IoT – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Sat, 09 Aug 2025 01:42:17 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png IoT – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 NETPIE ครบรอบ 10 ปี! เนคเทค สวทช. ชู AIoT ก้าวต่อไปของ IoT ไทย https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/netpie10th.html Fri, 08 Aug 2025 11:57:38 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40801

8 สิงหาคม 2568 – กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดกิจกรรม “10 ปี IoT ไทย: จาก NETPIE สู่อนาคตแห่งการเชื่อมต่อสรรพสิ่งด้วย AIoT” ชี้บทบาทสำคัญของแพลตฟอร์ม NETPIE ในการวางรากฐานระบบนิเวศ IoT ของไทย พร้อมเปิดมุมมองอนาคตการประยุกต์ใช้ AI ผสาน IoT (AIoT) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมและชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. กล่าวต้อนรับ พร้อมด้วย ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช., ดร.สุทัด ครองชนม์ นายกสมาคมไทยไอโอที, คุณชาวีร์ อิสริยภัทร์ CTO บริษัท เน็กซ์พาย จำกัด และผู้แทนจากภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมงาน ณ ห้อง 601 อาคารสราญวิทย์ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ปทุมธานี

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า “NETPIE (เน็ตพาย) เริ่มต้นจากโครงการวิจัยเล็กๆ ในเนคเทค ก่อนจะเติบโตเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่นักพัฒนา ครูอาจารย์ Maker และภาคเอกชนไทยนำไปต่อยอดใช้งานอย่างแพร่หลาย ในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ NETPIE งานในครั้งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อย้อนรำลึกถึงเส้นทางการพัฒนา IoT ของไทย พร้อมทั้งเปิดเวที ‘NETPIE & Friends’ เพื่อสะท้อนพลังของชุมชนผู้มีส่วนร่วมในการสร้างระบบนิเวศของเทคโนโลยี”

ภายในงานยังมีการเปิดตัว “Daysie” แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดจากทีมเนคเทค ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการพัฒนาระบบ AIoT ที่ทำงานแบบเรียลไทม์ มีความปลอดภัย และสามารถประมวลผลได้ที่ Edge โดยตรง ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพของนักพัฒนาไทยให้พร้อมรับกับความท้าทายในอนาคต นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญ การแชร์ประสบการณ์จากผู้ใช้งานจริง และเวิร์กชอปที่เปิดโอกาสให้ผู้สนใจทดลองใช้งาน Daysie ด้วยตนเอง “หวังว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้ ขยายเครือข่าย และจุดประกายแนวคิดใหม่ๆ ที่จะพา IoT ไทยก้าวไกลในยุค AIoT ต่อไป” ดร.ชัย กล่าวปิดท้าย

NETPIE แพลตฟอร์ม IoT ฝีมือคนไทย จุดเริ่มต้นสู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า “การพัฒนาสิ่งที่คนไม่รู้จักเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในช่วงเริ่มต้นการพัฒนา NETPIE ด้วยเทคโนโลยีไอโอที (IoT) เป็นเรื่องใหม่มากในช่วงปี 2555-2556” NETPIE (Network Platform for Internet of Everything) คือแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับการพัฒนา Internet of Things (IoT) สัญชาติไทย พัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. เพื่อให้การเชื่อมต่อและสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ IoT ง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ใช้งานสามารถจัดการและควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากอุปกรณ์ผ่านแดชบอร์ด เพื่อประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโซลูชันอัจฉริยะในหลากหลายภาคส่วน NETPIE เปิดให้บริการฟรีแก่สาธารณชนครั้งแรกในปี 2558 โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ที่รองรับการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ด้าน IoT สำหรับทั้งนักพัฒนา ธุรกิจสตาร์ทอัป และภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการสร้างระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะโดยไม่ต้องลงทุนด้านระบบหลังบ้านเอง ด้วยความสามารถที่ครบถ้วนและใช้งานได้จริง NETPIE จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันระบบนิเวศ IoT ไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยสามารถนำไปต่อยอดการใช้งานในหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ เกษตรอัจฉริยะ ไปจนถึงเมืองอัจฉริยะ

เพื่อรองรับการใช้งานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและตอบโจทย์ความต้องการทางอุตสาหกรรม แพลตฟอร์ม NETPIE ได้ยกระดับสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ โดยทีมวิจัยและพัฒนาบางส่วนจากเนคเทค  สวทช. ได้ก่อตั้งบริษัท เน็กซ์พาย (NEXPIE) จำกัด ขึ้น เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการ NETPIE อย่างมืออาชีพ โดยได้รับสิทธิในการใช้แพลตฟอร์ม NETPIE ภายใต้การอนุญาต (Licensing) จากเนคเทค สวทช. โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว พร้อมส่งเสริมการนำเทคโนโลยีไปใช้จริงในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และการพัฒนาประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพ “นับเป็นก้าวสำคัญของ NETPIE จากโครงการวิจัยสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้าน IoT ที่พร้อมรองรับการใช้งานในระดับองค์กรและภาคเอกชนได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ดร.พนิตา กล่าวเสริม

พลิกวิกฤตด้วย NETPIE

จากเสียงร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ซึ่งในอดีตน้ำประปาไม่ไหล หรือไหลอ่อนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นผลมาจากระบบผลิตน้ำ ณ หน่วยบริการ อ.แม่วาง ขัดข้องหรือหยุดชะงัก จากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับหรือไฟฟ้ากระพริบ ด้วยหน่วยบริการ อ.แม่วาง เป็นสถานีผลิตน้ำขนาดเล็กอยู่ห่างไกลจากสำนักงานใหญ่ ประมาณ 60 กิโลเมตร ทำให้เจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานใหญ่ไม่ทราบสถานะของเครื่องจักรกล การเข้ามาตรวจสอบสถานะดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อประชาชนร้องเรียนเข้ามา ทาง กปภ. สาขาเชียงใหม่ (พ.) จึงตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีที่ดีและคุ้มค่าอย่าง เน็ตพาย (NETPIE) แพลตฟอร์มไอโอทีสัญชาติไทย “หลังจากที่เราได้นำ NETPIE มาประยุกต์ใช้สร้างนวัตกรรม สามารถลดข้อร้องเรียนในการแจ้งน้ำไหลอ่อนหรือน้ำไม่ไหลได้ เนื่องจากเรามีการผลิตน้ำที่ต่อเนื่องมากกว่าเดิม” คุณธีระพงษ์ ละออ วิศวกรงานผลิต กปภ. สาขาเชียงใหม่ (พ.) กล่าว

NETPIE ยกระดับสู่ AIoT หนุนภาคอุตสาหกรรมไทย

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า “บ่อยครั้งที่ผมมักเปรียบเทียบว่า ข้อมูล (Data) เปรียบเสมือนเลือด AI คือสมอง และเซนเซอร์ คือประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนต้องเชื่อมโยงกันผ่านเส้นเลือด และเส้นเลือดในระบบดิจิทัลก็คือแพลตฟอร์ม IoT หรือ NETPIE นั่นเอง ซึ่งได้ก้าวสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์และภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบผ่านบริษัท NEXPIE แล้ว ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อมีการผสาน IoT เข้ากับ Edge Computing และ AI ซึ่งเป็นแนวทางของ AIoT ที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบอัจฉริยะในอนาคต”

“Daysie” แพลตฟอร์ม AIoT ที่ใช้งานง่าย…ไม่เขียนโค้ด

ในโอกาสนี้ ดร.เอมอัชนา นิรันตสุขรัตน์ หัวหน้าทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) กล่าวว่า เนคเทค  สวทช. ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “Daysie” แพลตฟอร์มช่วยสร้างแอปพลิเคชัน IoT สำหรับติดตั้งบนอุปกรณ์ Edge Computing โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเขียนโปรแกรมใดๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับการพัฒนาแอปพลิเคชันในกลุ่มเทคโนโลยี AIoT (Artificial Intelligence of Things) โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันได้โดยไม่ต้องมีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม พร้อมดาวน์โหลดไปติดตั้งบนอุปกรณ์ Edge Computing ได้ด้วยตนเอง

จุดเด่นของ Daysie ไม่เพียงแต่ช่วยให้การสร้างแอป AIoT เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แต่ยังเปิดทางให้ อุปกรณ์ Edge Computing สามารถประมวลผลข้อมูลและตัดสินใจควบคุมอุปกรณ์อื่นได้โดยอัตโนมัติ ด้วยความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีกทั้งยังเชื่อมโยงและทำงานร่วมกับระบบ IoT ได้อย่างไร้รอยต่อผ่านแพลตฟอร์ม NETPIE

นับเป็นก้าวสำคัญของ สวทช. จากการเป็นผู้ให้บริการด้าน IoT มาสู่การผลักดันเทคโนโลยี AIoT อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อ กระจายการประมวลผลจากศูนย์กลาง (Cloud Computing) ไปยังจุดต่าง ๆ ในระบบผ่าน Edge Computing ซึ่งทำให้ระบบตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น มีความยืดหยุ่น และสามารถดำเนินงานได้แม้ในกรณีที่ไม่มีการเชื่อมต่อกับคลาวด์

