NECTEC-ACE 2022 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Thu, 10 Nov 2022 05:15:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png NECTEC-ACE 2022 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 ส่องฟีเจอร์ใหม่ ! Traffy Fondue 2023 ง่าย สะดวกกว่าเดิม เพิ่มเติมประสิทธิภาพการใช้งาน https://www.nectec.or.th/news/news-article/traffy-fondue-2023.html Mon, 07 Nov 2022 09:04:00 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30701

บทความ : ปาลิตา โคนเคน
ภาพประกอบ : ปาลิตา โคนเคน, ศศิวิภา หาสุข
ถ่ายภาพ : กรรวี แก้วมูล

ที่งานประชุมวิชาการของเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC-ACE 2022 ที่ผ่านมา นอกจากจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแล้ว ยังมีการนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าสนใจของเนคเทคอีกจำนวนมาก และขาดไปไม่ได้กับผลงานที่กำลังได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างมาก “Traffy Fondue” แพลตฟอร์มรับการแจ้งและบริการจัดการปัญหาเมือง โดยประชาชนสามารถแจ้งปัญหา รวมถึงการติดตามความก้าวหน้าการทำงานต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย ผ่านทาง LINE Application ด้วยเทคโนโลยีแชตบอท รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยจำแนกปัญหาและส่งต่อเพื่อนำมาสู่การแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โปร่งใส ทำให้ผู้บริหารหน่วยงาน หรือ ท้องถิ่น สามารถเห็นภาพรวมของปัญหา โดยจะแสดงข้อมูลทางสถิติเพื่อใช้วางแผน และพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเรียกว่า Smart Government

การเสวนาหัวข้อ “เปิดตัว Traffy Fondue 2023 และมุมมองประสบการณ์การใช้งานเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเมืองน่าอยู่” ได้รับเกียรติจากผู้บริหารหน่วยงานที่ได้นำไปประยุกต์ใช้งาน มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองการใช้งาน เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาเมืองน่าอยู่ ร่วมเป็นวิทยากร ดังนี้

  • ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม
    หัวหน้าทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ
    กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช.
  • นายชรินทร์ ทองสุข
    รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
  • คุณศนิ จิวจินดา
    ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
  • คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ
    รองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร 
  • พันตำรวจเอก สุกิจ  อรุณฤกษ์ถวิล
    รองผู้บังคับการตำรวจจราจร
    กองบังคับการตำรวจจราจร กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • คุณไกลก้อง ไวทยาการ
    ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายท้องถิ่น มูลนิธิคณะก้าวหน้า
    ร่วมด้วย  ดร. กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ เนคเทค สวทช. เป็นผู้ดำเนินรายการ

จุดเริ่มต้น! Traffy Fondue แพลตฟอร์มบริหารจัดการปัญหาสุดล้ำ !

ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยผู้พัฒนา Traffy Fondue เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มว่ามาจากการทำ Smart City ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2558 จากการเรียกร้องเรื่องการบริหารจัดการปัญหาขยะโดยประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือในการแก้ไขอย่างดี เมื่อปัญหาขยะสามารถแก้ไขได้ ปัญหาอื่นๆ ก็สามารถแก้ไขได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้จุดประสงค์ของ Traffy Fondue คือ การใช้แพลตฟอร์มลดช่องว่างระหว่างผู้ประสบปัญหากับหน่วยงาน เพื่อลดระยะเวลา ค่าใช้จ่าย ช่วยให้เจ้าหน้าที่เห็นข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนในขณะนั้น และพร้อมที่จะไปแก้ไขทันที อีกทั้งยังช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลภาพรวมของปัญหา เพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา เพื่อนำมาบริหารจัดการเมืองให้ดีขึ้น 

คุณศนิ จิวจินดา กล่าวเสริมว่า หลังจากรองศาสตราจารย์ ชัชชาติสิทธิพันธุ์ ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ Facebook เชิญชวนให้ประชาชนแจ้งปัญหาผ่านทาง Traffy Fondue โดยมีผู้เข้ามาแจ้งปัญหามากถึง 15,000 รายการ  ภายในหนึ่งสัปดาห์ เจ้าหน้าที่ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร  รวมถึงสำนักงานเขตย่อย ได้ติดต่อเข้าร่วมการใช้ Traffy Fondue  ปัญหาหลากหลายได้รับความร่วมมือจากหลายองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ  เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ทางตำรวจ ทางการไฟฟ้า ทางการประปา เป็นต้น โดย ผู้ว่าฯ ชัชชาติเป็นเจ้าภาพประสานงานกับองค์กรต่างๆ รวมทั้งในกรุงเทพมหานคร 

โดย ดร. วสันต์ ให้ข้อมูลว่าหลังจากมีการเริ่มใช้วันที่ 29 พ.ค. 2565 กรุงเทพมหานครได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพการแก้ปัญหาเป็นอย่างมาก โดยจะนำผู้บริหารเขต ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เข้ามาช่วยกำกับและติดตามผล หลังจากเกิดกระแสทำให้ประชาชนในเขตพื้นที่อื่นให้ความสนใจมากขึ้น จึงขยายผลต่อยอดไปยังจังหวัดต่างๆ คือ นครราชสีมา อุบลราชธานี ยโสธร เชียงราย และเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีขยายไปยังเทศบาลต่างๆ หน่วยงานที่เข้ามาสมัครใช้ทั้งหมด 8,000 หน่วยงาน สถิติหน่วยงานที่ใช้งานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งหมด 2,378 หน่วยงาน แบ่งได้เป็น เทศบาล 298  อบต. 223 หน่วยงาน ใน 166 อำเภอ 58 จังหวัด*

จากทุนสนับสนุนของ กสทช. ทำให้สามารถขยายผลการใช้งาน Traffy Fondue ไปยังองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ นอกจากนี้ มีการตั้งศูนย์ประสานงานประจำภูมิภาคอีก 4 แห่ง คือ เชียงราย เพชรบุรี พิษณุโลก และนครราชสีมา สำหรับการอบรมให้คำปรึกษา โดยได้จัดอบรมผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนไปแล้ว 16 รุ่น 785 หน่วยงาน 1,714 คน

(*ข้อมูลจากเวทีเสวนา 8 กันยายน 2565)

ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม หัวหน้าทีมวิจัยผู้พัฒนา Traffy Fondue
คุณศนิ จิวจินดา ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

การแก้ไขปัญหาบนพื้นที่จริงด้วย Traffy Fondue

ปัจจุบันมีการใช้งาน Traffy Fondue ในหลายเมือง ทั้งจังหวัดภูเก็ต อุบลราชธานี นครราชสีมา และอื่นๆ เทศบาลทั่วประเทศ 357 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 350 แห่ง หน่วยงานด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 96 หน่วยงาน นิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศ 12 แห่ง รวมทั้งส่วนของกรุงเทพมหานคร 50 เขต

จากสถิติการใช้งาน พบว่า ปัญหาที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาถนนและทางเท้า รองลงมาคือน้ำท่วม และอื่นๆ เช่น ปัญหาขยะ สุนัขจรจัด รวมทั้งหมดกว่า 140,000 เรื่อง มีการบริหารจัดการคือ จำแนกให้เขตและสำนักต่างๆ รวมถึงหน่วยงานภายนอกร่วมกันรับเรื่องโดยใช้ Traffy Fondue และประสานหน่วยงานภายนอกมาช่วยเหลือ โดยกระจายอำนาจให้ผู้อำนวยการเขต กระจายงบประมาณให้มากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเขตที่อยู่ใกล้ประชาชน เข้าถึงการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น

นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา

นายชรินทร์ ทองสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า นครราชสีมาเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย มีประชากรกว่า 2.7ล้านคน มีความยากลำบากในการบริหารพื้นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงต้องมีหน้าที่ในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเช่นกัน 

จังหวัดนครราชสีมาพยายามที่จะพัฒนา แก้ไขปัญหา ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากการใช้แอปพลิเคชัน Traffy Fondue ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยความร่วมมือกับทุกหน่วยงานในการเป็นแอดมินดูแลปัญหา ประกอบไปด้วยส่วนราชการภูมิภาค 35 หน่วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตําบล และองค์การบริหารส่วนตำบล 334 แห่ง ปัจจุบันมีหน่วยงานแอดมินในจังหวัดมากกว่า 400 หน่วย 

แม้จะมีปัญหาและอุปสรรคจำนวนมาก แต่จังหวัดนครราชสีมาก็ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา โดยมีความตั้งใจนำความรู้ไปใช้ ปัจจุบันยังคงมีปัญหาเชิงระบบส่วนราชการ และปัญหาส่วนจังหวัดในการแบ่งเขตพื้นที่ รวมถึงการแจ้งเตือนให้แก่สถานีตำรวจ สถิติการใช้งานหนึ่งดือน ได้รับแจ้งปัญหาประมาณ 1,900 เรื่อง โดยมีสถานะรอรับเรื่อง กำลังดำเนินการ ส่งต่อ และเสร็จสิ้น โดยสัดส่วนของเรื่องที่เสร็จสิ้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

จังหวัดนครราชสีมามีระบบให้หัวหน้าหน่วยเข้ามาอบรม ในฐานะหน่วยงานราชการจังหวัด สำหรับมอบหมายและกำกับดูแลพื้นที่โคราช 32 อำเภอ รองผู้ว่าราชการจังหวัด 4 ท่าน กำกับดูแลคนละ 8 อำเภอ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเร่งรัดติดตาม โดยให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลปัญหาให้มากขึ้น

วิธีการที่นครราชสีมาได้ดำเนินการร่วมกับกรุงเทพมหานคร คือ จัดการปัญหาที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนก่อน โดยบางครั้งผู้ร้องเรียนกับผู้ตอบให้ความร่วมมือกัน โดยผู้ร้องเรียนสามารถประเมินความพอใจเป็นจำนวนดาวได้ เป็นความสุขระหว่างผู้ร้องกับผู้ช่วย  นี่คือข้อดีของ Traffy Fondue ที่สะท้อนปัญหาแล้วสามารถแก้ปัญหาให้เห็นผลไปพร้อมกัน

พ.ต.อ.สุกิจ  อรุณฤกษ์ถวิล รอง ผบก.จร.

