Industry 4.0 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 06:39:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png Industry 4.0 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทคและพันธมิตร ร่วมเวที Techsauce Global Summit 2025 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/techsauce2025.html Wed, 06 Aug 2025 10:14:00 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40860

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 – เนคเทค ร่วมกับ ปตท. และ After You จัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “Digital and AI in Manufacturing: Automation Frontier of Humans and Machines” ภายในงาน Techsauce Global Summit 2025 เพื่อสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีอย่างแท้จริง

เวทีเสวนานี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่

  • ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.
  • คุณธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ผู้จัดการส่วนตลาดและขายเอนเนอร์ยี่ โซลูชั่นส์ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
  • คุณแม่ทัพ ต.สุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน)
    ดำเนินรายการ โดย ดร.เอมอัชนา นิรันตสุขรัตน์ หัวหน้าทีมวิจัยระบบไซเบอร์กายภาพ เนคเทค สวทช.

วิทยากรทั้งสามท่านได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวโน้มของการประยุกต์ใช้ AI, Automation, Digital Transformation ในการยกระดับภาคการผลิต ทั้งในระดับองค์กรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ไปจนถึงภาคบริการและธุรกิจ

โดย ดร.ชัย เน้นย้ำถึง บทบาทของ AI ที่ไม่ใช่การมาแทนที่แรงงาน แต่จะมาช่วยเสริมศักยภาพของมนุษย์ให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างชาญฉลาด ขณะที่คุณธเนศ ผู้แทนจาก ปตท. ได้กล่าวถึงการใช้ระบบอัตโนมัติในการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร ด้านคุณแม่ทัพ ผู้บริหาร After You ได้แบ่งปันมุมมองจากภาคธุรกิจบริการ ที่ได้ใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อพัฒนากระบวนการภายในและสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

การเสวนาครั้งนี้ตอกย้ำถึงแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มุ่งสู่การทดแทนมนุษย์ด้วยเทคโนโลยี แต่เป็นการร่วมมือกันระหว่าง “มนุษย์” และ “เครื่องจักร” อย่างกลมกลืน เพื่อขับเคลื่อนสู่อนาคตของการผลิตที่ยั่งยืนและมีศักยภาพ
นอกจากนี้ภายในงาน เนคเทค สวทช. ยังร่วมออกบูธจัดแสดงผลงานบริการด้าน AI อาทิ “NomadML” แพลตฟอร์มเทรน AI โดยไม่ต้องเขียนโค้ด และ “Pathumma LLM” โมเดลสำหรับสร้าง Generative AI รองรับการประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ , เสียง , และภาพ พร้อมความเชี่ยวชาญในการเข้าใจภาษาไทยและบริบทของประเทศไทย

งาน Techsauce Global Summit 2025 มหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 สิงหาคม 2568 ภายใต้ธีม “The Dawn of Symbiosis” ชูแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงาน การตัดสินใจ และการบริหารจัดการในภาคการผลิตอย่างรวดเร็ว

]]>
ปิดฉากอย่างเป็นทางการ! อบรมชุดหลักสูตรพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ รุ่นที่ 1 (Industry 4.0 & Smart Manufacturing Bootcamp) https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/smc-bootcamp1.html Tue, 01 Apr 2025 09:06:25 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39656

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดย เนคเทค – SMC ได้ดำเนินการจัดอบรม ชุดหลักสูตรพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ (Industry 4.0 & Smart Manufacturing Bootcamp) รุ่นที่ 1 ภายใต้โครงการ SMC Academy ซึ่งจัดขึ้นระหว่างเดือนมกราคม ถึง มีนาคม 2568 รวมระยะเวลาการอบรมทั้งสิ้น 23 วัน โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และศักยภาพของบุคลากรในโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Industry 4.0 และงานวิจัยของเนคเทค เพื่อการใช้งานจริงอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

การอบรมประกอบด้วย 2 กลุ่มหลักสูตรสำคัญ ได้แก่

  • กลุ่มพื้นฐานด้านอุตสาหกรรม 4.0 (4 กลุ่มหลักสูตร)

1. พื้นฐานเทคโนโลยีและการบูรณาการอุตสาหกรรม Industry 4.0 (1 วัน)
2. พื้นฐานเครื่องจักร และการพัฒนาระบบอัตโนมัติ (4 วัน)
3. การพัฒนาเครื่องจักรอุตสาหกรรม และระบบ Industrial IoT (3 วัน)
4. พื้นฐานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Data Preprocessing สำหรับอุตสาหกรรม 4.0 (3 วัน)

  • กลุ่มการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวิจัยจากเนคเทค (6 เทคโนโลยีวิจัย)
    1. การพัฒนาแอปพลิเคชัน AIoT สำหรับอุปกรณ์ Edge Computing ด้วยแพลตฟอร์ม Daysie (2 วัน)
    2. การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ด้วย NOMADML ร่วมกับ Computer Vision ในงานอุตสาหกรรม (2 วัน)
    3. การประยุกต์ใช้ระบบระบุตำแหน่ง (UNAI) ในโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า (2 วัน)
    4. การพัฒนาระบบดัชนีวัดประสิทธิภาพการผลิต (OEE) ด้วย SMART OEE (2 วัน)
    5. การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรแบบเรียลไทม์ด้วย ACAMP (2 วัน)
    6. แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม (IDA) (1 วัน)

ผู้เข้าอบรมในรุ่นที่ 1 เป็นวิศวกรจากโรงงานอุตสาหกรรม 33 คน ผู้จัดการหรือเจ้าของกิจการ 13 คน รวมทั้งสิ้น 46 คน จาก 11 บริษัทชั้นนำของประเทศ โดยมีผู้เข้าอบรมจากหลายภาคส่วน เช่น ฝ่าย IT, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายซ่อมบำรุง และฝ่าย Facility

สะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะให้ประสบผลสำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องเริ่มจาก “การพัฒนาคน” ให้เข้าใจเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ทั้งระบบอัตโนมัติ ระบบ IoT และ AI เพื่อให้สามารถต่อยอด ปรับใช้ และสร้างความยั่งยืนในระยะยาวได้อย่างแท้จริง

พบกันใหม่! รุ่นที่ 2 เปิดรับสมัคร พฤษภาคม 2568

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วม อบรมชุดหลักสูตรพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ รุ่นที่ 2 สามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดได้ทาง Facebook: SMC

]]>
เนคเทค สวทช. ร่วมเวทีเสวนา “Road to Industry 5.0: Leveraging Automation and IIoT for Smart Manufacturing” ในงาน Intelligent Asia Thailand 2025 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intelligent-asia2025.html Mon, 10 Mar 2025 03:43:21 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=39469

6 มีนาคม 2568 เนคเทค สวทช. โดย คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “Intelligent Asia Thailand 2025” งานแสดงเทคโนโลยีการผลิตแห่งอนาคตที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และการผลิตอัจฉริยะ โดยได้รับเกียรติจากคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิด

ในโอกาสนี้ คุณอุดมได้เข้าร่วมเป็นวิทยากรบนเวที SPS Stage Bangkok ซึ่งเป็นเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “Road to Industry 5.0: Leveraging Automation and IIoT for Smart Manufacturing” (ประตูสู่อุตสาหกรรม 5.0: ยกระดับระบบอัตโนมัติและ IIoT สำหรับการผลิตอัจฉริยะ) ซึ่งเป็นเวทีเสวนาที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 5.0 เพื่อนำไปสู่การผลิตอัจฉริยะ โดยเวทีนี้เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญและผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมไทยได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันและยกระดับประสิทธิภาพการผลิต

เสวนานี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยที่มาร่วมถ่ายทอดมุมมอง ได้แก่: ดร.ประพิณ อภินรเศรษฐ์ นายกสมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) ดร.สุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมไทยไอโอที (Thai IoT Association) คุณธีระ กิตติธีรพรชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอ็มทีเอ็กซ์ จำกัด (ผู้ดำเนินรายการ) โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญของการเสวนาครอบคลุมหัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยุคใหม่ อาทิ:

แนวคิดและกลไกขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรม 5.0
อุตสาหกรรม 5.0 เป็นแนวทางการผลิตที่ผสมผสานระหว่าง ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) เข้ากับความสามารถของมนุษย์ โดยมุ่งเน้นให้เทคโนโลยีช่วยสนับสนุนการทำงานของมนุษย์แทนที่จะทดแทน อุตสาหกรรมนี้ให้ความสำคัญกับ Mass Personalization หรือการผลิตที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้วยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

การเสริมศักยภาพมนุษย์และการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี
Industry 5.0 ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการใช้ระบบอัตโนมัติ แต่ยังให้ความสำคัญกับ Human-Centric Manufacturing หรือการผลิตที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง เทคโนโลยีช่วยเสริมศักยภาพของแรงงาน เช่น การใช้หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ (Collaborative Robots) และระบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวตามบริบทของการทำงาน

เทคโนโลยีสำคัญและทักษะที่จำเป็น
เทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 5.0 ได้แก่ Industrial Internet of Things (IIoT), Digital Twin, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), หุ่นยนต์อัจฉริยะ, Blockchain และ 5G โดยบุคลากรในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องพัฒนาทักษะด้าน การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics), การเขียนโปรแกรมระบบอัตโนมัติ และความรู้ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายระดับสากลและระดับท้องถิ่น
แม้ว่าอุตสาหกรรม 5.0 จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับการผลิต แต่อุตสาหกรรมไทยยังต้องเผชิญความท้าทาย เช่น ต้นทุนการลงทุนที่สูง, ความพร้อมของแรงงาน, มาตรฐานอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัว และการรักษาสมดุลระหว่างเทคโนโลยีกับแรงงานมนุษย์ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องวางแผนการปรับเปลี่ยนองค์กรให้สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมโลก และภาครัฐต้องมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนเพื่อส่งเสริมให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตอัจฉริยะของภูมิภาค

Intelligent Asia Thailand 2025 ในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง เมสเซ่ แฟรงค์เฟิร์ต ผู้จัดงานแสดงสินค้าแถวหน้าของโลกจากเยอรมนี ร่วมมือกับ บริษัท ยอร์คเกอร์ส เทรด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิส จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้าสำหรับภาคอุตสาหกรรมแถวหน้าของไต้หวัน และ บริษัท จีเอ็มทีเอ็กซ์ จำกัด ผู้จัดงานแสดงสินค้าสำหรับภาคอุตสาหกรรมและผู้ผลิตสื่ออุตสาหกรรมชั้นนำของไทยภายใต้แนวคิด “งานแสดงเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต” ที่มุ่งเน้นไปยังการก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่และการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย 3 Highlight หลัก ได้แก่ Automation Thailand 2025 งานแสดงเทคโนโลยีการผลิตอัจฉริยะแห่งเอเชีย, PCB Thailand 2025 งานแสดงเทคโนโลยีแผงวงจรพิมพ์ PCB ที่ครบเครื่องที่สุดที่แรกในประเทศไทย และ SPS Stage Bangkok 2025 สุดยอดเวทีสัมมนาระดับโลกเพื่อมุ่งสู่ความล้ำหน้าด้านการผลิต จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2025 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ

]]>
รวมตัวเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในการประชุม “APEC Workshop on Accelerating Industry 4.0” https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/apec-industry4.html Tue, 21 May 2024 11:31:30 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36852

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบอย่างมากสำหรับห่วงโซ่อุปทานการผลิต ที่หลายอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัว รวมถึงการฟื้นตัวให้กลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Digital Transformation) จึงกลายเป็นความหวังให้เป็นโซลูชันสำหรับการลดต้นทุน ปรับปรุงกระบวนการผลิต พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ การพัฒนาศักยภาพของแรงงาน อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ยังคงเป็นประเด็นความท้าทายสำหรับเขตเศษฐกิจที่กำลังพัฒนา เนื่องจากขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการพึ่งพาโซลูชันต่างๆ ที่ยังมีราคาแพง

เมื่อวันที่ 14-15 พ.ค. 2567 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ภายใต้การสนับสนุนจาก Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) ได้จัดกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการ “APEC Workshop on Accelerating Industry 4.0 Technology Adoption in Manufacturing Sectors Through STI Partnerships Among Smart Manufacturing Research and Innovation Centers” โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ ไต้หวัน จีน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย รัสเซีย และไทย เข้าร่วมหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ ตัวอย่างความสำเร็จในการดำเนินงานเพื่อเร่งการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (STI) ไปใช้ขับเคลื่อนในภาคการผลิต, การสร้างหลักสูตร และพัฒนากำลังคนที่มีทักษะสูง, กำหนดแนวทางข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ตลอดจนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเขตศรษฐกิจเอเปค โดยมีคุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. ในฐานะผู้ดูแลโครงการฯ ให้การต้อนรับ

ภายในการประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าว มีผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจเอเปค ร่วมนำเสนอในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ

(1) “Success Journey and Best Practices of Digital Transformation Sharing by APEC Developed Economies”

– Dr. Satoko Itaya
Research Manager, National Institute of Information and Communications Technology (NICT), Japan
– Mr. Mun Gu Park
Partner of Digital Transformation CoE/ Operations Consulting & Tax, KPMG International Limited, Republic of Korea
– Dr. Roland Lim
Research Scientist, Singapore Institute of Manufacturing Technology (SIMTech), Singapore
– Dr. Derek Luo
Senior Consultant, Industrial Technology Research Institute (or ITRI), Chinese Taipei

(2) Overview and key result of “Manufacturing Digital Transformation Course”
Dr. Roland Lim, Research Scientist, and Mr. Yi Yung Lim, Principal Research Engineer,
from Singapore Institute of Manufacturing Technology (SIMTech)

(3) Course Experiences Sharing
Mr. Adul Premprasert
Chief Executive Officer of Thanakorn Vegetable Oil Products Co., Ltd.

รวมถึงการเปิดวง Workshop แบ่งกลุ่มระดมสมองเพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิด ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญในเขตเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว มาร่วมให้มุมมอง ข้อมูลเชิงลึก สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับอุปสรรค และข้อจำกัดในการนำเทคโนโลยี Industry 4.0 ไปใช้ในเขตเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนา ภายใต้ 3 ประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ (1) Strategy & Vision + Organization Management & Governance (2) People & Culture และ (3) Technology & Capabilities เพื่อรวบรวมเป็นข้อเสนอแนะต่อนโยบาย และแนวทางการดำเนินงานเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ที่เหมาะสมต่อไป โดยเฉพาะในภาคการผลิต

นอกจากนี้คณะผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ณ สำนักงานใหญ่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อ.วังจันทร์ จ. ระยอง ซึ่งมีภารกิจหลักในการดำเนินงานเพื่อเข้ามาช่วยตอบโจทย์การผลิตยุคใหม่ พัฒนาอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0 โดยให้บริการทั้งทางด้านการตรวจประเมินระดับความพร้อมของโรงงาน (Thailand i4.0 Index), บริการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร, ให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี แหล่งทุน และสิทธิประโยชน์, บริการแพลตฟอร์มพื้นฐานการผลิตสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial IoT and Data Analytics Platform: IDA Platform), บริการวิจัย พัฒนา ตามโจทย์ความต้องการเฉพาะด้าน รวมถึงยังเป็นเป็นศูนย์การเรียนรู้ และสนามทดสอบ (Testbed) ให้แก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมได้เข้ามาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ เห็นตัวอย่างในการนำไปประยุกต์ใช้ที่เห็นผลลัพธ์สามารถใช้งานได้จริง ก่อนที่จะนำไปขยายผลต่อยอด หรือลงทุนภายในโรงงาน ได้แก่
– Industrial Automation
– Smart Maintenance
– Demo line (Flexible manufacturing)
– 3D Scanner Robot
– Embedded Mobile Robot Controller (EMR)
– Motor Testbed
– Smart Warehouse Solution
โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมอง และแนวทางที่หลากหลายในการประชุมครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น และเป็นข้อพิสูจน์แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายในสมาชิกเขตเศรษฐกิจ APEC ที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในภาคการผลิต รวมถึงส่งเสริมเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานนวัตกรรมทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้เข้มแข็งต่อไป
]]>
เปิดเวทีระดมสมอง พัฒนาคนพัฒนาเด็กอาชีวะสู่อุตสาหกรรม 4.0 อย่างเข้มข้น ปั้นวิทยาลัยต้นแบบ พร้อมสู่ Industrial IoT และ AI ตอบโจทย์อุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/iiot-180124.html Thu, 18 Jan 2024 11:27:20 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34910

18 มกราคม 2567 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ภายใต้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เปิดเวทีระดมสมอง พัฒนากำลังคนสู่ภาคอุตสาหกรรม 4.0 และหลักสูตร Industrial IoT และ AI ในอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับสถาบันอาชีวศึกษา มุ่งพัฒนาวิทยาลัยต้นแบบ 6 วิทยาลัยและเครือข่าย ในพื้นที่ภาคตะวันออก(EEC) เพื่อพัฒนาเด็กอาชีวะให้ “ทำได้ ทำเป็น” ตอบโจทย์ความต้องการภาคอุตสาหกรรมอย่างตรงจุด

นายอุดม ลิ่วลมไพศาล ผอ.กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. กล่าวว่า การพัฒนากำลังคนของเนคเทค สวทช. โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน ในโครงการพัฒนาทักษะด้าน Industrial IoT แบบเข้มข้น สำหรับบุคลากรระดับอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นความร่วมมือจาก 3 ภาคส่วน ได้แก่ เนคเทค สวทช., วิทยาลัยอาชีวศึกษาที่เข้าร่วมในโครงการฯ และสถานประกอบการที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนที่มีการจัดอบรมในแต่ละหลักสูตร โครงการฯ จัดสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาและหลักสูตรในโครงการฯ ร่วมกับสถาบันอาชีวศึกษาในเขตพื้นที่ EEC และสถานประกอบการที่มีความสนใจนำเทคโนโลยีด้าน Internet of Things ไปใช้ โดยวิทยาลัยต่างๆ และสถานประกอบการมีบทบาทในการเสนอแนะแนวทางเกี่ยวกับหลักสูตร เช่น ทักษะเพิ่มเติมที่จำเป็น หรือ การประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม ซึ่งทางโครงการฯ ได้ออกแบบหลักสูตร และพัฒนาชุดอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน เพื่อส่งให้ผู้เรียนได้ใช้ ซึ่งหลักสูตรจะมี 4 หลักสูตร ในแต่ละหลักสูตรจะคู่มือการสอน มีเอกสารและสื่อวิดิโอ พร้อมด้วยอุปกรณ์ประกอบการเรียน ได้แก่ 1) หลักสูตร IoT Fundamentals 2) หลักสูตร Advance IoT 3) หลักสูตร Basic Industrial IoT 4) หลักสูตร Industrial IoT

