Face verification – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 06:41:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png Face verification – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 AtTime ระบบลงเวลาด้วยการยืนยันตัวตนครบวงจร https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/time-attendance.html Mon, 14 Jul 2025 07:50:54 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40567

Time Attendance System with Comprehensive Authentication หรือ AtTime

หลายองค์กรอาจเคยเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการลงเวลาเข้า-ออกงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวนาน อุปกรณ์ชำรุดจนไม่สามารถลงเวลาได้ ปัญหาการลงเวลาแทนกัน รวมถึงการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกันซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ทำให้ ‘ทุกครั้งที่ลงเวลาเป็นเรื่องง่าย’ ด้วยระบบลงเวลาโดยใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication) ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยอ้างอิงหลักการยืนยันตัวตนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลผ่าน 3 ปัจจัย ได้แก่ สิ่งที่คุณรู้ (Something you know), สิ่งที่คุณมี (Something you have), สิ่งที่คุณเป็น (Something you are) โดยการผสมผสานทั้ง 3 ปัจจัยนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานวิจัยนี้จึงได้เพิ่ม ‘ปัจจัยที่สี่’ ตำแหน่งที่คุณอยู่ (Somewhere you are) เข้าไปเพื่อเสริมความปลอดภัยและยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น หรือเรียกว่าระบบ AtTime

ระบบ AtTime เป็นระบบลงเวลาทำงานที่ใช้สถาปัตยกรรมการยืนยันตัวตนด้วยปัจจัยที่หลากหลาย อันได้แก่ ภาพใบหน้า รหัสผ่าน โทรศัพท์มือถือ และสถานที่ของผู้ใช้งาน ซึ่งได้ออกแบบระบบในลักษณะ API Services เพื่อรองรับการเชื่อมต่อจากผู้ใช้งานในหลากหลายช่องทาง ทั้งผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ KIOSK โดยได้ใช้เทคนิคการยืนยันตัวตนในแนวคิด Security for use เช่น ผู้ใช้งาน 1 คน จะสามารถใช้งานกับอุปกรณ์สมาร์ตโฟนได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นเครื่องที่ได้ผ่านการลงทะเบียนจากผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของเครื่องเท่านั้น เพื่อป้องกันบุคคลอื่นใช้เครื่องอื่นไปใช้ลงเวลาแทนกัน นอกจากนี้ยังออกแบบให้ใช้ชื่อบัญชีและรหัสผ่านชุดเดียวกันกับของหน่วยงานในลักษณะ Single account ในการยืนยันตัวตน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการบัญชีผู้ใช้งาน

นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จึงได้มีการออกแบบระบบให้ป้องกันการแกะรอยในการรับ-ส่งข้อมูล (Data Transmission Security) โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลด้วยวิธี Hybrid Encryption พร้อมทั้งเพิ่มเทคนิค วิธีการเข้ารหัสในรูปแบบ Proprietary Encryption และใช้การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายในลักษณะของ Perfect Forward Secrecy เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะ Replay Attack และยังคำนึงถึงการออกแบบและพัฒนาหน้าจอสำหรับการตรวจจับใบหน้า (Face Detection) ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยเฉพาะที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android, iOS ที่มีหลากหลายในท้องตลาด

เทคโนโลยีในการพัฒนา

  • ใช้เทคนิคการพิสูจน์ตัวตนแบบ 4 ปัจจัยที่ต่างกัน ประกอบด้วย Something you know (ต้องรู้รหัสผ่าน), Something you have (ต้องมีและใช้มือถือของผู้ใช้เท่านั้น) Something you are (ต้องใช้ใบหน้า) Somewhere you are (ต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด) การยืนยันตัวตนดำเนินการผ่านชื่อบัญชีและรหัสผ่านของหน่วยงานในรูปแบบ Single Account ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบเดิมของสำนักงาน
  • ใช้เทคนิค Face Verification ในการตรวจสอบใบหน้า โดยเปรียบเทียบใบหน้าปัจจุบันกับข้อมูลใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้า ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)  
  • ใช้เทคนิคการตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้งาน ได้หลายวิธีจาก Internet Wireless Network และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดการระบุตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
  • ใช้เทคนิคการระบุตำแหน่งผู้ใช้งานจากหลายวิธี เช่น ผ่านเครือข่ายไร้สาย และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