พ.ต.อ.สุกิจ  อรุณฤกษ์ถวิล รอง ผบก.จร. กล่าวว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมมือกับทางกรุงเทพมหานครแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพมหานคร รวมไปถึงในสถานที่อื่นๆในอนาคต ปัจจุบันสถานีตำรวจในกรุงเทพมหานคร ตัวแทนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ประกอบด้วยสถานีตำรวจจำนวนทั้งสิ้น 88 สถานีที่มี Traffy Fondue นอกจากนี้ ยังมีหน่วยบังคับบัญชากองบังคับการ 9 กองบังคับการ หน่วยงานจราจร 10 หน่วยงาน ที่ใช้ Traffy Fondue เป็นแนวทางในการบริหารจัดการ

ทางสถานีจะมีการแจกแจงงานให้สอดคล้องกับบทบาทของแต่ละส่วนงาน เช่น การร้องเรียนเรื่องบัตรประชาชน หรือ เหตุก่อความเดือดร้อนรำคาญ จะแจ้งหน่วยป้องกันปราบปราม การร้องเรียนเรื่องอบายมุข การพนัน จะแจ้งฝ่ายสืบสวน เป็นต้น เพื่อให้สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว Traffy Fondue เป็นประโยชน์อย่างมาก ในการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ข้อมูลข่าวสารในการทำงานของตำรวจได้อย่างดีโดย 85 -90 เปอร์เซนต์ เป็นเรื่องการจราจร ซึ่งแก้ไขแล้วจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 80 เปอร์เซนต์ ระดับความพึงพอใจของประชาชนเกือบ 4  ถือว่าพอใช้ได้ในระดับหนึ่ง 

Traffy Fondue ตอบโจทย์ในด้านการติดตามเรื่อง รู้สถานะการดำเนินการ หรือเสร็จสิ้นการดำเนินการแล้วหรือไม่ เทศบาลแรกเริ่มใช้เดือนพฤษภาคม 2564 หลังจากมีการเลือกตั้งเทศบาลครั้งแรกในรอบ 7 ปี ปัจจุบันมีเทศบาล 15 แห่ง และระดับองค์การบริหารส่วนตำบล.อีก 11 แห่ง ที่เปิดใช้งาน ส่วนใหญ่ระดับเทศบาลจะเป็นเทศบาลตำบล ถือเป็นการเพิ่มศักยภาพของหน่วยงานที่นำ Traffy Fondue ไปใช้งาน ทำให้เห็นปัญหาได้รวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาการร้องเรียน สำหรับขนาดของหน่วยงานที่มีข้อจำกัดทางด้านบุคลากร อุปกรณ์ และงบประมาณ จึงต้องบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด

Traffy Fondue 2023 กับรูปลักษณ์และฟีเจอร์ใหม่ น่าใช้งานมากขึ้น !

เปิดตัว Traffy Fondue 2023 และฟีเจอร์ใหม่ “Traffy Fondue Manager” แจ้งปัญหาง่ายขึ้น ติดตามเรื่อง ดูสถิติได้ พร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยขึ้น 

  • มีแถบเมนูด้านล่าง ประชาชนสามารถกดปุ่มสีเหลืองเพื่อแจ้งรายงานได้ทันที ส่วนไทม์ไลน์บอกสถานะปัญหา จะเพิ่มความสวยงาม และอ่านง่ายขึ้น 
  • กระบวนการแจ้งปัญหามีความชัดเจนมากขึ้น จากเดิมต้องปัดเลื่อนเพื่อหาหน่วยงานทีละหน้า ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นแถบแนวตั้ง สามารถเลื่อนหาได้สะดวกรวดเร็วในหน้าเดียว เช่นเดียวกับประเภทของปัญหาที่เพิ่มรูปภาพเข้าไป โดยแต่ละประเภทจะปรับแต่งตามแต่ละหน่วยงานได้
  • การยกเลิกการแจ้งปัญหา และการติดตามความก้าวหน้า

พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัว Fondue Manager เพื่อรับเรื่องและบริหารจัดการเรื่องโดยแจ้งผ่าน Chatbot ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถจัดการปัญหาผ่านทาง Line Application ได้ทุกที่ทุกเวลา

  • จัดการสถานะปัญหา เพิ่มข้อความ รายละเอียดปัญหาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
  • แจ้งเตือนเมื่อมีเรื่องใหม่ เจ้าหน้าที่สามารถพูดคุยกับผู้ร้องเพื่อขอรายละเอียด หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
  • ดูสถิติการแก้ปัญหาได้
  • ค้นหารายการแจ้งด้วยเลขเคส / พิกัดตำแหน่ง
    โดยเปิดให้บริการ เมื่อ 10 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา

Traffy Fondue รวดเร็ว โปร่งใส ประหยัดค่าใช้จ่าย

การส่งต่อข้อมูลหน่วยงานระหว่างหน่วยงานราชการยังคงใช้หนังสือราชการในการสื่อสาร ทำให้ความเร็วในการแก้ปัญหา หรือ ติดตามปัญหาล่าช้าโดยสะท้อนให้เห็นภาพในระดับมหภาค หากกระจายอำนาจให้หน่วยงานองค์กรท้องถิ่นได้แก้ปัญหาเบ็ดเสร็จจะทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่ง Traffy Fondue สามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยมีข้อดีคือไม่มีค่าใช้จ่าย ใช้งานง่าย จึงเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยงานขนาดเล็กใช้งานได้ ทำให้เกิดรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-goverment) โดยมี Traffy Fondue เป็นจุดเริ่มต้น  

เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น จะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป ซึ่งอาจต้องมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ฐานข้อมูลเป็นพื้นฐาน สำหรับการจัดการทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหาระยะยาว อีกทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และการประเมิน ITA หรือ การประเมินความโปร่งใสด้วยแชตบอท ดังนั้น Traffy Fondue จะเป็นแรงจูงใจให้หน่วยงานอื่นๆ เข้ามาใช้งานมากขึ้น และคะแนนความโปร่งใสจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในด้านความโปร่งใสนั้น ผู้พัฒนาได้ปรับปรุงเว็บไซต์สำหรับให้ข้อมูลกับประชาชน และเปิดเผยข้อมูลคำร้องขึ้นเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถเห็นภาพการทำงานได้ รวมไปถึงแผนที่แสดงมุมมองการบริหารเชิงพื้นที่ โดยแสดงให้เห็นพื้นที่ที่ร้องเรียนบ่อยซึ่งอาจมีปัญหาซ้ำซ้อน เช่น ปัญหาทางกายภาพของพื้นที่ หรือ ปัญหาอื่นๆ  Traffy Fondue อาจเป็นต้นแบบให้หลายๆ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็ก สามารถใช้ระบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แสดงสถิติให้เห็นถึงการแก้ปัญหา ช่วยให้การแก้ปัญหารวดเร็วขึ้น 

แนวทางขับเคลื่อน Traffy Fondue ควบคู่กับ Smart City อย่างยั่งยืน

คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯ ร่วมเสวนาผ่านระบบออนไลน์

รองผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯ คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อน Traffy Fondue สำหรับเสริมการทำงานของกรุงเทพฯ ว่า …

การขับเคลื่อนบริหารราชการต้องตอบรับความต้องการของประชาชน สำหรับ Open Data, Open Contrac หรือ  Innovation ได้เข้ามาช่วยสร้างประสิทธิภาพให้กับกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันมีการใช้แพลตฟอร์ม LINE เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้ตอบโจทย์ประชาชนมากที่สุด จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์  Traffy Fondue เป็นต้นแบบแนวคิดในการเปลี่ยนวิธีการสร้างข้อมูลดิจิทัล รวมถึงการปรับฟีเจอร์ให้รองรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน 

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่จะช่วยแก้ปัญหา แต่การมีส่วนร่วมในสังคมช่วยกันจัดการปัญหา ทำให้การบริหารการจัดการเมืองเร็วและดีขึ้น การนำเทคโนโลยีกับเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาผสมผสานกัน จะทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้น อีกทั้งการพัฒนาให้ Traffy Fondue เข้าถึงง่าย ใช้งานได้สะดวก ให้ข้อมูลข่าวสารเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปแก้ไขได้โดยเร็ว ประเมินการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ 

ใจความสำคัญหลักของ Smart City คือ ประชาชนเป็นศูนย์กลาง คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่จะได้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบและวัดประสิทธิภาพได้ 

การนำเทคโนโลยีไปใช้สร้างเมืองน่าอยู่ หรือ Smart City ให้ประสบความสำเร็จ ด้วยการปรับปรุงวิธีการดูแลประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีให้เข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ โดยจะแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการค้นคว้าร่วมมือหาทางแก้ไขทิศทางของ Traffy Fondue กับการพัฒนาวิธีการสู่เป้าหมายในอนาคต

ฟีเจอร์ใหม่ Traffy Fondue Manager ได้เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ Traffy Fondue ยังได้รับรางวัลบริการภาครัฐระดับดีเด่น ประเภทนวัตกรรมบริการอีกด้วย

]]>
NECTEC-ACE 2022 | Smart Farming นวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ ยั่งยืน ครบวงจร จาก KUBOTA https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-2022-kobota.html Tue, 20 Sep 2022 12:32:49 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30054

โดย | ปาลิตา โคนเคน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

คุณรัชกฤต สงวนชีวิน Business Value Creation Division Manager บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตร และเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมเปิดเวที NECTEC-ACE2022 งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค พร้อมนำเสนอนวัตกรรมการจัดการเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Agri-Innovation เพื่อการพัฒนานวัตกรรมฟาร์มสู่ความยั่งยืนด้วย Farmnovation คูโบต้าฟาร์ม
คุณรัชกฤต เล่าว่า Smart Farming, Smart Farmer และ Smart Agriculture เป็นคำที่ได้ยินกันมาอย่างยาวนาน โดยสยามคูโบต้าเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรกลการเกษตรและอยู่คู่กับภาคเกษตรกรรมประเทศไทยย่างเข้าปีที่ 45 เราริเริ่มสร้างเทคโนโลยีเกษตรขึ้นมาให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศ Smart Agriculture ให้ได้
จำนวนลูกค้าในยุคแรกที่คูโบต้าผลิตเครื่องจักรแบบเดินตาม มีจำนวนประมาณเกือบ 4 ล้านแอคเคาท์ทั่วประเทศ แต่ภายในเวลาแค่ 10 ปี เกษตรกรสามารถเข้าถึงเครื่องจักรสมัยใหม่ได้ ปัจจุบันคูโบต้ามีจำนวนลูกค้าประมาณ 5 แสนครัวเรือน แต่ข้อมูลจากทางภาคเกษตรแสดงให้เห็นว่าครัวเรือนเกษตรมีจำนวนประมาณ 8-9 ล้านครัวเรือน และจำนวนเกษตรกรที่ลงทะเบียนมีประมาณเกือบ 12 ล้านคนทั่วประเทศ แน่นอนว่าการใช้เครื่องจักรยังสามารถเติบโตได้อีกในอนาคต และมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามการใช้งานเครื่องจักรเป็นเพียงการลดต้นทุนเรื่องแรงงาน ส่วนผลผลิตอาจจะเพิ่มขึ้น หรือ ลดลงก็ได้ เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง
สยามคูโบต้าจึงเริ่มพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาการเกษตรของประเทศไทย โดยมองพืชเศรษฐกิจ เช่น พืชไร่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยาง ปาล์ม และอื่น ๆ ซึ่งเราไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวคนเดียวได้ เนคเทค สวทช. จึงเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สยามคูโบต้าได้ขอความอนุเคราะห์ในการช่วยเหลือร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมถึงพันธมิตรหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงเกษตรฯ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในการค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหาภาคการเกษตรไทย

FARM DESIGN กับแพลตฟอร์มการเกษตร เพื่อตอบโจทย์ชีวิต 4.0

วิวัฒนาการของการเกษตรในประเทศไทยยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ ปัจจุบันสยามคูโบต้ากำลังศึกษาแพลตฟอร์มที่จะเข้ามาเชื่อมต่อกับการทำเกษตรได้อย่างแม่นยำ โดยมีแปลงตัวอย่างที่ “คูโบต้าฟาร์ม” อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี แปลงข้าวตัวอย่างจะมีดีไซน์โค้ง ด้านบนเป็นแปลงอ้อย มันสำปะหลัง ยาง และปาล์ม อยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 220 ไร่ ซึ่งเปิดให้เข้าเยี่ยมชมมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี และมีจำนวนผู้เข้าชมทั้งหมดประมาณ 20,000 กว่าคน โดยหลายหน่วยงานไม่ได้เข้ามาเยี่ยมชมเท่านั้น แต่มาพร้อมโจทย์ต่าง ๆ ที่จะทำให้ชีวิตการทำเกษตรดีขึ้น และสยามคูโบต้าก็นำเอาโจทย์เหล่านั้นกลับมาแลกเปลี่ยนภายในบริษัท รวมถึงพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มช่วยตอบโจทย์ชีวิตของเกษตรกร

อนาคตการเกษตร กับ โครงสร้างพื้นฐานของ Smart Farming เพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

Smart Farming เกิดจากโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่แข็งแกร่ง สยามคูโบต้าจึงเห็นความสำคัญในการปฏิรูปพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศ ซึ่งเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่สำหรับการพัฒนาเกษตรทั่วประเทศให้ทันสมัย อีกทั้ง Smart Farming ยังยึดหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ในการพัฒนาคูโบต้าฟาร์ม
การปรับใช้ Smart Farming ให้ยั่งยืน จะยึดหลักการถือครองพื้นที่ของเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันประมาณ 70% ของประเทศไทย มีพื้นที่ถือครองต่ำกว่า 20 ไร่ และเกษตรกรกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ ดังนั้น การรวบรวมกลุ่มกันเป็นแปลงใหญ่ จะทำให้เข้าถึงทรัพยากรต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐจัดเตรียมไว้ อีกทั้งการต่อยอดให้ Smart Farming เกิดความสำเร็จได้นั้น ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนทัศนคติของเกษตรกรก่อน ขณะนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ล่าสุด ฉบับที่ 13 ที่จะพัฒนาประเทศไทยเป็น Smart Farming ตอนนี้ขึ้นอยู่กับพวกคุณทุกคนแล้ว ว่าพร้อมจะเปลี่ยนเป็น Smart Farming ไปด้วยกันหรือยัง ….
]]>
NECTEC-ACE 2022 | AIS iFarm นวัตกรรมแพลตฟอร์มดิจิทัล 5G และ IoT เพื่อการพัฒนาเกษตรแบบยั่งยืน https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-2022-ais.html Tue, 20 Sep 2022 12:14:46 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30039

บทความ | ปาลิตา โคนเคน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

คุณกรรณิกา ตันติการุณย์ Head of 5G Product and Ecosystem Partner Development บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของ AIS ในฐานะที่เป็นผู้สนับสนุนเรื่อง Digital Economy และ Digital Transformation ในเวทีเปิดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC-ACE 2022 ที่เนคเทค สวทช. ร่วมกับพันธมิตรจับมือร่วมเติมเต็ม Ecosystem การใช้งานเทคโนโลยีให้เติบโต สร้างภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืน
สำหรับ AIS มีบทบาทและมุ่งเน้นสนับสนุนการสร้างทรานส์ฟอร์เมชันสำหรับภาคธุรกิจของไทย ใน 5 แกนหลัก ได้แก่
1. การสร้าง 5G Ecosystem และ Partnership
2. การพัฒนา Intelligent Network ทั้ง Mobile Network หรือ Network ประเภทอื่นๆ
3. การสร้าง Digital infrastructure และ Platform เพื่อสนับสนุนเรื่อง IT Transformation และ Cloud Infrastructure and Security
4. Data driven สนับสนุนการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการส่งเสริมภาคธุรกิจ
5. สร้าง Trusted Professionals ให้แก่บุคลากรที่ให้บริการกับลูกค้า เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพและทำงานอย่างมืออาชีพ
AIS มองว่าภาคเกษตรเป็นส่วนสำคัญของประเทศไทย ดังนั้น ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน ต้องเริ่มที่เกษตรกรรมเป็นอันดับแรก AIS จึงพัฒนาแพลตฟอร์ม iFarm ขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาของเกษตรกรในเรื่องของข้อมูล แหล่งที่มาและการจัดสรรเงินทุน การเลือกปลูกพืชเกษตร ซึ่งจะมีเงื่อนไขในเรื่องของสภาพอากาศ หรือเงื่อนไขอื่น ๆ ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เกษตรกรจึงต้องการตัวช่วย ในการควบคุมปัจจัยที่สามารถควบคุมได้ให้ดีขึ้น รวมถึงการหาช่องทางการขาย ดังนั้น iFarm จึงเกิดขึ้นจากการหาวิธีการแก้ปัญหา โดยรวบรวมองค์ความรู้ของผู้มีประสบการณ์ สร้างขึ้นมาเป็นข้อมูล ที่อยู่ในระบบ และพัฒนาแพลตฟอร์ม ให้ผสมผสานอุปกรณ์ที่เป็น Smart Device ประเภทต่าง ๆ และบูรณาการกับโครงสร้างพื้นฐานของ AIS

iFarm ฟีเจอร์สุดล้ำ ! ตอบโจทย์เกษตรกร คุ้มค่า คุ้มราคา

iFarm มี Dashboard ที่รวบรวมข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรและข้อมูลที่มาจากตัวอุปกรณ์ แบบ Real-time Monitoring เกษตรกรใช้งานได้อย่างสะดวกสามารถควบคุมอุปกรณ์ได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงสามารถสร้างกิจกรรมเพื่อกำหนดช่วงเวลาการปลูก หรือ กิจกรรมเกี่ยวกับการปลูกในตัวแพลตฟอร์มได้อีกด้วย อีกทั้งสามารถสรุปข้อมูลเพื่อวิเคราห์วางแผนการเพาะปลูกอย่างถูกต้อง มาพร้อมกับฟีเจอร์กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งานสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้งานระบบเป็นจำนวนมาก
นอกจากเกษตรกรที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของ iFarm แล้ว เรายังมีกลุ่มพันธมิตร หรือ Ecosystem ที่เป็นผู้ทำส่วนอื่น ๆ ประกอบบนแพลตฟอร์ม คือ ผู้ผลิตเซนเซอร์ หรือ Smart Device สำหรับภาคการเกษตร ซึ่งเรามี ‘Magellan’ ซึ่งเป็นไอโอทีแพลตฟอร์มสำหรับการเปิด API ให้กับผู้ผลิตเซนเซอร์มาลงทะเบียน และควบคุมการจัดการสังเกตข้อมูลผ่าน Magellan และสามารถนำข้อมูลมาแสดงผลบน iFarm
iFarm จะเข้ามาตอบโจทย์และสร้างประโยชน์ให้กับทั้งผู้ผลิตอุปกรณ์ และเกษตรกร โดยส่วนของผู้ผลิตจะมีแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ได้ ผ่าน API รวมถึงโครงข่ายที่เชื่อมต่อผ่าน Network AIS และ iFarm ที่เชื่อมต่อกับ IoT Gateway สามารถช่วยให้ทุกคนบริหารจัดการอุปกรณ์ได้อย่างมีคุณภาพ ลดต้นทุนในการนำเสนอ เพราะผู้ผลิตอุปกรณ์ไม่ต้องสร้างแพลตฟอร์มเอง สามารถนำเสนอราคาที่จูงใจให้กับเกษตรกรได้ รวมถึงผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ง่านขึ้นผ่าน Ecosystem ของ AIS สำหรับเกษตรกร จะช่วยเพิ่มผลผลิต คงคุณภาพการผลิต ลดต้นทุน ลดแรงงาน สามารถทำการติดตามและควบคุมอุปกรณ์ได้ทุกที่ทุกเวลา

AIS ให้คุณใช้ชีวิตได้มากกว่า ด้วยบริการแพลตฟอร์มที่เข้าใจ

ด้านการให้บริการแพลตฟอร์ม เรามีการอธิบายวิธีแก้ไขปัญหาแบบตัวต่อตัว เพราะการนำเสนอแค่แพลตฟอร์ม บางครั้งเกษตรกรบางท่านยังไม่สามารถเริ่มต้นได้ จึงต้องการให้ผู้ผลิต Provide Total Solutions คือ ช่วยเหลือตั้งแต่การออกแบบโรงเรือน การหาอุปกรณ์ ไปจนถึงการหาผู้ให้คำปรึกษา AIS มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการแพลตฟอร์ม และ Ecosystem ดังนั้น หากผู้ใช้บริการต้องการวิธีการบริหารแบบองค์รวม สามารถขอคำปรึกษาได้ทันที เพื่อออกแบบระบบนิเวศทางธุรกิจ ให้บริการด้านคำปรึกษา และช่วยสร้าง Smart Farm ให้กับผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการ White Label สู่ แพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันของตัวเอง AIS ยินดีที่จะปรับแต่งแพลตฟอร์ม iFarm ให้เป็นไปตามที่หน่วยงานต่าง ๆ ต้องการนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ขององค์กรโดยเฉพาะ
การใช้งานแพลตฟอร์ม iFarm มีราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท ด้วย AIS ต้องการที่จะสนับสนุนภาคเกษตรอย่างจริงจัง เราจึงเสนอราคาที่คิดว่าทุกคนสามารถเข้าถึงได้ พร้อมติดตั้งซิม 4G สำหรับใช้งานเชื่อมต่อกับตัวแพลตฟอร์มได้อีกด้วย

AIS x เนคเทค สวทช. ร่วมมือสร้างเกษตรกรรมไทยให้ยั่งยืน

AIS ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์ม ยินดีที่จะสนับสนุนการพัฒนาภาคเกษตรกรรมไทยไปพร้อมกับหน่วยงาน หรือ Ecosystem ของ สวทช. ซึ่งเป็น Ecosystem Partner ที่แข็งแกร่งทั้ง ผลงานวิจัย ข้อมูล และแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึงพร้อมนำองค์ความรู้ของหน่วยงานภาครัฐมาบูรณาการขึ้นแพลตฟอร์ม iFarm ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้กับเกษตรกรได้นำไปใช้ประโยชน์มากขึ้น
]]>
NECTEC-ACE 2022 | กรมส่งเสริมการเกษตรพร้อมเป็นสื่อกลางนำเทคโนโลยีดิจิทัลจากทุกภาคส่วน ส่งเสริมเจ้าหน้าที่ลงสู่การพัฒนาเกษตรกร https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-2022-doae.html Tue, 20 Sep 2022 11:51:46 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=29747
กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมฉายภาพบทบาทการเติมเต็มระบบนิเวศเทคโนโลยีให้เติบโต สร้างภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืน ในงาน NECTEC-ACE 2022 งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ซึ่งนำเสนอเรื่องราวหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาภาคการเกษตร และในโอกาสพิธีเปิดงานฯ คุณปาลลิน พวงมี ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนา งานส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร ได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “นโยบายและแนวทางการส่งเสริมประยุกต์ใช้เกษตรอัจฉริยะและเทคโนโลยีดิจิทัล”
 