จากสถิติที่ผ่านมาโครงการฯ มีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2564-2566 มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 459 คน ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้เรียนในหลักสูตร IoT Fundamentals  โดยเมื่อจบในแต่ละหลักสูตรจะมีการคัดเลือกทุกครั้ง เมื่อผ่านการอบรมในหลักสูตรสุดท้าย Industrial IoT จะมีการจัดงาน IoT Hackathon เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายก่อนส่งนักศึกษาไปฝึกปฏิบัติงาน ให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนมาประยุกต์ใช้งานจริงในการแข่งขัน โดยในปี 2564 – 2566 มีจำนวนผู้ที่ผ่านการอบรมในทุกหลักสูตรทั้ง 3 ปี จำนวน 114 คน เข้าฝึกปฏิบัติงานในสถานประกอบการทั้งหมด 73 แห่ง โดยส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาจะเข้าฝึกปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิต เช่น รถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องจักร และหม้อแปลง

เมื่อนักศึกษาฝึกปฏิบัติงานจบตามหลักสูตรของแต่ละวิทยาลัย ทางโครงการฯ จะทำแบบประเมินเพื่อสอบถามไปยังสถานประกอบการถึงโอกาสการรับนักศึกษาเข้าทำงานต่อเมื่อสำเร็จการฝึกปฏิบัติงาน ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 มีจำนวนการรับถึง 86 คน จากทั้งหมด 166 คน โดยมีอัตราการเพิ่มอยู่ที่ 20% – 30% ในทุกๆปี จากผลสำรวจการมีงานทำของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2564 – 2565 นั้น ผลสำเร็จผู้ที่เข้าร่วมจนจบโครงการฯ 67 คน ผู้ที่มีงานทำแล้ว 58 คน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุตสาหกรรมขนาดกลาง และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ร่วมกันแล้วอยู่ที่ 81.04% ซึ่งจะเป็นอุสาหกรรมเกี่ยวกับ อุตสาหกรรมยานยนต์, อุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับโครงการฯ ในปี 2567 ถือเป็นการต่อยอดจากโครงการฯ ปี 2564 – 2566 เพื่อที่จะมุ่งพัฒนาวิทยาลัยต้นแบบที่มีความพร้อมทางด้านกำลังคน (ครู) เทคโนโลยี (อุปกรณ์) องค์ความรู้ (เครื่องมือ สื่อการสอน) ความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้ในด้านเทคโนโลยี Internet of Things, Industrial IoT และ AI โดยนำผลผลิตที่ได้มาในปี 2564 – 2566 นั้นคือ หลักสูตรที่สามารถสร้างบุคลากรด้าน Industrial IoT ได้แก่ หลักสูตร Internet of Things และ Industrial IoT มาประยุกต์เป็นหลักสูตรในปัจจุบันที่มีสอนในวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายเป็น 6 สาขาวิชา ได้แก่ ช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เมคคาทรอนิกส์ เทคนิคคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักสูตรดังกล่าว อีกทั้งยังได้เพิ่มความเข้มข้นของเนื้อหาหลักสูตรด้วยองค์ความรู้ทางด้าน AI ซึ่งได้ถูกผนวกการใช้งานร่วมกับ IoT จึงเกิดเป็นเทคโนโลยี AIoT (Artificial Intelligence : Internet of Things) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่สำคัญในการพัฒนา Factory 4.0

ในปี 2567 นี้มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 189 คน โดยทางโครงการฯ ได้มีการปรับเปลี่ยน และเพิ่มความเข้มข้นให้กับการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อสร้างวิทยาลัยต้นแบบจากเครือข่ายทั้งหมด โดยมีวิทยาลัยต้นแบบ จำนวน 6 วิทยาลัย ได้แก่

  1. วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จ.ชลบุรี
  2. วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี จ.ชลบุรี
  3. วิทยาลัยอาชีวศึกษาเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ (ชลบุรี) จ.ชลบุรี
  4. วิทยาลัยเทคนิคบ้านค่าย จ.ระยอง
  5. วิทยาลัยเทคนิคพนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
  6. วิทยาลัยเทคโนโลยี ไออาร์พีซี จ.ระยอง

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 – 11 และ 16 – 17 ธันวาคม 2566 ทางโครงการฯ ได้ทำการเตรียมความพร้อมให้แก่ครูของทั้ง 6 วิทยาลัยข้างต้น มีการอบรมหลักสูตร Internet of Things และ Industrial IoT ร่วมทั้งได้มีการร่วมกันวางแผนการจัดการเรีนการสอนให้แก่นักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในปี 2567 โดยการอบรมหลักสูตร Fundamentals IoT และ Advanced IoT สำหรับนักศึกษาในโครงการฯ จะเริ่มในช่วงเดือนมกราคม 2567

]]>
การปรับเปลี่ยน SME สู่อุตสาหกรรม 4.0 ต้องทำอย่างไร https://www.nectec.or.th/news/news-article/sme-industry.html Wed, 28 Jun 2023 09:17:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33584

บทความ | นัทธ์หทัย ทองนะ

งานสัมมนา “Industry 4.0 ลงทุนง่ายๆ สบายกระเป๋า” ในเวที Intermach & Subcon Thailand 2023 ร่วมฟังบรรยายพิเศษ โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยต้องปรับและยกระดับ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร พร้อมรับฟังแนวทาง บริการเพื่อปรับปรุงและยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 และพลาดไม่ได้กับตัวอย่างความสำเร็จ จากประสบการณ์ในการลงทุน เพื่อยกระดับสู่ Industry 4.0 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 ไบเทคบางนา จัดโดย NECTEC SMC และ EECi

การปรับเปลี่ยน SME สู่อุตสาหกรรม 4.0 ต้องทำอย่างไร

นายพงษ์ชัย ชัยจิรวัฒน์ ประธานคณะทํางานการปฏิรูปอุตสาหกรรม และพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 กล่าวว่า การปรับเปลี่ยน SME ในไทยเพื่อให้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ถือเป็นโจทย์อมตะ ที่ต้องใช้เวลา ก่อนอื่นต้องของเล่าถึงสภาพแวดล้อมในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คำศัพท์ที่เรียกว่า VUCU V-Volatility ความผันผวน, U-Uncertainty ความไม่แน่นอน, C-Complexity ความซับซ้อน, A-Ambiguity ความคลุมเครือ ซึ่งเป็นชุดคำศัพท์ที่ใช้อธิบายสถานณ์โลกโดยรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง โดยสรุปก็คือโลกเปลี่ยนแปลงไวมาก ไม่มีอะไรที่แน่นอน 1+1=2 เสมอไป รวมทั้งความขัดแย้งต่างๆ ภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเศรษฐที่กิจถอดถอย ภาวะเงินเฟ้อ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิร้อนขึ้น ค่าไฟที่ปรับขึ้น การส่งออกที่ชะลอตัว แต่ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประเทศถือว่าสามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว สถานการณ์การเลือกตั้งซึ่งสร้างผลกระทบทั้งบวกและลบ คนด้านอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว

จากภาคอุตสาหกรรมเดิม 45 อุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ ต้องมีการปรับตัวโดย add value ด้วยเทคโนโลยี ขณะเดียวกันต้องดู S-Curve ใหม่ๆ รวมทั้งติดตามเรื่องสภาพอากาศซึ่งมีผลต่อการผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่การที่อุตสาหกรรม 2.0 สู่ 4.0 ได้นั้น จะต้อง  1. KNOWLEDGE SHARING การให้ความรู้และหาพาร์ทเนอร์ต่างๆ  2. ASSESSMENT 3. SOLUTIONING 4. IMPLEMENTATION 

นายพงษ์ชัย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญ คือ การสนันสนุนให้ SME ซึ่งเป็นกลุ่มอตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม จำเป็น ในราคาไม่แพง นอกจากนี้การส่งเสริมเรื่ององค์ความรู้ก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปด้วย

บริการเพื่อปรับปรุงและยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0

ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ EECi สวทช. กล่าวถึง แนวทางและบริการในการยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ว่าสวทช.มีอุปกรณ์ และแพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยภาคอุตสาหกรรม เริ่มตั้งแต่ หน่วยตรวจวัดระยะไกลยูนิเวอร์แซล Universal Remote Terminal (URCONNECT) ตัวดึงข้อมูลเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้น Cloud เพื่อทำ Data Analytics พร้อมยังมี Data iot Platform เป็น Cloud IoT Platform ที่ชื่อว่า NETPIE สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ติดตั้งในโรงงาน เมื่อดึงข้อมูลพลังงานของโรงงานมาแล้วสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้ปรับปรุงในชื่อว่า IDA Platform นอกจากนี้ยังมีระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร UNAI Platform ซึ่งใช้ในการติดตามระบบขนส่งภายในโรงงาน นำไปใช้ ติดตั้งจริงแล้วในหลายโรงงานอีกด้วย

แนวทางการยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ประกอบไปด้วย 3 ขั้น 

  1. Industry 4.0 Assessment การประเมินโรงงาน โดยทางโรงงานสามารถกรอกได้เอง หรือประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาจุดแข็ง จุดออน สิ่งที่ควรปรับปรุง ควรต้องดำเนินการก่อน
  2. Transformation Roadmap การวางแนวทางการดำเนินงาน
  3. Implement การลงมือดำเนินงานภายในโรงงาน