จุดเด่นของ AtTime

  • สะดวกต่อการใช้งาน: ผู้ใช้งานสามารถลงเวลาได้จากทุกที่ ลดการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้: ระบบสามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับลักษณะงานและความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มเป้าหมาย

  • หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องบันทึกผลการลงเวลาปฏิบัติงานของบุคลากร
  • หน่วยงานที่ต้องการระบบสำหรับการเช็กอินเข้า-ออกในการเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การอบรม สัมมนา หรือการประชุมต่าง ๆ

การนำไปใช้ประโยชน์

ให้บริการในการบันทึกผลการเข้า-ออกปฏิบัติงาน ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในแพลตฟอร์ม Android และ iOS ที่ชื่อแอปพลิเคชัน “AtTime” รวมถึงเวอร์ชั่น KIOSK ซึ่งถูกนำไปใช้งานสำหรับการลงทะเบียนผู้เข้าอบรม ณ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ ยังมีการนำโมดูล Face Detection ไปประยุกต์ใช้ในการตรวจจับใบหน้าบนอุปกรณ์ Mutherm FaceSense

แอปพลิเคชัน “AtTime” เป็นระบบการยืนยันตัวตนด้วย 4 ปัจจัยที่สามารถใช้งานได้จริง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของการลงเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลงานดังกล่าวได้รับ รางวัลระดับดีมาก ในสาขา เทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์  จากงาน “วันนักประดิษฐ์” (Thailand Inventors Day 2025) ซึ่งจัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
กลุ่มวิจัยสื่อสารและเครือข่าย 

]]>
เนคเทค สวทช. ร่วมกาชาดและภาคีเครือข่ายเดินหน้าต่อ ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2022nectec-fv-redcross.html Mon, 27 Jun 2022 08:33:34 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27590

กาชาด ยังคงเดินหน้าต่อตามพื้นที่เป้าหมาย ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 
พร้อมนำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) ที่ร่วมพัฒนากับเนคเทค สวทช. 
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ จ. ตาก

เมื่อวันที่ 21-22 มิถุนายน 2565 สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมเหล่ากาชาดจังหวัด โรงพยาบาลท่าสองยาง หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก และ International Rescue Committee (IRC) ร่วมด้วยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ลงพื้นที่ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 3 (เข็มกระตุ้น) พร้อมนำระบบบริการบันทึกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) ให้แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ ที่ไม่มีสัญชาติไทย ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ จ.ตาก จำนวนกว่า 220 คน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์แก่เพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนและไร้โอกาส ตามหลักมนุษยธรรม ให้สามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข ได้รับความช่วยเหลือในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน

ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ เนคเทค สวทช. ได้นำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) พัฒนาขึ้นโดย ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (IPU/ AINRG) และงานยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (LTSS) เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน ร่วมกับระบบสแกนม่านตา (Iris Scan) จัดเก็บข้อมูลโดย International Rescue Committee (IRC) สำหรับการลงทะเบียนยืนยันตัวตนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และบันทึกข้อมูลประวัติการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า จะทำการเก็บข้อมูลภาพในครั้งแรกของผู้ที่มารับวัคซีน เมื่อมารับการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป ระบบฯ สามารถค้นหาข้อมูลบุคคลจากภาพใบหน้า (Face Search) ด้วยขั้นตอนการตรวจจับวิเคราะห์ภาพใบหน้า แล้วนำมาประมวลผลเปรียบเทียบภาพใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้แล้วในระบบฯ และคัดเลือกใบหน้าที่ใกล้เคียงขึ้นมาแสดงผล ใช้ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่ได้นำเอกสารประจำตน หรือหลักฐานการฉีดวัคซีนมาแสดง แต่หากเคยบันทึกภาพใบหน้าและเก็บข้อมูลลงในระบบฯไว้แล้ว ผู้รับวัคซีนสามารถมาที่จุดคัดกรองให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล โดยใช้ภาพใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้มารับวัคซีนอย่างมากเพราะข้อมูลการฉีดวัคซีนจะได้รับการบันทึกอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย หน่วยงานภาคีเครือข่าย และเนคเทค สวทช. ได้ร่วมออกหน่วยนำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า ลงพื้นที่ให้บริการแก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบันทึกข้อมูลภายหลังจากรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 42 ครั้ง โดยมีผู้ได้รับวัคซีนจัดเก็บข้อมูลลงในระบบแล้วทั้งสิ้น 8,175คน ได้แก่