วางบทบาทเป็นสื่อกลางนำเทคโนโลยีสู่เกษตรกร

เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลกในขณะนี้ ทั้งเรื่องของความต้องการสินค้าของผู้บริโภค เรื่องความแปรปรวนของสภาวะอากาศ เรื่องการผลิตที่ต้องรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ทำให้กรมส่งเสริมการเกษตรต้องเปลี่ยนวิธีการหรือเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดสู่พี่น้องเกษตรกร “สำหรับบทบาทของกรมส่งเสริมการเกษตร จะมองว่าเราเป็น Messenger ที่จะนำองค์ความรู้จากหน่วยวิชาการ หน่วยงานวิจัยทั้งหลายลงสู่พี่น้องเกษตรกร หรือ จะมองว่าเป็นเซลล์ขายองค์ความรู้ก็ได้ แต่เราขายแล้วไม่จบ เรามีการบริการหลังการขายตลอดเวลา ตลอดชีพ โดยการติดตามให้คำแนะนำพี่น้องเกษตรกร และการช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่”
 
ปัจจุบันเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาในภาคการเกษตร อีกทั้งความต้องการการผลิตที่มีความแม่นยำสูง ยิ่งทวีความจำเป็นที่จะต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้ถ่ายทอดสู่เกษตรกร อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตของเกษตรกรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้เกิดช่องว่างในการใช้งานเทคโนโลยี เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับกรมส่งเสริมการเกษตรที่วางเป้าหมายในการส่งเสริมถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยีดิจิทัลให้ไปถึงมือเกษตรกร

แนวทางการส่งเสริมและประยุกต์เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล

การไปถึงเป้าหมายดังกล่าว กรมส่งเสริมการเกษตรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาบุคลากรเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานก่อนเป็นลำดับแรก โดยเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรนั้นมีอยู่ทั่วประเทศกว่าหมื่นคน ซึ่งดูแลพี่น้องเกษตรกรตั้งแต่จังหวัดลงลึกถึงระดับตำบล เพื่อให้การถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกรนั้นราบรื่นและมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรจึงต้องได้รับการฝึกอบรม และเรียนรู้ไปพร้อมกันกับเกษตรกร
 
ถัดมาจึงเป็นการพัฒนาระบบการทำงานและบริการแบบดิจิทัล ที่กรมส่งเสริมการเกษตรพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่าง การเปลี่ยนแปลงการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่เดิมต้องทำแบบแมนนวลมากว่า 10 ปี สู่ “FAARMis” แอปพลิเคชันสำหรับใช้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านมือถือ รวมถึงการพัฒนาระบบให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงทะเบียนเกษตรกรได้ด้วยตนเองผ่านมือถือด้วย “FarmBook”
 
ปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตรมีข้อมูลเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนอยู่ประมาณ 8 ล้านครัวเรือน โดยนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการวางแผนส่งเสริมการเกษตร วางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เป็น Big Data ข้อมูลทะเบียนเกษตรกร ตั้งแต่ ชนิดพืชที่ปลูก พื้นที่ปลูก ผลผลิต แรงงาน รายได้ แหล่งน้ำ เป็นต้น นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรยังพัฒนาแอปพลิเคชันเชื่อมโยงเกษตรกรและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน ผ่าน “ตลาดเกษตรกรออนไลน์” แหล่งรวบรวมร้านค้าของพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการแก้ปัญหาการขายสินค้าเกษตรในช่วงโควิด-19 อีกด้วย
 
เรื่องเงินทุน หนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกษตรกรตัดสินใจใช้งานเทคโนโลยี โดยปีที่ผ่านมากรมส่งเสริมการเกษตรได้สนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ขอรับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อไปจัดหาอุปกรณ์เทคโนโลยีอัจฉริยะมาปรับใช้ในการทำเกษตรให้เกิดความแม่นยำ ผลผลิตและปริมาณตรงกับความต้องการของตลาด พร้อมกับการแข่งขันในตลาดโลก

กรมส่งเสริมการเกษตร x HandySense

กรมส่งเสริมการเกษตรยังมีโครงการส่งเสริมการเกษตรดิจิทัลในหลายพื้นที่ ทั้งการนำร่องทำแปลงต้นแบบการผลิตอ้อย มันสำปะหลัง ไม้ผล การให้น้ำ ด้วยเทคโนโลยี เพื่อเป็นตัวอย่างให้เกษตรนำไปขยายผล โดยเนคเทค สวทช.ได้สนับสนุนอุปกรณ์ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ หรือ HandySense และ ร่วมกับ ธ.ก.ส. ในการติดตั้งเป็นจุดนำร่องแปลงเรียนรู้ของพี่น้องเกษตรกร หรือ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จำนวน 6 ศูนย์ในปี 2564 รวมถึงศูนย์ปฏิบัติการของกรมส่งเสริมการเกษตรอีก 10 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีระบบน้ำอัจฉริยะ ให้กับเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและพี่น้องเกษตรกร สามารถเข้ามาเรียนรู้และเห็นว่าเทคโนโลยีเกษตรนั้นไม่ยาก ช่วยให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ประหยัดต้นทุน และเพิ่มความแม่นยำในการทำเกษตร สำหรับปีนี้ กรมส่งเสริมการเกษตร จับมือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หริอ ดีป้า ต่อยอดการนำร่องติดตั้งระบบ HandySense โดยดีป้าสนับสนุน 200 คูปองสำหรับเกษตรกรที่ผ่านการอบรม HandySense เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรใช้งานเทคโนโลยีต่อไป

Young Smart Farmer อนาคตของชาติด้านการเกษตร

กรมส่งเสริมการเกษตรสนับสนุน Young Smart Farmer กว่า 12,000 ราย ถือเป็นกลุ่มอนาคตของชาติด้านการเกษตร โดย Young Smart Farmer ส่วนใหญ่ไม่ได้จบด้านการเกษตรกรรม แต่มีความรู้เฉพาะทางอื่น ๆ เช่น วิศวกรรม การตลาด ธุรกิจ โดยสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ COVID-19 ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กลับเข้าสู่ภาคการเกษตรพร้อมกับแนวคิด ‘ผลิตน้อย แต่ได้มาก’ กล่าวคือ มีความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลเป็นทุนเดิม ทำให้สามารถถ่ายทอดแนวความคิดสู่เกษตรกรให้เปิดรับเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี
 
“สุดท้ายนี้ เรามองว่าการทำงานส่งเสริมการเกษตรจำเป็นต้องมีภาคีและพันธมิตรในการร่วมกันทำงานพัฒนาภาคการเกษตรไปสู่ความยั่งยืน ในฐานะของผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้เหล่านี้ กรมส่งเสริมการเกษตรพร้อมและยินดีที่จะเป็นสื่อกลางนำนวัตกรรมดิจิทัลจากทุกภาคส่วนลงสู่พี่น้องเกษตรกร” คุณปาลลิน กล่าวทิ้งท้าย
]]>
NECTEC-ACE 2022 | ธ.ก.ส. ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-2022-baac.html Tue, 20 Sep 2022 11:36:41 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30011
ธ.ก.ส. กล่าวคำมั่นสัญญาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย ในเวที NECTEC-ACE 2022 ซึ่งนำเสนอเรื่องราวหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาภาคการเกษตร และในโอกาสพิธีเปิดงานฯ นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ได้ฉายภาพการส่งเสริมภาคการเกษตรไทยภายใต้บทบาทของ ธ.ก.ส. ผ่านบรรยายเรื่อง “ยกระดับการใช้นวัตกรรมการเกษตร ด้วย Agri-FinTech เพื่อเกษตรกรและผู้ประกอบการภาคการเกษตร”
ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนภาคเกษตรไทย ทั้งในบทบาทหลักของสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อเกษตรกรมากว่า 50 ปี และการสนับสนุนทุนเพื่อการวิจัยทั้งในส่วนของภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชนที่มีความสนใจเพื่อค้นหางานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร พร้อมการต่อยอดขยายผลในงานนวัตกรรมต่าง ๆ ที่แต่ละส่วนงานพัฒนา เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ไปสู่เกษตรกรได้ใช้จริง โดย ธ.ก.ส. มีวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรม “เป็นองค์กรที่เสริมสร้างและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธนาคารและพัฒนาชนบท” ผ่านการดำเนินงานใน 3 ด้าน ได้แก่
  1. สนับสนุนทุนวิจัยด้านนวัตกรรมเกษตรแก่เครือข่ายภายนอก โดยร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ กรมส่งเสริมการเกษตร และสวทช. เพื่อสร้างและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน
     
  2. ความร่วมมือกับเครือข่ายภายนอกทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับนำผลงานวิจัยให้ไปถึงมือเกษตรกรได้ใช้งานจริง ยกตัวอย่าง ระบบการบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ (HandySense) เป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง ธ.ก.ส. กรมส่งเสริมการเกษตร และ เนคเทค สวทช. โดยติดตั้งระบบเกษตรอัจฉริยะ HandySense จำนวน 6 โรงเรือน ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเมล่อนแคนตาลูปตำบลดงดินแดง อำเภอหนองม่วง จังหวัดลพบุรี ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เมล่อนมีคุณภาพอยู่ในเกรด A และ B ได้น้ำหนักผลผลิตมากกว่าเดิม 1.08 เท่า ส่งผลให้รายได้ต่อรอบการผลิตเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลงจากการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าด้วยการควบคุมผ่านระบบ HandySense

  3. การค้นหาทายาทเกษตรกรและคนรุ่นใหม่ สนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อให้กับทายาทเกษตรและเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เกิดการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตรและต่อยอดสู่ธุรกิจในชุมชน
อีก 5 ปีข้างหน้า ธ.ก.ส. มีวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั้งโลกกำลังเข้าสู่เป็นโลกดิจิทัลทั้งหมด ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอื่น ๆ สามารถเคลื่อนตัวไปได้ค่อนข้างมาก แต่เรื่องการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในภาคการเกษตรเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะในพี่น้องเกษตรกรรายย่อย ซึ่งการขับเคลื่อนให้พี่น้องเกษตรกรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นโจทย์ท้าทาย ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมกันทำให้เกษตรกรปรับพฤติกรรมจากการเกษตรแบบเดิมมาใช้งานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต และลดต้นทุน
สมกับคำมั่นสัญญาของ ธ.ก.ส. ที่จะพัฒนา Better Life สร้างคุณภาพชีวิตในชนบทให้ดีขึ้น Better Community สร้างชุมชนไทยให้เข้มแข็งขึ้น Better Pride สร้างความภาคภูมิใจในอาชีพการเกษตรให้มากยิ่งขึ้น ยกระดับชีวิตเกษตรกรไทย สู่สังคมที่ภาคภูมิ
]]>
NECTEC-ACE 2022 | กรมพัฒนาที่ดิน ประกาศวิสัยทัศน์ “เป็นองค์การอัจฉริยะทางดิน เพื่อขับเคลื่อนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม” https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-2022-idd.html Thu, 15 Sep 2022 10:51:14 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=29731