บริการของสวทช.เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 เริ่มตั้งแต่ Thailand i4.0 Index ประเมินระดับความพร้อมโรงงานอุตสาหกรรม บริการที่ปรึกษา บริการฝึกอบรม บริการวิเคราะห์ทดสอบ บริการวิจัยและพัฒนา และบริการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทำงานร่วมกับ สวทช.ตามโจทย์เฉพาะที่ผู้ประกอบการต้องการได้ 

โดย Thailand i4.0 Index ประเมินความพร้อมของโรงในหลายมิติต่างๆ ทั้ง Technology,  Smart Operation, IT System and Data Transaction, Market & Customers, Strategy & Organizations, Human Capital   ครอบคลุมทั้ง 360 องศาในภาคการผลิต ให้ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 สำหรับบริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช.มี ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน(Sustainable Manufacturing Center :SMC) ณ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ให้บริการทดสอบแก่โรงงานโดยไม่จำเป็นต้องรบกวนการไลน์การผลิตของตนเอง รวมทั้งให้บริการฝึกอบรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Testbed ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G, AGV, Smart Warhouse, Security  เป็นต้น พร้อมแนะนำคอร์สฝึกอบรมต่างๆ และสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานส่งเสริมทางอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับสู่ 4.0

คุณอดุลย์ เปรมประเสริฐ ประธานบริหารเจ้าหน้าที่ บริษัท ธนกรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด เล่าถึงประสบการณ์และความสำเร็จในการลงทุน เพื่อยกระดับสู่ Industry 4.0 ว่าได้เมื่อสังคมมีการปรับเปลี่ยน น้ำมันพืชกุ๊กในฐานผู้ผลิตสินค้าบริโภคก็ต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน โดยเข้าสู่การผลิตระบบออโตเมชั่นและดิจิทัล (Automation and Digitalization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและการบริการให้สูงขึ้น มีความรวดเร็ว ถูกต้อง และประหยัด ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่ลดลง ลดความ สูญเสีย สูญเปล่า โดยใช้หลัก DIGITAL CONSTRUCTIVE DISRUPTION : DCD การปฏิรูปอย่างสร้างสรรค์ภายในองค์กรด้วยดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์หลักขององค์กรทั้ง 6 ข้อ

  1. การลงทุน Automation และ Digital เพื่อลดต้นทุน ลดขั้นตอน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการผลิต
  2. การลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรในด้าน Digital Interface
  3. การปรับปรุงโครงสร้างระบบข้อมูล เพื่อทำให้ข้อมูล (Data) ที่มีอยู่ สามารถนำมาใช้งานได้ end-to-end มีความรวดเร็ว แม่นยำ และ insights-driven 
  4. การ Transform ช่องทางของการเข้าถึงลูกค้า และ Model ธุรกิจ 
  5. นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่อยู่นอกเครือข่ายธุรกิจเดิม
  6. การมองหา Partner ใหม่ ที่อยู่นอกธุรกิจเดิม

โดย 3 ข้อ สุดท้ายขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่จะเข้าถึงลูกค้า 

สำหรับแนวทางการลงทุนผู้ประกอบการควรมองหาสิทธิประโยชน์ เงินสนับสนุนจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ แต่ต้องคำนึงถึง คือ ต้นทุนเกี่ยวกับโครงการที่จะลงทุนประเมินความสามารถลดได้จริงหรือไม่ ผลประหยัด (Cost Saving) การดำเนินการแต่ละโครงการส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนอย่างไร ความคุ้มค่าในการลงทุน คุณภาพสินค้าและบริการ ความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย รวมทั้งภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กร 

พร้อมเน้นย้ำผู้ประกอบการติตามข่าวสารจากประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจาก Website BOI, Facebook หรือ social media โดย BOI จะมีการ Update คู่มือขอรับการส่งเสริมการลงทุนเป็นระยะๆ

 

]]>
Industry 4.0 ลงทุนง่ายๆ สบายกระเป๋า https://www.nectec.or.th/news/news-article/industry-intermach-2023-3.html Sun, 18 Jun 2023 16:50:32 +0000 https://nectec.or.th/?p=33457

บทความ | ปวีณา ครุฑธาพันธ์
สาระจากการเสวนา “สิทธิประโยชน์เพื่อการลงทุน ยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0”  ในงาน INTERMACH 2023

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ของไทย (Thailand i4.0 Platform Group) ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) รวมทั้งหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตร จัดงานสัมมนา ในหัวข้อ “Industry 4.0 ลงทุนง่ายๆ สบายกระเป๋า” เพื่อเป็นเวทีให้ความรู้และประสบการณ์แลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งเป็นกิจกรรมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แลกเปลี่ยนความรู้ ผู้ที่สนใจ ผู้ประกอบการ นักลงทุน ให้ทราบและเข้าใจอุตสาหกรรม 4.0 แนวทางการปรับตัวและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรม 4.0 รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนของภาครัฐให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และบริการที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0

บทบาท และ กลไกสนับสนุนของภาครัฐ

ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK  กล่าวถึง บทบาทของ EXIM BANK สนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ ให้ขยายการส่งออกและการลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ผ่านการให้สินเชื่อ รับประกัน หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์/บริการอื่น ๆ บนพื้นฐานของนวัตกรรมทางการ เงินที่หลากหลายอย่างครบวงจรโดยมุ่งเน้นการเสริมศักยภาพการค้าการลงทุนให้กับธุรกิจไทย และ สนับสนุนการค้าและการลงทุนของธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ใน เวทีโลกเป็นกลไกของรัฐเพื่อขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ประเทศไทย และอุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ (S-curve) เพื่อให้สามารถตอบสนองสภาพแวดล้อมภายนอกและนโยบายภาครัฐมากขึ้น และรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยแผนยุทธศาสตร์ ระยะ 5 ปี (ปี 2566-2570) ประกอบด้วย 7 ยุทธศาสตร์ ดังนี้

สร้างอุตสาหกรรมใหม่ …. หนึ่งในบทบาทและภารกิจของ EXIM BANK โดยมีแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการ ได้แก่ การเร่ง “ซ่อม สร้าง เสริม” 

“ซ่อม” ประคับประคองผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมที่ประสบวิกฤต เติมสภาพคล่องผู้ประกอบการ ปรับโครงสร้างหนี้ และรักษาการจ้างงาน (Payroll Financing)

​ “สร้าง” อุตสาหกรรมใหม่ สร้างอุตสาหกรรม BCG สร้าง Future Industry สนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนสนับสนุน BCG Economy เป็นสะพานเชื่อมต่อ โครงการ ความร่วมมือระหว่างรัฐบาล โดยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านเติมเต็ม ช่องว่างทางธุรกิจให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ เพื่อให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนอื่น ๆ

 “เสริม” ศักยภาพผู้ประกอบการ พัฒนาผู้ประกอบการสู่เวทีโลกอย่างครบวงจร (เติมความรู้ เติมโอกาส เติมเงินทุน)โดยการให้สินเชื่อ EXIM for Indirect Exporters / Supply Chain Financing พัฒนากลไก Formula Lending สนับสนุนกลุ่ม SMEs สนับสนุนสินเชื่อบุคคลทำธุรกิจ สร้างช่องทางการค้าออนไลน์ผ่าน Platform ระดับโลก ภายใต้โครงการ EXIM Thailand Pavilion

“สานพลังพันธมิตร” ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสานพลังความร่วมมือพัฒนานวัตกรรมด้านบริการทางการเงิน ภายใต้แนวคิด “รวมช่องทาง รวมกระบวนการ และรวมโมเดลในการประเมินสินเชื่อเข้าด้วยกัน” เพื่อให้ผู้ประกอบ การได้รับความสะดวกรวดเร็วในการใช้บริการ และจัดทำหลักสูตร Top X ร่วมกับ 3 สภาฯ และมหาวิทยาลัยชั้นนำ

ดร.เบญจรงค์ กล่าวเสริมว่า EXIM BANK พัฒนาบริการใหม่ “EXIM Biz Transformation Loan”  เป็นสินเชื่อรูปแบบใหม่ที่จะช่วย “ซ่อม” “สร้าง” และ “เสริม” ภาคอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ให้มีความ พร้อมในการผลิตและส่งออกสินค้าสู่ตลาดโลก มีเป้าหมายวงเงินสินเชื่อรวม 4.9 พันล้านบาท บริการดังกล่าวเป็นสินเชื่อระยะยาวเพื่อให้ผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจ และทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึง SMEs นำไปใช้ปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน หรือ ลงทุนเพิ่ม รวมทั้งปรับปรุงระบบ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและกระบวนการการผลิต ตลอดจนขยายกำลังการผลิต ให้ได้สินค้าคุณภาพดีได้มาตรฐานสากล โดยเน้น อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-curve) และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และเกษตร แปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงมาตรการสินเชื่ออื่น ๆ เช่น EXIM Green Start เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มสภาพ คล่องผู้ประกอบการ S M L ในกลุ่มอุตสาหกรรมดำเนินธุรกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม EXIM Solar Orchestra สินเชื่อเพื่อติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และ EXIM Export Ready เงินทุนเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ส่งออก 

EXIM BANK ยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนผู้ประกอบการไทยอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการ พัฒนาประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve และ BCG Economy) สอดรับกับนโยบายรัฐบาล ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการและขับเคลื่อนประเทศไทย

สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

คุณนิธิวดี สมบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายประสานเครือข่ายผู้ให้บริการ SME และส่งเสริมนโยบายภาครัฐ กล่าวถึงภารกิจหลักของ สสว. ในการเสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์ การส่งเสริม SME ของประเทศ รวมถึงเป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการความ ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริม SME ให้เกิดความ ต่อเนื่องและสอดคล้องในทิศทางเดียวกัน “สสว. ได้ออกมาตรการโครงการส่งเสริม ผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (มาตรการ SME ปัง ตังได้คืน) เพื่อเป็นการแบ่งเบา ค่าใช้จ่าย เข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับ SMEs เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ รูปแบบใหม่ ผ่าน online platform bds.sme.go.th จะรวบรวมบริการต่าง ๆ ที่จำเป็น ในการประกอบธุรกิจจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น การขอรับมาตรฐาน การต่ออายุ ใบอนุญาต การพัฒนาองค์ความรู้ และกิจกรรมส่งเสริมด้านการตลาดมาให้ผู้ประกอบ การได้เลือกบริการที่เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง โดย สสว. จะอุดหนุน ค่าใช้จ่ายส่วน หนึ่งเป็นสัดส่วน แบบร่วมจ่าย (co-payment)  ในสัดส่วนร้อยละ 50 – 80 แต่ไม่เกิน รายละ 200,000 บาท ตามขนาดกับของธุรกิจของผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน พัฒนาสิทธิประโยชน์ ให้ผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนผู้รับบริการภาครัฐเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SME ไทย 3 เรื่องสำคัญให้แก่ผู้ประกอบการ ได้แก่ 1) เชื่อมโยงแหล่งทุน กับธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) เช่น วงเงินสินเชื่อ อัตราพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ สสว. ยกเว้นการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม รวมถึงอำนวยความสะดวกและให้สิทธิพิเศษ กับผู้ประกอบการ ในการเข้าร่วมโครงการระดมทุนผ่านตลาดทุนที่ได้รับการส่งเสริม จากกลต. 2) เพิ่มผลิตภาพและลดต้นทุน ให้ความรู้ด้านการใช้งานและส่งเสริม การขายผ่าน TikTok โดยผ่านกิจกรรมฝึกอบรม รวมถึงโอกาสการ co-brand เพื่อทำ แคมเปญออกสินค้าร่วมกับบริษัท Fineserve Co.,Ltd. และโอกาสการขยายตลาด สู่ต่างประเทศ 3) ขยายช่องทางการตลาด เชื่อมโยงกับหน่วยงานพันธมิตร EXIM BANK พัฒนาระบบประเมินความพร้อมผู้ส่งออกไทย ผ่าน TERAK Platform และร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด จัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching Product Selection)

คุณนิธิวดี กล่าวเสริมว่า มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการของ สสว. ออกมาเพื่อช่วย SME ให้สามารถแข่งขันได้จริง ๆ เพราะเป็นการลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบ

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA)

ดร.ปรีสาร รักวาทิน ผู้ช่วยผู้อำนวยการ กลุ่มงานส่งเสริมการประยุกต์ใช้ดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวถึง บทบาทและมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมดิจิทัลของดีป้า ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย ผ่านกลไกการส่งเสริมผู้ประกอบการ digital Startup และ SMEs ทั้งในรูปแบบ ของการให้เงินทุนสนับสนุนในการก่อตั้ง การพัฒนาธุรกิจ ไปจนถึงการขยายตลาด ผ่านการให้เงินทุนสนับสนุนให้แก่โครงการที่มีศักยภาพในการดำเนินงานและการส่งเสริมความพร้อมและการสร้างพื้นที่ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อเข้าสู่การแข่งขัน ในตลาดผ่านการเป็น Digital Provider รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่ดีป้าได้ดำเนินการ ผลักดัน อาทิ บัญชีบริการดิจิทัล และสิทธิประโยชน์ Capital Gain Tax เพื่อช่วย ผลักดันให้ Digital Startup และ SMEs ซึ่งเปิดรับสมัครการสนับสนุนเข้าร่วมโครงการ ผ่านมาตรการในด้านต่าง ๆ ได้แก่

มาตรการขับเคลื่อนดิจิทัลด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย

1) การสร้างให้เกิด ดิจิทัลสตาร์ทอัพ (Digital Startup) รุ่นใหม่ที่มีศักยภาพผ่านมาตรการ ช่วยเหลือหรือการอุดหนุนเพื่อการเริ่มต้นธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล (depa Digital Startup Fund) โดยแบ่งการสนับสนุน ออกเป็น 3 ระยะ สนับสนุนสูงสุด 5,000,000 บาท/ราย 

2) การกระตุ้นให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล ในภาคเอกชน (Digital Transformation) ผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อภาคธุรกิจอุตสาหกรรม (depa Digital Transformation Fund) สนับสนุนสูงสุด 1,000,000 บาท/ราย และ 

3) การสร้างองค์ความรู้ผลงานวิจัยและนวัตกรรมด้านดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ในอุตสาหกรรม ผ่านมาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนการร่วมวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรม และนวัตกรรมดิจิทัล สนับสนุนสูงสุด 3,000,000 บาท/ราย

มาตรการขับเคลื่อนดิจิทัลด้านสังคม ประกอบด้วย 

1) การสร้างกำลังคน และบุคลากร ดิจิทัล (Digital Manpower) ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชน ผ่าน มาตรการช่วยเหลือหรือการอุดหนุนการพัฒนาศักยภาพกำลังคนและบุคลากรด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมดิจิทัล (depa Digital Manpower Fund) แบ่งการสนับสนุน ออกเป็น 2 ส่วน สนับสนุนสูงสุด 3,000,000 บาท/ราย 

2) การสร้างความเข้มแข็ง ในระดับชุมชนโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ผ่านมาตรการ ช่วยเหลือหรือการอุดหนุน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อ ชุมชนในชนบท แบ่งการสนับสนุนออกเป็น 2 ส่วน สนับสนุนสูงสุด 5,000,000 บาท/ราย

มาตรการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เป้าหมายเพื่อสร้างให้เกิดระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศ โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการ พัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลซึ่งให้การสนับสนุนในสองมาตรการ 1) มาตรส่งเสริมและสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของภาคเอกชน และ 2) มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

ดร.ปรีสาร กล่าวเสริมว่า มาตรการในการสนับสนุนดังกล่าวจะช่วยยกระดับ มาตรฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของประเทศ เพื่อการพัฒนา และวางโครง สร้างพื้นฐานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งเกิดการพัฒนาอย่างบูรณาการ ทั้งภาคเศรษฐกิจ และสังคม

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

คุณอุษณีย์ ถิ่นเกาะแก้ว นักวิชาการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า บทบาท BOI ในการส่งเสริมการลงทุน ทั้งในประเทศ และการลงทุน ของไทยในต่างประเทศ มีเป้าหมายของยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ส่งเสริมการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่ “เศรษฐกิจใหม่” “NEW Economy, NEW Opportunities” ภารกิจหลักของสำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 1) ส่งเสริมการลงทุนในไทย (ทั้งนักลงทุนไทยและนัก ลงทุนจากต่างประเทศ) เพื่อนโยบายการให้การส่งเสริม (ตามประเภท กิจการ /คุณค่าโครงการ/พื้นที่เฉพาะ/ Agenda-based) เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดความเหลื่อมล้ำ/กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค 2) อำนวยความสะดวก และปรับปรุง สภาพแวดล้อมการลงทุน ได้แก่ ศูนย์วีซ่าและใบอนุญาตทำงาน Smart Visa เพิ่มการ ใช้ชิ้นส่วน/วัตถุดิบในประเทศ และข้อเสนอปรับปรุงกฎระเบียบการดำเนินธุรกิจ 3) ส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศให้คำปรึกษา/อำนวยความสะดวก (ไม่มีการให้สิทธิและประโยชน์ทางภาษีอากร)

การส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับไปสู่ Industry 4.0

มาตรการยกระดับอุตสาหกรรม สนับสนุนให้ผู้ประกอบการ มีการลงทุนเพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพยกระดับการผลิตหรือบริการไปสู่ Smart & Sustainable Industry โดยมีเงื่อนไข/สิทธิและประโยชน์ 

1) ปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการเดิม ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ฯ 3 ปี สำหรับรายได้ ของกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม เป็นสัดส่วน 50% หรือ 100% (ขึ้นกับเงื่อนไข) ของเงินลงทุนในการปรับปรุง 

2) ยกระดับกิจการกลุ่ม B ที่ลงทุนโครงการใหม่ ยกเว้นภาษีเงินได้ฯ 3 ปี เป็นสัดส่วน 50% หรือ 100%
(ขึ้นกับเงื่อนไข) ของเงินลงทุนในระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรือระบบ การผลิตแบบอุตสาหกรรม 4.0

ขอบข่าย ใช้กับกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้รับหรือไม่ได้รับการส่งเสริม เป็นประเภท กิจการที่อยู่ในข่ายให้การส่งเสริมในวันที่ยื่นขอรับการส่งเสริม กรณีโครงการ ที่ได้รับการส่งเสริมอยู่เดิม สิทธิยกเว้น/ลดหย่อนภาษีเงิน ได้ฯ ต้องสิ้นสุดแล้ว หรือไม่เคยได้รับยกเว้น สิทธิและประโยชน์ ได้แก่ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี เป็นสัดส่วน 100% ของเงินลงทุนในการปรับปรุงเพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรม 4.0ระยะเวลายกเว้น ภาษีเงินได้ฯ นับจากวันที่มีรายได้ภายหลังได้รับบัตรส่งเสริม เงื่อนไข ต้องเสนอแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ที่ได้รับความเห็นชอบจาก สวทช. และต้องดำเนินการตามแผนที่ได้รับอนุมัติ ต้องมีการลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 ตามเกณฑ์ที่กำหนดในด้านต่าง ๆ เช่น ระบบอัตโนมัติและการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ (Automation and Network Technology) การวิเคราะห์ข้อมูลและการปฏิบัติการ ที่ชาญฉลาด (Smart Operation) หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้บริหาร จัดการในกระบวนการผลิต (Digital Technology in Production Process) เป็นต้น 

มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมสำหรับโครงการใหม่ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน (กิจการในกลุ่ม B) 

มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมเป็นมาตรการที่สนับสนุนและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการทั้งในส่วนที่ดำเนินกิจการอยู่แล้ว หรือผู้ประกอบการที่ต้องการยื่นขอรับการส่งเสริมโดยการลงทุนใหม่สำหรับกิจการในกลุ่ม B (กิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล) ให้มีการลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพหรือยกระดับกิจการทั้งในส่วนภาคการผลิตหรือการบริการเพื่อขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรมอัจฉริยะและยั่งยืน (Smart and Sustainable Industry)

คุณอุษณีย์ กล่าวเสริมว่า BOI ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี ส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยมี 9 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ 2) มาตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน 3) มาตรการรักษาและขยายฐานการผลิตเดิม 4) มาตรการส่งเสริมการย้ายฐานธุรกิจแบบครบวงจร 5) มาตรการกระตุ้นการลงทุนในระยะฟื้นฟูเศรษฐกิจ 6) มาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainability 7) มาตรการส่งเสริมการลงทุน SMEs 8) มาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย และ 9) มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม

]]>
การทดสอบวัสดุชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตไทย https://www.nectec.or.th/news/news-article/industry-intermach-2023-2.html Sun, 18 Jun 2023 16:29:31 +0000 https://nectec.or.th/?p=33445

บทความ | ปวีณา ครุฑธาพันธ์

สาระจากการบรรยายพิเศษ “การทดสอบ / ตรวจสอบวัสดุชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตไทย” ในงานเสวนา INTERMACH 2023

โดย คุณอรุณ เจียงศรีเจริญ
ผู้จัดการอาวุโสแผนกรับรองและทดสอบ ศูนย์เทคโนโลยีแม่พิมพ์ เครื่องมือกล และบริการทดสอบ สถาบันไทย-เยอรมัน

ปัจจุบัน ‘ความยั่งยืน’ กำลังกลายเป็นบริบทสำคัญของโลก หลาย ๆ องค์กรธุรกิจเริ่มเห็นความสำคัญ แนวคิดการทำธุรกิจที่ยั่งยืนซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน กำหนดให้องค์กรต้องมีการดำเนินการด้าน ESG ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 มิติ คือ มิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) มิติด้านสังคม (Social) และมิติด้านธรรมภิบาลขององค์กร (Governance) ซึ่งเป็นแนวคิดระดับโลกที่ธุรกิจทุกขนาดจะต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้โลกของเราอยู่ได้อย่างยั่งยืน และธุรกิจสามารถดำเนินต่อได้ในอนาคต ในแต่ละมิติจะมีตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงผลการดำเนินการขององค์กร 

ESG สำคัญอย่างไร? ทำไมต้องดำเนินธุรกิจตามแนวคิดนี้

คุณอรุณ กล่าวว่า ในอดีตนักลงทุนจะเน้นลงทุนในบริษัทที่มีผลกำไรดีเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันบทวิเคราะห์ของบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์หลายแห่งชี้ว่า ในระยะยาวการลงทุนในบริษัทที่มุ่งเน้นแนวคิด ESG ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนจะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าบริษัทที่แสวงผลกำไร กล่าวได้ว่า ในอนาคตสถาบันการเงินหลายแห่งจะไม่สนับสนุนเงินลงทุนกับบริษัทที่ไม่ได้คำนึงถึง ESG หรือสินค้าที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันกระแส Climate change เข้ามาผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นบริษัทที่สามารถระบุปัจจัย ESG ที่มีความสำคัญต่อความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลต่อศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจน

สำหรับประเทศไทย BCG Economy Model จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด กระจายโอกาส กระจายรายได้ และนำความมั่งคั่งไปสู่ชุมชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง นำพาประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้สูง และมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน BCG โมเดล ประกอบด้วย 3 เศรษฐกิจหลัก คือ B Bio Economy ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่า เชื่อมโยงกับ C Circular Economy ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และทั้ง 2 เศรษฐกิจนี้ อยู่ภายใต้ G Green Economy ระบบเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษ เพื่อลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานเชิงคุณภาพของประเทศไทย ( National Quality Infrastructure) หรือ NQI คือระบบที่ประกอบขึ้นจากองค์กรรัฐและเอกชน ที่มีนโยบาย กฎหมาย กรอบการกำกับดูแลและแนวปฏิบัติร่วมกัน โดยแบ่งได้ 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การกำหนดมาตรฐาน 2) ระบบรับรองงาน 3) มาตรวิทยา 4) การตรวจสอบรับรอง และ 5) การกำกับดูแลตลาด เพื่อสร้างหลักประกันทางคุณภาพให้แก่ผลิตภัณฑ์ ทั้งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม และบริการ รวมไปถึงการพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพ คือ หลักประกันสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่สังคมที่ ยั่งยืน” สำหรับงานทดสอบจะอยู่ในบริบท “การตรวจสอบรับรอง” เป็นส่วนหนึ่งของระบบ NQI

งานทดสอบและตรวจสอบมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมให้เป็น BCG อย่างไร

คุณอรุณ อธิบายเพิ่มเติมว่า การทดสอบมีหลายบริบทและหลายวัตถุประสงค์ ประกอบด้วย

1) การควบคุมและประกันคุณภาพทุกบริษัทต้องมีบางบริษัทมองว่าเป็นค่าใช้จ่าย จริง ๆ แล้วการควบคุมคุณภาพเป็นกลไกหลักเป็นด่านแรกที่ควบคุมผลิตภัณฑ์สินค้าให้มีคุณภาพ ซึ่งเป็นกลไกตัวนึงทำให้เกิดธุรกิจและความยั่งยืน

2) การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน คือ ตรวจสอบสุขสภาพเครื่องจักรบำรุงรักษาเชิงป้องกันวางแผนซ่อมบำรุงก่อนเกิดความเสียหาย

3) ความปลอดภัยค่อนข้างมีความสำคัญผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องผ่านการทดสอบเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยต่อมนุษย์แล้วจึงมีการประกาศใช้ ยกตัวอย่างช่วงโควิคทั่วโลกมีการประกาศใช้วัคซีนจะต้องผ่านการทดสอบก่อนถึงจะประกาศใช้ออกมา

4) การออกแบบที่มีประสิทธิภาพ การวางแผนและออกแบบมาเพื่อคืนสภาพหรือให้ชีวิตใหม่แก่วัสดุต่าง ๆ ในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ แทนที่จะทิ้งไปเป็นขยะเมื่อสิ้นสุดการบริโภค เศรษฐกิจหมุนเวียนนำวัสดุที่เป็นองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นกลับมาสร้างคุณค่าใหม่ หมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่องโดยไม่มีของเสีย มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความสมดุลในการดึงทรัพยากรธรรมชาติมาใช้งานใหม่เพื่อลดผลกระทบภายนอก

5) การวิเคราะห์/ทดสอบวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา เพื่อพัฒนาปรับปรุงแก้ไขดีไซน์การใช้งานรูปร่างวัสดุหรือกระบวกการผลิตใหม่ ป้องกันไม่ให้เกิดการชำรุดเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถ้าวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาได้ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ และออกแบบการป้องกันให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้นการเกิดขยะก็จะน้อยลงเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

6) วิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนาสิ่งใหม่ นวัตกรรมใหม่ ต้องทำการทดสอบก่อนว่ามันใช้งานแล้วดีจริงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม ในแง่ของการวิจัยและพัฒนาจึงจำเป็นต้องทดสอบให้แน่ใจเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างคุ้มค่าสูงสุด อีกทั้งลดปริมาณของเสีย ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และลดค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด  

การทดสอบแบ่งเป็น 2 หมวดคือ แบบทำลาย และแบบไม่ทำลาย สามารถทำการทดสอบได้ทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ เป็นการยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ของเราเป็นไปตามข้อกำหนด

ผลประโยชน์และผลกระทบ จากการทดสอบต่อการหมุนเวียนหรือก่อให้เกิดอุตสาหกรรมสีเขียว

คุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นสามารถ ลดการใช้วัสดุผลิตภัณฑ์ ผลิตได้ตามมาตรฐานทำให้เกิดของเสียน้อย เป็นการลดการใช้วัสดุสิ่งใหม่ หรือการนำเข้าวัตถุดิบในการผลิตก็จะใช้น้อยลงก็ใช้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ลดของเสีย และเกิดการป้องกันของเสีย ช่วยลดค่าใช้จ่าย ช่วยลดต้นทุนในการผลิต สร้างผลกำไรได้เพิ่มขึ้น ลดการนำเข้า มองว่าหลายผลิตภัณฑ์ในประเทศสามารถผลิตเองได้ ต้นทุนไม่สูง ยกตัวอย่างชิ้นส่วนทางการแพทย์ ในปัจจุบันนำเข้ามาซะส่วนมาก มองว่าในประเทศมีศักยภาพทำได้ทุกอุปกรณ์ ติดเรื่อง Marketing ถ้าสนับสนุนในส่วนนี้ก็จะลดการนำเข้าได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เมื่อผลิตสินค้าให้เป็น BCG การออกแบบกระบวนการ ผลิตภัณฑ์ บริการ และรูปแบบธุรกิจที่สามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ผู้บริโภคเข้าถึงได้สินค้าที่ดีมีคุณภาพไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป ลดการนำเข้าด้วยการวิจัย /พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและประสิทธิผล การทดสอบเพื่อดูผลงานแล้วนำไปปรับปรุงกระบวนการผลิต ปรับปรุงดีไซน์ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สิ่งที่กล่าวมาก็จะ Return กลับมาที่บริษัททั้งหมด

การทดสอบกับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

การทดสอบยังตอบโจทย์กับ Trend อุตสาหกรรมในอนาคต โดยมี 2 รูปแบบ คือ First s-curve ซึ่งเป็นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอยู่แล้วในประเทศ  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยผลิตโดยการลงทุนชนิดนี้จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะกลาง แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอที่จะทําให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด จึงจําเป็นต้องมีการพัฒนา S-curve ในรูปแบบที่ 2 คือ New S-curve  ควบคู่ไปด้วยซึ่งเป็นรูปแบบของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่  เพื่อเปลี่ยนรูปแบบสินค้าและเทคโนโลยี  โดยอุตสาหกรรมใหม่หรืออุตสาหกรรมอนาคตเหล่านี้จะเป็นกลไกที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (New Growth Engines) ของประเทศ

การต่อยอด 5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และการเติม 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-curve) ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 2) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์  3) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 4) อุตสาหกรรมดิจิทัล 5) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร จะเห็นว่าทุก ๆ อุตสาหกรรมจำเป็นต้องทำการทดสอบทั้งหมด เพราะฉะนั้นการทดสอบและการควบคุมคุณภาพนั้นยังคงอยู่กับทุก ๆอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ รวมถึงทุกธุรกิจไม่ว่าจะเป็นงานทดสอบและงานบริการด้วยเช่นเดียวกัน

]]>
Industry 4.0 เกี่ยวข้องกับ Sustainability ได้อย่างไร https://www.nectec.or.th/news/news-article/industry-intermach-2023.html Sun, 18 Jun 2023 16:07:45 +0000 https://nectec.or.th/?p=33433

บทความ | ปวีณา ครุฑธาพันธ์

สาระจากการบรรยายพิเศษ “Sustainability in Smart Manufacturing: 
ไม่ตกยุคและพร้อมก้าวสู่อนาคตนำความยั่งยืนมาสู่การผลิตภาคอุตสาหกรรม” ในงานเสวนา INTERMACH 2023
โดย ดร. พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน
(Sustainable Manufacturing Center: SMC) เนคเทค สวทช.

ความยั่งยืน ในกระบวนการผลิตอุตสาหกรรมกำลังเป็นกระแสที่ในวงการนักอุตสาหกรรม ทั้งในแง่ของการเพิ่มมูลค่าของสินค้าตลอดจนถึงอนาคตของสิ่งแวดล้อมที่เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจให้มากขึ้น เช่น การลดผลกระทบในเรื่องของอุณหภูมิ หรือฝุ่นควันที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นจากภาคการผลิตในอุตสาหกรรม และประเด็นสำคัญในการก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืนไปพร้อมกับประสิทธิภาพในการทำงานของภาคการผลิต

ดร.พนิตา กล่าวว่า การก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 (SM & Industry 4.0) เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม Digital Transformation การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ในอุตสาหกรรม พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีให้ฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้ในการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการผลิตสินค้า ในขณะนั้นไม่เน้นระบบนิเวศ

อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อความยั่งยืน SM & Sustainability

เมื่อพูดถึง Sustainability ในอุตสาหกรรมการดำเนินธุรกิจต้องปรับตัวและพัฒนาเพื่อตามให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเพื่อตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหันมาใส่ใจในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ผ่านกลไกการผลิตที่สามารถทำงานบนความยืดหยุ่น และการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร

ความสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ได้หยุดอยู่แค่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน ความสำคัญและผลลัพธ์ของการนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้กว้างกว่านั้นมาก มันคือเส้นทางสู่ความยั่งยืน และจะช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SGDs) การนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ควบคู่กับความยั่งยืนจะสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้ดีกว่า

Industry 4.0 + Sustainability = Sustainable Smart Manufacturing

Sustainable Smart Manufacturing > โรงงานแห่งอนาคต: แนวคิดและเทคโนโลยี การปรับกระบวนการผลิตในโรงงานจากเดิมการดูข้อมูลแบบ Vertical คือแต่ละแผนกก็จะดูทำรายงานของตัวเองในการผลิต จาก vertical มาเป็น Horizontal คือแต่ละแผนกต้อง Integration ข้อมูลกันการผลิตไปขั้นตอนที่ 1 ไปสู่ขั้นตอนที่ 2 ข้อมูลจะต้องลิงค์กันจากนั้นไปสู่ End-to-end integration คือ การรวมแบบครบวงจร หรือเป็นเส้นทางการทำงานของระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น ออเดอร์เข้ามาจากลูกค้าการผลิตจนไปถึงซัพพลายเชน ในส่วนของเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง Industry 4.0 หรือ Factory of the future จะมี IoT CPS Bigdata Cyber Security Cloud Computing Additive Manufacturing Augmented Reality Advanced robotics / Cobots อันนี้จะเป็นคอนเซปในภาพรวมจากนำเทคโนโลยีมาใช้กระบวนการผลิตต่าง ๆ

ในขณะที่อุตสาหกรรมต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตามให้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็ต้องหันมาใส่ใจในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) ด้วยเช่นกัน ซึ่งประเด็นของ Sustainable Development Goals หรือ SDGs ได้กลายเป็นนโยบายที่องค์กรรอบโลกยกให้เป็นประเด็นหลักในการพัฒนาในอุตสาหกรรม ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี

ดร.พนิตา กล่าวเสริมว่า Sustainability สิ่งแรกที่คำนึงถึงคือ Sustainable Development Goals : SDGs “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (United Nations: UN) เป็นเป้าหมายของโลกเพื่อให้ประเทศต่าง ๆ นำไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จภายในปี ค.ศ.2030 ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาภาครัฐ ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงสังคมเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นกับการขับเคลื่อนสีเขียวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มีทั้งหมด 17 เป้าหมาย โดยเป้าหมายของ SDGs ที่เกี่ยวข้องในด้านการผลิตที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย 

  • เป้าหมายที่ 7) สร้างหลักประกันให้สามารถเข้าถึงพลังงานอย่างยั่งยืนในราคาที่เหมาะสม
  • เป้าหมายที่ 8) ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและทั่วถึง การจ้างงานเต็มอัตรา และงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน
  • เป้าหมายที่ 9) สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ต้านทานและรองรับต่อการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรม
  • เป้าหมายที่ 12) สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน
  • และเป้าหมายที่ 13) เร่งรัดดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศและผลกระทบ

Sustainable Smart Manufacturing Framework

เป้าหมายการพัฒนาทั้ง 5 ข้อ นำไปสู่การพัฒนาที่สมดุลกันใน 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืน(3 Pillars of Sustainability) คือ มิติด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม มุ่งเป้าการพัฒนาอย่างยั่งยืนและยืดหยุ่น ในยุคที่คนกลับเข้าสู่โรงงานทำงานร่วมกันกับหุ่นยนต์ จากการผลิตอัจฉริยะ (SM & Sustainability) สู่โรงงานแห่งอนาคต อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Manufacturing) คือ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้กระบวนการผลิตที่ส่งผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดลดของเสีย โดยมุ่งเน้นไปที่การอนุรักษ์พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ไปพร้อมกับความปลอดภัยของพนักงาน ชุมชน และผู้บริโภค ด้วยต้นทุนที่ประหยัด โดยมีเสาหลักแห่งความยั่งยืนใน 3 ด้าน คือ 

ด้านสังคม (Social) การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสุขภาพและความปลอดภัยของชุมชนลูกค้าและพนักงาน ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) ดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม โดยตระหนักถึงการใช้ทรัพยาและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น พลังงงานไฟฟ้า พลังงานเชื้อเพลิงให้ความสําคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ดำเนินธุรกิจอย่างสมดุล เพิ่มผลผลิตลดของเสีย ธุรกิจสามารถเติบโตได้ในระยะยาว

ภารกิจศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) มีเป้าหมายหลักของที่ต้องการผลักดันอุตสาหกรรมไทยก้าวเข้าสู่ Industry 4.0 โดยส่งเสริมให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตของโรงงาน ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ดำเนินงานเป็นรูปธรรมโดยให้ความสำคัญ 3 เสาหลักของมิติความยั่งยืนใน ด้านสังคม (Social) Upskill reskill แรงงานปัจจุบัน เตรียมกำลังคนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และพัฒนากระบวนการทำงานร่วมระหว่างมนุษย์-หุ่นยนต์ ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) การลดการปล่อย CO2 วิจัยและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีเพื่อบริหารจัดการพลังงานในโรงงาน เทคโนโลยีวัดคุณภาพน้ำคุณภาพอากาศ และ ด้านเศรษฐกิจ (Economic) ประเมินศักยภาพความพร้อมโรงงานและช่วยวางแผนการพัฒนา ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อลดต้นทุนการผลิต สร้างเทคโนโลยีในประเทศ ผสมผสานกับการใช้ของต่างชาติ รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการเงินภาษี จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.พนิตา ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษา 2 โรงงานที่นำเทคโนโลยีและบริการของ SMC ไปใช้ในการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อมุ่งไปสู่ Sustainability 

