INTERMACH – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Fri, 23 May 2025 03:38:57 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png INTERMACH – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทค สวทช. ร่วมขับเคลื่อนโลจิสติกส์ไทยสู่ยุคดิจิทัล ชู “คลังสินค้าอัจฉริยะ” เทคโนโลยี 5G และ AGV ในงาน Intermach 2025 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach2025-5g-agv.html Fri, 23 May 2025 02:50:14 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40105

16 พฤษภาคม 2568 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) โดย คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “คลังสินค้าอัจฉริยะยุคใหม่: พลิกโฉมโลจิสติกส์ด้วยระบบติดตามอุปกรณ์ในคลังสินค้า, การใช้งาน 5G และ AGV อัจฉริยะอย่างยั่งยืน” ภายในงาน Intermach 2025 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของคลังสินค้าในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็ว โดยมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเป็นตัวเร่ง เช่น ระบบติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี 5G ที่เพิ่มขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูล และยานยนต์ไร้คนขับอัตโนมัติ (AGV) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าอย่างยั่งยืน

ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนาและการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรมไทย อาทิ:

  • แพลตฟอร์มระบุตำแหน่งภายในอาคารสำหรับโรงงานและคลังสินค้าแบบอัจฉริยะ โดย ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล หัวหน้าทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช.
  • ยกระดับคลังสินค้าด้วย AGV: เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คลังสินค้ายุคใหม่ โดย คุณจักรกฤช พรมจิตร ผู้จัดการฝ่ายขายระบบโลจิสติกส์ บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด
  • โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ สำหรับคลังสินค้าและภาคการผลิต โดย คุณภุชงค์ เจริญสุข ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AIS)

ต่อด้วยเวทีเสวนาในหัวข้อ “พลิกโฉมโลจิสติกส์ด้วยระบบติดตามอุปกรณ์ในคลังสินค้า, การใช้งาน 5G และ AGV อัจฉริยะอย่างยั่งยืน” เวทีแห่งการแลกเปลี่ยนมุมมอง วิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทาง และแนวทางการพัฒนาโลจิสติกส์ไทยด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและยั่งยืน อาทิ ระบบติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า, เทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาเสริมขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูลให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงยานยนต์ไร้คนขับอัตโนมัติ (AGV) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าอย่างยั่งยืน วิทยากรประกอบด้วย: ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล (เนคเทค สวทช.) คุณจักรกฤช พรมจิตร (บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด) คุณภุชงค์ เจริญสุข (บริษัท AIS)คุณอาทิตย์ สหะวงศ์วัฒนา วิศวกรวางแผนโลจิสติกส์อาวุโส บริษัท โบรเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ดร.โรสริน อัคนิจ นักวิเคราะห์อาวุโสจากเนคเทค สวทช. รับหน้าที่ดำเนินรายการตลอดการเสวนา

]]>
เนคเทค SMC ผนึกกำลังพันธมิตร จัดสัมมนา “Carbon Footprint Makeover” ในงาน INTERMACH 2025 เดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach2025.html Wed, 21 May 2025 10:27:39 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40103

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตร และ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จัดสัมมนา Carbon Footprint Makeover: How to Cut Emissions & Thrive (พลิกโฉมคาร์บอนฟุตพริ้นต์: ลดการปลดปล่อยและเติบโตอย่างยั่งยืน) ภายในงาน INTERMACH 2025 ภายใต้แนวคิด Manufacturing Solution Towards Net Zero Manufacturing เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตให้ก้าวสู่ความยั่งยืน ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง

ภายในงานมีการบรรยายพิเศษจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและเอกชน ซึ่งมาร่วมแบ่งปันมุมมอง กลยุทธ์ และกรณีศึกษาจริง ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในภาคการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยหัวข้อที่น่าสนใจประกอบด้วย:

Carbon Footprint: เครื่องมือลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่…Net Zero โดย คุณธาดา วรุณโชติกุล ผู้จัดการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ ถ่ายทอดแนวทางการใช้เครื่องมือ Carbon Footprint เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างมีระบบ

บทเรียนและเส้นทางสู่ Net Zero โดย คุณธานิษฏ์ กองแก้ว ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ แชร์ประสบการณ์จริงขององค์กรด้านสังคมที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างครบวงจร พร้อมแนะนำแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ในองค์กรภาคธุรกิจได้

Choosing the Right Climate Tech: How to Evaluate, Apply, and Cut Industrial Emissions โดย คุณปฏิพล ธนารักษ์วุฒิกร ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาการลดการปล่อยคาร์บอน บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด นำเสนอวิธีการเลือกเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ที่เหมาะสมกับแต่ละภาคการผลิต พร้อมเทคนิคการประเมินและประยุกต์ใช้เพื่อลดการปล่อยมลพิษในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sustainable Landscape for Freight Forwarder: Collaborating for a Low-Emission Ecosystem โดย ดร.นิธิพล ตันสกุล Regional Head of Sustainability – APAC จากบริษัท Rhenus Logistics เจาะลึกถึงแนวทางการสร้างระบบโลจิสติกส์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ ผ่านความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และบทบาทสำคัญของผู้ให้บริการขนส่ง (Freight Forwarder) ในการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน

Carbon Accounting Management Platform โดย ดร.อัมพร โพธิ์ใย หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน เนคเทค สวทช. แนะนำแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลคาร์บอนที่พัฒนาโดยเนคเทค ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถตรวจวัด วิเคราะห์ และจัดการข้อมูลการปล่อยคาร์บอนได้อย่างแม่นยำ พร้อมรองรับการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

งาน INTERMACH 2025 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 41 ชูจุดแข็งงานแรกในไทยที่จัดแสดงเทคโนโลยี นวัตกรรมเครื่องจักรกล ระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตที่ทันสมัยในภูมิภาค วางเป้าสู่การสร้างการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมภาคการผลิตขานรับเทรนอุตสาหกรรมการผลิตสู่การลดคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon จัดขึ้นในวันที่ 14-17 พฤษภาคม 2568 ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา

]]>
เปิดประสบการณ์การประเมินระดับความพร้อมขององค์กรสู่การผลิตยุคดิจิทัลด้วยตัวเองกับระบบ Online & Interactive Self-Assessment https://www.nectec.or.th/news/news-article/intermach2024-i4.html Sat, 01 Jun 2024 11:00:20 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36931

บทความ : นัทธ์หทัย ทองนะ

ก้าวแรกสู่การยกระดับสู่อุตสาหกรรม 4.0 แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร … มาร่วมเปิดประสบการณ์การประเมินระดับความพร้อมขององค์กรสู่การผลิตยุคดิจิทัลด้วยตัวเองด้วยระบบ Online & Interactive Self-Assessment ใช้เวลาน้อย ดำเนินการได้เองไม่ต้องอาศัยผู้ประเมินที่ผ่านการรับรอง ทำให้ทราบแนวทางเบื้องต้นในการปรับปรุงสายการผลิต สามารถเปรียบเทียบสายการผลิตของตนเองเองกับค่าเฉลี่ย และผู้นำอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกับของท่าน เพื่อเป็นแรงผลักดันในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งช่วยเตรียมความพร้อมขอรับสิทธิประโยชน์การส่งเสริมธุรกิจจาก BOI

สรุปสาระสำคัญจากเสวนาจากผู้พัฒนาระบบฯ กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 (สวทช.) และองค์กรที่จะมาแชร์ประสบการณ์จริงจากการใช้ระบบ Online & Interactive Self-Assessment  ดำเนินรายการโดย ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (เนคเทค สวทช.) ในงาน INTERMACH 2024 (งานอินเตอร์แมค 2024) วันที่ 17 พฤษภาคม 2567

คุณเอกราช รัตนอุดมพิสุทธิ์ ผู้พัฒนาระบบฯ กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 (สวทช.) เล่าถึงภารกิจหลักของกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 หลังจากที่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้ทำการประเมินและทราบดัชนีชี้วัดอุตสาหกรรม 4.0 แล้วว่าอยู่ในระดับไหน จากตรงนี้จะมีกระบวนการอ่านผล เช่น ต้องมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตในด้านไหน หรือการให้คำปรึกษากระบวนการต่างๆ ช่วยเหลืเติมเต็มส่วนที่ผู้ประกอบการยังขาดอยู่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ได้

ด้าน คุณนันทพัชร ณ สงขลา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท FDI เล่าว่า FDI เป็นบริษัทให้บริการให้คำปรึกษาตั้งแต่การจัดตั้งกิจการจนถึงปิดกิจการ ให้บริการวางระบบการบริหารงาน รวมไปถึงการบริการดูแลหลังเปิดกิจการในประเทศไทย โดยปัจจุบันได้ก้าวมาอีกขั้นหนึ่งด้วยเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมเดิมของไทยที่มีอยู่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้เช่นกัน แต่อาจต้องพัฒนาให้มากกว่านั้น สามารถก้าวสู่ตลาดใหม่ ช่วยธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน FDI จึงก้าวเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำโรงงานในมิติของ Green business มากขึ้น คือตลาดใหม่นั่นเอง

ขั้นตอนการประเมิน Thailand i4.0 Index แบบ Online Self-assessment

สำหรับการใช้งานระบบการประเมิน Thailand i4.0 Index แบบ Online Self-assessment หลังจากที่ได้ลงทะเบียนมาเรียบร้อยแล้วทุกท่านจะมี Username และ Password จากนั้นหน้าแรกที่เปิดเข้ามาคือ เริ่มการประเมิน โดยระบบฯ จะให้สิทธิ์ผู้ใช้สามารถประเมินในอุตสาหกรรมผลิตได้หลายสายการผลิต ทั้งนี้เพื่อรองรับโรงงานที่มีการเพิ่มหรือปรับสายการผลิต ได้ตามต้องการ (1 User สามารถทำได้หลายสายการผลิต)

ในสายการผลิตหนึ่งสายงานจะประกอบด้วยการประเมินทั้งหมด 5 ส่วนหลัก หากผู้ประเมินไม่ทราบข้อมูลในส่วนนั้นสามารถข้ามไปทำส่วนอื่นก่อนได้ และเมื่อทราบข้อมูลเพิ่มเติมผู้ประเมินสามารถย้อนกลับมาทำขั้นตอนนั้นต่อได้ สำหรับการประเมินทั้ง 5 ส่วนหลัก มีดังนี้