กรมพัฒนาที่ดิน หนึ่งในพันธมิตรร่วมจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC-ACE 2022 ซึ่งนำเสนอเรื่องราวหลากหลายเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน ด้วยการชวนพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมเติมเต็มระบบนิเวศการใช้งานเทคโนโลยีด้านการเกษตรให้เติบโตถึงมือเกษตรกร และในโอกาสพิธีเปิดงานฯ คุณเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน ได้ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ดิน อัจฉริยะ : แม่น & Match” โดยมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับบทบาทและวิสัยทัศน์ของกรมพัฒนาที่ดินที่มุ่งเป็นองค์การอัจฉริยะทางดินเพื่อขับเคลื่อนการใช้ที่ดินอย่างเหมาะสม

การไปสู่เกษตรอัจฉริยะ ข้อมูลดินต้อง “แม่น & Match”

จากแนวคิดของ NECTEC-ACE 2022 “เติมเต็ม Ecosystem ให้เติบโต สร้างภาคการเกษตรไทยให้ยั่งยืน” คำว่า เกษตรยั่งยืน นั้นเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย สำหรับปัจจุบันหากจะพูดถึงเรื่องความยั่งยืนทางการเกษตรนั้นหนีไม่พ้นที่จะต้องหันมาในเรื่องของการใช้เทคโนโลยี

ดิน เป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเพาะปลูก ซึ่งล่าสุดกรมพัฒนาที่ดิน ได้ประกาศตัวมุ่งสู่การเป็น “องค์การอัจฉริยะทางดิน” ที่ข้อมูลดินต้อง “แม่น & Match” กล่าวคือ ข้อมูลดินต้องแม่นยำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้งาน เดิมข้อมูลดินของกรมที่ดินจะเป็นแผนที่ในลักษณะเอกสาร ซึ่งปัจจุบันได้ปรับสู่ข้อมูลที่พร้อมใช้ อัปเดตแบบเรียลไทม์ ปรับมาตราส่วนต่าง ๆ ให้มีเกิดความแม่นยำ และสามารถเข้าถึงได้ผ่านดิจิทัลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ข้อมูลลักษณะดินทางเคมีและกายภาพ ข้อมูลการใช้ที่ดินในปัจจุบัน การจัดการดินและปุ๋ย ข้อมูลเชิงพื้นที่จัดเก็บในระบบภูมิสารสนเทศมีขอบเขตอ้างอิงได้กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ การจัดลำดับความเหมาะสมของดินกับพืชเศรษฐกิจ รวมถึงงานวิจัยและนวัตกรรมที่รองรับ

ตัวอย่าง Soil Series ระบบนำเสนอข้อมูลชุดดิน ข้อมูลชุดดินของกรมที่ดินเกิดขึ้นจากการสำรวจลึกลงไปตั้งแต่ผิวดินจนถึงชั้นใต้ดินที่สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของพืช คือ ลึกลงไปประมาณ 150 เซนติเมตร ยกตัวอย่างชุดดิน อาทิ

  • ชุดดินบางกอก (Bangkok series) เป็นดินที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกข้าว ด้วยเนื้อดินที่เป็นดินเหนียวมีความอุดมสมบูรณ์สูงจากการพัดพาของตะกอนลำน้ำ พบมากในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง มีเนื้อที่ประมาณสี่แสนไร่

  • ชุดดินปากช่อง (Pak Chong series) เป็นดินที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับปลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ด้วยเนื้อดินที่เป็นดินเหนียวสีแดง ระบายน้ำได้ดี พบมากในพื้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ประมาณสี่แสนไร่

  • ชุดดินท่าใหม่ (Tha Mai series) เป็นดินที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับปลูกผลไม้ เช่น ทุเรียน มังคุด ลองกอง ด้วยเป็นดินที่เกิดจากการสลายตัวผุพังของหินภูเขาไฟ ทำให้เนื้อเป็นดินเหนียวสีแดง ระบายน้ำได้ดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง พบมากในพื้นที่ภาคตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณสี่หมื่นไร่เท่านั้น

เปิดเผยข้อมูลดิน สู่ Open Data

ปัจจุบันกรมพัฒนาที่ดินได้เปิดเผยข้อมูลดินทั้งหมดในรูปแบบ Open Data ผ่าน ldd on Farm ซึ่งเป็นเว็บแอปพลิเคชันที่เกษตรกรสามารถลงทะเบียนเพื่อวางแผนการใช้ที่ดินเกษตรกรแบบรายแปลง สามารถตรวจสอบตำแหน่งพื้นที่ต้องการเพาะปลูก เพื่อวางแผนการใช้ที่ดินเกษตรกรรายแปลง โดยระบบจะแสดงข้อมูลประจำแปลงนั้น ๆ เช่น ข้อมูลดิน ความเหมาะสมของดินในการปลูกพืช ข้อมูลแหล่งน้ำ ข้อมูลการใช้ที่ดิน และแสดงข้อมูลภูมิอากาศปัจจุบัน ณ ตำแหน่งที่ตั้งของแปลง เป็นต้น

“น้องดินดี”เอไอแชทบอท ดูแลเกษตรลงลึกรายคน

ล่าสุด กรมพัฒนาที่ดินได้เปิดตัว ‘น้องดินดี’ เอไอแชทบอทที่เกษตรกรสามารถลงทะเบียนพูดคุยกับน้องดินดีสอบถามเรื่องราวของดินและบริการของกรมพัฒนาที่ดินได้ง่าย รวดเร็ว และสะดวกยิ่งขึ้นผ่านไลน์แอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลดิน ติดต่อขอรับบริการต่าง ๆ ของกรมพัฒนาที่ดิน เช่น จุลินทรีย์ พด. บริการวิเคราะห์ดิน วิเคราะห์แผนที่ เป็นต้น สื่อความรู้ แอปพลิเคชัน และช่องทางการติดต่อต่าง ๆ ของกรมพัฒนาที่ดิน “น้องดินดี”เอไอแชทบอท เป็นจุดเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นความก้าวหน้าของกรมพัฒนาที่ดินนอกเหนือจะพัฒนาข้อมูลให้แม่นยำลงลึกถึงระดับรายแปลงยังมุ่งดูแลเกษตรกรรายคนอีกด้วย

“Match” สร้างข้อมูลให้เชื่อมโยง ส่งเสริมกับแหล่งอื่นนำไปสู่เกษตรอัจฉริยะ

กรมพัฒนาที่ดินมองว่าข้อมูลดินแม่นอย่างเดียวไม่พอต้องเชื่อมโยงถูกใจผู้ใช้ด้วย ซึ่งผู้ใช้งานข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินมีหลายกลุ่ม ถ้าข้อมูลไม่ไปเชื่อมโยง หรือ Matching กับผู้ใช้ ข้อมูลก็จะไม่ได้รับการใช้งานเปรียบเสมือน “ข้อมูลตาย” ไม่อัปเดต
 
ปัจจุบันความแม่นยำของข้อมูลจากกรมพัฒนาที่ดินเชื่อมโยง (Match) กับ 3 กลุ่ม ได้แก่
 
1) พืช: ทั้งระดับความเหมาะสมในการเพาะปลูก 13 พืชเศรษฐกิจ การจัดการเพื่อลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพและผลผลิต ไปจนถึงการประเมินผลผลิต ซึ่งถ้าเราสามารถลดต้นการผลิตด้วยเทคโนโลยีได้ เชื่อว่าเรื่องการเพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณภาพในการผลิต ไทยเราไม่แพ้ใคร
 
2) ลูกค้า: เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจทั้งระดับการผลิต นักวิจัย นักการตลาด นักจัดการทรัพยากร หรือ นำไปประกอบการถ่ายทอดองค์ความรู้
 
3) สถานการณ์การเปลี่ยนแปลง: ทั้งในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) จะเห็นปัจจุบันเรื่องของใครนะคะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงตอนนี้กรมพัฒนาที่ดินเราก็พยายามปรับตัวนะคะเทรนด์ความต้องการอาหาร พฤติกรรมการบริโภคและการตลาด เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โมเดลเศรษฐกิจบีซีจี เป็นต้น
 
นอกจากนี้กรมพัฒนาที่ดินยังเชื่อมโยงข้อมูล และบูรณาการทำงานกับหน่วยงานพันธมิตรมากมายในด้ารข้อมูลเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนคเทค สวทช. คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ ระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ ศูนย์ข้อมูลการเกษตรแห่งชาติ ศูนย์สารสนเทศที่ดินและทรัพยากรดิน ระบบสืบค้นและบริการภูมิสารสนเทศกลางของประเทศ เป็นต้น
]]>
เนคเทค สวทช. จะไม่หยุดพัฒนา “ฐานรากเทคโนโลยีดิจิทัล” เพื่ออนาคตที่ดีของเกษตรกรไทย และคนไทยทุกคน https://www.nectec.or.th/news/news-article/nectec-ace-executive.html Tue, 13 Sep 2022 13:00:30 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=29715
ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC-ACE 2022 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ได้บอกเล่าเรื่องราวการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรของเนคเทค สวทช. ที่เป็น theme หลักของงาน NECTEC-ACE ในปีนี้ ผ่านการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ก่อร่างสร้างแก่น เกษตรดิจิทัล: Building the Digital Agriculture Infrastructure”
 

‘เทคโนโลยี’ ช่วยปิดช่องว่างเกษตรกรรมไทย

ประชาชนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนในภาคเกษตรกรรมล้วนได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายผลผลิตที่ยากลำบากขึ้นทั้งภายในประเทศและการส่งออก ทำให้ข้อจำกัดทางการเงินที่มีอยู่เดิมของเกษตรกรยิ่งแย่ลงไปกว่าเดิม ถึงแม้ว่าในปี 2564 จำนวนแรงงานภาคการเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่สภาวะเศรษฐกิจบีบให้คนเมืองต้องกลับถิ่นฐานและประกอบอาชีพเกษตรกรรม แต่ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตด้านเกษตรได้ เกษตรกรต้องลงทุนเยอะขึ้น แต่ได้ผลผลิตต่อไร่ไม่คุ้มทุน

