IT Digest

Volume 1 No 6 (16 September 2004)
By R&D Strategy Development, NECTEC.
Email: digest@nectec.or.th


A biweekly newsletter from NECTEC to information technology leaders in Thailand.

 

“ดูอัล-คอร์” อนาคตของ “อินเทล”
 
         
"ดูอัลคอร์" (Dual-core) หรือ "มัลติคอร์" (Multicore) เป็นเทคโนโลยีการประมวลผลแบบคู่ขนาน โดยการอาศัยหน่วยประมวลผลอิเล็กทรอนิกส์หลายตัว มาคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนร่วมกัน ซึ่งพัฒนาการล่าสุดของเทคโนโลยีดังกล่าว คือการสร้างชิปที่มีกำลังประมวลผล เทียบเท่าไมโครโพรเซสเซอร์ 2 ตัวขึ้นไป
          อินเทล ได้พยายามที่จะทำให้ “แพ็คเก็จชิป” มีสมรรถนะในการทำงานดีกว่าทำงานแบบแยกส่วนกัน รวมทั้งทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยได้เล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำตลาดแพ็คเก็จชิป เหมือนอย่างที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในเทคโนโลยีเซนทริโน (Centrino) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายในโน้ตบุ๊ค
           นายพอล โอเทลลินี กรรมการผู้จัดการของอินเทล ได้กล่าวถึงเป้าหมายถัดไปของบริษัทฯ ในงานสัมมนานักพัฒนาของอินเทลซึ่งจัดขึ้นที่เมืองซานตา คลาร่า แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2547 ที่ผ่านมาว่า เป้าหมายของบริษัทจะอยู่ที่เครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปตามบ้าน ซึ่งบริษัทจะเปลี่ยนรูปแบบของคอมพิวเตอร์จากเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตมาสู่ความเป็นศูนย์รวมความบันเทิงภายในบ้าน ที่มีทั้งความเร็วและรูปแบบการทำงานใหม่ๆ  บริษัทเชื่อว่าในอนาคตชิปดูอัลคอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการประมวลผลแบบคู่ขนาน
(parallel computing) และมีฟังก์ชันเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย "วายแม็กซ์" (WiMax) จะกลายเป็นกลยุทธ์หลักสำหรับการทำตลาดชิปในอนาคตของบริษัท โดยที่บริษัทได้ยกเลิกแผนการพัฒนาที่จะเพิ่มความเร็วการประมวลผลรอบเข็มนาฬิกาในชิปรุ่น Pentium 4 ลง  พร้อมกันนี้ นายพอล ได้นำแผ่นเวเฟอร์ที่ประกอบด้วยหน่วยประมวลผลแบบดูอัลคอร์มาโชว์ภายในงานด้วย
           ในช่วงปี
2548 อินเทลจะเปิดตัวและวางจำหน่ายชิปดูอัลคอร์ สำหรับคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Server) เดสก์ทอป และโน๊ตบุ๊ค โดยคาดว่าในปี 2549 จะมีชิปประเภทนี้ในตลาด 50% ของชิปทั้งหมด รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปประเภทนี้มากขึ้น โดย “ดูอัลคอร์” จะเป็นเครื่องเพิ่มสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำให้สามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เช่น ดูวีดีโอไปพร้อมๆ กับการท่องเว็ปไซต์  ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2549 ชิปเดสก์ทอปที่บริษัทจะนำออกวางจำหน่าย จะเป็นผลิตภัณฑ์ดูอัลคอร์อย่างน้อย 40% ขณะที่ชิปสำหรับคอมพิวเตอร์แม่ข่ายจะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวประมาณ 85% และชิปสำหรับโน๊ตบุ๊คประมาณ 70%   นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนเอาไว้ว่าในปี 2549 เป็นต้นไปจะติดตั้งฟังก์ชันเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย "วายแม็กซ์" ลงในชิปโน้ตบุ๊ค ซึ่งปัจจุบันวางจำหน่ายภายใต้ชื่อ “Centrino” โดยเชื่อว่าในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีการติดตั้งจุดเชื่อมต่อวายแม็กซ์ครอบคลุมมากขึ้นแล้ว 

 

ที่มา : https://news.com.com/For+Intel%2C+the+future+has+two+cores/2100-1006_3-5349121.html?tag=default

เตือนให้ระวังภัยจาก “สปายแวร์”

           