Section 1. ระบบสายการผลิต (Production) เกี่ยวกับกระบวนการผลิต ประกอบไปด้วย 3 ส่วนย่อย คือ 1. Production Automation 2. Production Network และ 3. Smart Production ซึ่งผู้ที่สามารถตอบคำถามในส่วนนี้ควรเป็น ผู้จัดการโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต หรือวิศวกรการผลิต เป็นต้น

Section 2. ระบบสาธารณูปโภค (Facility) ประกอบไปด้วย 3 ส่วนย่อย คือ 1. Facility Automation 2. Facility Network และ 3. Smart Facility ซึ่งผู้ที่สามารถตอบคำถามในส่วนนี้ควรเป็น ผู้จัดการฝ่ายโรงงาน ผู้จัดการฝ่ายอาคาร ผู้จัดการฝ่ายบำรุงรักษา หรือผู้จัดการฝ่ายดูแลระบบ เป็นต้น

Section 3. ระบบบริหารจัดการทรัพยากร (ERP) หรือระบบงานธุรการ ประกอบด้วย 5 ส่วนย่อย คือ 1. Enterprise Automation 2. Enterprise Network 3. Smart Enterprise 4. Internal Integration และ 5. External Integration ซึ่งผู้ที่สามารถตอบคำถามในส่วนนี้ควรเป็น ผู้จัดการฝ่ายสารสนเทศ หรือผู้จัดการผลิต เป็นต้น

Section 4. ระบบวิเคราะห์ตลาด Marketing และบริหารวงจรผลิตภัณฑ์ Product Life Cycle ซึ่งผู้ที่สามารถตอบคำถามในส่วนนี้ควรเป็น ผู้จัดการฝ่ายการตลาด นักการตลาด หรือผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

Section 5. การจัดการองค์กร แผนดำเนินการ กลยุทธ์องค์กร และการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งผู้ที่สามารถตอบคำถามในส่วนนี้ควรเป็น ผู้บริหารองค์กร ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หรือฝ่ายบุคคล เป็นต้น

“จากประสบการการณ์ การให้ผู้ประเมินเข้าโรงงานเพื่อประเมินสายการผลิตนั้น หากทุกฝ่ายในโรงงานร่วมแรงร่วมใจกันในการให้ข้อมูล การประเมินสามารถทำได้เร็วสุดจะใช้เวลาเพียง 1 วัน โดยภาคเช้าจะเป็นการอธิบายทำความเข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร และภาคบ่ายเป็นขั้นลงมือทำ กรณีนี้ใช้กับโรงงานที่ซับซ้อนน้อย มีระบบที่ชัดเจน หากเป็นเป็นโรงงานที่มีความซับซ้อน และระบบไม่ค่อยชัดเจนอาจต้องมากกว่า 1 วัน” คุณนันทพัชร กล่าวเสริม

ทำไมต้องประเมิน Online & Interactive Self-Assessment ?

คุณนันทพัชร กล่าวว่าการประเมินเพื่อให้โรงงานรู้ตัวว่าควรปรับปรุงอะไร ค้นหาศักยภาพในการแข่งขันทางการตลาดได้มากขึ้น

  1. ต้องรู้ว่าเราอยู่ ณ จุดไหนของตลาด
  2. ต้องรู้ว่าอะไร ที่ลงทุนในตลาดไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ เช่น บางระบบที่โรงงานมีแต่ไม่นำมาใช้งาน

ซึ่งเมื่อหาเจอจะทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายบางอย่างลงได้ หรือถ้าสิ่งนี้จะทำให้ภาพรวมของโรงงานดีขึ้นจริงๆ อาจต้องมาคิดต่อในขั้นต่อไปว่าจะมีวิธีปรับปรุงอย่างไรทั้งในแง่บุคคลากร และระบบอย่างไรให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ เป็นแก่นสำคัญที่ i4.0 Index สามารถเข้ามาช่วยได้ สำหรับการประเมินระบบฯ ผู้ประเมินควรกรอกข้อมูลด้วยความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา อย่ากรอกข้อมูลเพื่อเอาใจผู้บริหารองค์กรแต่เท่านั้น

สิ่งที่ได้รับจากการประเมิน Online & Interactive Self-Assessment

คุณเอกราช กล่าว่าเมื่อประเมินครบทั้ง 5 ส่วนหลัก ในหน้าสุดท้ายผู้ประเมินจะได้เห็นระดับอุตสาหกรรมของตนเอง และผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกับเราอยู่ในระดับใด รวมทั้งทำให้ทราบว่าเราควรจะพัฒนาต่อในด้านใดเปรียบเสมือนเข็มทิศชี้นำทาง ผลจากข้อมูลในส่วนนี้จะเป็นการตรวจสอบเบื้องต้น เพื่อใช้ในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิต อีกทั้งยังสามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุนได้ต่อไป

ขณะที่คุณนันทพัชร กล่าวว่า โรงงานรู้จุดอ่อนของตนเองต้องพัฒนาและปรับปรุงอะไร สามารถประหยัดเงินได้จากส่วนไหนบ้าง เท่าที่ประเมินมาโรงงานส่วนใหญ่ส่วนแรกที่มักจะแก้ปัญหาคือ Sale & Marketing หากไม่มีการจัดการข้อมูลลูกค้าที่ดีแล้วการเติบโตของธุรกิจมักจะไม่ค่อยได้ผล นำไปสู่การหาแนวทางการจัดการที่ดีต่อไป…

]]>
รวมหัวข้อสัมมนา Intermach 2024 โดย สวทช. เนคเทค และ SMC สร้างเครือข่ายธุรกิจ มุ่งสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach2024-net-zero-carbon.html Tue, 28 May 2024 10:58:06 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36885

สวทช. เนคเทค และ SMC ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรจัดหัวข้อสัมมนาภายในงาน INTERMACH 2024 (งานอินเตอร์แมค 2024) ภายใต้แนวคิด ” Bridging Manufacturing Solution Towards Net Zero Carbon” หรือ โซลูชั่นเพื่อการผลิตยกระดับสู่อุตสาหกรรมปลอดคาร์บอน เป็นเวทีเพื่อให้ความรู้ ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมองร่วมกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ได้เห็นถึงที่มาความสำคัญแนวโน้มของเทคโนโลยีต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวของผู้ประกอบการให้ทันต่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เตรียมพร้อมสู่การปฏิวัติสู่ยุคเศรษฐกิจ 5.0 ที่จะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลางในการทำงานร่วมกัน รวมไปถึงการลดผลกระทบจากการผลิต และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) โดยมีวิทยากรจาก สวทช. และเครือข่ายพันธมิตรร่วมนำเสนอในหัวข้อที่น่าสนใจ ดังนี้

16 พฤษภาคม 2567 เสวนาหัวข้อ “การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลและการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาธุรกิจแข่งขันได้ที่ยั่งยืน” (Digital Transformation for Competitive Sustainability) ดำเนินรายการโดย ดร.อติชาต พฤฒิกัลป์ และคุณกล้า จิระสานต์ สถาบันดิจิทัลและนวัตกรรมแห่งเอเชีย เสวนานี้เป็นการเชิญผู้มีบทบาทและผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงการทำงานด้านการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลหลายท่านมาร่วมพูดคุยและให้ความรู้ให้กับผู้ประกอบการ นักลงทุน สามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในการปรับปรุงกิจการสู่ความสามารถในการแข่งขัน และ ESG โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่

Subsession 1: แนวปฏิบัติต่อความท้าทาย ด้านมาตรฐานและกฏหมายของไทยเรื่องความยั่งยืน โดยคุณณัฐวีร์ พงศ์อาจารย์ Founder & CEO, Planet C ที่ปรึกษาและผู้ทวนสอบคาร์บอนฟุตพริ้นต์องค์กร, การเก็บข้อมูลและบริหารด้วย Factory Information System โดยคุณคณพล วงศ์พิชญวิศาล กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ ESG Data Platform โดยคุณธัญธิดา สาสุนทร ESG Provision Specialist, Convene ESG

Subsession 2: การบริหารข้อมูลในธุรกิจสีเขียว Data Governance in Green Business โดยอาจารย์สัญญา เศรษฐพิทยกุล ผู้ช่วยรองอธิการบดีสำนักดิจิทัลการศึกษาและบริการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, การสร้างความยั่งยืนด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความสูญเสียด้วย Data Analytics โดย รศ.ดร.นระเกณฑ์ พุ่มชูศรี ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, อุตสาหกรรม 4.0 บนความยั่งยืน และการรับการสนับสนุนจาก BOI ในการเปลี่ยนผ่านความยั่งยืน โดยคุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. จัดโดยกองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สวทช.