  • กลุ่มชาติพันธุ์ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (3 ครั้ง) จำนวน 1,649 คน
  • ศูนย์พักพิงบ้านใหม่ในสอย จ.แม่ฮ่องสอน (3 ครั้ง) จำนวน 2,763 คน
  • ศูนย์พักพิงแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (3 ครั้ง) จำนวน 685 คน
  • ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาคร (1 ครั้ง) จำนวน 1,636 คน
  • ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร (1 ครั้ง) จำนวน 513 คน
  • แรงงานด้อยสิทธิ ในกรุงเทพฯ ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร (30 ครั้ง) จำนวน 788 คน
  •  ศูนย์การค้าซีคอน บางแค กรุงเทพมหานคร (1 ครั้ง) จำนวน 231 คน
    โดยข้อมูลภาพใบหน้า และข้อมูลทั้งหมดที่ถูกจัดเก็บอยู่ในระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจกรรมการดำเนินงานของสภากาชาดไทยเท่านั้น
]]>
เนคเทค สวทช. ต้อนรับคณะบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2022visitors-secretariat.html Thu, 23 Jun 2022 14:09:29 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27439

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เยี่ยมชมเนคเทครับฟังการบรรยายในด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการทำงานหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 256565 ในรูปแบบออนไลน์ โดยมีทีมนักวิจัยร่วมต้อนรับและนำเสนองานวิจัย ดังนี้

“Face Verification” ระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า
โดย คุณศรินทร์ วัชรบุศราคำ นักวิจัย ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ

เทคโนโลยีด้านการประมวลผลภาพใบหน้า ด้วยการเก็บข้อมูลจากการบันทึกภาพถ่ายใบหน้า นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบภาพจากขั้นตอนการตรวจจับใบหน้า พัฒนาขึ้นเป็นระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) สำหรับการระบุตัวตนร่วมกับการเชื่อมโยงข้อมูลสแกนม่านตาของสภากาชาดไทย จากระบบ iRespond เพื่อรับวัคซีนโควิด-19 ที่จัดสรรโดยสภากาชาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งระบบดังกล่าวนี้จัดทำขึ้นเพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว โดยใช้วิธีกำหนดรหัสประจำตัวด้วยหมายเลข 13 หลักเป็นการชั่วคราวให้กับผู้รับวัคซีนฯ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการลงบันทึกข้อมูลบุคคล และประวัติการรับวัคซีน เมื่อแรงงานมีการย้ายที่ทำงานหรือถิ่นที่อยู่อาศัย ก็สามารถสืบค้นประวัติการรับวัคซีนได้ง่าย ซึ่งได้จัดเก็บข้อมูลลงในระบบแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 8,041 คน ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ แรงงานด้อยสิทธิ ในกรุงเทพฯ ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย , กลุ่มชาติพันธุ์ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน จังหวัดราชบุรี , ศูนย์พักพิงบ้านใหม่ในสอย จังหวัดแม่ฮ่องสอน , ศูนย์พักพิงแม่หละ จังหวัดตาก , ตลาดอาหารทะเลสด จังหวัดสมุทรสาคร

“INTERVAC” ระบบสร้างวัคซีนพาสปอร์ต 
โดย ดร.สุนทร ศิระไพศาล นักวิจัย ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

ฐานข้อมูลเอกสารโครงการรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ ที่พัฒนาขึ้นโดย กรมควบคุมโรค ซึ่งในระยะแรกใช้กับวัคซีน COVID-19 เท่านั้น สำหรับโครงการฯ นี้ ได้ต่อยอดระบบเพื่อมาใช้สำหรับการเดินทางไปยังประกอบพิธีฮัจย์ โดยออกใบรับรองการฉีดวีคซีนทั้งสิ้น 3 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น และโรคไข้หวัดใหญ่” ระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำการบันทึกข้อมูลและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ ระบบได้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบหมอพร้อมแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยลดความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงข้อมูลการได้รับวัคซีนระชาชนสามารถรับสมุดเล่มเหลืองได้ภายใน 1 วัน ช่วยลดระยะเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ลดลงเฉลี่ยไม่เกิน 5 นาที ต่อ ผู้รับบริการเท่านั้น ระบบ INTERVAC ประกอบไป 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ส่วนบันทึกข้อมูล: สำหรับเจ้าหน้าที่ทำการคีย์ข้อมูลข้อมูลประชาชน ข้อมูลการฉีดวัคซีน และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง , ส่วนของการขอใบรับรอง: มีฟังก์ชันที่จะพิมพ์ข้อมูลแใบรับรองลงสมุดเล่มเหลืองได้ทันที , ส่วนใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์: เป็นการออกใบรับรองในรูปแบบ QR CODE สามารถตรวจสอบได้โดยใช้เทคโนโลยีมาตรฐานสากล ที่เรียกว่า Digital signature ที่สามารถรับรองความถูกต้องของข้อมูล ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เคยถูกแก้ไข และออกโดยกรมควบคุมโรค

ในช่วงท้ายได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัยและบุคลากรสำนักงานฯ นำความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับพัฒนาองค์ความรู้ ถ่ายทอดและประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์

]]>
เนคเทค สวทช. ส่งระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) ช่วยกาชาดลงทะเบียนกลุ่มแรงงานต่างด้าวหลังฉีดวัคซีน COVID-19 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/face-verification-redcross.html Sat, 19 Feb 2022 17:40:32 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=24732

เนคเทค สวทช. ร่วมสภากาชาดไทย บุกเชิงรุกลงพื้นที่เป้าหมาย ตลาดกลางกุ้ง ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครนำระบบบันทึกข้อมูลยืนยันตัวตนแก่กลุ่มแรงงานต่างด้าว ด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) หลังฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19

วันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2565 สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ร่วมด้วยโรงพยาบาลสมุทรสาคร หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม พร้อมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ร่วมลงพื้นที่ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พร้อมระบบบริการบันทึกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนด้วยการสแกนม่านตา (Iris Scan) และถ่ายภาพใบหน้า (Face Verification) ให้แก่กลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่ในตลาดกลางกุ้ง และตลาดทะเลไทย อ.มหาชัย จ. สมุทรสาคร รวมถึงบริเวณใกล้เคียงที่ไม่ได้อยู่ในสถานประกอบการ ตามมาตรการเชิงรุกของจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในกลุ่มแรงงานต่างด้าว สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ภายใต้โครงการ “ตลาดอาหารทะเลต้นแบบ สร้างภูมิต้านทานโควิด เพื่อเศรษฐกิจสมุทรสาคร”

ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ เนคเทค สวทช. โดยทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ และงานยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี ได้นำองค์ความรู้เทคโนโลยีด้านการประมวลผลภาพใบหน้า ด้วยการเก็บข้อมูลจากการบันทึกภาพถ่ายใบหน้า นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบภาพจากขั้นตอนการตรวจจับใบหน้า พัฒนาขึ้นเป็นระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) สำหรับการระบุตัวตน

ร่วมกับการเชื่อมโยงข้อมูลสแกนม่านตาของสภากาชาดไทย จากระบบ iRespond เพื่อรับวัคซีนโควิด-19 ที่จัดสรรโดยสภากาชาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งระบบดังกล่าวนี้จัดทำขึ้นเพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว โดยใช้วิธีกำหนดรหัสประจำตัวด้วยหมายเลข 13 หลักเป็นการชั่วคราวให้กับผู้รับวัคซีนฯ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการลงบันทึกข้อมูลบุคคล และประวัติการรับวัคซีน เมื่อแรงงานมีการย้ายที่ทำงานหรือถิ่นที่อยู่อาศัย ก็สามารถสืบค้นประวัติการรับวัคซีนได้ง่าย โดยภายหลังจากที่กลุ่มแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ตลาดกลางกุ้ง ตลาดทะเลไทย จ. สมุทรสาคร เข้ารับบริการฉีดวัคซีน ซึ่งมีทั้งผู้ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีน ผู้ที่มารับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 และเข็มที่ 3 ได้มาร่วมลงทะเบียนเก็บข้อมูลในระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) และการสแกนม่านตาจากระบบ iRespond จำนวนทั้งสิ้น 2,151 คน แบ่งเป็น