สปายแวร์เป็นโปรแกรมประเภทหนึ่งที่เกาะติดไปกับโปรแกรม ข้อมูล เพลงที่ดาวน์โหลดฟรีตามเว็บไซต์ต่างๆ และแถมมากับโปรแกรมอื่นๆ ซึ่งหากมีพฤติกรรมในการลงโปรแกรมโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดให้ดีก็จะมีโปรแกรมพวกนี้แถมลงไปด้วย บางครั้งการค้นหาข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตอาจทำให้เกิดช่องทางหรือทิ้งร่องรอยให้สปายแวร์ถูกติดตั้งลงเครื่องทันทีโดยผู้ใช้หรือเจ้าของไม่รู้ตัว เช่น ขณะค้นหาข้อมูลอยู่เกิดการเปิดหน้าเว็บไซต์ที่โฆษณาขึ้นมา  ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการดูโฆษณานั้นๆ และเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของปัญหาที่เกิดกับคอมพิวเตอร์ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   สปายแวร์ที่ถูกติดตั้งลงไปในเครื่องนอกจากจะเป็นสาเหตุให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงหรือหยุดชะงักแล้ว  บางครั้งยังทำหน้าที่เฝ้าดูการทำงานของเครื่อง  ล้วงข้อมูลส่วนบุคคลและสามารถดึงเอาพฤติกรรมการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของเครื่องหรือผู้ใช้งานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น ขโมยรหัสผ่านบัญชีเงินฝาก   หมายเลขบัตรเครดิตหรือหมายเลขบัตรประชาชนของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ออกไปยังคนภายนอก  สปายแวร์ไม่เหมือนกับไวรัสคอมพิวเตอร์   ดังนั้น แม้เครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกติดตั้งโปรแกรมสปายแวร์ไปแล้ว  ผู้ใช้หรือเจ้าของก็จะไม่ทราบ  เนื่องจากสปายแวร์ไม่ได้ทำให้ระบบปฏิบัติการหรือแอพพลิเคชั่นเสียหายแต่สามารถทำให้เกิดความรำคาญและสร้างปัญหาได้หากสปายแวร์เข้าไปล้วงความลับและนำข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ออกไปยังคนนอก 
            จากการสำรวจในกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
(Broadband Internet) ประมาณร้อยละ 91 ถูกติดตั้งโปรแกรมสปายแวร์โดยไม่รู้ตัว และจากการสำรวจเรื่องสปายแวร์ของเอ็นซีซีกรุ๊ป ประเทศอังกฤษ พบว่ามีโบรกเกอร์ด้านการลงทุนแห่งหนึ่งต้องสูญเสียเงินมากกว่า 22,700 ยูโรเมื่อได้ติดตั้งโปรแกรมด้านการวิเคราะห์การตลาด ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นสบายแวร์ที่นำรายละเอียดบัญชีของเขาออกไปให้กับบุคคลภายนอก ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ด้านการรักษาความปลอดภัย ระบุว่ามีโปรแกรมมากกว่า 75,000 โปรแกรมที่เป็นสปายแวร์   โดยโปรแกรมเหล่านี้สามารถดึงข้อมูลส่วนบุคคลออกไปให้บุคคลภายนอกได้  สำหรับผลเสียหายของสปายแวร์อาจจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับโปรแกรมสปายแวร์ที่ถูกติดตั้งมาไว้ในเครื่อง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีใครสามารถระบุความเสียหายที่มาจากสปายแวร์ได้อย่างชัดเจน
            วิธีตรวจสอบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ได้รับการติดตั้งสปายแวร์หรือไม่นั้น  ผู้ใช้สามารถสังเกตได้จากบราวเซอร์อินเทอร์เน็ตว่ามีเมนูคำสั่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หรือสังเกตจากขณะเข้าเว็บไซต์ที่ต้องการแต่กลับไปอีกเว็บไซต์หนึ่งซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายสินค้า หรือมีเว็บไซต์ที่เป็นโฆษณาขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา 
            ส่วนวิธีการป้องกันโปรแกรมดังกล่าวนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ควรดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตแปลกๆ มาลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้น ยังควรติดตั้งเครื่องมือในการตรวจสอบหรือค้นหาและกำจัดสปายแวร์ เช่น
Ad-Aware, Spybot – Search & Destroy  และ SpySweeper  สำหรับโปรแกรม Ad-Aware สามารถดาวน์โหลดได้ที่ URL: https://www.lavasoft.de
            สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น
Microsoft ก็เริ่มสนใจที่จะเข้าสู่ตลาดซอฟต์แวร์ที่ป้องกันการโจมตีหรือคุกคามจากหนอนคอมพิวเตอร์  ไวรัส  และสปายแวร์แล้วเช่นกัน  โดยล่าสุดเมื่อเดือนสิิงหาคม 2547 ไมโครซอฟท์ออกผลิตภัณฑ์แอนตี้ไวรัส “Windows XP Service Pack 2 หรือ SP 2”  โดยมุ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงและเตือนภัยก่อนที่ระบบคอมพิวเตอร์จะถูกโจมตีหรือถูกคุกคาม  แต่อย่างไรก็ตาม SP 2 นี้ยังมีข้อบกพร่องบางประการ (Bugs) เนื่องจาก SP 2 นั้นอาจไม่สามารถทำงานร่วมกับโปรแกรมบางประเภทได้ (Compatibility problems)