AIoT จึงถือเป็นการ “กระจายสมอง” ให้แทรกซึมในทุกองค์ประกอบของระบบ IoT เช่น ตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานในสายการผลิต ที่อุปกรณ์ Edge Computing หนึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติในเครื่องจักร แล้วสื่อสารกับอุปกรณ์ Edge ตัวอื่นที่ควบคุมกระบวนการผลิตในช่วงก่อนหน้า เพื่อชะลอความเร็วให้เหมาะสม ลดของเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบโดยรวม

ปัจจุบันแพลตฟอร์ม Daysie ถูกนำไปทดลองใช้งานในหลากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมเช่น การพัฒนาอุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยภาพถ่ายหรือเสียง การวิเคราะห์เสียงเครื่องจักรเพื่อตรวจหาความผิดปกติล่วงหน้า และงานอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ปลายทาง

การเปิดตัว Daysie สะท้อนถึงทิศทางของ สวทช. ที่มุ่งมั่นผลักดันไทยให้เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ด้วยเทคโนโลยีที่ผสานความง่ายในการใช้งาน เข้ากับความล้ำหน้าของ AI และการสื่อสารของ IoT อย่างสมบูรณ์แบบ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “Daysie” ได้ที่ https://daysie.io/

]]>
ทีมวิจัยระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) https://www.nectec.or.th/research/research-unit/iiarg-cps.html Fri, 28 Feb 2025 06:31:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=18993 Read more]]>

ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (Cyber-Physical Systems : CPS) อยู่ภายใต้กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

มีภารกิจในการให้บริการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศด้วยเทคโนโลยที่เกี่ยวข้องกับระบบไซเบอร์-กายภาพ อาทิ Industrial Internet of Things (IIoT), Artificial Intelligence (AI), Cloud Computing, Edge Computing, Smart Sensors และ Optimization & Control โดยมีกิจกรรมหลัก 4 ด้านคือ

  1. การเผยแพร่องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อการยกระดับอุตสาหกรรม เช่น การร่วมวิจัยพัฒนา
  2. การให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และบุคคลทั่วไป
  3. การให้บริการชุดทดสอบสาธิต (Testbeds) และศูนย์เรียนรู้ (Learning Center) สำหรับการเพิ่มพูนทักษะและงานวิจัย ร่วมไปถึงการให้บริการ NETPIE  ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะรองรับการใช้งาน IoT ของประเทศ
  4. การจัดอบรมหลักสูตรด้าน IoT/IIoT, AI/Edge Computing, Data Analytics และ Lean Manufacturing เพื่อพัฒนาทักษะของบุคลากรวิชาชีพ (Upskill/Reskill)

ปัจจุบัน CPS มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีด้าน IoT/IIoT, Lean Process, Smart Maintenance, Edge/Cloud Computing, AI/Machine Learning และ IoT Security

บทบาทหน้าที่

  • ให้บริการคำปรึกษา ถ่ายทอดองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการของประเทศในตลาดโลก
  • บริการ Testbed Facility ในการทดสอบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) CPS และ IoT ในด้านต่างๆ เช่น
    • บริการโครงสร้างพื้นฐาน NETPIE Cloud Platform สำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ IoT
    • บริการ Daysie Platform สำหรับการสร้างแอปพลิเคชัน AI/IoT สำหรับอุปกรณ์ Edge Computing
    •  โรงงานแห่งการเรียนรู้ด้านดิจิตัลลีน (Digital Lean Learning Factory)
    •  ชุดทดสอบมอเตอร์ (Motor Power Testbed) และการวินิจฉัยความผิดพลาด (Motor Fault Diagnosis)
    • ชุดเรียนรู้ระบบ Solar Cooling System
  • ดำเนินงานวิจัยพัฒนา สร้างองค์ความรู้และสร้างนวัตกรรมด้าน CPS และ IoT เพื่อตอบโจทย์การใช้งานจริงของประเทศ
  • สร้างระบบนิเวศเกื้อหนุนผู้ประกอบการ CPS และ IoT

วิสัยทัศน์

เป็นหน่วยเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีด้านระบบไซเบอร์-กายภาพและการถ่ายทอดแนวคิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย

พันธกิจ

จัดตั้งศูนย์บริการแบบครบวงจร (One-Stop Service) ที่มีผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือ และห้องทดสอบ สำหรับการสร้างนวัตกรรม ให้คำปรึกษา และถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี CPS แก่สาธารณชน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย

เทคโนโลยีหลัก

  • Internet of Things (IoT), Industrial IoT (IIoT)
  • Digital Lean Manufacturing (DLM)
  • Artificial Intelligence (AI) and Machine Learning (ML) for Industrial Applications
  • Edge and Cloud Computing
  • IoT System Architecture Design and Implementation

ผลงานเด่น

  • แพลตฟอร์มสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่ง ( NETPIE )
    NETPIE คือ IoT Platform สัญชาติไทย เป็นระบบหลังบ้านของอุปกรณ์ IoT เปิดบริการฟรีในรูปแบบ Public Cloud Platform ช่วยให้การใช้งาน IoT และการพัฒนาอุปกรณ์หรือระบบกลายเป็นเรื่องง่าย (https://netpie.io/)
  • IDA Platform แพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม
    IDA คือ Platform สำหรับเชื่อมโยงข้อมูลจากเครื่องจักรและระบบภายในโรงงาน เพื่อตรวจสอบ แสดงผล และวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม โครงการ IDA ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม 4.0 ต่างๆ ไปใช้จริงในโรงงานผ่านการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการเงิน อาทิ การตรวจวัดและจัดการการใช้พลังงาน Smart OEE AI/Edge Computing Visual Inspection และ Carbon Footprint Management
  • แพลตฟอร์มเพื่อการสร้างแอปพลิเคชัน AIoT บน Edge Computing (Daysie)
    Daysie คือบริการที่ช่วยในการสร้างและจัดการแอปพลิเคชัน AI และ IoT ได้โดยผู้ใช้งานไม่ต้องเขียนโปรแกรม เหมาะสำหรับงานที่ต้องปรับเปลี่ยนโมเดลการตัดสินใจตามข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น แอปพลิเคชันใน Shop Floor ต่างๆ

บุคลากรและความเชี่ยวชาญ

  • ดร.เอมอัชนา นิรันตสุขรัตน์ : Artificial Intelligence/Machine Learning, IoT, System Modeling, IoT System Architecture
  • ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์ : System Design Optimization, Machine Design, Lean Manufacturing
  • นายเอกชาติ หัตถา: Lean Manufacturing, Computational Fluid Dynamics, Solar Cooling System
  • นายธงชัย ธงวิจิตรมณี: Industrial Sensors Networks, Artificial Intelligence, Precision Farming
  • นายสุรพันธ์ ทองรังสี: IoT, Sensor Test and Evaluation, Machine and Equipment Maintenance
  • นายทองพูล สังกะเพศ: Machine and Equipment Maintenance, Product and Equipment Design, Solar Cooling System
  • นายณฐพล ตันสังวรณ์: IoT/Edge Computing, Large-Scale Platform Design and Implementation, IoT Application Development, Embedded System
  • นางรัสรินทร์ ตันสังวงรณ์: IoT, AI/ML, Data Analytics, Database, Software Development, Data Visualization, UX/UI Design
  • นายปิยวัฒน์ จอมสถาน: IoT Application Development, IoT Hardware Design, IIoT System Design, Data Visualization, Database
  • นายทศพล กลิ่นสุคนธ์: AI/ML, Microcontroller Control Programming, Mechanical System Analysis

ติดต่อ

ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS)
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
อีเมล : iiarg-cps[at]nectec.or.th
เว็บไซต์ : https://www.nstda.or.th/cps
โทร. : (+66)2-564-6900 ต่อ 2582, 2068

]]>
เนคเทคเผยวิสัยทัศน์ขับเคลื่อน AI และ IoT ในภาคอุตสาหกรรม ที่งาน AI & IoTs Summit 2023 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/ai-iot-summit2023.html Fri, 09 Jun 2023 10:50:21 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33347

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) และผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ปาฐกถาในหัวข้อ: Driving AI & IoT Application Development through Industry Collaboration ในงานอบรมสัมมนา AI & IoTs Summit 2023

โดยกล่าวถึงความก้าวหน้าของ AI & IoT ที่พัฒนาโดย เนคเทค สวทช. และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม โดยเมื่อ AI มาเจอกับ IoT สิ่งที่จะได้ประโยชน์คืออะไร, แนะนำคีย์เวิร์ดที่ควรรู้ Cyber Physical System, แนะนำงานวิจัยที่ภาคเอกชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือต่อยอดในภาคธุรกิจได้, Case study ที่ทำร่วมกับเอกชน รวมถึง Campaign ที่น่าสนใจจาก เนคเทค สวทช.