  • ตลาดกลางกุ้ง จำนวน 513 คน (พม่า 506 คน กัมพูชา 6 คน ลาว 1 คน)
  • ตลาดทะเลไทย จำนวน 1,638 คน (พม่า 1,605 คน กัมพูชา 7 คน ลาว 22 คน ไม่ระบุ 4 คน)

ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย หน่วยงานภาคีเครือข่าย และเนคเทค สวทช. ได้ร่วมออกหน่วยนำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า และการสแกนม่านตานี้ ลงพื้นที่ให้บริการแก่กลุ่มชาติพันธ์ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบันทึกข้อมูลภายหลังจากรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยได้จัดเก็บข้อมูลลงในระบบแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 8,041 คน ได้แก่

  • แรงงานด้อยสิทธิ ในกรุงเทพฯ ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร จำนวน 788 คน 
  • กลุ่มชาติพันธุ์ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี จำนวน 1,649 คน 
  • ศูนย์พักพิงบ้านใหม่ในสอย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 2,763 คน 
  • ศูนย์พักพิงแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก จำนวน 690 คน 
  • ตลาดอาหารทะเลสด จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 2,151 คน 

ซึ่งระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า และการสแกนม่านตา จะทำการเก็บข้อมูลครั้งแรกของผู้ที่มารับวัคซีน  เมื่อมารับการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป ระบบฯ จะตรวจสอบจากภาพใบหน้าและยืนยันตัวตน เพื่อเข้ารับวัคซีน จากการดำเนินการผ่านมาแล้ว 5 เดือน สามารถให้บริการฉีดวัคซีนแก่กลุ่มดังกล่าว ไปแล้วกว่า 13,300 โดส โดยมีทั้ง เข็ม 1, 2 และเข็มกระตุ้น

ทั้งหมดนี้ ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นำโดย สภากาชาดไทย ในการดำเนินงานตามหลักมนุษยธรรม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากแก่เพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนและไร้โอกาส ให้สามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน และการให้บริการวัคซีนฯ อย่างครอบคลุมและรวดเร็ว เป็นปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ ช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย และเสียชีวิต รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของคนในประเทศไทยได้อีกด้วย 

]]>
เนคเทคนำเทคโนโลยีสนับสนุนสภากาชาดไทยและภาคีเครือข่าย ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ผู้หนีภัยการสู้รบและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/covid19-vaccine-idps.html Mon, 25 Oct 2021 07:03:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=23140

เนคเทค สวทช. ส่งเทคโนโลยีสนับสนุนภารกิจสภากาชาดไทยและภาคีเครือข่าย ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ผู้หนีภัยการสู้รบและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน

สภากาชาดไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เชิงรุก สำหรับผู้หนีภัยการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย และเสียชีวิต สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของคนในประเทศ ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

วันที่ 25 ตุลาคม 2564 เวลา 10.30 น. ณ ที่ทำการศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นายอภิชาติ ชินวรรโณ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ในฐานะผู้แทนเลขาธิการสภากาชาดไทยได้เป็นประธานในการเปิดงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เชิงรุก สำหรับผู้หนีภัยการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยมีนายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีได้กล่าวต้อนรับคณะผู้บริหารจากสภากาชาดไทยและผู้แทนสานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNHCR) ผู้แทนสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) ผู้แทนคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีส่วนร่วมกับสภากาชาดไทยในการดำเนินงานตามโครงการให้บริการฉีดวัคซีนครั้งนี้ด้วย