เปิดตัว “SMC ACADEMY” พัฒนาทักษะ ความรู้ สู่การผลิตแบบดิจิทัล โดย ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ดำเนินการจัดอบรมในรูปแบบ In-House Training และ Public Training โดยจัดอบรมในกลุ่มหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับทางด้านโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1) Automation & Robotics กลุ่ม 2) Internet of Things & Edge Computing กลุ่ม 3) AI & Data Technology กลุ่ม 4 Lean Management & Smart Manufacturing กลุ่ม 5) Factory Management กลุ่ม 6) Smart Factory Executive Program ซึ่งในปี 2567 นี้ SMC ACADEMY ได้ผลิตหลักสูตรสำหรับจัดอบรมขึ้นมาทั้ง 28 หลักสูตร และมีแผนการจัดอบรมมากกว่า 30 ครั้ง โดยมีเป้าหมายการพัฒนากำลังคนเพื่อไปยกระดับเตรียมความพร้อมให้อุตสาหกรรมไทย 7000 โรงงาน ในระยะเวลา 5 ปี รูปแบบการอบรมมีทั้งการอบรมแบบทฤษฎี และภาคปฏิบัติซึ่งเน้นลงมือทำจริงให้เข้าใจถึงการใช้งานจริงของเทคโนโลยีนั้น เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ที่หน้างานของผู้เข้าอบรมได้ SMC ACADEMY เป็นหลักสูตรที่ถูกออกแบบพัฒนาจากงานวิจัย โดยนักวิจัยและทีม SMC ACADEMY โดยมีความร่วมมือกับพันธมิตรจัดทำ พัฒนาหลักสูตรเฉพาะทางเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม หรือตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะทางในอนาคตอีกด้วย

17พฤษภาคม 2567 สัมมนาเชิงวิชาการในธีม Robotics and AI in Future Manufacturing โดยการสนับสนุนจาก Thai Chief Information Officer Association (TCIOA) AI & Robotics Chapter

NECTEC SMC ร่วมเสวนาหัวข้อ “AI Vision in Manufacturing Industry” นำเสนอแนวทางการพัฒนา การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดอนาคตโดยใช้เทคโนโลยี AI กรณีศึกษา ตัวอย่างความสำเร็จ ของหน่วยงานเครือข่าย/พันธมิตร เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานำแนวทางไปประยุกต์ใช้กับโจทย์ปัญหาหน้างานของตนเอง และการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะด้วย AI IoT Automation และ Robotics รวมถึงช่องทางการเพิ่มโอกาสและคำแนะนำการพัฒนาศักยภาพให้กับธุรกิจ โดยวิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.ศิริเดช บุญแสง (คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง) ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิพร ธรรมสถิตย์เดช (ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง สัมมนานี้ได้รับความสนใจจากบุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรม และผู้สนใจงานด้านวิทยาการหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ & AI เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย

การประเมินความพร้อม INDUSTRY 4.0 ด้วยตัวเอง เพื่อมุ่งสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่และอุตสาหกรรมสีเขียว
สวทช. โดยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ร่วมกับNECTECและ EECi รวมทั้งหน่วยงานเครือข่ายพันธมิตร ร่วมกันจัดสัมมนาขึ้นเพื่อเป็นเวทีถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ให้ทราบถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลวอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี และการกีดกันทางการค้าในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน จึงเป็นเรื่องท้าทายของผู้ประกอบการเป็นอย่างยิ่งที่ และจำเป็นต้องเปลี่ยนจากโรงงานเดิมสู่โรงงาน 4.0 เพื่อให้ธุรกิจอยู่รอด เติบโต และยั่งยืน โดยมี ดร. พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) กล่าวเปิดสัมมนา ร่วมด้วย ดร.อัมพร โพธิ์ใย นักวิจัยอาวุโส กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทคสวทช. บรรยายในหัวข้อ “Carbon Accounting Platform” ระบบรวบรวม วิเคราะห์ และคำนวนคาร์บอนฟุตพริ้นท์สำหรับองค์กร และ ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยกลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. นำเสนอ “แนวทางการยกระดับความพร้อมของอุตสาหกรรมไทยสู่ Industry 4.0”

ปิดท้ายด้วยเสวนา “เปิดประสบการณ์การประเมินระดับความพร้อมขององค์กรสู่การผลิตดิจิทัลด้วยตัวเอง” มาร่วมแชร์ประสบการณ์จริงจากผู้ใช้งานระบบ Online & Interactive Self-Assessment โดยวิทยากรประกอบด้วย คุณนันทพัชร ณ สงขลา ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้ช่วยประธานบริหารกลุ่มบริษัท FDI คุณเอกราช รัตนอุดมพิสุทธิ์ นักวิจัย กลุ่มแพลตฟอร์มสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 สวทช. ดำเนินรายการโดย ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล เนคเทค สวทช.
นอกจากนี้ยังมีบูธผลงานมาร่วมนำเสนอบริการ ให้คำปรึกษา จากหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ บริษัท อินเตอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ INET สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และบริษัท FDI Consulting & service) รวมถึงหน่วยงานสวทช. แนะนำแนวทางและตัวอย่างการดำเนินงานมุ่งสู่ Industry 4.0 เช่น ระบบ Online & Interactive Self-Assessment, Manufacturing Digital Transformation, Carbon accounting platform

18 พฤษภาคม 2567 ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ร่วมกับ AIS Business จัดสัมมนาในหัวข้อ “Industry 4.0 Checkup” ตรวจสุขภาพโรงงานกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมรับแนวทางการยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 รับฟังการบรรยายพิเศษและเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนชั้นนำเฉพาะทาง วิทยากรประกอบด้วย แนวทางการยกระดับโรงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดย ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล เนคเทค สวทช., อุดช่องว่างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในโรงงาน มุ่งพิชิต Thailand i4.0 Index โดย คุณนวชัย เกียรติก่อเกื้อ Head of Enterprise Marketing & SME Business Management Section, AIS Business, การประยุกต์ใช้งานระบบ Material Handling กับ Industry 4.0 โดย คุณวรรัฐ สาระสุรีย์ภรณ์ ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท สมบูรณ์เซี่ยซันเทค จำกัด (บริษัทในเครือของ บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (มหาชน))

ปิดท้ายด้วยเสวนาในหัวข้อ “Next gen factory & logistics with Smart 5G” ซึ่งวิทยากรได้ให้คำแนะนำพร้อมแนวทางการแก้ปัญหาที่พบจากการทำงาน เล่าถึงความท้าทายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้นำไปปรับใช้ในการปรับตัวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0

INTERMACH 2024 (งานอินเตอร์แมค 2024) งานแสดงเทคโนโลยีเครื่องจักรกล และอุตสาหกรรมรับช่วงการผลิตเพื่อการจัดซื้อชิ้นส่วนอุตสาหกรรมชั้นนำของอาเซียน ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Bridging Manufacturing Solution Towards Net Zero Carbon” เพื่อเป็นการเน้นย้ำถึงแนวคิดในการผสมผสานเทคโนโลยีและ โซลูชั่นการผลิตเข้ามายกระดับประสิทธิภาพการผลิต และเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการในการก้าวสู่ยุคอุตสาหกรรมที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จัดขึ้นในวันที่ 15-18 พฤษภาคม 2567 ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา

]]>
การปรับเปลี่ยน SME สู่อุตสาหกรรม 4.0 ต้องทำอย่างไร https://www.nectec.or.th/news/news-article/sme-industry.html Wed, 28 Jun 2023 09:17:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33584

บทความ | นัทธ์หทัย ทองนะ

งานสัมมนา “Industry 4.0 ลงทุนง่ายๆ สบายกระเป๋า” ในเวที Intermach & Subcon Thailand 2023 ร่วมฟังบรรยายพิเศษ โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยต้องปรับและยกระดับ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร พร้อมรับฟังแนวทาง บริการเพื่อปรับปรุงและยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0 และพลาดไม่ได้กับตัวอย่างความสำเร็จ จากประสบการณ์ในการลงทุน เพื่อยกระดับสู่ Industry 4.0 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566 ไบเทคบางนา จัดโดย NECTEC SMC และ EECi

การปรับเปลี่ยน SME สู่อุตสาหกรรม 4.0 ต้องทำอย่างไร

นายพงษ์ชัย ชัยจิรวัฒน์ ประธานคณะทํางานการปฏิรูปอุตสาหกรรม และพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 กล่าวว่า การปรับเปลี่ยน SME ในไทยเพื่อให้ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ถือเป็นโจทย์อมตะ ที่ต้องใช้เวลา ก่อนอื่นต้องของเล่าถึงสภาพแวดล้อมในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คำศัพท์ที่เรียกว่า VUCU V-Volatility ความผันผวน, U-Uncertainty ความไม่แน่นอน, C-Complexity ความซับซ้อน, A-Ambiguity ความคลุมเครือ ซึ่งเป็นชุดคำศัพท์ที่ใช้อธิบายสถานณ์โลกโดยรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง โดยสรุปก็คือโลกเปลี่ยนแปลงไวมาก ไม่มีอะไรที่แน่นอน 1+1=2 เสมอไป รวมทั้งความขัดแย้งต่างๆ ภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเศรษฐที่กิจถอดถอย ภาวะเงินเฟ้อ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 และสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิร้อนขึ้น ค่าไฟที่ปรับขึ้น การส่งออกที่ชะลอตัว แต่ขณะเดียวกันดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งประเทศถือว่าสามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นด้านการท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัว สถานการณ์การเลือกตั้งซึ่งสร้างผลกระทบทั้งบวกและลบ คนด้านอุตสาหกรรมจำเป็นต้องใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว

จากภาคอุตสาหกรรมเดิม 45 อุตสาหกรรม 11 คลัสเตอร์ ต้องมีการปรับตัวโดย add value ด้วยเทคโนโลยี ขณะเดียวกันต้องดู S-Curve ใหม่ๆ รวมทั้งติดตามเรื่องสภาพอากาศซึ่งมีผลต่อการผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่การที่อุตสาหกรรม 2.0 สู่ 4.0 ได้นั้น จะต้อง  1. KNOWLEDGE SHARING การให้ความรู้และหาพาร์ทเนอร์ต่างๆ  2. ASSESSMENT 3. SOLUTIONING 4. IMPLEMENTATION 

นายพงษ์ชัย กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญ คือ การสนันสนุนให้ SME ซึ่งเป็นกลุ่มอตสาหกรรมส่วนใหญ่ของประเทศพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม จำเป็น ในราคาไม่แพง นอกจากนี้การส่งเสริมเรื่ององค์ความรู้ก็เป็นสิ่งที่ควบคู่ไปด้วย

บริการเพื่อปรับปรุงและยกระดับโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0

ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ EECi สวทช. กล่าวถึง แนวทางและบริการในการยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ว่าสวทช.มีอุปกรณ์ และแพลตฟอร์มต่างๆ ช่วยภาคอุตสาหกรรม เริ่มตั้งแต่ หน่วยตรวจวัดระยะไกลยูนิเวอร์แซล Universal Remote Terminal (URCONNECT) ตัวดึงข้อมูลเซ็นเซอร์จากอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้น Cloud เพื่อทำ Data Analytics พร้อมยังมี Data iot Platform เป็น Cloud IoT Platform ที่ชื่อว่า NETPIE สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT ติดตั้งในโรงงาน เมื่อดึงข้อมูลพลังงานของโรงงานมาแล้วสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อใช้ปรับปรุงในชื่อว่า IDA Platform นอกจากนี้ยังมีระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร UNAI Platform ซึ่งใช้ในการติดตามระบบขนส่งภายในโรงงาน นำไปใช้ ติดตั้งจริงแล้วในหลายโรงงานอีกด้วย

แนวทางการยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 ประกอบไปด้วย 3 ขั้น 

  1. Industry 4.0 Assessment การประเมินโรงงาน โดยทางโรงงานสามารถกรอกได้เอง หรือประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาจุดแข็ง จุดออน สิ่งที่ควรปรับปรุง ควรต้องดำเนินการก่อน
  2. Transformation Roadmap การวางแนวทางการดำเนินงาน
  3. Implement การลงมือดำเนินงานภายในโรงงาน

บริการของสวทช.เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม 4.0 เริ่มตั้งแต่ Thailand i4.0 Index ประเมินระดับความพร้อมโรงงานอุตสาหกรรม บริการที่ปรึกษา บริการฝึกอบรม บริการวิเคราะห์ทดสอบ บริการวิจัยและพัฒนา และบริการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งผู้ประกอบการสามารถทำงานร่วมกับ สวทช.ตามโจทย์เฉพาะที่ผู้ประกอบการต้องการได้ 

โดย Thailand i4.0 Index ประเมินความพร้อมของโรงในหลายมิติต่างๆ ทั้ง Technology,  Smart Operation, IT System and Data Transaction, Market & Customers, Strategy & Organizations, Human Capital   ครอบคลุมทั้ง 360 องศาในภาคการผลิต ให้ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 สำหรับบริการวิเคราะห์ทดสอบ สวทช.มี ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน(Sustainable Manufacturing Center :SMC) ณ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง ให้บริการทดสอบแก่โรงงานโดยไม่จำเป็นต้องรบกวนการไลน์การผลิตของตนเอง รวมทั้งให้บริการฝึกอบรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี Testbed ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G, AGV, Smart Warhouse, Security  เป็นต้น พร้อมแนะนำคอร์สฝึกอบรมต่างๆ และสิทธิประโยชน์จากหน่วยงานส่งเสริมทางอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับสู่ 4.0

คุณอดุลย์ เปรมประเสริฐ ประธานบริหารเจ้าหน้าที่ บริษัท ธนกรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด เล่าถึงประสบการณ์และความสำเร็จในการลงทุน เพื่อยกระดับสู่ Industry 4.0 ว่าได้เมื่อสังคมมีการปรับเปลี่ยน น้ำมันพืชกุ๊กในฐานผู้ผลิตสินค้าบริโภคก็ต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน โดยเข้าสู่การผลิตระบบออโตเมชั่นและดิจิทัล (Automation and Digitalization) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตและการบริการให้สูงขึ้น มีความรวดเร็ว ถูกต้อง และประหยัด ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตที่ลดลง ลดความ สูญเสีย สูญเปล่า โดยใช้หลัก DIGITAL CONSTRUCTIVE DISRUPTION : DCD การปฏิรูปอย่างสร้างสรรค์ภายในองค์กรด้วยดิจิทัล เพื่อตอบโจทย์หลักขององค์กรทั้ง 6 ข้อ

  1. การลงทุน Automation และ Digital เพื่อลดต้นทุน ลดขั้นตอน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการผลิต
  2. การลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กรในด้าน Digital Interface
  3. การปรับปรุงโครงสร้างระบบข้อมูล เพื่อทำให้ข้อมูล (Data) ที่มีอยู่ สามารถนำมาใช้งานได้ end-to-end มีความรวดเร็ว แม่นยำ และ insights-driven 
  4. การ Transform ช่องทางของการเข้าถึงลูกค้า และ Model ธุรกิจ 
  5. นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่อยู่นอกเครือข่ายธุรกิจเดิม
  6. การมองหา Partner ใหม่ ที่อยู่นอกธุรกิจเดิม

โดย 3 ข้อ สุดท้ายขึ้นอยู่กับรูปแบบธุรกิจที่จะเข้าถึงลูกค้า 

สำหรับแนวทางการลงทุนผู้ประกอบการควรมองหาสิทธิประโยชน์ เงินสนับสนุนจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐ หรือหน่วยงานต่างๆ แต่ต้องคำนึงถึง คือ ต้นทุนเกี่ยวกับโครงการที่จะลงทุนประเมินความสามารถลดได้จริงหรือไม่ ผลประหยัด (Cost Saving) การดำเนินการแต่ละโครงการส่งผลกระทบต่องบกำไรขาดทุนอย่างไร ความคุ้มค่าในการลงทุน คุณภาพสินค้าและบริการ ความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย รวมทั้งภาพลักษณ์และชื่อเสียงขององค์กร 

พร้อมเน้นย้ำผู้ประกอบการติตามข่าวสารจากประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนจาก Website BOI, Facebook หรือ social media โดย BOI จะมีการ Update คู่มือขอรับการส่งเสริมการลงทุนเป็นระยะๆ

 

]]>
Sustainable in Smart Manufacturing: ไม่ตกยุค ก้าวสู่อนาคต นำความยั่งยืนสู่อุตสาหกรรม https://www.nectec.or.th/news/news-article/sustainable-in-smart-manufacturing.html Wed, 28 Jun 2023 07:40:18 +0000 https://nectec.or.th/?p=33563

บทความ | นัทธ์หทัย ทองนะ

เสวนาพิเศษ Sustainable in Smart Manufacturing: ไม่ตกยุคและพร้อมก้าวสู่อนาคต นำความยั่งยืนมาสู่การผลิตภาคอุตสาหกรรมจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการผลิตอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและยังคงมีอนาคตที่ยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีสมาร์ตและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการผลิตที่เชื่อมต่อและยั่งยืนอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความยั่งยืนที่เป็นหลักในการผลิตภาคอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์และกระบวนการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม

ในการเริ่มต้นพูดถึงคำว่า “อนาคต” ความยั่งยืนเป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันและในอนาคต การผลิตที่ยั่งยืนเป็นที่สำคัญเนื่องจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง ลดการใช้พลังงานและวัสดุที่ไม่จำเป็น และลดการปล่อยสารเคมีอันตรายลงในกระบวนการผลิต เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถยั่งยืนและเติบโตในอนาคตได้อย่างยั่งยืน การนำเทคโนโลยีสมาร์ตและแนวคิดเชิงยั่งยืนเข้ามาใช้ในการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ การผลิตที่ยั่งยืนไม่เพียงแค่สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและตอบสนองต่อความต้องการของตลาด แต่ยังสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ยั่งยืนด้วย

การจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์อย่างฉลาด ต้องรู้และเตรียมอะไรบ้าง ?

ความยั่งยืนด้านอุตสาหกรรมมีความเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมจากภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น ส่งผลอย่างไรต่อภาคการผลิตที่ต้องปรับตัว การเตรียมพร้อมรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อมประสบการณ์ตรงจากผู้เชี่ยวชาญสายตรงด้านอุตสาหกรรมเบอร์ใหญ่ตัวจริง

ภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) : อบก. กล่าวว่า สืบเนื่องจากกระแสโลกที่ตื่นตัวเรื่องคาร์บอนเครดิต จึงให้ความสำคัญกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลักดันให้เกิดกิจกรรมด้านการจัดการเรื่องก๊าซเรือนกระจกเยอะขึ้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริมให้ภาคส่วนต่างๆ ปัจจุบันมีบริการ  3 ส่วน  

  1. Climate Action Capacity Building & Communication ทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ กิจกรรม กลไกต่างๆ สื่อสารสู่สาธารณะ
  2. Carbon Neutral Compliance Platform มีสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ความรู้ สัมมนา อบรม รวมทั้งการอภิปรายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ จากผู้บริหารต่างๆ ร่วมระดมความเห็นแก้ปัญหาให้กับประเทศ พร้อมทั้งการรับรองการซื้อขายคาร์บอนเครดิตอีกด้วย
  3. Carbon Neutral Driving Policy & Technical Support ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผล เพื่อที่จะส่งผลการลดก๊าซเรือนกระจกไปยัง UNFCC ตามนโยบายที่ระบุไว้ว่าประเทศไทยจะต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ภายในปี 2573  

ดร. กิตติวัตร โสมวดี รองผู้จัดการบริหารการผลิต บริษัท ไลอ้อน จำกัด (ประเทศไทย) บริษัทผู้ผลิตภัณฑ์สินค้าที่หลากหลายในครัวเรือนสำหรับผู้บริโภค  ซึ่งทำโครงการร่วมกับ อบก. ด้านการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และทำงานร่วมกับ SMC เรื่อง industry 4.0 

คุณธเนศ อิงสกุลรุ่งเรือง ผู้จัดการส่วนเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรม บมจ. ปตท. กล่าวว่าปัจจุบันโลกเปลี่ยน ฉะนั้น ปตท.องค์กรที่ปรับเปลี่ยนไปตามกระแสโลก ตั้งแต่การปรับวิสัยทัศน์ใหม่ “Powering Life with Future Energy and Beyond” ปตท. มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนธุรกิจ โดยพยายามมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอนาคตและไกลกว่าธุรกิจพลังงาน แต่ภารกิจหลักยังคงเหมือนเดิม คือ ดูแลและตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รวมทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม ภารกิจหลัก คือการสร้างนวัตกรรมหรือบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้า อุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมให้ก้าวไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0 

คุณสิริวัฒน์ ไวยนิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติและหุ่นยนต์ สถาบันไทย-เยอรมัน (TGI) กล่าวในฐานะองค์กรอิสระภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งดำเนินการมาแล้วกว่า 20 ปี เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรม 4.0 ผ่านกระบวนการฝึกอบรม พัฒนาบุคลากร ให้คำปรึกษา รวมทั้งการทำโครงการอุตสาหกรรม Industrial Project และให้บริการวิจัยพัฒนา รวมทั้งในส่วนของการทดสอบหรือตรวจสอบคุณสมบัติต่างๆ ของตัววัสดุ  และการมอบใบรับรองแก่บุคลากรด้านงานอุตสาหกรรม 