โดยทั่วไปมักจะคุ้นเคยกับการใช้ IoT ในลักษณะเก็บข้อมูลจากเซนเซอร์ เพื่อขึ้น Database หรือ Cloud ไปวิเคราะห์ Take Action ต่างๆ การใช้ IoT เป็นการเก็บข้อมูลทางเดียว หรือใช้ในการสั่งการ Smart Homeใช้ในการควบคุม สั่งการแบบตรงไปตรงมา แต่เมื่อ IoT มาพบกับ AI นั้น AI ซึ่งมีหน้าที่ในการประมวลผลเทียบเท่ามนุษย์ในช่วงแรก ปัจจุบันการประมวลผลมีหลายรูปแบบ ทั้งในระดับ Sensors, Gateway (Edge Computing), Server และ Cloud ความฉลาดฉลาดของ AI จะอยู่ในระดับใดขึ้นอยู่กับการออกแบบและการพัฒนา ข้อดีถ้าประมวลผลใกล้จุดปลายทางที่สุดความรวดเร็วย่อมดีที่สุดแต่ก็เปลืองทรัพยากรจำนวนมาก หากประมวลผลใน cloud แม้จะมีทรัพยากรเพียงพอแต่มี Round Trip Time (RTT) ซึ่งก็คือเวลาที่ใช้ไคลเอนต์ในการส่งคำขอและรับการตอบกลับจากเซิร์ฟเวอร์ก็จะเยอะขึ้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการออกแบบของผู้พัฒนา

สำหรับการประยุกต์ใช้ในทางธุรกิจของ AI & IoTs ไม่ว่าจะเป็นด้านโลจิสติกส์ การวิเคราะห์ทั้ง supply chain ในเชิงธุรกิจ เรื่องของ ERP การใช้ OCR ในการอ่านเอกสารการเงินต่างๆ การทำ Big Data Analytic การทำรถอัตโนมัติซึ่งต้องใช้เซนเซอร์ในการประมวลผลต่างๆ ให้สามารถตัดสินใจเอง ด้านอุตสาหกรรมด้าน Maintenance ที่ไม่ใช่ตามตารางเวลาและจะเป็นการคาดการณ์ว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เหล่านี้คือความหลากหลายและเป็นไปได้เมื่อ AI มาเจอกับ IoTs

Cyber-Physical Systems : เมื่อโลกทางกายภาพพบกับโลกไซเบอร์

เมื่อ AI มาพบกับ IoT สิ่งที่เกิดขึ้นจะเรียกว่า Cyber-Physical Systems คือ ระบบทางวิศวกรรมที่บูรณาการโลกกายภาพ (Physical World) กับโลกไซเบอร์ (Cyber World) เข้าด้วยกัน โลกกายภาพเป็นข้อมูลที่ถูกดึงขึ้นมาจากสิ่งต่างๆ เช่น อุปกรณ์ เครื่องจักร มนุษย์ ระบบต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นหรือเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ รวมถึงสภาพแวดล้อม ถูกดึงขึ้นมาเพื่อประมวลผลเป็นองค์ความรู้ แปลงสู่การตัดสินใจ เช่น หยุดการเดินเครื่องต่างๆ การปั้มน้ำ เพิ่มความดัน การตัดสินใจเหล่านี้ก็จะกลับไปควบคุมสิ่งที่เป็น Physical เครื่องจักรทางกายภาพ ดังนั้น Cyber-Physical Systems (CPS) เกิดขึ้นได้ต้องมีทั้ง AI และ IoTs การมี IoTs อย่างเดียวจะเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเป็น Oneway (IoT = Open-Loop) เช่น การดึงข้อมูลจากเซนเซอร์ไปเก็บในเซิฟเวอร์ (Physical สู่ Cyber) หรือการสั่งจาก App เพื่อเปิดปิดไฟ (Cyber สู่ Physical) แต่เมื่อไรที่มี AI เข้ามาจะเกิด Closed-Loop ทันที ข้อมูลที่วัดได้ ประมวลผลได้ หรือข้อมูลต่างๆ ที่ตัดสินใจได้ จะกลับมาควบคุมเครื่องมือเครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ได้ เหล่านี้คือ Cyber-Physical Systems Model

ส่วนโลกไซเบอร์ จะกล่าวถึง ซอฟต์แวร์ในรูปแบบแอปพลิเคชัน หรืออยู่ใน Embessed System, Gateway, Edge Computing มีความสามารถในการประมวลผล Server Cloud โทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบนี้

เทคโนโลยีที่จะทำให้ CPS เกิดขึ้นได้แก่ Embedded, Robotics, Sensor, Internet of Things (IoT), Cloud Computing (CC), Edge Computing (EC), Artificial Intelligence (AI), Big Data Analytics (BDA), Decision Making Algorithms Control Algorithms นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงรูปแบบการสร้างโมเดลทางกายภาพต่างๆ เพื่ออธิบาย CPS นำไปสู่ Digital Twin ต่อไป

ช่วงท้าย ดร.พนิตาได้กล่าวแนะนำถึงบริการด้านต่างๆ ของ สวทช. อาทิ ศูนย์ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เพื่อการคำนวณขั้นสูง (NSTDA Supercomputer Center: ThaiSC), NETPIE 2020, IDA : Industrial IoT Data Analytics Platform, Daysie : Edge-AI Application Platform, UNAI (อยู่ไหน) Indoor Positioning Platform, Visual AI Software Platform, Visual AI + Collaborative Robots, Production Line Digital Twin, 3D Scan and Inspection Robot, Digital Twin Modeling, VR/AR Creation Tools, Smart Maintenance & IIoT Testbed, Industry 4.0 Testbed @SMC-EECi รวมทั้ง SMC Campaign ที่น่าสนใจต่างๆแก่ผู้ประกอบการ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และสมาคมผู้ใช้ดิจิทัลไทย (DUGA) ได้จัดงาน AI & IoTs Summit 2023 (ครั้งที่5) ภายใต้แนวคิดหลัก AI & IoT: The Convergence Technology to Reshape Business Growth ซึ่งมีกำหนดจัดงาน ในวันที่ 30 – 31 พฤษภาคม 2566 จัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ของ AI & IoT ให้ทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และนำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้ AI IoT เพื่อเพิ่มระดับผลิตภาพของทุกอุตสาหกรรม ที่มีส่วนสำคัญ ในการพัฒนาประเทศ รวมไปถึงสร้างความตระหนัก เข้าใจถึงวิถีการทำงานของเทคโนโลยีเพื่อสามารถลงทุนได้อย่างเหมาะสม

E

]]>
รวมตัวคนอุตสาหกรรม EEC ! ยกระดับทักษะออกแบบและการเขียนโปรแกรมไอโอทีในโรงงาน ผลิตบุคลากรระยะเร่งด่วน รับเป้าหมายอุตสาหกรรม 4.0 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/iot-fundamentals.html Fri, 28 Apr 2023 11:52:48 +0000 https://nectec.or.th/?p=34077
เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) จัดกิจกรรมอบรมหลักสูตร “การออกแบบ และการเขียนโปรแกรมสำหรับ Internet of Things ในโรงงาน 4.0 (IoT Fundamentals)” ภายใต้การสนับสนุนโดยโครงการ EEC Type B สำนักงานคณะทำงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) เพื่อพัฒนาทักษะ ยกระดับความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมทางด้านระบบ Internet of Things หรือ IoT ทั้งในเรื่องโครงสร้างของระบบ IoT, รูปแบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ในระบบ IoT, การออกแบบ ใช้งาน เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บน IoT Device, IoT Platform ฯลฯ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ตอบโจทย์งานด้านอุตสาหกรรม 4.0 ได้อย่างเหมาะสม โดยมีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวนกว่า 40 คน จากกลุ่มบริษัทในเครือ SCG Chemical ประกอบด้วย ผู้จัดการ วิศวกร เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แผนกวางแผนซ่อมบำรุง แผนกวิศวกรรม แผนก Digital Infrastructure 3 เข้าร่วมกิจกรรม วันที่ 27 เมษายน 2566 ณ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) EECi จ.ระยอง
ดร.อภิชาต ทองอยู่ ประธานคณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC HDC) กล่าวเปิดกิจกรรม ความว่า EEC HDC ให้ความสำคัญและยินดีที่จะสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมผ่านการจัดสรรงบประมาณ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพ ศักยภาพบุคลากรอุตสาหกรรมให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคที่ไทยพยายามขับเคลื่อนสู่อุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะพลิกโฉมโครงสร้างการทำงานและองค์กรแบบ Labor intensive สู่ Digital Platform การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะสร้างข้อได้เปรียบให้กับภาคอุตสาหกรรม ด้วยอุตสาหกรรมแบบเก่ามีระดับศักยภาพ ต้นทุน และความสูญเสียโดยรวมต่างกันกับอุตสาหกรรมใหม่ถึง 40% สำหรับโครงการนี้นอกเหนือจากองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมทั้งทฤษฎีและภาคปฏิบัติแล้วหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้เกิดเครือข่ายของคนอุตสาหกรรม หรือ สร้างความเชื่อมโยงกับเนคเทค สวทช. เพื่อพัฒนาความก้าวหน้าให้กับภาคอุตสาหกรมต่อไปได้
ด้าน คุณโฆสิต หนูฤทธิ์ Operation Productivity Improvement Manager บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม เล่าว่า บริษัทมีมุมมองในการนำเทคโนโลยีไอโอทีมาปรับใช้กับเครื่องจักรที่มีอยู่เดิม เพื่อให้เครื่องจักรสามารถสื่อสารกันได้ หรือในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเครื่องจักรต้องสามารถสื่อสารมาที่มนุษย์ได้เช่นกัน โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในการตรวจสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักร อัตราการผลิต และการใช้พลังงาน รวมถึงวางแผนการดูแลรักษาเครื่องจักรให้เกิดดาวน์ไทม์น้อยที่สุด
ในจุดเริ่มต้นของการนำไอโอทีมาใช้ในโรงงาน เราใช้คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีความรู้ความสามารถก่อน แต่เมื่อต้องการขยายผลไปยังส่วนการผลิต หรือ ระบบอื่น ๆ ในโรงงาน จึงต้องการบุคลากรในส่วนนี้เพิ่มขึ้น “ซึ่งในอดีตการพัฒนาบุคลากรเหล่านี้ไม่ได้อบรมเรียนรู้ไปพร้อมกัน ทำให้มองภาพและเข้าใจคนละแบบ เป็นอุปสรรคเมื่อกลับมาทำงานร่วมกัน หรือ แชร์องค์ความรู้ต่อ สำหรับการอบรมในครั้งนี้บริษัทจึงนำบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับด้านไอโอทีทุกกลุ่มทั้ง ผู้จัดการ วิศวกร เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ แผนกวางแผนซ่อมบำรุง แผนกวิศวกรรม แผนก Digital Infrastructure เข้ามาเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจพื้นฐานไอโอทีในโรงงานที่เป็นภาพเดียวกันทั้งหมด
การอบรมในครั้งนี้ ผู้อบรมจะได้เรียนรู้ พื้นฐานและองค์ประกอบของไอโอทีอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจภาพรวม หลักการทำงาน และความสามารถของระบบ เรียนรู้การเขียนโปรแกรมสำหรับการควบคุมอุปกรณ์ไอโอทีโดยใช้ Microcontroller รวมถึงวิธีการทำให้อุปกรณ์ไอโอทีสามารถเชื่อมต่อรูปแบบต่าง ๆทั้งในเครือข่าย หรือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ โดยเน้นศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละประเภท เพื่อให้สามารถปรับใช้ในอุตสาหกรรมหรือหน้างานของตัวเองได้ อีกทั้งยังได้เรียนรู้ความสำคัญของ IoT Platform และวิธีการเลือกใช้งาน IoT Platform ให้เหมาะกับงานด้านอุตสาหกรรม พร้อมยกตัวอย่างการใช้งาน IoT Platform โดยใช้ NETPIE2020 อีกด้วย
]]>
ทีมเนคเทค สวทช. บรรยายให้ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลตรวจสอบงานก่อสร้าง ของ สตง. (รุ่นที่ 1) https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/audit-digital-construction1.html Thu, 23 Mar 2023 08:37:28 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=32508

