบ่งส่วนภาพ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการแพทย์

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือความสำเร็จของ NomadML ในการใช้งานจริง เช่น การตรวจหารอยแตกร้าวบนคอนกรีตด้วยความแม่นยำถึง 99.89% การแยกประเภทชิ้นงานในโรงงานที่มีประสิทธิภาพ 98.5% และการวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ เช่น การจำแนกเซลล์เม็ดเลือดขาวและการอ่านภาพเอกซเรย์โรคปอดที่มีความถูกต้องสูงถึง 98% นอกจากความสามารถทางเทคนิคแล้ว NomadML ยังมีจุดเด่นที่การออกแบบให้ใช้งานง่าย สามารถปรับแต่งพารามิเตอร์อัตโนมัติ และแสดงรายละเอียดความแม่นยำของโมเดลอย่างชัดเจน

(4) DaySie: Edge-AI Application Platform

ดร. เอมอัชนา นิรันตสุขรัตน์ หัวหน้าทีมวิจัย ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. แนะนำ “Daisie แพลตฟอร์มสำหรับการสร้าง Edge computing” ที่ผสานความสามารถของ IoT และ AI เข้าด้วยกัน มุ่งเน้นการใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยออกแบบมาให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ Edge computing ได้ง่าย ไม่ต้องเขียนโปรแกรม (coding) ผู้ใช้สามารถเลือกฟังก์ชันการทำงานได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อ Cloud การใช้ฐานข้อมูล แดชบอร์ด หรือโมเดล AI ปัจจุบัน Daisy รองรับข้อมูล 3 ประเภท ได้แก่ ภาพ เสียง และข้อมูลตารางตัวเลข และสามารถประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมหลายด้าน เช่น ในด้านการผลิต Daisie สามารถช่วยดึงข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของสายการผลิต ตรวจสอบสถานะเครื่องจักร และหาจุดที่ต้องปรับปรุง สำหรับด้านการบำรุงรักษา แพลตฟอร์มนี้สามารถใช้ AI ในการตรวจจับความผิดปกติของเครื่องจักร เช่น การตรวจสอบการสั่นสะเทือนหรือการรั่วของท่อ นอกจากนี้ยังรองรับการวิเคราะห์ภาพด้วยเทคโนโลยี Machine Vision เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การแยกประเภท การนับจำนวน การวัดขนาด และการตรวจหาตำหนิ ด้านการจัดการพลังงาน แพลตฟอร์มนี้ช่วยทำนายการใช้พลังงานล่วงหน้า เพื่อช่วยในการวางแผนและลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

(5) ก้าวสู่ Smart Factory เสริมประสิทธิภาพการผลิตด้วย AI

ในช่วงท้ายของกิจกรรมยังมีการเสวนา “ก้าวสู่ Smart Factory เสริมประสิทธิภาพการผลิตด้วย AI” เสวนาครั้งนี้ได้นำเสนอแนวคิดและประสบการณ์ในการนำเทคโนโลยี AI และ Internet of Things (IoT) มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในโรงงานผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต โดย ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัย กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ดร.สุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมไทยไอโอที สมาคมไทยไอโอที (Thai IoT Association) และนายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพีแอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

นายภูวสิษฏ์ แนะนำให้เริ่มต้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระดับเล็ก ๆ ก่อน เช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ หรือการใช้กล้อง CCTV เพื่อติดตามกระบวนการผลิต ไม่จำเป็นต้องลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ทันที พร้อมเสนอตัวอย่างการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโรงงานของตน เช่น การใช้ AI ในการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ การติดตามการทำงานของเครื่องจักร และการจัดการคลังสินค้า โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโรงงาน

ดร.สุทัด กล่าวเสริมว่าข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญในการนำ AI มาใช้ การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากกระบวนการผลิตจะช่วยให้เราสามารถคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสมาคมไทยไอโอทีพร้อมส่งเสริมการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้ในประเทศไทย และแนะนำให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นจากการรวบรวมข้อมูลจากกระบวนการผลิต

นอกจากนี้ ดร.ศราวุธ อธิบายเกี่ยวกับเทคโนโลยี Generative AI และตัวอย่างการนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การสร้างภาพ การแปลภาษา และการตอบคำถาม รวมถึงการแนะนำ “ปทุมมา LLM” โมเดลภาษาไทยที่พัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยไทย มีความสามารถในการทำความเข้าใจภาษาไทยได้เป็นอย่างดี