ภาคธุรกิจจะมุ่งสู่ Carbon Neutrality ได้อย่างไร

คุณภคมน เผยว่าในต่างประเทศผู้ประกอบการต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญ อาทิ Apple มีการร้องขอให้ supply chain จากทั่วโลกเป็นคาร์บอนนิวทรัลภายในปี 2030 หรือไมโครซอฟท์ตั้งเป้า สู่สถานะการปล่อยคาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ขณะที่ผู้ประกอบไทยก็ตื่นตัวและดำเนินงานลักษณะเดียวกับต่างประเทศ ปัจจุบันมีเครือข่าย Carbon Neutrality ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 400 ราย 

สำหรับเส้นทางการดำเนินการเริ่มที่ระดับองค์กร ผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ส่งออก (SME) บริการ หรืออีเว้นท์โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมMICE 

  1. การวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร
  2. การตั้งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร 
  3. การหาแนวทาง/กิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก
  4. การชดเชยคาร์บอน เพื่อมุ่งสู่คาร์บอนนิวทรัล

ซึ่งมีแนวทางในการชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ สำหรับ องค์กร ผลิตภัณฑ์ บริการหรืออีเว้นท์ เหล่านี้ตามที่ อบก. กำหนด สำหรับประเทศไทยให้การรับรองคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยทั้งหมด 14 ล้านตัน และมีการซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชยอีกประมาณ 1 ล้านตัน  ล่าสุดองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมสร้างแพลตฟอร์ม FTIX เปิดให้ซื้อขายคาร์บอนเครดิต เปิดให้ผู้ประกอบการได้มีการซื้อขายจริง ซึ่งมีสมาชิกกว่า 40 ร้าน ซื้อขายเครดิตจริงกว่าหมื่นตัน พร้อมกันนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ออกแคมเปญในการสนับสนุนงบประมาณให้กับ SME ที่เข้าร่วมโครงการคาร์บอนฟุตพริ้นท์กว่า 80% นอกจากนี้ยังมีกระบวนการขออนุญาตใช้เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์และชดเชยคาร์บอนอีกด้วย

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thaicarbonlabel.tgo.or.th/?lang=th

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการไทยตื่นตัว ให้ความสำคัญ และดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะ SME ที่ประกอบกิจการสินค้าส่งออก ที่มักถูกร้องขอว่าองค์กรหรือสินค้าได้รับการรับรองหรือมีการใส่ใจเรื่องสภาพภูมิอากาศแก่ผู้ซื้อปลายทางเพียงใด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญเรื่องค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เริ่มต้นจากการประเมินก่อนว่าโรงงานของตนว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาคิดเป็นจำนวนเท่าใด แล้วจึงหาแนวทางการลดในกรณีขององค์กร ผลการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จะแสดงในปีหน้า เมื่อรู้จำนวนคาร์บอนที่องค์กรปล่อยออกมาแล้วนั้น องค์กรต้องตอบให้ได้ว่าพร้อมที่จะชดเชยทั้งหมด หรือชดเชยเพียงบางส่วน นั่นคือ การซื้อคาร์บอนเครดิตมาชดเชย สำหรับองค์กรที่พร้อมจะซื้อคาร์บอนมาชดเชยเพียงบางส่วน จะเรียกว่า Carbon Offset Organization สำหรับการวัดก๊าซเรือนกระจก ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์แต่ละหน่วย  คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ต้องมาขึ้นทะเบียนที่ อบก. ด้วย เพื่อคำนวณหาคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วย

นอกจากนี้ยังมีมาตรการเรื่อง CBAM คือมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการกำหนดราคาสินค้านำเข้าบางประเภท เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาใน EU ในสินค้า 7 กลุ่มแรก โดยกำหนดให้มีการคำนวณค่าคาร์บอนแฝงให้กับผู้ซื้อปลายทาง ซึ่งมีลักษณะการคิดคำนวนแบบเดียวกับการคิดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ แต่มีขอบเขตการคำนวนที่น้อยกว่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิภัณฑ์ โดยมาตรฐานของ CBEM จะมีการประกาศใช้ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 โดยเฉพาะผู้ประกอบการเหล็กและเหล็กกล้า และอลูมิเนียม จึงเป็นการปรับใช้การคิดคำนวนแบบแพลตฟอร์มค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และปรับใช้เป็นแพลตฟอร์มค่าคาบอนแฝงอัตโนมัติในมาตรฐานสากล ต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า 

แชร์แบบเจาะลึกตัวอย่างโรงงาน และมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้วยอุตสาหกรรม

ดร. กิตติวัตร กล่าวว่าด้วยวิสัยทัศน์ พันธกิจที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ค่านิยมหลัก พันธสัญญา และวัฒนธรรมของบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาองค์กรและคน เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง โดยมียุทธศาสตร์ การสร้าง “องค์กรคนดี” เพื่อ Sustainability in Smart Manufacturing อาทิ โคงการอัปเดตบุคลากรสู่อุตสาหกรรม 4.0 การรับนักศึกษาในระบบสหกิจมาฝึกงาน การขอฉลากรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ และองค์กร Green industry สำหรับด้านความยั่งยืนได้เดำเนินงานมุ่งตามหลัก ESG คือดำเนินธุรกิจ โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว อันได้แก่ Environment, Social, Governance : ESG) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายด้าน (Sustainable Development Goals : SDGs) SDGs 

ด้านSocial ที่ผ่านมาคือการพัฒนาคนดีทั้งภายในและนอกองค์กร ตามแนวทางพัฒนาบุคลากรไลอ้อน เพื่อตอบโจทย์ SDGs
ด้าน Governance มีกฎบัตรของไลอ้อนเพื่อเป็นแนวทาง การเข้าโครงการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน
ด้านสิ่งแวดล้อม(Environment) เรื่องการลดคาร์บอนไดออกไซด์ ไลอ้อนตั้งต้นปีฐาน (Base YEAR) เริ่มที่จะดำเนินการ ในปี 2017 โดยตั้งเป้าลดให้ได้ 17 % ในปี 2022 และในปี 2030 ต้องลดให้ได้ 55 % รวมทั้งการทำกิจกรรมเพื่อ Carbon Neutral ในปี 2050

นอกจากนี้ยังมีกลยุทธ์กิจกรรมปรับปรุงภายในเรื่องของ Carbon offset เรื่องการจัดการคาร์บอนจากพืช, การนำความร้อนกลับมาใช้, โซลาร์เซลล์, โซลาร์รูฟท็อบ, คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และผลิตภัณฑ์ Eco Project นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ทำร่วมกับกับ อบก. อีกหลายโครงการ โดยในปีนี้ มีโครงการ Low Carbon and Circular Economy ในอุตสาหกรรม EEC ของ อบก. รวมทั้งมีการสนับสนุนให้ชุมชนปลูกป่าอีกด้วย

 

ขณะเดียวกันมีโครงการร่วมกับ เนคเทค สวทช. ด้าน SMART MANUFACTURING, ด้าน Thailand I4.0 Index การประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 จุดอ่อน จุดแข็ง แนวทางการพัฒนาต่อไป โดยไลอ้อนได้เริ่มเข้าร่วมตั้งแต่ 2013  โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มเทคโนโลยี กระบวนการทำงาน จัดการ พัฒนาองค์กร เมื่อทราบผลการประเมินแล้วต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล ยิ่งมีการ Integration เพื่อต่อยอดข้อมูล Smart Prododuction / Enterprise / Facility  อย่างเป็นลำดับสร้างความตื่นตัว และองค์กรสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว พร้อมก้าวสู่ อุตสาหกรรม 4.0 พร้อมนำ  IDA Platform  แพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ของเนคเทค สวทช.และ Energy Platform ช่วยในระบบพลังงาน โดยมี (System integration) SI จาก ปตท. ช่วยในการติดตั้งระบบ ช่วยเข้ามาเติมเต็มในจุดอ่อน ช่วยในการเชื่อมต่อระบบสามารถนำข้อมูลมาใช้งานเกิดไอเดียใหม่ๆ เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ขั้นสูงต่อไป

 

คุณธเนศ เผยประสบการณ์ของ ปตท. ในเรื่องคาร์บอนและ Smart Manufacturing ว่า ปตท.ได้ปักธงแผน Carbon Neutrality ในปี 2040 โดยเร่งดำเนินใน 3 เรื่อง 1. เร่งลดกระบวนผลิตให้ลดคาร์บอนให้น้อยลง โดยปรับกระบวนการผลิต 2. เร่งเปลี่ยน โดยลงทุนในภาค EV หรือภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ไกลกว่าพลังงาน 3.เร่งปลูกพืชในแผน 1 ล้านไร่

สำหรับความยั่งยืนของ ปตท. ประกอบไปด้วย 3P คือ Profit เน้นกำไรในระยะยาว People การเตรียมคนให้พร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง Planet ในเรื่องสภาพโลกร้อนซึ่งมีผลต่อการดำเนินธุรกิจ ทั้ง 3 เรื่องสำคัญเท่ากัน แต่ทาง ปตท.ให้สำคัญกับ Profile ด้วยการ LEAN ร่วมกับ People และมีผลออกมาร่วมกับ Planet ซึ่งหากมองปัญหาจริงๆแล้ว สิ่งที่ทุกองค์กรลงทุนไปนั้น มีความคุ้มค่า สามารวัดผลได้ สร้างกระทบกับ   ธุกิจอย่างไรนั้น รวมทั้งผลประเมินที่ลงทุนดำเนินการไปตามแผนมากน้อยเพียงใด ซึ่งกระบวนการที่ใช้ในการวัดผลนั้นจะมีความยั่งยืนที่แท้จริงเพียงใด ดังนั้น สิ่งที่องค์กรต้องการจริงๆนั่น คือการวัดว่าผลความยั่งยื่น การติดตามความคุ้มค่าแบบ Real Time โดยหยิบเอา Digital Technology ช่วยผู้ประกอบการใช้การแก้ปัญหาได้

SMART MANUFACTURING คือ การที่โรงงานเปลี่ยน กระบวนการผลิต จนถึง Enterprise เป็น Digital ซึ่งช่วยให้ทุกคนในโรงงานสามารถสื่อสารข้อมูลถึงกันได้ นับเป็นการยกระดับการดำเนินการต่างๆ ตัวอย่าง การเชื่อมโยงข้อมูลถึงกัน เพื่อความยั่งยืน