นักวิจัยและวิศวกรเนคเทค สวทช.เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในยุค 4.0  เพื่อช่วยในการตรวจสอบงานก่อสร้าง” ภายใต้หลักสูตร “การพัฒนาผู้ตรวจสอบทางวิศวกรรม” รุ่นที่ 1 จัดโดยสถาบันพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ให้กับข้าราชการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่ดำรงตำแหน่งวิศวกร หรือ ตำแหน่งนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดินที่มีวุฒิการศึกษาด้านวิศวกรรมระดับปฏิบัติการขึ้นไป ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค วันที่ 21 มีนาคม 2566 ณ โรงแกรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ

ดร.รุ่งโรจน์ จินตเมธาสวัสดิ์ นักวิจัยทีมวิจัยเทคโนโลยีเทระเฮิรตซ์ (TRT) เนคเทค บรรยายเรื่อง “ระบบการสร้างแผนที่ 3 มิติด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (LiDAR)”  ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการวัดระยะทางโดยใช้แสงเลเซอร์ การบรรยายนี้ได้อัปเดตเทรนด์ของเทคโนโลยีและการนำไปช่วยตอบโจทย์งานด้านตรวจสอบการก่อสร้างในหลากหลายรูปแบบ และการนำข้อมูลแผนที่สามมิติเชื่อมโยงกับ Building Information Modeling (BIM) แพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการออกแบบและจัดการข้อมูลก่อสร้างซึ่งทุกคนที่เกี่ยวข้องในกระบวนการก่อสร้างสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและลดความผิดพลาดในการก่อสร้างได้

คุณยุทธศักดิ์ ถิ่นโพธิ์วงษ์ วิศวกรอาวุโส และ คุณพงษ์พิพัฒน์ เตชะพันธุ์ วิศวกรจากศูนย์บริการงานวิศวกรรม สวทช. (NFEC) บรรยายเรื่อง “Smart Sensor for Smart Building” เกี่ยวกับการนำเซ็นเซอร์รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อ IoT มาใช้ในงานก่อสร้างและตรวจสอบกระบวนการก่อสร้าง และได้แสดงตัวอย่างแดชบอร์ดการใช้พลังงานของ สวทช. อีกด้วย

]]>
เนคเทค สวทช. X SYNTECH หารือความร่วมมืองานวิจัยโรงงานอัจฉริยะ และ สมาร์ตฟาร์ม https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectec-syntech.html Mon, 02 May 2022 03:48:48 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=26333
เนคเทค สวทช. นำโดย ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการ พร้อมด้วยทีมนักวิจัย เข้าเยี่ยมชมและหารือความร่วมมือกับบริษัท Synergy Technology หรือ SYNTECH โดยมี คุณนิติ เมฆหมอก นายกสมาคมไทยไอโอที และ CEO Synergy Technology Co., Ltd และคุณรัศมี สืบชมภู CEO Synergy Innovation ให้เกียรติต้อนรับ ณ SYNHUB Digi-Tech Community จ.ปทุมธานี ในวันที่ 28 เมษายน 65
โดยคุณนิติ และ คุณรัศมี ได้นำเสนอเรื่องราวของบริษัท Synergy Technology ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำที่ให้บริการโซลูชั่นสมาร์ตเทคโนโลยี (Smart Solution Provider) ในหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ด้านสุขภาพ พลังงาน เกษตรอัจฉริยะ หุ่นยนต์ การอยู่อาศัย พร้อมให้บริการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ไปจนถึงการทดสอบและผลิตทั้งแบบ ODM และ OEM Manufacturing
เนคเทค สวทช. เห็นโอกาสในการบูรณาการความร่วมมือใน 2 ด้าน ได้แก่ โรงงานอัจฉริยะ และ เกษตรอัจฉริยะ โดย ดร.พิเชษฐ์ บุญหนุน นักวิจัย ทีมวิจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน (SMR) เนคเทค สวทช. ได้นำเสนองานวิจัยด้าน Visual Inspection สำหรับใช้งานตรวจสอบสายการผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์ พร้อมยกตัวอย่างแพลตฟอร์มที่ทีมวิจัย SMR พัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและเทรนด์โมเดลโดยไม่จำเป็นต้อง coding
สำหรับงานด้านเกษตรอัจฉริยะ คุณนริชพันธ์ เป็นผลดี ผู้ช่วยวิจัยอาสุโส ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT) เนคเทค สวทช. ได้หารือโอกาสในการต่อยอดโครงการส่งเสริมสวนเกษตรอัจฉริยะในโรงเรียนยุคปกใหม่ด้วย HandySense ไปยังโรงเรียนในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ต่อไป รวมถึงการส่งเสริมการใช้งานมาตรฐานอุปกรณ์ไอโอทีสำหรับเกษตรอัจฉริยะอีกด้วย ซึ่งสมาคมไทยไอโอที และ Synergy Technology มีความพร้อมที่จะสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ 
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ ได้กล่าวเสริมในส่วนบริการของศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ที่มีผลงานวิจัยและบริการที่สามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมได้เป็นอย่างดี
 
ในช่วงท้ายคุณนิติ คุณรัชนี พร้อมด้วยทีม SYNTECH ได้ให้เกียรตินำชมพื้นที่โดยรอบของ SYNHUB Digi-Tech Community ไม่ว่าจะเป็นแปลงเพาะปลูกสำหรับทดสอบผลงานด้านสมาร์ตฟาร์ม ที่ปัจจุบันได้มีการติดตั้งระบบ HandySense ส่วนการผลิตของโรงงาน ไปจนถึงโซน Smart Office, Co-working space, Meeting room, Kusto cafe ที่ปัจจุบันได้เปิดให้บริการเป็น Digi-Tech Community ที่ตอบโจทย์ทุกการทำงาน
]]>
ติดอาวุธเด็ก Gen R ด้วยทักษะโรงงานอัจฉริยะ ในเวที IoT Hackathon 2022 พร้อมส่งต่ออุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b8%b8%e0%b8%98%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%87%e0%b8%81-gen-r-%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b0.html Tue, 05 Apr 2022 09:00:45 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=25273

5 เมษายน 2565 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เนคเทค สวทช. โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด  (มหาชน) จัดการแข่งขัน IoT Hackathon 2022 Gen R Data Analytics for Factory 4.0 เพื่อส่งเสริมทักษะ ด้าน Industrial Internet of Things (IIoT) ให้แก่นักเรียนอาชีวศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

สำหรับพิธีเปิดการแข่งขันฯ ในวันนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ EECi คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวเปิดการแข่งขัน พร้อมด้วย คณะกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการเทคนิคบ้านค่าย ผู้แทนจากวิทยาลัยเทคนิคชลบุรี คณะครูอาจารย์ที่ปรึกษา และ ทีมเนคเทค สวทช. นำโดย นักวิจัยระบบไซเบอร์กายภาพ (CPS) งานพัฒนากำลังคนด้านอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ ร่วมกิจกรรมฯ ณ ศูนย์ฝึกอบรมธนาคารไทยพาณิชย์ หาดตะวันรอน จ.ชลบุรี

ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ EECi

ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการ สวทช. ในฐานะผู้อำนวยการ EECi  กล่าวถึงการจัดการแข่งขันในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งภายใต้โครงการพัฒนาทักษะด้าน Industrial Internet of Things (IIoT) ให้แก่บุคลากรด้านอาชีวศึกษามุ่งเน้นการพัฒนากำลังคนด้านอุตสาหกรรมเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไทย และเป็นการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยในภาพรวม ด้วยการนำงานวิจัยพัฒนาไปสู่การลงทุน ในรูปแบบการพัฒนาแพลตฟอร์มต่าง ๆ   ประกอบด้วยโรงงานต้นแบบ สนามทดสอบและการเตรียมพร้อมด้านกำลังคนรับรองอุตสาหกรรมเป้าหมายผ่านการสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความต้องการการยกระดับทักษะเดิมให้ดีขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานด้วยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศโดยคาดหวังว่าจะสามารถต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างงาน สร้างอาชีพสร้างประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจและยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยกำลังคนที่มีคุณภาพพร้อม

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวถึงการจัดกิจกรรมแข่งขันในครั้งนี้เป็นกิจกรรมครั้งที่ 2 หลังจากจัดครั้งแรกเมื่อต้นปี 2564 มีนักเรียนผ่านการอบรมของโครงการ ฯ กว่า 100 คน  มี 38 คนผ่านเกณฑ์การคัดเลือกตามเงื่อนไขและเข้าร่วมแข่งขัน หลังจบการแข่งขันโครงการ ฯ ได้สนับสนุนนักเรียน จำนวน 30 คน เข้ารับการฝึกงานยังสถานประกอบการต่างๆ และจากการติดตามผลของโครงการ ฯ มากกว่า 50% ได้รับการตอบรับที่ดี 

ในปีนี้ เนคเทค สวทช. ร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนสนับสนุนการดำเนินโครงการทั้งด้านการให้ทุนสนับสนุนจาก EEC และความเอื้อเฟื้อในการจัดกิจกรรมจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประสานความร่วมมือกับวิทยาลัยอาชีวศึกษา 16 แห่ง สถานประกอบการในเขตพื้นที่ EEC ดำเนินงานในโครงการ ฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์สร้างทักษะเตรียมกำลังคนรองรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรม ได้พัฒนาหลักสูตรร่วมกับวิทยาลัย และถ่ายทอดองค์ความรู้ ภาคปฏิบัติที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี Industrial IoT ให้ครูและนักเรียนของสถาบันอาชีวศึกษาในเขตพื้นที่ EEC ดำเนินการจัดอบรมหลักสูตร Internet of Things ทั้งแบบ Online และ Onsite ให้อาจารย์ที่สนใจ เพื่อมาช่วยสอนในโครงการฯ และได้ร่วมกันพัฒนาหลักสูตรในโครงการฯ ให้สอดรับการความต้องการจากสถานประกอบการ

คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

การจัดกิจกรรมการแข่งขัน IoT Hackathon 2022 Gen R ภายใต้แนวคิด Data Analytics for Factory 4.0 เปิดรับสมัครนักเรียนจากสถาบันอาชีวศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ วุฒิการศึกษา (ปวช.) และ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)  ในเขตพื้นที่  EEC ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 มีนักเรียนจำนวน 103 คน จาก 8 วิทยาลัยเข้าร่วม และเข้าอบรมพัฒนาทักษะด้าน IIoT แบบเข้มข้น โดยใช้ชุดอบรม I – Kit จัดในรูปแบบ Online เป็นระยะเวลา 8 วัน หลังจากนั้นได้มีการจัดสอบคัดเลือกนักเรียนเพียง 45 คน ให้เข้ารับการอบรมต่อเนื่อง อีก 5 วัน เพื่อเรียนรู้ทักษะภาคปฏิบัติที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีโดยใช้ชุดอบรม I2 – Starter Kit และจัดวัดผลผู้เรียนเกี่ยวกับเนื้อหาที่จัดอบรมผ่านการแข่งขัน IoT Hackathon 2022 Gen R ในหัวข้อ Data Analytics for Factory 4.0 ระหว่างวันที่ 5-7 เมษายน 2565 โดยผู้แข่งขันจะได้ตัวอย่างข้อมูลจริงจากโรงงาน นำมาวิเคราะห์และสร้าง Dashboard และสามารถเลือกใช้แพลตฟอร์มตามความเหมาะสมที่สามารถนำข้อมูลมาสร้างรายงาน เพื่อชิงรางวัลรวม 70,000 บาท แบ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ 30,000 บาท รองชนะเลิศ 20,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 10,000 บาท และชมเชย 2 รางวัล ๆ ละ 5,000 บาท 

]]>
NECTEC Smart Garden https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-smart-garden.html Wed, 23 Mar 2022 10:38:41 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=20669

NECTEC Smart Garden เป็นสวนพันธุ์ไม้ขนาดเล็ก ตั้งอยู่ใจกลางตึกเนคเทค สวทช. และรายล้อมด้วยห้องประชุมเพื่อเป็นจุดผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการทำงาน และเนื่องจากเนคเทค สวทช. มีกลุ่มเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเป้าหมายการพัฒนา คณะนักวิจัยจึงได้เนรมิตรให้สวนพันธุ์ไม้แห่งนี้ เป็นสถานที่ showcase ระบบด้านเกษตรอัจฉริยะของเนคเทค สวทช.

ความโดดเด่นของ NECTEC Smart Garden

ความโดดเด่นของ NECTEC Smart Garden คือ การ Customize ระบบและเทคโนโลยีด้านการเกษตรแม่นยำมาประยุกต์ใช้ในการดูแลจัดการสวน กล่าวคือ หยิบชิ้นส่วน หรือ องค์ประกอบ ของผลงานวิจัยทางด้านการตรวจวัดและควบคุมแบบอัตโนมัติของเนคเทค สวทช. มาปรับสภาพแวดล้อม ให้เหมาะสมกับพันธุ์ไม้ที่มีความต้องการน้ำ แสง ความชื้น ที่แตกต่างกัน มาอยู่ภายในสวนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น กล้วยไม้ เฟิร์นข้าหลวง คล้ากาเหว่าลาย เสน่ห์จันทร์แดง เป็นต้น รวมถึงบ่อปลาคราฟด้วย 

NECTEC Smart Garden ประกอบไปด้วย

ระบบตรวจวัดสภาพน้ำ คือ อุปกรณ์เซนเซอร์และอุปกรณ์ชุดรับส่งสัญญาณค่าการตรวจออกซิเจนที่ละลายในน้ำ (DO) ค่าอุณหภูมิของน้ำในบ่อเลี้ยง (Temp) และค่าความเป็นกรดด่างของน้ำในบ่อเลี้ยง (pH)

ระบบให้แสงสำหรับกล้วยไม้ คือ อุปกรณ์เพิ่มความเข้มแสงให้พืชที่ปลูกในร่มโดยมีการเพิ่มความเข้มแสง ความถี่ และระยะเวลาให้เหมาะสมกับชนิดของพืช

ระบบรดน้ำและควบคุมความชื้นสัมพัทธ์อากาศ คือ การติดตั้งเซนเซอร์ตรวจวัดความชื้นดิน และ ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ เพื่อมอนิเตอร์และสั่งการระบบน้ำในสวนโดยอัตโนมัติ 

โดยข้อมูลจากทั้ง 3 อุปกรณ์จะแสดงผลบน Smart Garden Dashboard ผ่าน NETPIE Platform IoT โดยผู้ใช้งานสามารถดูข้อมูลแบบ Real-time และสั่งการระบบผ่าน Dashboard ได้อีกด้วย

Precision Farming Platform แพลตฟอร์มเพื่อเกษตรแม่นยำ

Precision Farming Platform แพลตฟอร์มเกษตรแม่นยำ เป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาเทคโนโลยีของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) เน้นการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์ ระบบ และปัญญาประดิษฐ์สำหรับการติดตั้งใช้งานในพื้นที่การเกษตรในงบการลงทุนที่เป็นไปได้

Key Result of Precision Farming Platform

  1. แพลตฟอร์มข้อมูลการเกษตร (Agriculture Open Data Platform)
    แพลตฟอร์มบูรณาการข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้านการเกษตรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้บริการเป็นข้อมูลเปิดสาธารณะ (Open Data) ในรูปแบบ API

  2. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System)
    การประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ด้านการเกษตรของประเทศ (Big Data Analytic) เช่น ข้อมูลสภาวะแวดล้อม ข้อมูลสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และประมวลผลด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนดำเนินงาน เช่น คาดการณ์ระยะเพาะปลูก การให้ปุ๋ย ปริมาณน้ำ และผลผลิต เสนอแนะวันที่ควรเก็บเกี่ยวหรือขนส่งผลผลิต ตลอดจนพยากรณ์และเตือนภัยด้านการเกษตร

  3. ระบบควบคุมการเกษตรแม่นยำสูง (Presicion Agriculture Control System)
    อาศัยเทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล เช่น IoTs, Embedded Systems, เพื่อพัฒนาระบบควบคุมด้านการเกษตรทั้งการเพาะปลูกพืช เช่น ระบบควบคุมการให้น้ำ, ระบบควบคุมสภาพอากาศในโรงเรือน และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ระบบควบคุมคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยง เป็นต้น