]]>
พลิก 3 จุดอ่อน AI ประเทศไทย สู่แนวทางแก้ไขพัฒนา AI ให้เติบโตทั้งระบบนิเวศ https://www.nectec.or.th/news/news-article/aws-public-sector2024.html Thu, 12 Dec 2024 08:50:25 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=38417

สาระจากการเสวนา Driving AI Innovation in the Public Sector ในเวที AWS Public Sector Day Thailand 2024

เนคเทค สวทช. ร่วมเสนอความก้าวหน้าและทิศทางการพัฒนา AI ในประเทศ จากมุมมองของแผน AI แห่งชาติ ในเสวนา Driving AI Innovation in the Public Sector ในเวที AWS Public Sector Day Thailand 2024 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท กรุงเทพฯ สามารถสรุปได้เป็น 2 ประเด็น ดังนี้

จากจุดอ่อนในดัชนีความพร้อม AI สู่ 3 เรื่องใหญ่ที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อขับเคลื่อน AI ประเทศไทย

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การพัฒนาเทคโนโลยีต้นน้ำด้าน AI ในประเทศไทยเป็นเรื่องท้าทาย และยังจำเป็นต้องพัฒนาแอปพลิเคชันหรือโดเมนต่าง ๆ เพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวนมาก ดังนั้น แผน AI แห่งชาติ จึงมุ่งสนับสนุนการเติมเต็มระบบนิเวศการพัฒนา AI เติมเต็มสิ่งที่ยังขาดในหลายด้าน จากผลการสำรวจดัชนีความพร้อมด้าน AI ของรัฐบาลไทย ปี 2566 (Government AI Readiness Index 2023) โดย Oxford Insight ประเทศไทยมีความพร้อมอยู่ในอันดับที่ 37 จาก 197 ประเทศ โดยพบประเด็นที่ต้องเร่งการพัฒนาใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

1) การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
“การวิจัยและพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ สิ่งที่ต้องสนับสนุนอย่างยิ่งกลับไม่ใช่เรื่องเทคโนโลยีเสมอไป แต่หากเป็นเรื่องการเข้าถึงข้อมูล” ดร.ชัย ตั้งข้อสังเกต

ยกตัวอย่าง การวิจัยและพัฒนา AI ในด้านการแพทย์และสาธารณะสุข จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีการรวบรวมข้อมูล (Data Collection) ที่มากเพียงพอ และเปิดเป็นข้อมูลสาธารณะให้ได้มากที่สุดโดยไม่ละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว (Data Privacy) ถึงการพัฒนาเครื่องมือ AI ให้ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) รวมถึงข้อมูลด้านมาตรฐานด้านความปลอดภัย การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ (Responsibility AI) เป็นต้น โดยเนคเทค สวทช. มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนรวบรวมและแชร์ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้พัฒนานวัตกรรมด้าน AI

2) ด้านกำลังคน (Human Capital)
การขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI เป็นปัญหาใหญ่ในการพัฒนา AI ของประเทศ แผน AI แห่งชาติจึงตั้งเป้าพัฒนากำลังคนด้าน AI กว่า 30,000 คนภายในปี 2570 ผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น Super AI Engineer ที่จะขยายศูนย์ภูมิภาคจาก 6 เป็น 11 แห่ง และเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมในรอบไฟนอลจาก 200 เป็น 400 คนในปีหน้า พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กร

3) การพัฒนา AI ภายในประเทศ (In-house AI Development) 
การใช้งาน AI ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังจำกัดอยู่ในลักษณะการประยุกต์ใช้มากกว่าการพัฒนาเอง แผน AI แห่งชาติจึงมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ภายในประเทศ เช่น LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) สำหรับการเทรนด์โมเดล AI ขนาดใหญ่ โดย ThaiSC สวทช. เปิดให้บริการในราคาที่เข้าถึงได้ รวมถึงแพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย หรือ AI for Thai ซึ่งใช้บริการ APIs AI ครอบคลุมทั้งด้านเสียง ภาพ และข้อความ ทั้งงานวิจัยจากเนคเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตร โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสนับสนุนและเป็นตัวเร่งการพัฒนา AI ภายในประเทศ