ขณะเดียวกัน นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการปฏิบัติงานของสภากาชาดไทย ซึ่งการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก เป็นการดำเนินงานตามหลักมนุษยธรรม ช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากแก่เพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ เดือดร้อน และไร้โอกาส ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการได้รับวัคซีนฯ ครอบคลุมทุกคนอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้อย่างมาก รวมทั้งเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ของคนในประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วน ต้องระดมความร่วมมือกันให้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งคนไทย ประชากรข้ามชาติ หรือกลุ่มชนชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางต่างๆ ซึ่งมีความเสี่ยงที่เจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด-19 และมีความยากลำบากในการเข้าถึงบริการ ให้ได้รับการฉีดวัคซีนฯ ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 (ซิโนฟาร์ม) ซึ่งสภากาชาดไทยได้มอบหมายสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ นำไปฉีดให้แก่กลุ่มเปราะบาง ทั้งคนไทย และประชากรข้ามชาติ โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชนชั้น วรรณะ ศาสนา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลดความรุนแรงในการเจ็บป่วยและเสียชีวิต ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสภากาชาดไทย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยให้บริการฉีดวัคซีนฯ ไปแล้ว จำนวน 18,211 โดส

สำหรับการปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก ให้แก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้กำหนดวันปฏิบัติงาน ฉีดวัคซีนฯ เข็มที่ 1 คือ วันที่ 25–26 ตุลาคม 2564 โดยมีผู้รับบริการฉีดวัคซีนฯ จำนวน 1,295 คน และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสภากาชาดไทย กระทรวงมหาดไทย จังหวัดราชบุรี โรงพยาบาลสวนผึ้ง IRC UNHCR โดยการสนับสนุนจาก IFRC ICRC ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) (AIS)

โดยกำหนดการปฏิบัติงานฉีดวัคซีนฯ เข็มที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งการปฏิบัติงานครั้งนี้ ได้มีการนำระบบบริการฉีดวัคซีนฯ ที่มีการบันทึกข้อมูลของผู้ฉีดวัคซีนฯ ด้วยระบบเทคโนโลยีแบบ Face Verification และ Iris recognition ที่ได้รับการพัฒนาโดยเนคเทค และ iRespond พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบหมอพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข (Moph IC) เพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ซึ่งใช้วิธีกำหนดรหัสประจำตัวบุคคลด้วยการขึ้นต้นด้วยตัวอักษร 1 ตัว ตามด้วยหมายเลข 13 หลักเป็นการชั่วคราวให้กับผู้รับวัคซีนฯ ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไป เมื่อสภากาชาดไทยสามารถจัดหาวัคซีนหรือได้รับบริจาควัคซีนจากองค์กรต่างๆได้มากขึ้นก็จะขยายการฉีดวัคซีนไปยังประชากรกลุ่มต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศไทยต่อไป

การดำเนินงานครั้งนี้นอกจากสภากาชาดไทยจะได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจาก หน่วยงานข้างต้นแล้ว สภากาชาดไทยยังได้รับความร่วมมือและความเสียสละจากทีมงาน อสม. และอาสาสมัครภาคประชาสังคมทุกท่านซึ่งมีส่วนร่วม และขับเคลื่อนให้การปฏิบัติงาน มีความพร้อมในการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบฯ ราบรื่นด้วยดีทุกประการ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ คือการมุ่งหวังในการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาด และลดความรุนแรงจากการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 แล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชนชั้น วรรณะ ศาสนา เป็นความเห็นอกเห็นใจ และเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการ สภากาชาดไทย ยังได้กล่าวในรายงานความร่วมมือตามโครงการให้บริการฉีดวัคซีนในตอนท้ายว่า สภากาชาดไทยหวังว่าการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายความร่วมมือในการทางานด้านมนุษยธรรมระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรภายในประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ซึ่งพระราชทานไว้ว่า “งานของสภากาชาดนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่สมควรจะได้รับการสงเคราะห์ ซึ่งเป็นคนในประเทศแล้วยังเกี่ยวกับการสงเคราะห์บุคคลที่กำลังตกทุกข์ได้ยากทั่วๆ ไป เป็นงานที่กระทำเพื่อมนุษยธรรมอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกๆ คนที่จะทำงานช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน”

ในการนี้ มีผู้บริหารสภากาชาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานดังกล่าว พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่อไป

]]>