  4. ระบบตรวจสอบสภาพพืชสัตว์และสิ่งแวดล้อม (Plant, Animal and Environmental Monitoring System)
    อาศัยเทคโนโลยี Remote Sensing, Phenotyping, Photonics, Sensors, Image Processing ตรวจสอบสภาพพืชสัตว์และสิ่งแวดล้อม เช่น การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ การตรวจวัดจุลินทรีย์ในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ การวินิจฉัยโรคและแมลงศัตรูพืชด้วยภาพ เป็นต้น

Precision Farming Value Chain

เนคเทค สวทช. วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านเกษตรแม่นยำ (Precision Farming Platform) ตอบโจทย์ห่วงโซ่การทำเกษตรกรรม ตั้งแต่การปรับปรุงพันธุ์ การผลิต และหลังการเก็บเกี่ยว

  • หลังการเก็บเกี่ยว (Post Harvesting) : การวิจัยและพัฒนาระบบที่ให้ข้อมูลด้านราคารับซื้อผลผลิต การตลาด และการลงทุนด้านการเกษตร
      • Agri-map: ระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก
      • ชาวเกษตร: ระบบบริหารจัดการปฏิทินการเพาะปลูกพืช
      • Farm to School: ระบบเชื่อมโยงผลผลิตเพื่ออาหารกลางวัน
  • การผลิต (Production): การวิจัยและพัฒนาระบบและเทคโนโลยีเพื่อการผลิต ผลผลิตด้านการเกษตรในหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างผลงานวิจัย เช่น 
    • เกษตรแปลงเปิด  
      • WimaRC ระบบไร้สายสำหรับตรวจวัดและควบคุมอัตโนมัติด้านการเกษตร
    • โรงเรือน และ Plant Factory
      • HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ
      • Eco Plant Factory ระบบควบคุมสภาพอากาศในโรงเรือนปิดสำหรับพืช Hydroponic
    • สัตว์น้ำ
      • นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ
  • การปรับปรุงพันธุ์ (Breeding): การวิจัยและพัฒนาระบบและเทคโนโลยีเพื่อการปรับปรุงพันธุ์
    • การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าว
    • การวิเคราะห์สัณฐานวิทยาข้าว
    • การตรวจเพศดักแด้ไหม

แพลตฟอร์มคาดการณ์ผลผลิตและปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้านการเกษตร (Predictive Farming Platform) คือ แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูล 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ข้อมูลภาคอากาศ ข้อมูลภาคพื้นดิน และข้อมูลสุขภาพพืช ร่วมกับการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytic) และเทคโนโลยีการประมวลผลสมรรถนะสูง (HPC) เป็นต้น เพื่อสร้างโมเดลเฝ้าระวังสุขภาพพืช (Crop Health Monitoring) รวมถึงโมเดลการพยากรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การทำนายผลผลิตต่อพื้นที่ (Yield) เป็นต้น นำไปสู่แพลตฟอร์มการคาดการณ์ผลผลิตทางการเกษตรระดับประเทศต่อไป

ไวมาก “WiMaRC” (Wireless sensor network for Management And Remote Control) คือ ระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ ทํางานภายใต้ Cloud IoT Platform แสดงผลแบบเรียลไทม์ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน สามารถประยุกต์ใช้งานได้ทั้งงานด้านการเกษตร และ โรงงาน

HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ผนวกเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตรและระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายทนทานต่อสภาพแวดล้อม ด้วยหวังให้เกษตรกรไทยได้ใช้งานเทคโนโลยีสมัยใหม่ในราคาที่จับต้องได้

จากการติดตั้งใช้งานจริงในหลายจังหวัดทั่วประเทศพิสูจน์แล้วว่า HandySense สามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างน้อย 20% จากการลดต้นทุนผลิต ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสู่การเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต

Aqua-IoT นวัตกรรมอัจฉริยะเพื่อฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ

ระบบตรวจสอบสภาวะบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำแบบ Real-time ผ่านคลาว์ไอโอที  ช่วยในการเฝ้าระวัง ส่งเสริมศักยภาพในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที และวางแผนป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากสภาวะต่างๆ ในบ่อเลี้ยงได้ โดยเฉพาะในการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเลและปลากะพง สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ

 

Eco Plant Factory คือ ระบบสำหรับควบคุมระบบปรับสภาพแวดล้อมในระบบปิดสำหรับปลูกพืช Hydroponics ที่มีการใช้แสงเทียมในการปลูกพืช สามารถควบคุมช่วงเวลา และความยาวนานในการให้พืชสังเคราะห์แสง รวมทั้งการควบคุมทั้งอุณหภูมิ ความชื้น และระดับก๊าซ CO2 ที่มีผลต่อการเจริญเติบโต และคุณภาพของพืชที่ผลิต

 

]]>
เนคเทค สวทช. จัดประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และ System Integrators โครงการแพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม (IDA Platform) https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/ida-comittee-meeting-2021.html Thu, 09 Sep 2021 09:39:45 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=20779

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) จัดการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และ System Integrators (SI) โครงการแพลตฟอร์มไอโอทีและระบบวิเคราะห์ข้อมูลอุตสาหกรรม (Industrial IoT and Data Analytics: IDA Platform) ในรูปแบบออนไลน์ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 

โดยมี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. เป็นประธานคณะกรรมการฯ ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. เป็นเลขานุการฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ จาก 12 หน่วยงานพันธมิตรรัฐและเอกชน อาทิ นายจำรัส สว่างสมุทร ผู้อำนวยการใหญ่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดร.ศุภกร สิทธิไชย ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ ผู้อำนวยการกองกำกับและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย Technology providers ภาคเอกชน และ System integrators (SI) พร้อมด้วยทีมวิจัยเนคเทค สวทช. เข้าร่วมการประชุมฯ

การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรายงานความก้าวหน้าและถอดบทเรียนการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการนำร่อง IDA Platform พร้อมทั้งอภิปรายแนวทางและแผนงานการขยายผล ตลอดจนแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อส่งเสริมและพัฒนาโรงงานสู่อุตสาหกรรม 4.0

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ  กล่าวขอบคุณ 12 หน่วยงานพันธมิตร และ System integrator (SI) ที่ให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินโครงการตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา พร้อมแนะนำศูนย์นวัตกรรมการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Manufacturing Center: SMC) และเชิญหน่วยงานพันธมิตรเข้าร่วมงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค (NECTEC-ACE 2021) ประจำปี 2564 ที่มีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 13-16 ธันวาคม 2564

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ และ ดร.สุวัฒน์ โสภิตพันธ์ วิศวกรอาวุโส นำเสนอความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการ IDA15 (15 โรงงานนำร่อง) ข้อจำกัด แนวทางแก้ไข และแผนการดำเนินงานปี 65

ดร.นิธิพล ตันสกุล ที่ปรึกษาอาวุโส นำเสนอ แผนงาน IDA to market เพื่อขยายผลโครงการ IDA15 สู่การใช้งานแพลตฟอร์มเต็มรูปแบบในระบบนิเวศนวัตกรรม

นอกจากนี้ ดร.สรศักย์ ชัยสถาผล เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจอาวุโส ThaiSC นำเสนอ สิทธิประโยชน์จากรัฐและสถาบันการเงิน สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับเป็นอุตสาหกรรม 4.0 และ ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่ สวทช. นำเสนอสิทธิพิเศษสำหรับโรงงานนำร่อง : การยกระดับอุตสาหกรรมไทยด้วยดัชนีชี้วัด Thailand i4.0 Index ด้วย

3 หลักการเพื่อการขับเคลื่อนโครงการ IDA Platform อย่างยั่งยืน

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ได้เสนอหลักการ 3 ข้อ เพื่อการขับเคลื่อนโครงการอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย

1. การพัฒนา System Integrator
2. การออกแบบคุณลักษณะการทำงานของ Platform
3. หลักเกณฑ์และวิธีการขับเคลื่อนโครงการระยะขยายผล

จากหลักการที่เห็นชอบร่วมกัน 3 ข้อข้างต้น คณะกรรมการฯ และ System integrator (SI) ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและอภิปรายกันอย่างกว้างขวางเพื่อการพัฒนา IDA Platform ให้เกิดความชัดเจน และขยายผลการใช้งานในวงกว้างและยั่งยืน

คณะกรรมการฯ ยังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐและเอกชน เพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 อาทิ สิทธิประโยชน์จากรัฐและสถาบันการเงินสำหรับผู้ประกอบการเพื่อยกระดับเป็นอุตสาหกรรม 4.0 หน่วยงานพันธมิตรเป้าหมายที่จะมีบทบาทสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนโครงการ IDA platform และการจัดการความรู้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ รวมทั้งถอดบทเรียนการพัฒนา IDA Platform ระยะนำร่อง 15 โรงงาน สู่โรงงานระยะขยายผล รุ่นต่อไปด้วย

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ กำหนดจะถ่ายทอดประสบการณ์การส่งเสริมและพัฒนา IDA Platform ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอบรับการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการ ประจำปีของเนคเทค (NECTEC-ACE 2021) ในเดือนธันวาคม 2564 นี้

]]>
THINK LIKE ATTACKERS เส้นทางสู่ความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับ IoT https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/iotsecurity-attrackers.html Tue, 10 Nov 2020 07:19:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=4457

มนต์ขลัง Cyber Security เสื่อม?