เนคเทค สวทช. เชื่อว่า เทคโนโลยีจะสามารถเข้ามาช่วยพัฒนาและลดช่องว่างภาคเกษตรกรรมได้ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูงขึ้นโดยใช้ทรัพยากรการผลิตอย่างคุ้มค่าเพื่อควบคุมต้นทุน จากความเชื่อนี้ทำให้ “เกษตรแม่นยำ” กลายมาเป็นหนึ่งในกรอบการทำงานเป้าหมาย (Target Output Profiles (TOPs) ที่เนคเทคมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลมากว่า 20 ปี ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทานด้านการเกษตร โดยเน้น 3 ด้านหลัก ได้แก่ เกษตรแม่นยำ(Precision Farming Demand-Supply) การตรวจสอบคุณภาพผลผลิตและการตรวจสอบย้อนกลับผลผลิตด้านการเกษตร (Quality Inspection / Traceability) และ การเชื่อมโยงความต้องการผลผลิตกับเกษตรกร (Demand-Supply Matching)

เกษตรแม่นยำ เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วย IoT

การก้าวเข้าสู่เกษตรอัจฉริยะ เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการใช้ระบบ IoT คือ การนำเซนเซอร์มาตรวจวัดสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืช ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ ความชื้น แสง สารอาหารต่าง ๆ แล้วนำกลับมาสั่งการอุปกรณ์เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการเติบโตของพืชต่อไป โดยเนคเทค สวทช. ได้พัฒนาอุปกรณ์ไอโอทีด้านเกษตรที่ได้รับการใช้งานจริงหลายผลงาน ยกตัวอย่าง
 
  • HandySense ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ ที่ผนวกเทคโนโลยีเซนเซอร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อมทางการเกษตรและระบบควบคุมการทำงานอัตโนมัติได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้
  • WiMarC ระบบตรวจวัดด้วยเซนเซอร์แบบเครือข่ายไร้สายเพื่อการจัดการและควบคุมอัตโนมัติ มาพร้อมกับแพลตฟอร์มบูรณาการข้อมูลเพื่อสร้างแนวทางการจัดการแปลงเพาะปลูกที่ถูกต้อง แม่นยำ และเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
  • Aqua-IoT ระบบตรวจติดตามสภาพบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ทั้งทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ ด้วยเทคโนโลยี IoT สามารถติดตามการใช้งานได้แบบ online

“ข้อมูล” ปัจจัยสำคัญสร้างความ “แม่นยำ” ด้านการเกษตร

เกษตรแม่นยำจำเป็นอย่างยิ่งต้องอาศัยข้อมูล เกษตรกรต่างต้องการทราบข้อมูลที่สามารถทำนายสภาพแวดล้อมด้านการเกษตรในช่วงหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้นจะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะรับมือปรับเปลี่ยนการดูแลแปลงเพาะปลูก ควบคุมทรัพยากรการผลิตให้เหมาะสมทั้งการให้น้ำ ใส่ปุ๋ย

โดยประเทศไทยมีข้อมูลทางด้านการเกษตรอยู่จำนวนมาก ทั้งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันน้ำ กระทรวงพาณิชย์ ประเด็นสำคัญ คือ เราสามารถจัดการให้ข้อมูลเหล่านี้ไปสู่ผู้ที่ต้องการใช้ประโยชน์ได้อย่างไร เนคเทค สวทช.ได้เข้ามาบทบาทสำคัญในการเติมเต็มระบบนิเวศนี้ โดยพัฒนา THAGRI หรือ แพลตฟอร์มความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ภาคการเกษตร (Thailand Agricultural Data Collaboration Platform) เพื่อเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลภาคการเกษตรจากพันธมิตรทั่วประเทศส่งออกมาในรูปแบบ Data API อำนวยความสะดวกสนับสนุนให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง หลากหลาย เพื่อสร้างนวัตกรรม หรือ แอปพลิเคชัน ที่ตอบโจทย์ภาคเกษตรกรรมต่อไป

อีกหนึ่งผลงานที่แสดงให้เห็นศักยภาพของการนำข้อมูลมาผนวกกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นั่นคือ “ไลน์บอทโรคข้าว” บริการวินิจฉัยโรคข้าวถึง 10 โรค จากภาพถ่ายได้อย่างสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ ผ่าน Line Application ภายใน 3-5 วินาที

Plant Factory ราคาย่อมเยา

“โรงงานผลิตพืช” หรือ “Plant Factory” เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการเกษตรที่ทำให้สามารถปลูกในระบบปิดที่ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันระบบนี้ยังคงมีราคาสูง และใช้ในผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงเป็นโจทย์สำคัญของเนคเทค สวทช.ในการพัฒนา Eco Plant Factory ที่มีราคาลดลง เพื่อให้เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศได้เข้าถึงการผลิตที่ไม่ต้องพึ่งพิงฤดูกาล ปริมาณผลผลิตที่คงที่ตลอดทั้งปี โดยเหมาะอย่างยิ่งกับการปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง

นำความเชี่ยวชาญพัฒนาระบบตรวจสอบคุณและตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์เกษตร

อีกหนึ่งความเชี่ยวชาญของเนคเทค สวทช. คือ การผลิตเซนเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงประเภทใช้แสง หรือ Onspec ชิปตรวจวัดสัญญาณ Fingerprint ของสารชีวโมเลกุลหรือสารชีวภาพที่มีปริมาณน้อยมากได้อย่างแม่นยำ โดยมีการผลิตและทดลองใช้งานแล้วไม่น้อยกว่า 6,500 ชิป ปัจจุบันได้มีการนำ Onspec มาประยุกต์ใช้ในตรวจวัดคุณภาพผลผลิตผักปลอดสารพิษ ตรวจสอบสารกำจัดวัชพืชที่ตกค้างในดินและแหล่งน้ำในพื้นที่ทำการเกษตร และการตรวจวัดยาปฏิชีวนะปนเปื้อนในอาหารสัตว์เศรษฐกิจ เป็นต้น สำหรับการตรวจสอบย้อนกลับผลผลิตด้านการเกษตร เนคเทค สวทช. ได้เริ่มต้นพัฒนา Coffee Bean Trace ระบบบล็อกเชนเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับเมล็ดกาแฟ ป้องกันการแก้ไขในการบันทึกข้อมูลห่วงโซ่อุปทานเมล็ดกาแฟของประเทศไทย ทำให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนกลับเมล็ดกาแฟที่บริโภคจนถึงต้นทางได้
 

เชื่อมโยงผลผลิตจากเกษตรส่งตรงถึงโรงเรียน

อีกหนึ่งโจทย์สำคัญด้านการเกษตร คือ การเชื่อมโยงความต้องการระหว่างเกษตรกรและผู้บริโภค เมื่อเนคเทค สวทช. มีโอกาสได้พัฒนาระบบ Thai School Lunch ใช้สำหรับวางแผนจัดสำรับอาหารในโรงเรียนให้ได้ตามหลักโภชนาการ ทำให้เห็นถึงความต้องการการใช้วัตถุดิบล่วงหน้าตั้งแต่รายสัปดาห์ถึงรายปีของโรงเรียนที่ใช้งานระบบกว่า 5 หมื่นโรงทั่วประเทศ เนคเทค สวทช.จึงได้พัฒนา “Farm to School” เพื่อตอบโจทย์ในการเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการผลผลิตจากเกษตรกรในพื้นที่เพื่ออาหารกลางวันในโรงเรียนสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจชุมชนต่อไป

Open Innovation กุญแจสำคัญส่งงานวิจัยถึงมือเกษตรกร

การผลักดันเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลไปสู่เกษตรกรนั้นไม่ง่าย ทั้งเรื่องความใหม่ของเทคโนโลยี ความยากง่าย และการลงทุนต่าง ๆ ระบบนิเวศในการส่งต่อนวัตกรรมเหล่านี้ให้ไปถึงมือเกษตรกรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันเติมระบบนิเวศนี้ให้เต็ม เพื่อพัฒนาภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืนต่อไป สำหรับเนคเทค สวทช. ได้มีการผลักดันผลงานวิจัยสู่ “นวัตกรรมแบบเปิด” หรือ “Open Innovation” ทั้งการเปิดเผยพิมพ์เขียวผลงานวิจัยให้ผู้สนใจหรือผู้ประกอบการได้ทำไปผลิตใช้งาน หรือ จำหน่ายได้ โดยไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ เช่น ผลงาน HandySense และ WiMarCเพื่อเป็นอีกหนึ่งกลไกในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลให้ได้รับการใช้งานในวงกว้าง ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้านการเกษตรในประเทศไทย
 
“เนคเทค สวทช. เราเรียนรู้ ศึกษา วิเคราะห์เทคโนโลยีรอบด้านทั้งไทยและต่างประเทศ หากสามารถสร้างประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยได้ เราพยายามที่จะสร้างเทคโนโลยีและข้อมูลเหล่านั้นให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นต่อไป … เราไม่หยุดพัฒนาสร้างฐานรากเทคโนโลยีดิจิตอลเพื่ออนาคตที่ดีของเกษตรกรไทยและคนไทยทุกคน” ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้าย
]]>
เนคเทค สวทช. จับมือเครือข่ายพันธมิตรเสริมแกร่งเกษตรกรรมไทย เปิดโลกเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงได้ในงาน NECTEC-ACE 2022 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/press-nectec-ace2022.html Thu, 08 Sep 2022 14:14:47 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=28828

8 กันยายน 2565: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค สวทช. ร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน (พด.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร (สท. สวทช.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พร้อมพันธมิตรภาคเอกชน ได้แก่ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เครือเบทาโกร สมาคมไทยไอโอที จัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2022 (NECTEC–ACE 2022) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” จัดแสดงผลงานและสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน (Digital Technology for Sustainable Agriculture) ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ รูปแบบสัมมนาออนไลน์

ดร.ชัย  วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่างานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคประจำปี 2565 หรือ (NECTEC–ACE 2022) ยังคงได้รับการสนับสนุน และความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ที่เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญจึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน รวมไปถึงทุกท่านที่ให้ความสนใจเนื้อหาของงาน ซึ่งได้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทั้ง ณ สถานที่จัดงาน และระบบสัมมนาออนไลน์ รวม 2 วันของการจัดงาน มากกว่า 3,000 คน

เนคเทค มีภารกิจหลักในการดำเนินงานวิจัยพัฒนา นำองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญของทีมนักวิจัย เพื่อส่งเสริมการพัฒนาประเทศทางด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ ปีนี้เนคเทคครบ 3 รอบ หรือ 36 ปีแห่งการก่อตั้ง ซึ่งเรายังคงเดินหน้าต่ออย่างมุ่งมั่นกับการทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาเปรียบเสมือนเป็น “เครื่องจักรสำคัญเพื่อสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีขั้นสูงให้กับประเทศ” รวมถึงการเตรียมความพร้อมงานวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยร่วมกับพันธมิตรผลักดันให้เกิดระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่วิจัยพัฒนาขึ้นไปสู่การใช้งานได้จริง เกิดประโยชน์ต่อคนหมู่มาก ให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน เสมือนกับการเป็นสาธารณูปโภคที่ส่งให้ประชาชนทุกคนในบ้าน เพื่อช่วยให้ประชาชนคนไทยมีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยแต่ละปีมีโครงการวิจัยพัฒนาที่ได้ดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา ภาคเอกชน ไม่ต่ำกว่า 200 โครงการ

การจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค หรือ NECTEC Annual Conference & Exhibitions ที่เรียกย่อๆ ว่า NECTEC-ACE จึงถือเป็นกิจกรรมสำคัญในการส่งมอบผลงานให้กับประเทศ เป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ ผลงานวิจัยที่ใช้งานได้จริง ตลอดจนการได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ และสนับสนุนภารกิจของเครือข่ายพันธมิตรที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ โดยปีนี้นับเป็นครั้งที่ 15 ของการจัดงาน ที่ผ่านมามีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงาน มากกว่า 1,000 คน และความพิเศษในแต่ละปีจะมีการนำเสนอแนวคิดหลักที่แตกต่างกันออกไป

งานในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565  ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. จังหวัดปทุมธานี และรูปแบบสัมมนาออนไลน์ ให้แก่กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ ภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย ทั้งผู้บริหารองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนด้านการเกษตร ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน นักวิจัย นักวิชาการ เกษตรกร นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ซึ่งเนคเทคได้ให้ความสำคัญ มีความพยายามพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และเนคเทคไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการสนับสนุนส่งเสริมภาคเกษตรกรรมภายในประเทศมาร่วมเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ

จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” โดยมุ่งเน้นทางด้าน “Digital Technology for Sustainable Agricuture” ที่ทุกหน่วยงานจะได้มาร่วมสร้างและเติมเต็ม Ecosystem ในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลให้เติบโต เพื่อสร้างภาคเกษตรกรรมไทยให้ยั่งยืน จึงได้จับมือร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐ และภาคเอกชน อันได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมพัฒนาที่ดิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน พร้อมด้วยพันธมิตรผู้สนับสนุน ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด,  สมาคมไทยไอโอที และเครือเบทาโกร เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน

ความน่าสนใจภายในงานประกอบด้วย

  • สัมมนาวิชาการ จำนวน 11 หัวข้อ จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย นักวิชาการ กว่า 30 ท่าน ที่จะมาร่วมนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน
  • 6 โซนนิทรรศการผลงานวิจัย จากภาครัฐและเอกชน เพื่อแสดงศักยภาพ และเทคโนโลยีพร้อมใช้ ช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยสู่เกษตร 4.0

และอีกหนึ่งกิจกรรมพิเศษในปีนี้ กับ Open House เปิดบ้าน ให้เยี่ยมชมตัวอย่างแปลงเกษตรสาธิตที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในการดำเนินงานจริง ในพื้นที่สวทช. และบริเวณใกล้เคียง กับ 4 สถานีเพื่อการเรียนรู้ ได้แก่

  • Plant Factory: โรงงานปลูกพืชระบบปิด โดย BIOTEC สวทช.
  • AGRITEC: สวนเกษตรอัจฉริยะ โดย สท. สวทช.
  • NECTEC Smart Garden: ระบบเกษตรแม่นยำ ฟาร์มอัจฉริยะ โดย เนคเทค สวทช.
  • สวนเกษตรในเมือง: อาคารเรียนรู้ป๋วย 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
]]>
เนคเทค สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมเติมเต็ม Ecosystem เทคโนโลยีดิจิทัล สร้างภาคเกษตรไทยยั่งยืน ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการ NECTEC-ACE 2022 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectec-ace-2022-presscon.html Mon, 15 Aug 2022 08:51:41 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=28393

10 สิงหาคม 2565: ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ร่วมกับพันธมิตร จัดงานแถลงข่าว “งานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทค ประจำปี 2565 หรือ NECTEC Annual Conference and Exhibitions 2022 (NECTEC–ACE 2022) ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” จัดแสดงผลงานทางด้านนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการเกษตรยั่งยืน (Digital Technology for Sustainable Agriculture) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8-9 กันยายน 2565 ณ อาคารศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ สัมมนาออนไลน์

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. ให้ความสำคัญและมีความพยายามดำเนินงานผลักดันงานวิจัย/เทคโนโลยีเพื่อภาคการเกษตรมากว่า 10 ปี และยังเป็นหนึ่งใน 8 กลยุทธ์การดำเนินงานแบบมุ่งเป้าที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน นั่นคือ ระบบเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) กับโจทย์หลัก คือ “เราจะนำเทคโนโลยีมาช่วยทำการเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพสูงอย่างไร” ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทาย และเนคเทคไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้เพียงลำพังอย่างแน่นอน ต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนที่ท่านมีภารกิจหลักในการสนับสนุนส่งเสริมภาคเกษตรกรรมภายในประเทศ มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี แหล่งทุนสนับสนุน และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มาเป็นพลังร่วมขับเคลื่อนที่สำคัญ ที่จะสร้างและเติมเต็มให้เกิดระบบนิเวศ (Ecosystem) ให้เติบโต เพื่อสร้างภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืน

จึงเป็นที่มาของการจัดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการเนคเทคในปีนี้  ภายใต้แนวคิด “ฐานรากเทคโนโลยีก้าวไกล พัฒนาไทยก้าวหน้า” โดยมุ่งเน้นด้าน “Digital Technology for Sustainable Agriculture” เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าทางวิชาการ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิจัย นักวิชาการ ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเกษตรยั่งยืน รวมทั้งการนำเสนอองค์ความรู้จากผลงานวิจัยของเนคเทค และผลงานที่ดำเนินงานร่วมกับพันธมิตร ในรูปแบบการสัมมนาวิชาการ และการจัดนิทรรศการ เพื่อแสดงศักยภาพและเทคโนโลยีจากภาครัฐและเอกชนในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับภาคการเกษตร ให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชน องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนด้านการเกษตร นักวิจัย และนักวิชาการ เกษตรกรที่สนใจเทคโนโลยีสำหรับภาคการเกษตร นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 

AEC-Presscon-Q- (1)

ดร.สุรางค์ศรี วาเพชร ผู้อำนวยการกลุ่มภูมิปัญญาท้องถิ่นและนวัตกรรมด้านการเกษตร กองวิจัยและพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ จากหน่วยงานวิจัยเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มปริมาณผลผลิต และคุณภาพสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและยกระดับภาคการเกษตรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่

สำหรับโครงการความร่วมมือส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ และแนวคิด HandySense Open Innovation เป็นความร่วมมือกันเพื่อการช่วยเหลือสนับสนุนทั้งงานวิชาการ (Technical Assistant) แหล่งทุน (Financial Assistant) และการบริหารโครงการร่วมกันของกรมส่งเสริมการเกษตร เนคเทค และ ธ.ก.ส. โดยได้เริ่มดำเนินการทั้งการพัฒนาความรู้และทักษะบุคลากรด้านการเกษตรทั้งเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและเกษตรกรมากกว่า 3,000 คน เพื่อสร้างการรับรู้ ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ HandySense ที่สำคัญได้สร้างแปลงเรียนรู้ต้นแบบระบบบริหารจัดการแปลงเกษตรด้วยระบบเกษตรอัจฉริยะ HandySense พร้อมกับ วิทยากรประจำแปลงเรียนรู้ รวมจำนวน 16 จุด ประกอบด้วยแปลงเรียนรู้ของศูนย์เรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และศูนย์ปฏิบัติการในสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 6 และ 10 จุด ตามลำดับ จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าเกษตรกรตื่นตัวและสนใจการใช้ประโยชน์ของ HandySense ตลอดจนมีประชาชน ข้าราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสนใจและเข้ามาศึกษาดูงานจำนวนมาก ซึ่งในปี 2566 กรมส่งเสริมการเกษตรจะสร้างแปลงเรียนรู้ต้นแบบเพิ่มเติมอีก 29 จุด รวมเป็น 45 จุด ทั่วประเทศ

การจัดงาน NECTEC – ACE 2022 นี้ กรมส่งเสริมการเกษตรก็ได้มีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นหนึ่งในหน่วยงานพันธมิตรที่นำผลงานวิจัยของเนคเทคมาขยายผลสู่การประยุกต์ใช้ของเกษตรกร คือ HandySense และร่วมกันพัฒนาระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย ตลอดจนร่วมจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานของกรมส่งเสริมการเกษตรทั้งการประยุกต์ใช้ HandySense และผลงานส่งเสริมการเกษตรที่มุ่งสู่การเป็น Digital DOAE

AEC-Presscon-Q-6

นายอัธยะ พินจงสกุลดิษฐ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ในอดีตกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานที่ผลิตข้อมูลเป็นหลัก ก่อนจะเข้าสู่การให้ความรู้ ส่งเสริม ถ่ายทอดเทคโนโลยีและข้อมูลดินไปสู่ภายนอก โดยเริ่มต้นในระดับหน่วยงาน และก้าวต่อไปเรื่อย ๆ สู่ระดับตำบล ระดับอำเภอ และจำเพาะมากขึ้นในระดับรายแปลง

ปัจจุบันกรมฯ ได้พัฒนาการให้ข้อมูลในระดับที่มีความละเอียดมากขึ้น และเจาะจงเข้าสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นเกษตรกร ซึ่งกรมฯ กำลังก้าวสู่การให้ข้อมูลดินระดับรายบุคคล ผ่าน “น้องดินดี” เอไอไลน์แชทบอต โดยประชาชนสามารถขอรับการส่งเสริม สนับสนุนข้อมูล และผลิตภัณฑ์จากกรมฯ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ข้อมูลการใช้งานของประชาชนผ่าน “น้องดินดี” จะให้เกิดเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ช่วยวิเคราะห์ความต้องการในระดับบุคคล

นโยบายต่อไปกรมฯ มุ่งสู่การเป็นดินอัจฉริยะที่ข้อมูลต้อง “แม่น & Match” คือ ข้อมูลถูกต้องแม่นยำ และเชื่อมโยงได้ ด้วยข้อมูลของกรมฯ ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ซึ่งมีปริมาณมากกว่าหลักล้านแปลง ข้อมูลในแต่ละแปลงมีความแตกต่างหลากหลาย และมีความผันผวนของข้อมูลในแต่ละวัน ทั้งชนิดของพืชที่ปลูก ข้อมูลพื้นที่ ข้อมูลสภาวะของดิน ข้อมูลการจัดการแปลง เป็นต้น รวมไปถึงข้อมูลเกษตรกรซึ่ง ทั้งปริมาณ ความหลากหลาย และผันผวนของข้อมูลของกรมนี้ฯ เป็นกลไกเริ่มต้นของการนำไปสู่ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่กรมฯ ตั้งเป้าหมายเดินหน้าไปสู่การให้ข้อมูลดินระดับรายบุคคล

สำหรับงาน NECTEC-ACE 2022 ปีนี้ กรมฯ ขอเชิญชวนทุกท่านจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยี “น้องดินดี” ที่เตรียมเชื่อมโยงกับพันธมิตรเพื่อเสริมประสิทธิภาพเทคโนโลยี และนำไปสู่ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ทำให้วงการเกษตรไทยขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน

AEC-Presscon-Q-2

นายเสกสรรค์ จันทร์ขวาง รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กล่าวว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ หรือ ธ.ก.ส. เรามีภารกิจหลักเป็นสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อเกษตรกรมากว่า 50 ปี โดยเราได้เรียนรู้ว่าการสนับสนุนเงินทุนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถที่จะนำพาให้พี่น้องเกษตรกรสำเร็จได้ ซึ่งเงินทุนต้องควบคู่ไปกับองค์ความรู้ในการที่จะเพิ่มพลังประสิทธิภาพการทำเกษตรกรรมได้ ทั้งในการจัดการแปลงเกษตร การแปรรูปผลผลิต และการตลาด

อีก 5 ปีข้างหน้าเรามีวิสัยทัศน์ในการก้าวสู่การเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั้งโลกกำลังเข้าสู่เป็นโลกดิจิทัลทั้งหมด ในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอื่น ๆ สามารถเคลื่อนตัวไปได้ค่อนข้างมาก แต่เรื่องการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในภาคการเกษตรเป็นส่วนน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะในพี่น้องเกษตรกรรายย่อย ซึ่งการขับเคลื่อนให้พี่น้องเกษตรกรใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นโจทย์ท้าทาย ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมกันทำให้เกษตรกรปรับพฤติกรรมจากการเกษตรแบบเดิมมาใช้งานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มปริมาณและคุณภาพของผลผลิต และลดต้นทุน

ในปีนี้ ธกส. จึงทบทวนการทำงานโดยมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยเฉพาะภาคการเกษตรไปให้พี่น้องเกษตรกรได้ใช้อย่างอย่างจริงจัง โดยไม่ทิ้งบทบาทเดิมในเรื่องการสนับสนุนด้านสินเชื่อ ซึ่ง ธกส. จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเติมเต็มระบบนิเวศเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล ภายใต้การทำงาน 3 มิติ ภารกิจแรก คือ การสนับสนุนทุนเพื่อการวิจัยทั้งในส่วนของภาครัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชนที่มีความสนใจเพื่อค้นหางานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องเกษตรกร ภารกิจที่สอง คือ การต่อยอดขยายผลในงานนวัตกรรมต่าง ๆ ที่แต่ละส่วนงานพัฒนา และภารกิจที่สาม คือ การขยายผลเทคโนโลยีนวัตกรรมร่วมกับทั้งศูนย์ของกรมส่งเสริมการเกษตร หรือศูนย์ของส่วนงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้ไปสู่เกษตรกรได้ใช้จริง

AEC-Presscon-Q-3

คุณกรรณิกา ตันติการุณย์ Head of 5G Product & Ecosystem Partner Development บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) AIS มีกลยุทธ์ในการที่เราจะผลักดันในเรื่องของดิจิตอลทรานฟอร์เมชันอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเราก็เป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทั้งโทรศัพท์มือถือ บอร์ดแบรนด์ WiFi คลาวด์ ไอโอที นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย AIS เรายังโฟกัสในเรื่องของการสร้างระบบนิเวศและพันธมิตร โดยเฉพาะในการผลักดัน 5G ไปสู่การใช้งานจริงและสนับสนุนระบบนิเวศดิจิทัลของประเทศไทย รวมถึงการสนับสนุนการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven) ซึ่ง AIS มองว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในเรื่องการนำข้อมูลไปใช้ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรเพื่อที่จะให้บริการได้อย่างมืออาชีพ

สำหรับภาคเกษตรกรรม AIS ต้องขอบคุณ Kubota Farm ที่นำเครือข่าย 5G ไปใช้กับหลาย ๆ บริการที่อยู่ใน Kubota Farm นอกจากนี้ AIS ยังมีแพลตฟอร์มที่ชื่อ “iFarm” ให้บริการ Integrate กับอุปกรณ์ไอโอทีเพื่อที่จะดึงข้อมูลมาประมวลผลให้เกษตรกรใช้เป็นฐานในการวิเคราะห์ทำการเกษตร รวมถึงสามารถควบคุมอุปกรณ์ผ่านตัวแท็บเล็ต พีซี หรือว่าสมาร์ตโฟน ซึ่งเราต้องการจะตอบโจทย์สมาร์ตฟาร์มเมอร์ รวมถึงเกษตรกรสูงวัยที่ต้องการทำการเกษตรต่อไป

นอกจากนี้ AIS ยังโฟกัสในเรื่องของความร่วมมือระหว่างเนคเทค สวทช. ในเรื่องการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทั้งในด้านเครือข่าย 5G 4G 3G WiFi และ NB-IoT และพร้อมให้บริการด้านไอทีสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ของพันธมิตรทุกภาคส่วน รวมถึงการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้โซลูชันเพื่อนำไปพัฒนาบริการ หรือ การวิจัยและพัฒนาร่วมกัน

สำหรับการเติมเต็มระบบนิเวศเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล AIS ในมุมของผู้ให้บริการโซลูชัน เรามีพันธมิตรทั้งที่เป็นบริษัทรวมถึง Startup และยินดีที่จะพัฒนาและทำงานร่วมกันกับภาครัฐ เพื่อร่วมผลักดันเทคโนโลยีดิจิทัลสร้างเกษตรกรรมยั่งยืนร่วมกับเนคเทคและพันธมิตรทุกภาคส่วนต่อไป

AEC-Presscon-Q-4

นายปุณนะ วงศ์ธนาศิริกุล ผู้จัดการฝ่ายขายแทรกเตอร์และเครื่องจักรกลการเกษตร บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า นวัตกรรมมีความสำคัญมากในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการเกษตรกรรม ถ้าเราต้องการแข่งขันต่อไปในตลาดโลกต้องมีการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้วยปัญหาการขาดแคลนแรงงาน คนที่เป็นเกษตรกรอายุมากขึ้นด้วย ฉะนั้นการที่เราใช้จะช่วยเทคโนโลยีต่าง ๆ จะช่วยในเรื่องนี้ด้วย

สยามคูโบต้า เราพยายามพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านดิจิทัลเข้ามาช่วยลดความผันแปรของปัจจัยการเกษตรต่าง ๆ อย่างระบบ KIS (Kubota (Agri) Solutions) เป็นระบบจัดการองค์ความรู้ควบคู่ไปกับเทคโนโลยีการเกษตร เพราะการมีนวัตกรรมเทคโนโลยีอย่างเดียวไม่สามารถการันตีได้ว่าจะทำเกษตรกรได้ดี จำเป็นต้องมีองค์ความรู้ด้วย โดยสยามคูโบต้าร่วมกับหลาย ๆ หน่วยงานในระบบนิเวศทั้งกรมวิชาการ กรมพัฒนาที่ดิน และภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ที่จำเป็นต้องภาคการเกษตร รวมถึงมีหน่วยงานวิจัยและพัฒนาเป็นของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีนำระบบไอโอทีมาใช้ผ่านระบบ KUBOTA intelligence Solutions (KIS) ที่จะเชื่อมต่อกับสินค้าของคูโบต้า ทำให้ทราบข้อมูลประสิทธิภาพการใช้งานของเกษตรกร ระยะเวลาการใช้งาน แจ้งเตือนการการบำรุงรักษาได้

เรายังได้จัดตั้ง Kubota Farm ฟาร์มสร้างประสบการณ์ด้านการเกษตรบนพื้นที่กว่า 220 ไร่ หลาย ๆ ครั้งที่เราแนะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมให้กับเกษตรกร ส่วนใหญ่เกษตรกรจะต้องการสัมผัสประสบการณ์จริง Kubota Farm จึงเป็นฟาร์มแห่งแรกที่จะทำให้เกษตรกรเห็นว่านวัตกรรมภาคการเกษตรนั้นไม่ยาก

นอกจากนี้เรายังร่วมกับเนคเทค สวทช. ในการทำปฏิทินการเพาะปลูก หรือ Crop Calendar เราพยายามจะใช้ข้อมูลดิจิทัลเข้าสนับสนุนการตัดสินใจของเกษตรกรจากที่เคยตัดสินใจตามความรู้สึก เราเชื่อว่าการทำเกษตรโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมต่าง ๆ จะสามารถจะเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย รวมถึงรักษาสิ่งแวดล้อมทำให้เกษตรกรเราเนี่ยสามารถมีรายได้และพัฒนาได้อย่างยั่งยืน

AEC-Presscon-Q-5

งานประชุมวิชาการและนิทรรศการ NECTEC-ACE ปีนี้ เนคเทค สวทช. ได้จับมือร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร, กรมพัฒนาที่ดิน, ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สถาบันการจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร สวทช. เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน พร้อมด้วยพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำ ได้แก่ บริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และสมาคมไทยไอโอที เข้าร่วมให้การสนับสนุนการจัดงาน การประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2565 จัดแบบคู่ขนาน ทั้งแบบ Onsite และ Online ณ ศูนย์ประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สวทช. ปทุมธานี พบกับสัมมนาวิชาการจากวิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิ ชมนิทรรศการผลงานวิจัย ทั้งจากเนคเทค สวทช. และหน่วยงานพันธมิตรที่จะมานำเสนอทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อภาคการเกษตร  

ท่านสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ www.nectec.or.th/ace2022

]]>
นักวิจัยเนคเทค สวทช. ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักวิทยาศาสตร์หญิงจากประเทศไทยไปร่วมแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ในระดับภูมิภาคอาเซียน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/costi-2022.html Fri, 27 May 2022 12:41:49 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=30134

ดร.สุปิยา เจริญศิริวัฒน์ ทีมวิจัยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ (HBA) กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ (DSARG) เนคเทค สวทช. ได้รับเลือกเป็นตัวแทนนักวิทยาศาสตร์หญิงจากประเทศไทยไปร่วมแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในระดับภูมิภาคอาเซียน ประเภท Mid-Career Scientist (อายุต่ำกว่าหรือ เท่ากับ 45 ปี) ภายใต้ธีม Artificial Intelligence (AI) in Health and Safety จากเวทีการแข่งขัน Underwriters Laboratories-ASEAN-U.S. Science Prize for Women 2022 ซึ่งจัดโดย The Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) Committee on Science, Technology, and Innovation (COSTI), the U.S. government through the U.S. Agency for International Development (USAID), and Underwriters Laboratories


Underwriters Laboratories-ASEAN-U.S. Science Prize for Women 2022
มีผู้เข้าแข่งขันจำนวนทั้งสิ้น 56 คน จากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ผู้เข้ารอบจำนวน 13 คน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  • Mid-Career Scientist
  • Senior Scientist

โดยธีมการแข่งขันในปีนี้เป็นเรื่อง Artificial Intelligence (AI) in Health and Safety เพื่อสร้างการรับรู้ความโดดเด่นของผลงานนักวิทยาศาสตร์หญิงในภูมิภาคอาเซียนที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาผลงานวิจัยเพื่อยกระดับสุขภาพและความปลอดภัยของประชากรกว่า 662 ล้านคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก

]]>