โดย ปตท. ได้ พัฒนา NGR AIoT Platform ระบบบริหารจัดการข้อมูลระบบสาธารณูปโภคของอาคารและโรงงาน พร้อมระบบวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติด้วย IoT Data Platform เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ industry 4.0 และสามารถต่อยอดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปยัง อบก. ได้ด้วย

 

การสร้างคนเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนทางอุตสาหกรรม

คุณสิริวัฒน์ กล่าว่า สำหรับการผลิตที่ยั่งยืนในมุมมองของ สถาบันไทย-เยอรมัน จะเน้นที่การแข่งขัน (Competitive) เพราะการที่จะยั่งยืนได้นั้นต้องมีความสามารถทางการแข่งขันเกิดขึ้นมาก่อน จึงเน้นการสร้าง Productivity มาก่อนซึ่งจะตอบโจทย์ในระยะสั้น ประกอบกับอีกส่วนหนึ่งคือ Social Responsible and Environment ที่จะทำให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว

ซึ่งส่วนใหญ่โรงงานอุตสาหกรรมของประเทศไทยอยู่ในอุตสาหกรรม 2.0 เป็นโรงงานที่เน้นคนกับเครื่องจักร ทางสถาบันไทย-เยอรมัน จึงพัฒนากำลังคนโดยเน้นการสร้างตามความต้องการ (Demand) ของโรงงานอุตสาหกรรม และ การจัดหา(supply) ของSI ไปพร้อมกัน โดยมีองค์กรเรียกว่า Center of Robotic Excellence (CoRE) เป็นผู้สนับสนุน กล่าว คือ การทำทั้งระบบนั่นเอง ซึ่งพัฒนาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 เรื่อยมา เป้าหมายที่ดำเนินการเพื่อให้เกิด 30 % ของโรงงานที่ก้าวไปสู่ อุตสาหกรรม 4.0 ที่เกิดจาก SI ของไทย และในปี 2569 มีเทคโนโลยีเหล่านี้ของคนไทยเอง ซึ่งการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนได้นั้นจะมี System Analyst (SA) นักวิเคราะห์ เข้ามาช่วยหาความต้องการ โจทย์ รวมไปถึงความคุ้มค่าในการลงทุนของงโรงงาน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อความ SMART

โดยในปี 2566 สถาบันไทย-เยอรมันได้พัฒนาในเรื่องต่างๆ  1.พัฒนา System Analyst (SA) เพื่อให้คำปรึกษาอุตสาหกรรม 2.การจัดทำมาตรฐานอาชีพ System Integrator (SI) องค์กร และบุคคล 3.พัฒนาแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน ในรูปแบบ Digital platform ผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคล ทั้งโรงงาน SA SI เชื่อมเข้าหากัน เพิ่มความรวมดเร็ว ให้เกิดการบูรณาการสู่อุตสาหกรรม 4.0 ต่อไป และคาดว่าจากการเสวนาครั้งนี้ต้องเพิ่มมุมมองในเรื่องสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น

]]>
NECTEC SMC ร่วมเสวนายกระดับอุตสาหกรรมการผลิต สู่ Industry 4.0 ในงาน INTERMACH & SUBCON THAILAND 2023 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach2023-i4index.html Tue, 16 May 2023 03:30:41 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=32956

11 พ.ค. 66 สมาคมไทยไอโอที ร่วมกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สมาคมโปรแกรมเมอร์ไทย และ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “ต้องทำอย่างไรให้สามารถยกระดับการผลิต สู่ industral 4.0 ” ในงาน INTERMACH & SUBCON THAILAND 2023 เพื่อให้ความรู้แลกเปลี่ยนมุมมองร่วมกับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ได้เห็นถึงที่มาความสำคัญและแนวโน้มของเทคโนโลยีอุตสาหกรรมดิจิทัลที่จะเข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจ ผู้ผลิตจะปรับใช้อุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างไร เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่ต้องเผชิญสำหรับผู้ผลิต และผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมที่จะต้องทำความเข้าใจแนวคิดพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในอุตสาหกรรมแทนการทำงานในรูปแบบเดิม โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เนคเทค สวทช. คุณอาคม ไทยเจริญ กรรมการสมาคมโปรแกรมเมอร์ ดร.สุรชัย ทองแก้ว หัวหน้าสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศรีปทุม และกรรมการสมทบสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย โดยมี คุณนิติ เมฆหมอก นายกสมาคมไทยไอโอที ผู้ดำเนินรายการ

คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ได้ให้มุมมองว่า อุตสาหกรรมไทยต้องเร่งปรับตัวนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อความอยู่รอดทั้งในด้านลดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แม้อุตสหกรรม 4.0 จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยค่าใช้จ่ายซึ่งอาจไม่คุ้มทุน สำหรับบางประเภทอุตสาหกรรมจึงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น การผลิตในรูปแบบ High Mix Low Volume คือ เน้นสินค้าในเชิงคุณภาพความหลากหลายมากกว่าปริมาณ (สินค้ามีความหลากหลายสูง แต่จำนวนการผลิตต่ำลง) รวมถึงเทคโนโลยีที่มาพร้อมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ กระบวนการผลิตสมัยใหม่เกิดจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการทำงานเพื่อลดต้นทุน ก่อให้เกิดประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นโดยปัจจุบันกระบวนการผลิตสมัยใหม่เน้นไปที่การนำระบบ Automation เข้ามาประยุกต์ใช้กับเครื่องจักรกล นอกเหนือจากนี้ยังมีเทคโนโลยีและระบบอื่น ๆ เช่น ระบบ IoT ที่สามารถรองรับการปรับเปลี่ยนการผลิตในรูปแบบใหม่ได้การนำแพลตฟอร์ม IDA (Industrial IoT and Data Analytics Platform) โดยเนคเทค สวทช. ได้พัฒนาขึ้นสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากจากอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) โดยตรวจจับสัญญาณต่าง ๆ จากเครื่องจักรทำให้ทราบสถานะการทำงานของเครื่องจักรนำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time ที่ช่วยให้สามารถบริหารจัดการการผลิต ลดต้นทุน และบำรุงรักษาเครื่องจักรในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่เครื่องจักรจะเกิดอาการเสียหายในอนาคต นอกจากเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพแล้ว การนำ AI  Edge computing และ Cloud Computing มาใช้ในส่วนของกระบวนการผลิตช่วยตรวจจับความบกพร่องต่าง ๆ ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการทำงานด้วยการระบุและแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา ทำให้ทราบข้อมูลแบบ Real-Time นำข้อมูลมาวิเคราะห์ได้ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะวางแผนการผลิตและทราบข้อมูลของปัญหาได้ในทันที คุณอุดม กล่าวเสริมว่า เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นทางออกในอนาคตองค์กรต้องมีความพร้อมและคำนึงความจำเป็นการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีดิจิทัล สิ่งควรเตรียมรับมือให้พร้อม คือในเรื่องของแรงงานที่จะมีเทคโนโลยีเข้ามาทำงานทดแทนแรงงานจะต้องเตรียมความพร้อมและเพิ่มทักษะของแรงงาน เพื่อให้สอดคล้องไปกับการพัฒนาของเทคโนโลยีด้วย

ดร.สุรชัย ทองแก้ว กล่าวเสริมคุณอุดมว่า ในแต่ละยุคของการปฎิวัติอุตสากรรมจะมี Keyword ในแต่ละเจนเนอเรชัน Gen 1 ยุคไอน้ำ ซึ่งใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องจักรในโรงงาน หรือภาคอุตสาหกรรม Gen 2 ระบบไฟฟ้าเข้ามาเปลี่ยนจากระบบไอน้ำเป็นระบบไฟฟ้า Gen ที่ 3 คือใช้คอมพิวเตอร์ System เข้ามาช่วยไม่ว่าจะเป็น Controller หรือคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยควบคุมช่วยในการอ่านค่าต่างๆ Gen 4 คือ Cyber Physical System ประกอบด้วย 2 โลกด้วยกันคือ Cyber world และ Physical world ซึ่งในปัจจุบันเราใช้คำว่า OT IT ซึ่ง IT (Information Technology) ส่วน OT (Operational Technology) คือการบูรณาทั้ง 2 มิตินี้ ร่วมกันซึ่งหากย้อนไป Cyber system ที่สอดคล้องกับของคุณอุดม การจะเป็น Cyber ได้นั้นคือการนำเอา 9 เทคโนโลยี (Cloud Computing, IoT, Cybersecurity, Augmented Reality, Big Data, Autonomous Robots, Additive Manufacturing, Simulation,System Integretion) มาผนวกรวมกับ physical technology หรือ OT เชื่อมเป็น Cyber physical System เป็นการนำเอา IT กับ OT มา บรรจบกันแล้วเชื่อมต่อนำไปสู่ IoT กับ AI ที่จะมีบทบาทต่อไปมิติของเทคโนโลยี 4.0 ต่อ Industry 4.0 นอกจากนี้ ดร.สุรชัย ยังได้ให้มุมมมองเพิ่มเติมถึง IoT มีความเกี่ยวข้องกับ Industry 4.0 อย่างไรนั้น โดยขยายความ Indusrty 4.0 ในภาพ Cyber Physical System เมื่อเป็นโลกของ IT กับ OT มาจรรจบกันท่อนตรงกลางที่จะเชื่อมรอยต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ก็คือพาร์ทที่เรียกว่า Connectivity ซึ่งหากดูตามโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม IoT ใน layer ด้านล่างเรียกว่า Thing layer หรือที่มักจะเรียกกันว่า IoT ซึ่งเท่ากับ Hardware หรือ Physical (เครื่องจักร) ที่บางคนมักจะเรียกว่า Sensing แต่สิ่งที่อยากจะเพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อความสมบูรณ์ นอกจากที่มี Sensor แล้วต้องมีความสามารถในการอ่านค่าของ Thing ขึ้นมาได้แล้วต้องสามารถควบคุมโยน Data พวกนี้ลงกลับไปได้เช่นกัน และเมื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็สามารถทำขั้นตอนการรับส่ง Data ผ่าน Connectivity หรือเรียกว่า Network layer ซึ่งจะได้ Data ต่าง ๆ แล้วขึ้นไปที่แพลตฟอร์ม ปัจจุบันเป็น Cloud based สามารถนำ Data ไปประมวลผลได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time) เกิดเป็นแอปพลิเคชันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในมิติต่าง ๆ ดังนั้นโครงสร้างของ IoT เมื่อนำมาใช้งานในอุตสากรรม 4.0 จะช่วยในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0 มีประสิทธิภาพมากขึ้น