ข่าวการโจมตีทางไซเบอร์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสร้างความสงสัยว่า ทำไมระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น Firewall ในระบบเครือข่ายสื่อสาร อีกทั้งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ป้องกันด้าน Cyber Security มากมายในท้องตลาดถึงเอาไม่อยู่!! ภายใต้ความชะล่าใจของผู้พิทักษ์ไอทีในการอนุญาตให้นำเอาอุปกรณ์ IoT ที่ไม่ได้มาตรฐานมาติดตั้งไว้ภายในระบบเครือข่ายภายในของตน โดยไม่ได้รับการตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้กำลังเปิดประตูเชื้อเชิญผู้ไม่หวังดีเข้ามาในระบบ แท้จริงแล้ว Firewall ในระบบเครือข่ายของเราไม่ได้เสื่อม แต่ Firewall ของเราไม่ได้ป้องกันศึกภายใน หากแต่ป้องกันเฉพาะศึกภายนอกที่จะเข้ามาจู่โจมระบบ ดังนั้นการแฝงตัวเข้ามาของภัยคุกคามทางไซเบอร์ในรูปของอุปกรณ์ IoT ซึ่งมีการติดต่อกับ ioT cloud platform และ Mobile Application ที่อยู่ภายนอก เปรียบเสมือนการปูพรมแดงให้ผู้โจมตีเข้ามาล้วงข้อมูลภายในไปได้อย่างง่ายดาย

เข้าใจเส้นทางโจรเพื่อหาทางป้องกัน

การทำความเข้าใจเส้นทางโจร หรือ Think Like Attackers เพื่อหาทางป้องกัน ไม่ได้เป็นแนวคิดใหม่ แนวคิดนี้ใช้ในการรบมาตั้งแต่สมัยโบราณ ดังปรัชญาการรบของซุนวู ที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ดังนั้น การคุ้มครองความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระบบ IoT จึงเริ่มต้นจากการตรวจสอบเส้นทางการเดินทางของข้อมูลในระบบ IoT ซึ่งจะช่วยแกะรอยทางเข้าของโจรในระบบไซเบอร์ได้ ดังรูปที่ 1.

IoT Security

รูปที่ 1. เส้นทางข้อมูลของระบบ IoT

การเดินทางของข้อมูลในระบบ IoT เริ่มตั้งแต่…
■ อุปกรณ์ IoT (Hardware)
ภายในอุปกรณ์ IoT ถูกควบคุมด้วยซอฟต์แวร์ฝังตัวที่เรียกกันว่า เฟิร์มแวร์ (Firmware) และช่องทางการปรับบันทึกเฟิร์มแวร์เข้าไปในตัวชิพหรือแผงวงจรของอุปกรณ์ IoT จะกระทำผ่านพอร์ตเชื่อมต่อ หากตัวอุปกรณ์ IoT หรือแผงวงจรของอุปกรณ์ IoT นั้นเปิดช่องทางสำหรับการเชื่อมต่อจากภายนอกไว้ (Backdoor) เช่น Tx-Rx port ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่เปิดไว้เพื่อให้ผู้ผลิตหรือผู้ใช้งานเข้าไปอัพเดท Firmware หรือทำการ Reverse engineer firmware binary images ได้ แต่ถ้าหากผู้ผลิตไม่ปิดช่องทางนี้ภายหลังการอัพเดท Firmware ทำให้ Hacker สามารถนำ Firmware ปลอมเข้าไปแฝงตัวในอุปกรณ์ได้ หรือ Hacker อาจดึงข้อมูลบางส่วนที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ IoT ออกมา และโดยมากข้อมูลที่เก็บไว้ในหน่วยความจำของตัวอุปกรณ์มักไม่ถูกเข้ารหัส ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายด้านการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว (Privacy leak)
■ โพรโทคอล (Protocol)
โพรโทคอลที่ใช้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ไปบน Cloud หรือ เซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ IoT โดยมากอุปกรณ์ IoT จะส่งข้อมูลผ่านโพรโทคอล MQTT และ HTTP ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ส่งไม่ถูกเข้ารหัส ดังนั้นทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าโจมตีโดยขโมยข้อมูลหรือเรียนรู้ข้อมูลที่ตัวอุปกรณ์ส่งและรับจากผู้ใช้ได้ ดังนั้นผู้โจมตี จะเลือกเข้าจู่โจม IoT ที่ใช้ช่องทางการสื่อสารที่อ่อนไหวเป็นเป้าหมายการโจมตีอันดับต้น ๆ
■ ข้อมูล (Data)
ข้อมูลที่ถูกส่งจากอุปกรณ์ IoT และถูกจัดเก็บไว้ใน Cloud server หรือตัวอุปกรณ์ไม่ถูกเข้ารหัส ดังนั้น จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ให้บริการ Cloud หรือ Cloud server ถูกโจมตี ผู้โจมตีสามารถล่วงรู้ข้อมูลเหล่านั้นได้ หากไม่มีระบบป้องกันจาก Cloud เอง
■ ซอฟต์แวร์ (Application)
ตัว Application ที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้ใช้และอุปกรณ์ หากมีช่องโหว่ในการรั่วไหลของการปกป้อง Credential ของตัวผู้ใช้ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยและสูญเสียข้อมูลส่วนบุคคลได้ ซึ่งส่วนใหญ่ Credential ของผู้ใช้จะนำมาซึ่งข้อมูลลับที่ใช้ในการเข้าถึงข้อมูลในส่วนอื่น ๆ ได้

รอยรั่วที่พบบ่อย

Hacker ส่วนใหญ่มักจะหาจุดอ่อน หรือรอยรั่วของอุปกรณ์ IoT โดยอาศัยรอยรั่วที่พบได้บ่อย เพราะนี่จะเป็นเส้นทางที่ง่ายที่สุดที่ Hacker จะเลือกโจมตี ทั้งนี้ กลุ่มวิจัย OWASP (Open Web Application Secure Project) ได้มีการจัดอันดับช่องโหว่ความไม่ปลอดภัยของ IoT ที่พบบ่อย 10 อันดับแรก ดังนี้

  1. พาสเวิร์ดที่คาดเดาได้ง่าย : ในการเข้าถึงอุปกรณ์ IoT นั้น Mobile Application ที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับอุปกรณ์จะบังคับให้สร้าง ID และ Password ซึ่งโดยมากผู้ใช้งานจะเลือกใช้พาสเวิร์ดที่คาดเดาได้ง่ายเกินไปเพื่อให้ผู้ใช้งานเองสามารถจำได้ง่าย หรือเป็นพาสเวิร์ดที่มีใช้ทั่วไปซึ่งสามารถหาได้ใน Internet ทำให้ผู้โจมตีอาศัยวิธีการเดาสุ่มจากกลุ่มของพาสเวิร์ดเหล่านั้นในการ crack ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์ได้ หรือการตั้งพาสเวิร์ดตาม Password ยอดฮิตซึ่งได้มีการรวบรวมไว้ในอินเทอร์เน็ต ดังนั้น HACKER เพียงสร้าง List ของ Password เหล่าไว้แล้วใช้โปรแกรม crack โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถเจาะเข้าไปควบคุมอุปกรณ์ได้ทันที
  2. เน็ตเวิร์คที่ให้บริการไม่ปลอดภัย : ตัวอย่างเช่น เน็ตเวิร์คที่ให้ใช้ฟรีในบางพื้นที่ เช่น WiFi Access Point ในร้านกาแฟที่ไม่มีการเข้ารหัส ทำให้เปิดโอกาสให้ถูกดักฟังข้อมูลที่ส่งผ่าน Network Gateway นั้นได้
  3. ความไม่ปลอดภัยของอินเตอร์เฟสการเชื่อมต่อของระบบ IoT : การเปิดพื้นที่การเชื่อมต่อที่ไม่มีนโยบายการจัดการการเข้าถึงข้อมูล (Access Control) ทำให้การเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงข้อมูลในระบบ IoT ได้ง่าย
  4. ไม่มีการอัพเดทเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ : อุปกรณ์ไม่มีการอัพเดทเฟิร์มแวร์ที่สามารถปิดช่องโหว่การโจมตีใหม่ ๆ ทำให้อุปกรณ์ IoT เหล่านั้นถูกโจมตีได้ เช่น ในกรณีการอัพเดท OS ของอุปกรณ์ หรือ Patch เพื่อปิดช่องโหว่เก่า
  5. อุปกรณ์เก่าและไม่ปลอดภัย : อุปกรณ์เก่าและไม่ปลอดภัยโดยมากจะไม่มีระบบป้องกันความปลอดภัยที่ดีทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย
  6. ไม่มีการปกป้องคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล : อุปกรณ์ไม่มีมาตรการ หรือระบบที่ป้องกันการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล
  7. ช่องทางการส่งผ่านข้อมูลไม่ปลอดภัยและอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลไม่ปลอดภัย : การส่งข้อมูลของอุปกรณ์ IoT ผ่านช่องทางการสื่อสารที่ไม่ได้ถูกเข้ารหัส เช่น MQTT, HTTP เป็นต้น ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านช่องทางนี้สามารถถูกดักฟังได้
  8. ขาดการจัดการอุปกรณ์ : ขาดการจัดการความปลอดภัยในการดำเนินการบนระบบ IoT และไม่มีระบบมอนิเตอร์ความปลอดภัยทางไซเบอร์
  9. การติดตั้งจากโรงงาน Default Setting แบบไม่ปลอดภัย : ช่องโหว่จากการติดตั้ง เช่นการ ตั้งพาสเวิร์ดที่ง่ายเกินไปจากโรงงาน และยากต่อการเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยจากโรงงาน
  10. ขาดการปกป้องบริเวณการโจมตีทางกายภาพ : ง่ายต่อการโจมตีระบบป้องกันทางกายภาพของตัวอุปกรณ์ IoT, ง่ายต่อการเข้าถึง Port การเชื่อมต่อทางกายภาพ และ มีการป้องกันที่อ่อนแอในการเข้าถึงพอร์ตการเชื่อมต่อทางกายภาพ

ทดสอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอุปกรณ์ IoT ด้วยการ HACK!