Case Study 1 : โรงงานอาหาร นำ Thailand i4.0 Index เป็นการประเมินความพร้อมในอุตสาหกรรม เปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพทำให้ทราบว่าโรงงานมีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไรควรปรับปรุงในด้านใด หลังจากโรงงานได้เข้ารับการประเมินก็เริ่มพัฒนาในหลาย ๆ ด้านควบคู่กันไป เช่น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในโรงงาน เช่น IIoT & Data Analytics เพื่อตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักร ปรับปรุงระบบ SCADA on Cloud 5G for Condition-based maintenance ติดตามสถานะของเครื่องจักร Cybersecurity รวมถึงการทำ Product & Org carbon footprint การที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิต ทำให้โรงงานสามารถยื่นขอรับการส่งเสริมสิทธิประโยชน์บีโอไอได้ และได้ผ่านการรับรองและส่งเสริมโรงงานอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ความยืดหยุ่นการดำเนินการระหว่างการปิดพื้นที่เสี่ยงโควิด ผู้บริหารและพนักงงานสามารถเรียกดูข้อมูลแบบเรียลไทม์ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของ Sustainability

Case Study 2: โรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ นำ Thailand i4.0 Index เป็นการประเมินความพร้อมในโรงงาน ซึ่งเป็นโรงงานที่ทำ R&D ภายในทำหุ่นยนต์ขึ้นมาเอง นำโนโลยีเข้ามาใช้ในโรงงาน เช่น In-house AGV development ทำให้ลดการพึ่งพา Vendor นำ 5G for AGV tracking ลดเวลาในการรอทำให้การผลิตมีประสิทธภาพดีขึ้น การใช้ IIoT for facility monitoring ป้องกันการการสูญเสียชำรุดของเครื่องจักร Visual inspection ใช้ถ่ายภาพชิ้นส่วน และ IoT Energy Monitory การตรวจติดตาม ลดต้นทุน ทางด้านพลังงานในกระบวนการผลิต โรงงานได้วาง Roadmap อย่างชัดเจนในการนำเทคโนโลยีเข้ายกระดับกระบวนการผลิต พัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันทั้งด้านต้นทุนและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เพื่อก้าวสู่ “Smart Factory” ภายในปี 2025

]]>
เนคเทคเผยวิสัยทัศน์ขับเคลื่อน AI และ IoT ในภาคอุตสาหกรรม ที่งาน AI & IoTs Summit 2023 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/ai-iot-summit2023.html Fri, 09 Jun 2023 10:50:21 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33347

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ปาฐกถาในหัวข้อ: Driving AI & IoT Application Development through Industry Collaboration ในงานอบรมสัมมนา AI & IoTs Summit 2023

โดยกล่าวถึงความก้าวหน้าของ AI & IoT ที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม โดยเมื่อ AI มาเจอกับ IoT สิ่งที่จะได้ประโยชน์คืออะไร, แนะนำคีย์เวิร์ดที่ควรรู้ Cyber Physical System, แนะนำงานวิจัยที่ภาคเอกชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือต่อยอดในภาคธุรกิจได้, Case study ที่ทำร่วมกับเอกชน รวมถึง Campaign ที่น่าสนใจจาก เนคเทค สวทช.

โดยทั่วไปมักจะคุ้นเคยกับการใช้ IoT ในลักษณะเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ เพื่อขึ้น Database หรือ Cloud ไปวิเคราะห์ Take Action ต่างๆ การใช้ IoT เป็นการเก็บข้อมูลทางเดียว หรือใช้ในการสั่งการ Smart Homeใช้ในการควบคุม สั่งการแบบตรงไปตรงมา แต่เมื่อ IoT มาพบกับ AI นั้น AI ซึ่งมีหน้าที่ในการประมวลผลเทียบเท่ามนุษย์ในช่วงแรก ปัจจุบันการประมวลผลมีหลายรูปแบบ ทั้งในระดับ Sensors, Gateway (Edge Computing), Server และ Cloud ความฉลาดฉลาดของ AI จะอยู่ในระดับใดขึ้นอยู่กับการออกแบบและการพัฒนา ข้อดีถ้าประมวลผลใกล้จุดปลายทางที่สุดความรวดเร็วย่อมดีที่สุดแต่ก็เปลืองทรัพยากรจำนวนมาก หากประมวลผลใน cloud แม้จะมีทรัพยากรเพียงพอแต่มี Round Trip Time (RTT) ซึ่งก็คือเวลาที่ใช้ไคลเอนต์ในการส่งคำขอและรับการตอบกลับจากเซิร์ฟเวอร์ก็จะเยอะขึ้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้พัฒนา

สำหรับการประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจของ AI & IoTs ไม่ว่าจะเป็นด้านโลจิสติกส์ การวิเคราะห์ทั้ง supply chain ในเชิงธุรกิจ เรื่องของ ERP การใช้ OCR ในการอ่านเอกสารการเงินต่างๆ การทำ Big Data Analytic การทำรถอัตโนมัติซึ่งต้องใช้เซนเซอร์ในการประมวลผลต่างๆ ให้สามารถตัดสินใจเอง ด้านอุตสาหกรรมด้าน Maintenance ที่ไม่ใช่ตามตารางเวลาและจะเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เหล่านี้คือความหลากหลายและเป็นไปได้เมื่อ AI มาเจอกับ IoTs

Cyber-Physical Systems : เมื่อโลกทางกายภาพพบกับโลกไซเบอร์

เมื่อ AI มาพบกับ IoT สิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียกว่า Cyber-Physical Systems คือ ระบบทางวิศวกรรมที่บูรณาการโลกกายภาพ (Physical World) กับโลกไซเบอร์ (Cyber World) เข้าด้วยกัน โลกกายภาพเป็นข้อมูลที่ถูกดึงขึ้นมาจากสิ่งต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครื่องจักร มนุษย์ ระบบต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รวมถึงสภาพแวดล้อม ถูกดึงขึ้นมาเพื่อประมวลผลเป็นองค์ความรู้ แปลงสู่การตัดสินใจ เช่น หยุดการเดินเครื่องต่างๆ การปั้มน้ำ เพิ่มความดัน การตัดสินใจเหล่านี้ก็จะกลับไปควบคุมสิ่งที่เป็น Physical เครื่องจักรทางกายภาพ ดังนั้น Cyber-Physical Systems (CPS) เกิดขึ้นได้ต้องมีทั้ง AI และ IoTs การมี IoTs อย่างเดียวจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเป็น Oneway (IoT = Open-Loop) เช่น การดึงข้อมูลจากเซนเซอร์ไปเก็บในเซิฟเวอร์ (Physical สู่ Cyber) หรือการสั่งจาก App เพื่อเปิดปิดไฟ (Cyber สู่ Physical) แต่เมื่อไรที่มี AI เข้ามาจะเกิด Closed-Loop ทันที ข้อมูลที่วัดได้ ประมวลผลได้ หรือข้อมูลต่างๆ ที่ตัดสินใจได้ จะกลับมาควบคุมเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ได้ เหล่านี้คือ Cyber-Physical Systems Model

ส่วนโลกไซเบอร์ จะกล่าวถึง ซอฟต์แวร์ในรูปแบบแอปพลิเคชัน หรืออยู่ใน Embessed System, Gateway, Edge Computing มีความสามารถในการประมวลผล Server Cloud โทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบนี้

เทคโนโลยีที่จะทำให้ CPS เกิดขึ้นได้แก่ Embedded, Robotics, Sensor, Internet of Things (IoT), Cloud Computing (CC), Edge Computing (EC), Artificial Intelligence (AI), Big Data Analytics (BDA), Decision Making Algorithms Control Algorithms นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงรูปแบบการสร้างโมเดลทางกายภาพต่างๆ เพื่ออธิบาย CPS นำไปสู่ Digital Twin ต่อไป

ช่วงท้าย ดร.พนิตาได้กล่าวแนะนำถึงบริการด้านต่างๆ ของ สวทช. อาทิ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC), NETPIE 2020, IDA : Industrial IoT Data Analytics Platform, Daysie : Edge-AI Application Platform, UNAI (อยู่ไหน) Indoor Positioning Platform, Visual AI Software Platform, Visual AI + Collaborative Robots, Production Line Digital Twin, 3D Scan and Inspection Robot, Digital Twin Modeling, VR/AR Creation Tools, Smart Maintenance & IIoT Testbed, Industry 4.0 Testbed @SMC-EECi รวมทั้ง SMC Campaign ที่น่าสนใจต่างๆแก่ผู้ประกอบการ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) ได้จัดงาน AI & IoTs Summit 2023 (ครั้งที่5) ภายใต้แนวคิดหลัก AI & IoT: The Convergence Technology to Reshape Business Growth ซึ่งมีกำหนดจัดงาน ในวันที่ 30 – 31 พฤษภาคม 2566 จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ของ AI & IoT ให้ทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และนำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ AI IoT เพื่อเพิ่มระดับผลิตภาพของทุกอุตสาหกรรม ที่มีส่วนสำคัญ ในการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงสร้างความตระหนัก เข้าใจถึงวิถีการทำงานของเทคโนโลยีเพื่อสามารถลงทุนได้อย่างเหมาะสม

E

]]>