คุณอาคม ไทยเจริญ ได้แสดงมุมมองในฐานะโปรแกรมเมอร์ โดยยก Keyword มา 3 คำว่า CIA (Confidentiality – Integrity and Availability ทั้ง 3 สิ่งนี้คือเป้าหมายหลักของการวางโครงสร้างด้านความปลอดภัยข้อมูล) แล้วทำไมถึงต้องนำเอามาเป็นฐานของ Industrial 4.0 เพราะข้อมูลที่ได้มาต้อง I – Integrity ข้อมูลที่ถูกต้องสมบูรณ์ A – Availability ข้อมูลต้องเข้าถึงได้ และ C – Confidentiality ข้อมูลต้องเป็นความลับเพราะว่าโรงงานไม่ต้องการให้ข้อมูลมันหลุดออกไปสู่ภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมากต่อโรงงานและอุตสาหกรรม 4.0

]]>
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกปี 2566 พร้อมแนวทางรับมือกับผลกระทบจากวิกฤตโลกต่ออุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย https://www.nectec.or.th/news/news-article/economy-industry.html Wed, 02 Nov 2022 09:31:58 +0000 https://nectec.or.th/?p=30663

บทความ | นัทธ์หทัย ทองนะ

จากปัญหาสภาพเศรษฐกิจในปี 2565 ส่งผลต่อความท้าทายที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า เงินเฟ้อ สภาพของเศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่เบื้องหน้า แต่จากวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจจากทั่วโลกแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลับได้รับผลกระทบน้อยกว่าภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวด้วยศักยภาพที่มีอยู่ โดยสามารถคาดการณ์ถึงสถานการณ์และโอกาสที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ต่อภาคอุตสาหกรรมในหลากหลายมุมมองได้ 

สาระสำคัญจากเวที INTERMACH EXCLUSIVE NIGHT เปิดประสบการณ์โลกอุตสาหกรรมครั้งใหม่ ไปกับงาน อินเตอร์แมค ร่วมรับฟังแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยและเศรษฐกิจของโลก จากผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงอุตสาหกรรม ทั้งภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา 

บริบทของสภาวะที่เศรษฐกิจโลกถดถอยเป็นโอกาสหรือความเสี่ยง

คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าแนวโน้มปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกในจังหวะนี้เป็นช่วงที่เปราะบางมากที่สุดเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา อันดับแรกจะเห็นได้จากตัวเลขหนี้สาธารณะของทุกประเทศทั่วโลกโดยเฉลี่ยขึ้นมาปริ่มๆเกือบ 100 % เมื่อเทียบกับระดับ GDP ของโลก แต่สำหรับประเทศไทยขึ้นมาเพียง 60 % และโชคดีที่หนี้สาธารณะเป็นหนี้ในสกุลเงินบาท ขณะที่หลายเดือนที่ผ่านมามีนโยบายทางการเงินของบางประเทศโดยเฉพาะในประเทศโลกตะวักตกที่ต้องต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ มีนโยบายการปรับเปลี่ยนของดอกเบี้ยในทุกๆ 2 หรือ 3 เดือน และมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มมากขึ้นจากทุกธนาคารกลาง ไม่เว้นแต่แม้นธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยล้วนเป็นผลมาจากต้นทุนการนำเข้าสินค้าทุนจากต่างประเทศ เช่น น้ำมัน ปุ๋ย ที่มีราคาแพง เป็นต้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจของไทย ดังนั้นการเพิ่มดอกเบี้ยก็ไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าเหล่านั้นลดลง จึงต้องหาความสมดุลเชิงนโยบาย แต่ปัญหาแท้จริงที่เกิดขึ้น คือ ปัญหาส่วนต่างดอกเบี้ยของสหรัฐอิเมริกากับทุก ๆ ประเทศของโลกรวมไปถึงประเทศไทยด้วยผลลัพธ์ คืออัตราดอกเบี้ยที่อ่อนค่าลง และมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ และคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงจนแตะที่ 40 บาทก็เป็นได้ ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อผู้ที่นำเข้าวัตถุดิบ ขณะในทางกลับกันจะเป็นผลดีต่อผู้ที่ส่งออกสินค้า แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนักเพราะสกุลเงินแทบทุกประเทศล้วนอ่อนค่าลงพอๆ กันเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ 

โดยสรุปแล้วสิ่งที่ฉุดเศรษฐกิจโลกมากที่สุด ณ ขณะนี้ คือค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ผลต่อภาระการชดใช้หนี้และดอกเบี้ยต่อผู้ประกอบการที่กู้ยืมเงินเป็นดอลลาร์ หรือระดับประเทศที่มีการกู้ยืมเงินเป็นสกุลดอลลาร์ด้วยเช่นเดียวกัน โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าในกลางปี 2566 มีแนวโน้มสูงมากที่จำนวนหลายประเทศในโลกจะเข้าสู่สถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจถดถอย กล่าวคือ ประเทศจะมีอัตราการโตทางเศรฐกิจโดยเฉลี่ยเพียง 1 หรือ 2 % เท่านั้น เป็นการลดลงของ GDP เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ขจัดผลของฤดูกาลแล้ว และติดลบอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน และสภาวะหนี้สาธารณะเข้าสู่วิกฤตจนอาจต้องเข้าไปขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)ได้ ในระดับมหภาคสัดส่วนของหลายๆประเทศที่ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจถดถอยล้วนส่งผลต่อภาวะต่อเศรฐกิจโลกที่จะตามมา ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยอยู่ในฐานะที่ต้องรับสภาพมากกว่าจะมีส่วนในการกำหนดทิศทาง เหล่านี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องรับรู้เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย 

economy-industry- (7)

ความคืบหน้าของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2566

ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษาบุคลากรและเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย-ตะวันออก (สกพอ.) มุมมองสู่อุตสาหกรรมใหม่ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กล่าวว่าเรื่องแรกที่สำคัญมากนับเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกที่มูลค่าเทคโนโลยีและมูลค่าการใช้งานเทคโนโลยีมีค่าเท่ากัน ในอดีตการจะใช้เทคโนโลยีอย่างเซมิคอนดัก อดีตเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าถึงและหาซื้อมาใช้ด้วยปัจจัยด้านราคา แต่ปัจจุบันมูลค่าของเทคโนโลยีเพิ่มเป็น 50% เท่ากับความต้องการในใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นของเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าการใช้งานถึง 50 % เมื่อเทียบกับสมัยก่อน สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยแม้นจะไม่ได้คิดเทคโนโลยีเองแต่ก็ตามแต่ก็ใช้งานได้เก่ง ยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) การใช้งาน cloud Adoption Services by Private Sector ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง จาก 20% เป็น 75% เกือบ 2 เท่าตัวแม้นแต่การ work from home ก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีเช่นเดียวกัน นับว่าคนไทยคุ้นชิ้นกับการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างมาก

ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) เป็นอย่างดีในเรื่องของเทคโนโลยีพื้นฐาน ยกตัวอย่างเช่นแบตเตอรี่ BOI เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขจากบริษัทต้นแบบต่างประเทศในการถ่ายทอดองค์ความรู้บางอย่างที่จำเป็น เพื่อให้ local supply chain และ supply chain สามารถทำงานร่วมกันได้ 

เป้าหมายใน 3-4 ปี ที่ EEC ต้องการดึงดูดคือ บริษัทที่ความสามารถด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน เพื่อให้สอดคล้องโครงสร้างพื้นฐานที่ EEC ได้ลงไปแล้วกว่า 80-90% มั่นใจได้ว่าด้วยกลไลของ Gross Provincial. Product: GPP) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ตั้งเป้าไว้ว่าในแต่ละปีต้องมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 2 แสนกว่าล้านใน 5 ปีข้างหน้าจาก 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ โดยปีแรกจะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV เพียงปีแรกก็มีบริษัทมาร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านจากเป้าที่ตั้งไว้ถึง 4 หมื่นล้าน ต่อด้วย Monorail จะเข้ามาอีก 2 แสนล้านในปีถัดไป
  • 5G อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ นับเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงาน กสทช. ได้ประมูลคลื่นความถี่ 5G แล้วครอบคลุม สัญญาน 700 MHz 2600 MHz และ 2.6 GHz และ 26 GHz  เพราะย่านถี่ 700 MHz นำไปทำเรื่อง Smart City ย่านความถี่ 2.6 GHz เหมาะกับการใช้งาน Industrial 4.0 หรือ Hight Bandwidth เป็น Wireless High Telecom ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับงานด้านสาธารณสุขและศึกษาต่อไป ล่าสุดเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่จะมีบริษัทรายใหญ่สนใจจะใช้ประโยชน์จาก 5G เช่น ผู้เล่นอย่าง Google หรือ AWS สนใจเข้ามาตั้งดาต้าเซนในประเทศไทย และเพื่อให้เกิด Data Industrial ทาง EEC อาจมีแนวคิดในการตั้ง Common data lack ในอนาคตก็เป็นได้ เพื่อให้อุตสาหกรรมข้อมูลมาใช้ประโยชน์
  • อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง ทาง EEC มีความร่วมกับประเทศจีน พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับทางสวิสเซอร์แลนด์  ในการสร้างศูนย์ Genomics ที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนด้าน Biologic เช่น ยาสมัยใหม่  
  • อุตสาหกรรมขนส่งโลจิติกส์ EEC สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเป็นผู้ดำเนินการด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่มากขึ้น เช่น การขนส่งที่สนามบินอู่ตะเภา

โดยสรุปจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทำให้นักลงทุนเข้ามาใช้ประเทศน้อยลง แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง และมีการเปิดประเทศมากขึ้น ความน่าลงทุนในประเทศไทยยังคงมีทิศทางที่ดีและสามารถไปต่อได้ สิ่งที่ดำเนินการไปแล้วมีแนวโน้มที่จะสัมฤทธิ์ผลสูง 

economy-industry- (8)

ภาพรวมการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมไทย

คุณมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ กล่าวว่าการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมมีทั้ง 2 มุม หากวิเคราะห์จากตัวเลขข้อมูลดัชนีอุตสาหกรรม(MPI) หลังช่วงเดือนสิงหาคม 2565 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น การผลิตในโซนพื้นที่เอเชียตะวันออกฉียงใต้เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนาม ประเทศไทยมีการปรับตัวที่ดีขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าหลังช่วงโควิด-19 หลังไตมาสที่ 3 ในปี 2565 MPI ของไทยกลับมาอยู่เกือบจะช่วงปกติ แต่ปัญหาเรื่อง Trade War ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และที่สำคัญคือปัญหาพลังงาน ล้วนมีผลต่อราคาต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรม 

intermach (9)

ท่ามกลางโควิด-19 ที่จางลงแต่ยังคงอยู่ก็ตามที ทำให้เมื่อต้นปี 2565 สภาอุตสาหกรรมมีการสำรวจแนวโน้มอุตสาหกรรมการผลิตไทยจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานของไทย พบว่า 25 กลุ่ม มีอัตราการเจริญเติบโต และอีก 20 อุตสาหกรรมที่อยู่ในภาวะทรงตัว ทำให้ผู้ประกอบที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าวต้องทบทวนว่าจะไปต่อหรือไม่

แม้นสถานการณ์ดังกล่าวเป็นแบบนี้แต่ดัชนีอุตสาหกรรม(MPI) ยังเป็นบวก สิ่งที่ท้าทายคือปัจจัยรอบข้างที่เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ 

economy-industry- (4)

จับตาแนวโน้ม “ยานยนต์ไฟฟ้า” อุตสาหกรรมใหม่ในประเทศไทย

คุณกฤษฎา อุตตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าและผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร-บีเอ็มดับเบิล ยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่ากระแสยานยนต์ไฟฟ้าของทั้งโลกมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากกลุ่ม Plugin-Hybrid และ Battery electric Vehicle หรือ ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประเทศจีน ที่มีมากกว่าครึ่งถึง 300 โมเดลเป็นหลัก เพราะฉะนั้นจีนจึงเป็นประเทศมหาอำนาจของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง โดยการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในแต่ละประเทศจะมีการเติบโตที่ไม่เท่ากัน

ขณะที่การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เติบโตด้วยตัวเอง แต่มาจากนโยบายการสนับสนุนจากภาครัฐเป็นหลัก โดยในช่วงต้นรัฐบาลของแต่ละประเทศจำเป็นต้องอุดหนุนเพื่อผลักดันให้ประชาชนเกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า แต่อาจเพราะความกังวลของประชาชน เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า จึงยังไม่พร้อมที่จะใช้งาน

ประเทศไทยในปี 2565 รัฐบาลจึงมีนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรมในงาน motor Show Thailand 2022 ทำให้บริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากต่างประเทศร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงทันที่ และรถยนต์ไฟฟ้ามีการการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ นับเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตด้านยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยเฉพาะ xEV ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็มีคำถามตามมาว่าประเทศไทยช้าไปในการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้ารวมไปถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้า (EV Charging Station) เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงขึ้นถึง 9.58 % ในปี 2022 ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งโลก (6.6 ล้านคัน)

economy-industry- (5)

ภาพรวมอุตสาหกรรมพลาสติกของโลกและไทย

คุณวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสถานบันพลาสติกกล่าวว่าประเทศไทยมีการผลิตเม็ดพลาสติก 9.6 ล้านตัน และมีแนวโน้มการผลิตมากขึ้น โดยอีก 2 ปีข้างหน้าก็ยังมีการผลิตมากขึ้นในลักษณะของไบโอพลาสติก ทั้งการนำเข้าและส่งออก ถ้าพิจารณาถึงมูลค่าการเปลี่ยนจากเม็ดพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกต่อปี จะเฉลี่ยที่ 1.2  ล้านๆ หรือ 7% กว่าของ GDP

จะเห็นได้ว่ากว่า 80% เม็ดพลาสติกที่ถูกเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติก เริ่มจาก บรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนรถยนต์ หรือ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ จนอาจกล่าวได้ว่าพลาสติกเองอยู่ในรูปของ Finish Product และ Componence  เช่น ชิ้นส่วนยนต์ จัดเป็น Componence บรรจุภัณฑ์จัดเป็น Finish Product กว่า 40 % เป็นที่น่าสังเกตว่าสิ่งที่โดดเด่นขึ้นมาในช่วงหลายปีที่ผ่านก็คือ อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ แม้นสัดส่วนยังน้อยแต่มีการโตที่สูงขึ้นเมื่อลงไปสำรวจจึงพบกว่าอุปกรณ์การแพทย์ส่วนใหญ่มาจากการนำเข้า ในช่วงเกิดสถานการณ์โควิด-19 จึงประสบปัญหา supply chain ในการนำเข้า ทำอย่างไรให้ Local Supply Chain ในประเทศมีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Disposable Device (อุปกรณ์ที่ใช้แล้วทิ้งไป)

โดยทิศทางหลักของอุตสาหกรรมพลาสติกจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วด้วยปัญหาเศรษฐกิจและกระแสสังคม ตั้งแต่ปี 2560 กระแสเรื่อง Plastic Less จากทั่วโลก และในต้นปี 2563 ประเทศไทยมีประกาศลดการใช้ถุงพลาสติกภายในประเทศ โดยขอความร่วมมือจากร้านค้าไม่แจกจ่ายถุงพลาสติก แต่เมื่อพิจารณาถึงทิศทางของอุตสาหกรรมพลาสติกกลับโตสูงขึ้น แนวโน้มของอุตสาหกรรมพลาสติกมีความเกี่ยวข้องกับสัดส่วน(Ratio) เกี่ยวกับ GDP Growth หรือ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ถึง 1.5 หรือ 2 เท่า ของอุตสาหกรรมทั้งโลก

ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรนั้นโดยเฉพาะ SME Thai ส่วนใหญ่กว่า 90 % จะเป็นขนาดกลางและขนาดเล็กอีก 10 % เป็นโรงงานขนาดใหญ่ จาก 3,200 กว่าโรงงาน และเป็นผู้แปรรูปเม็ดพลาสติกกว่า 70 % นอกนั้นแบ่งธูรกิจออกเป็บหลายรูปแบบ

แต่แนวโน้มที่จะเกิดมากขึ้น คือ ธุรกิจรีไซเคิล ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจด้านการส่งออกโฟมเม็ดไม่ว่าจะเป็นจีน (ตลาดใหญ่) เวียดนาม อินโดนีเซีย เช่น ประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก มีการปรับลดการนำเข้าบ้างแต่ไม่มาก ดั้งนั้นแนวโน้มอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมพลาสติกในประเทศไทยมีการโตแต่โตไม่ที่ควรนัก ซึ่งมูลค่ามีผลต่อราคาเม็ดพลาดสติกที่ไม่ได้แปรผันโดยตรงเลยที่เดียว ตัวอย่างเช่น การปรับตัวของราคาน้ำมันที่ขึ้นอย่างรวดเร็วมีผลต่อราคาเม็ดพลาสติกเป็นต้น ทางด้านผลิตภัณฑ์พลาสติกของประเทศไทยมีการส่งออกเยอะมากขี้น อย่างในปีนี้มีการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น

โดยสรุปแล้วแนวโน้มของอุตสาหกรรมพลาสติกในประเทศไทยยังคงไปต่อได้ แต่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการนโยบายของรัฐบาลต่ออุตสาหกรรมพลาสติกเกี่ยวกับ BCG ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เกือบทั้งหมด B ที่มีพูดถึงคือ Bioplastic คือ พลาสติกที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ส่วน C คือ Circular คือการเอาพลาสติกมาหมุนเวียน ปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการหมุนเวียนพลาสติกเพียง 18% เท่านั้น ประกอบกับใน 1-2 ปี ที่ผ่านมา มีการห้ามนำเข้าเศษพลาสติก จุดประสงค์เพื่อให้นำพลาสติภายในประเทศกลับใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในแต่ละปีประเทศไทยมีเศษพลาสติกไม่ต่ำกว่า 2 ล้านกว่าตัน จึงเป็นสิ่งที่ช่วยอุตสาหกรรมพลาสติก นอกจากนี้ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย เพราะการใช้รีไซเคิลเม็ดพลาสติกจะเป็นทางออกในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากพอสมควร

]]>
เนคเทค สวทช. โดย SMC ร่วมงาน “INTERMACH Exclusive Night – Unboxing the World of Manufacturing” สร้างเครือข่ายด้านอุตสาหกรรม https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach-exclusive-night.html Wed, 19 Oct 2022 03:48:43 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30407

เนคเทค สวทช. โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ร่วมงาน“INTERMACH Exclusive Night – Unboxing the World of Manufacturing” เพื่อสร้างเครือข่ายด้านอุตสาหกรรม

18 ตุลาคม 2565 ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC พร้อมด้วยดร.รัฐภูมิ ตู้จินดา ที่ปรึกษาศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC และ คุณ อุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม(IIARG) ร่วมงาน“INTERMACH Exclusive Night – Unboxing the World of Manufacturing” ณ ห้องภิรัชฮอลล์ 1 ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เพื่อเกาะติดทิศทางของอุตสาหกรรม และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย, เศรษฐกิจโลก ปี 2566 ได้ร่วมฟังวิสัยทัศน์ และองค์ความรู้ เพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมการผลิตไทยจากวิกฤตการณ์โลกที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็นระหว่างวิทยากรผู้ร่วมเสวนา พร้อมร่วมเป็นหนึ่งในการสร้างเครือข่ายสำหรับคนในแวดวงอุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมสนับสนุนไทย

งาน Intermach Exclusive Night เป็นกิจกรรมพิเศษของงาน Intermach 2023 จัดขึ้นเพื่อกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของนักอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง ข้อมูลเชิงนโยบาย และการเตรียมความพร้อมทางธุรกิจ ซึ่งจะมีบทบาทในการสร้างความรู้ ความตื่นตัว รวมถึงประสานความร่วมมือกันในหมู่นักอุตสาหกรรม โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมฟังประมาณ 250 ท่าน

]]>