ก่อนที่จะให้ผู้ไม่หวังดีมาโจมตี เราเลือกที่จะทดสอบโจมตีระบบตัวเองก่อน แนวคิดนี้เป็นแนวทางการทดสอบความสามารถในการป้องกันการโดนโจมตีทางไซเบอร์ของอุปกรณ์ หรือที่เรียกว่า Penetration Testing การทดสอบการโจมตีแบ่งเป็น 3 วิธี ได้แก่

1. การโจมตีทางฮาร์ดแวร์
การโจมตีทางฮาร์ดแวร์ เป็นการโจมตีที่อาศัยหาช่องโหว่ของอุปกรณ์ทางกายภาพ โดยหาช่องทางการเชื่อมต่อเข้ากับ Serial port ของ FPGA ของตัวอุปกรณ์ IoT เช่น การใช้ อุปกรณ์ USB to UART โดยการเชื่อมต่อ UART เข้ากับ Tx-Rx port ดังรูปที่ 2 และทำการเชื่อมต่อ USB เข้ากับ USB port ของคอมพิวเตอร์ จากนั้นทำการทดลอง login เข้าสู่ root shell ในอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนเฟิร์มแวร์หรือดึงข้อมูลออกมา หากอุปกรณ์ IoT เปิดพอร์ตสำหรับการ debug ผ่าน debug channel/JTAG ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลและเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในตัวอุปกรณ์ IoT ได้ นอกจากนี้ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สำหรับการโจมตีช่องโหว่ของอุปกรณ์ IoT ทางฮาร์ดแวร์อื่นๆ มีดังตัวอย่างนี้ เช่น HackRF, Facedancer, ChipWhisperer, JTAG เป็นต้น

Tx-Rx port

รูปที่ 2. Tx-Rx port แผงวงจรบนแของอุปกรณ์ IoT

2. การทำ Replay radio signal ด้วย Software Define Radio (SDR)
เราสามารถใช้อุปกรณ์ SDR ในการจับ Spectrum ของสัญญาณที่ส่งออกมาจากตัวอุปกรณ์ IoT ขณะทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Mobile application ภายหลังจากจับคลื่นสัญญาณ Radio spectrum แล้ว นำสัญญาที่ได้มา ทำการ Replay ซึ่งทำให้สามารถส่งข้อมูลชุดเดียวกันกับที่อุปกรณ์ควบคุมปลายทางใช้สื่อสารกับอุปกรณ์ IoT ซึ่งถ้าหากอุปกรณ์ IoT ไม่มีการเข้ารหัส หรือเปลี่ยนชุดข้อมูลเข้ารหัสทำให้ การทำ Replay radio signal สามารถเข้าถึงตัวอุปกรณ์แทนอุปกรณ์ของผู้ใช้งานจริงได้ รูปที่ 3. แสดงโครงสร้างของโมดูลการทำงานของอุปกรณ์ SDR

Software Define Radio

รูปที่ 3. โครงสร้างโมดูลภายในของ Software Define Radio (SDR) [4]

3. การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (MITM)

การโจมตีแบบ MITM เป็นการโจมตีโดยการปลอมตัวเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ IoT ไปยัง WiFi gateway หรือ Cloud server โดยเทคนิคการปลอมตัวเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การปลอมแปลงชื่อ SSID ของ WiFi gateway เทคนิคนี้สามารถทำได้โดยเครื่องมือสแกน SSID เช่น อุปกรณ์ WiFi Pineapple โดยผู้โจมตีจะสามารถเลือก WiFi gateway ที่เป็นเป้าหมายได้แล้วทำการขัดขวางการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ IoT กับอุปกรณ์เดิม และทำให้อุปกรณ์ IoT ทำ (Deauthentication) ด้วยการทำ two-way handshake กับอุปกรณ์ WiFi Pineapple ซึ่งทำหน้าที่เป็น WiFi gateway ปลอม และ WiFi Pineapple จะทำหน้าที่ส่งต่อแพ็คเกจไปยัง WiFi gateway เดิม การโจมตีเช่นนี้จะทำให้เกิดความหน่วงของการส่งข้อมูลซึ่งอาจทำให้ผู้ถูกโจมตีตระหนักรู้ได้ว่ากำลังถูกโจมตี แต่อย่างไรก็ตาม ผู้โจมตีรูปแบบนี้สามารถเรียนรู้ข้อมูลที่ถูกส่งมาได้ นอกจากนั้นผู้โจมตีอาจจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ส่งไปยัง WiFi gateway ได้ หากข้อมูลที่ส่งไม่ถูกเข้ารหัส หากในกรณีที่อุปกรณ์ IoT ใช้โพรโทคอล MQTT ในการส่ง ซึ่งข้อมูลที่ส่งจะไม่ถูกเข้ารหัส และอุปกรณ์ IoT ได้ทำการส่งข้อมูลผ่าน MQTT broker ทำให้ผู้โจมตีสามารถดักจับข้อมูลได้และปลอมตัวเป็น MQTT broker ปลอม รูปที่ 4. แสดงตัวอย่างการโจมตีแบบ MITM

Man-in-the-Middle

รูปที่ 4. การโจมตีแบบ Man-in-the-Middle

นอกจากวิธีการโจมตีแบบต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ซอฟต์แวร์ตัวช่วยสำหรับทดสอบช่องโหว่ของอุปกรณ์ IoT ได้แก่

  • ซอฟต์แวร์สำหรับ Web Testing เช่น ZAP, Acunetix
  • ซอฟต์แวร์สำหรับ Firmware Analysis เช่น firmwalker, FACT firmware-analysis-toolkit
  • ซอฟต์แวร์สำหรับ Bug Finder เช่น Flawfinder, Metasploit, Framework
  • ซอฟต์แวร์สำหรับ Binary Reversing เช่น IDA, Pro radare2, binaryninja
  • ซอฟต์แวร์สำหรับ Port Scanner เช่น Nessus professional

บทสรุป

บทความนี้ได้นำเสนอเส้นทางสู่ความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับ IoT โดยอาศัยแนวคิดแบบ Hacker การวิเคราะห์ระเบียบวิธีการโจมตีความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอุปกรณ์ IoT โดยทำตัวเสมือนเป็น Hacker เพื่อช่วยในการจำลองวิธีการตรวจสอบความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอุปกรณ์ IoT ในเบื้องต้นให้กับผู้ผลิตและพัฒนาอุปกรณ์ IoT รวมไปถึงเป็นแนวทางการตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ IoT โดยผู้ใช้เองได้ การวิเคราะห์เบื้องต้นนี้สามารถทำได้ใน 2 ส่วน คือ 1. การศึกษาช่องโหว่ความปลอดภัยจากการวิเคราะห์ทางกายภาพและวิธีการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ IoT กับ Mobile Application และ 2. การศึกษาช่องโหว่ความปลอดภัยด้วยวิธีการโจมตี (Hacking) การทดสอบในกรณีศึกษากับอุปกรณ์ IoT บางประเภทพบว่ามีช่องโหว่ความปลอดภัยซึ่งทำให้อุปกรณ์สามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ทั้งทางกายภาพ (Hardware) และ ทางช่องทางการสื่อสาร (Communication channel) โดยช่องโหว่ความปลอดภัยที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุปกรณ์ IoT ใช้โพรโทคอลที่ไม่ได้ผ่านการเข้ารหัสช่องสัญญาณ SSL/TLS ในการสื่อสารเพื่อการควบคุมและสั่งการผ่าน Mobile Application ไปยังตัวอุปกรณ์ ซึ่งทำให้ข้อมูล Credential ของตัวอุปกรณ์รั่วไหลจากการถูกดักจับแพ็คเกจได้ และส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและการถูกโจมตีด้วยวิธีอื่นได้

อ้างอิง

[1] First disclosure of images taken by the Kibo’s internal drone “Int-Ball”. [เข้าถึงเมื่อ 11 มิถุนายน 2563]. เข้าถึงได้จาก https://iss.jaxa.jp/en/kiboexp/news/170714_int_ball_en.html .
[2] Breaking Down Mirai: An IoT DDoS Botnet Analysis. [เข้าถึงเมื่อ 11 มิถุนายน 2563]. เข้าถึงได้จาก https://www.imperva.com/blog/malware-analysis-mirai-ddos-botnet/ .
[3] Honda Global Operation Halted by Randsomware Attack. [เข้าถึงเมื่อ 11 มิถุนายน. 2563]. เข้าถึงได้จาก https://techcrunch.com/2020/06/09/honda-ransomware-snake/ .
[4] “File:SDR et WF.svg”, [online access], . [เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2563]. เข้าถึงได้จาก https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=8831874 .

ดาวน์โหลด

]]>