“ผู้บริหารต้องเข้าใจขีดจำกัดของ AI และตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับธุรกิจ อย่าคาดหวังกับ AI สูงมากเกินไปจนคิดว่า AI ทำได้ทุกอย่าง โดยเนคเทค สวทช. มีแผนในการพัฒนาส่วนให้คำปรึกษาการพัฒนา AI อย่างเป็นระบบมากขึ้น อาจให้บริการแบบ Counter Service ที่ตอบโจทย์หน่วยงานรัฐและเอกชน” ดร.ชัย กล่าวทิ้งท้าย

แค่คิดก็ผิดแล้ว ! AI วงการแพทย์ไม่ควรเริ่มที่การวินิจฉัย

นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) ยังได้ร่วมนำเสนอประเด็นการใช้งาน AI ในด้านการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้อย่างชัดเจน นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเริ่มต้นเรื่อง AI มาตั้งแต่ปี 2560 โดยสนับสนุนให้บุคลากรได้รับการฝึกฝนด้าน Machine Learning และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องทำให้การผลักดันนโยบายด้าน AI เริ่มต้นได้อย่างรวดเร็วเพราะมีพื้นฐานบุคลากรที่ไม่ได้เริ่มจากศูนย์ อย่างไรก็ตามการใช้ AI ด้านการแพทย์ยังมีควมท้าทายด้านข้อมูล แม้จะในประเทศไทยมีข้อมูลจำนวนมาก แต่การขาดระเบียบข้อบังคับ (Regulation) ในการนำข้อมูลมาใช้ทำให้เกิดปัญหา การสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งร่างกฎระเบียบข้อมูลจะช่วยผลักดันเรื่อง AI ในวงการแพทย์ได้มาก

“การวินิจฉัยโรคเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน จำเป็นต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ ประสบการณ์ของแพทย์ และการพิจารณาจากหลายปัจจัยของคนไข้ ซึ่งในหลายกรณีนั้นยากที่จะอธิบายกระบวนการการวินิจฉัยออกมาเป็นอัลกอริทึม ดังนั้นการเริ่มต้นพัฒนา AI เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคจึงเป็งานที่ท้าทาย ซับซ้อน ใช้เวลา และต้องผ่านการรับรองที่เข้มงวด หรือ การทดลองทางคลินิก ซึ่งอาจทำให้โครงการหยุดชะงักไปก่อน” นพ.สุรัคเมธ อธิบาย

DMIND แอปพลิเคชันคัดกรองซึมเศร้าเป็นหนึ่งตัวอย่างของการนำ AI มาใช้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพ โดยความสำเร็จของ DMIND ไม่ได้เกิดจากการแก้ปัญหาทางการแพทย์โดยตรง แต่เป็นการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม คือ การช่วยให้กลุ่มผู้มีภาวะซึมเศร้ารุนแรงได้รับการดูแลก่อน

ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เพื่อการแพทย์ด้านจิตเวช (AIMET) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า DMIND เป็นเครื่องมือที่ใช้ AI Multimodel ผสานการวิเคราะห์ภาพ เสียง และข้อความเพื่อประเมินระดับภาวะซึมเศร้าของผู้ใช้งานในระดับสีเขียว เหลือง และแดง สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มสีแดง ระบบจะส่งต่อข้อมูลไปยังกรมสุขภาพจิตและสายด่วน 1323 เพื่อให้ความช่วยเหลือทันที ช่วยลดเวลารอสายและเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรอง โดยลดจำนวนผู้รอสายลงมากกว่า 60% พร้อมพัฒนา Voicebot เพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มสีแดงหรือสีส้มได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วขึ้น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ AI ในการจัดการทรัพยากรให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้ตรงจุด

“อีกปัจจัยสำคัญในการพัฒนา AI ให้ประสบความสำเร็จ คือ การทำงานร่วมกันระหว่างทีมเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ (Domain Expert) ทีมแพทย์ด้านจิตวิทยาที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีเป็นสะพานเชื่อมที่ทำให้ทั้งสองทีมเข้าใจโจทย์ เข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น” ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ

AWS Public Sector Day Thailand 2024 เป็นเวทีรวมรวมแนวคิดล้ำสมัยและนวัตกรรมล่าสุดในด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้องค์กรภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานรัฐบาล สถาบันการศึกษา องค์กรด้านสาธารณสุข และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร สามารถรับมือกับความท้าทายที่ต้องเผชิญพร้อมพลิกความท้าทายเหล่านั้นให้เป็นโอกาส ภายในงานจะให้ความสำคัญกับหลากหลายประเด็น อาทิ บทบาทของ AI, ความปลอดภัยและการสร้างความยืดหยุ่น, การปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย, การย้ายสู่ระบบคลาวด์ และนวัตกรรมการให้บริการสาธารณะ ที่จะช่วยยกระดับการบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ง่าย และมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

]]>
สถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมหารือการใช้ AI หนุนกระบวนการทำงานด้านสืบค้นคดี https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/ago-visit2024.html Thu, 17 Oct 2024 09:16:28 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=38107

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 เนคเทค สวทช. นำโดย ดร.ปรัชญา บุญขวัญ หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย (LST) กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG) ดร.พรพรหม อธีตนันนท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE) ร่วมด้วยทีมวิจัย LST ได้ให้การต้อนรับ คุณจำเนียร คงถาวร ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานกระบวนการยุติธรรม สถาบันนิติวัชร์ พร้อมด้วย พนักงานอัยการ และผู้แทนจากสำนักเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานเลขาธิการสำนักงานอัยการสูงสุด ในโอกาสมาร่วมหารือแลกเปลี่ยนโจทย์ความสนใจ และความเป็นไปได้ในการพัฒนาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาทิ ระบบการสืบค้นคดี แนะนำค้นหาคำฟ้องที่ถูกต้อง, ช่วยสรุป ตรวจสอบเอกสารในสำนวนคำฟ้อง, การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง พยานหลักฐานที่จำเป็นต่อคดี เพื่อยกระดับสนับสนุนกระบวนการทำงานของสำนักงานให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย (LST) อีกหนึ่งทีมวิจัยภายใต้กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค สวทช. ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน

– Corpus Technology
– Deep Learning and NLP
– Machine Translation
– Ontology
– Semantic Web
– Knowledge Graph
– Retrieval Augmented Generation

มุ่งเน้นพัฒนางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นข้อความภาษาไทย และการเข้าใจความหมายของภาษา ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลพื้นฐานทางภาษา การพัฒนาแพลตฟอร์มการประมวลผลภาษา การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานข้อมูลภาษาไทย โดยผลงานเด่น ได้แก่ ระบบแปลภาษาอัตโนมัติจีน – ไทย (Chinese-Thai Neural Machine Translation), พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ (Lexitron), นวนุรักษ์ (NAVANURAK)แพลตฟอร์มเพื่อการจัดเก็บข้อมูลทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ, ระบบตัดคำ กำกับชนิดของคำ ระบบแปลภาษาอัตโนมัติ และระบบการจัดการฐานความรู้เชิงความหมาย

ซึ่งมีโอกาสร่วมสนับสนุนการพัฒนาบริการดิจิทัลให้กับหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง อาทิ สำนักงานราชบัณฑิตยสภาพัฒนา ร่วมพัฒนา แอปพลิเคชันพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2554, แอปพลิเคชันอ่านอย่างไรเขียนอย่างไร ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, แอปพลิเคชันชื่อบ้านนามเมือง, ระบบพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพุทธศักราช 2554 ออนไลน์, ระบบศัพท์บัญญัติออนไลน์

ปัจจุบันทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา Thai Large Language Model (ThaiLLM) ร่วมกับสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIAT) สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT) เพื่อสร้างแบบจำลองทางภาษาขนาดใหญ่ เพื่อสร้างโมเดลที่ถูกเทรน หรือฝึกฝนด้วยข้อมูลมากมายมหาศาล เพื่อให้สามารถเลียนแบบการพูดของมนุษย์ตามบริบทที่เหมาะสม พัฒนาต่อยอดไปสู่ระบบ Chat bot ให้บริการสืบค้น ถาม-ตอบ ข้อมูลหน่วยงาน อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

สนใจติดตามข้อมูล หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่

ทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย

]]>