 

ที่มา : https://www.informationweek.com/story/showArticle.jhtml?articleID=46800035
     https://www.manager.co.th/asp-bin/mgrView.asp?NewsID=9470000029503
https://washingtonpost.com

 

ความน่าสนใจของ  ENUM

           

นับจากที่นาย Patrik Falstorm  วิศวกรชาวสวีเดนจากบริษัท Cisco  Systems, Inc  ได้นำเสนอระบบมาตรฐานใหม่ของเทคโนโลยีการสื่อสารในชื่อ Electronic Numbering System หรือ ENUM โดยพัฒนาโปรโทคอลที่นำหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้งานกันอยู่ทุกวันมาผสานเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และได้รับการอนุมัติจาก IETF หรือ  Internet Engineering Task Force เมื่อปี 2000 
            ขณะนี้ หลายๆ ประเทศได้มีการเคลื่อนไหวและเริ่มทดลองใช้  โดยประเทศที่จริงจังกับเรื่องนี้ที่เด่นชัด  คือ ญี่ปุ่น  ซึ่งได้จัดตั้งหน่วยงานชื่อ
ETJP (ENUM Trial Japan) ขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2546 เพื่อศึกษาและทดลองการนำเทคโนโลยี ENUM มาใช้ในประเทศ   โดยทาง ETJP ได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้น 2 ชุด คือ  คณะทำงานด้าน Domain Name System (DNS)  และคณะทำงานด้านสิทธิและความปลอดภัย  ทั้งนี้ได้แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ  โดยคาดจะใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ปี ทั้งนี้  เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวโครงการความร่วมมือในชื่อ 
Asia Pacific ENUM Engineering Team (APEET)  เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา ENUM ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกขึ้น โดยประกอบด้วยความร่วมมือของสมาชิกของหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องโดเมนเนมจาก  5 ประเทศ คือ China Network Information Center (CNNIC), Korea Network Information Center(KRNIC), Singapore Network Information Center (SGNIC), Taiwan  Network Information  and  Japan Registry Service  ทางด้านภูมิภาคยุโรปเองนั้น   ล่าสุด  รัฐบาลอังกฤษกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ ENUM  โดยได้มีการประชุมพิจารณาหารือในเรื่องนี้  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทุกฝ่ายร่วมแสดงความคิดเห็นต่อการดำเนินโครงการนี้ในประเทศอังกฤษ    
           
ENUM  เป็นการรวมหมายเลขโทรศัพท์กับไอพีแอดเดรส โดยอาศัยหลักเกณฑ์สถาปัตยกรรมเดียวกันกับระบบชื่อโดเมนเนม (Domain Name System- DNS) ในการเชื่อมโยงหมายเลขโทรศัพท์ให้เป็นโดเมนเนมแอดเดรส   ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น และหากโครงการนี้ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ ENUM ก็จะรวมเครือข่ายไอที หรือ IP Network  และเครือข่ายโทรศัพท์ PSTN (Public Switched Telephone Network) เข้าด้วยกัน  ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นบนอินเทอร์เน็ตผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ได้  
           ทั้งนี้ หมายเลขโทรศัพท์จะถูกแปลงออกเป็นไอพีแอดเดรสในขั้นตอนต่างๆ  คือ การเพิ่มรหัสพื้นที่และรหัสประเทศลงไป  จากนั้นจะลบเครื่องหมายอื่นๆ และช่องว่างออก  และจัดเรียงตัวเลขใหม่จากหลังมาหน้า  และใส่เครื่องหมายจุดระหว่างตัวเลขแต่ละตัว  และสุดท้ายคือ เติมคำว่า
“e164.arpa” ลงในตอนท้าย  ตัวอย่างเช่น  โทรศัพท์มือถือหมายเลข (+44)07879 999999  จะถูกแปลงเป็น 9.9.9.9.9.9.9.7.8.7.4.4.e164.arpa
           ซึ่งผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสามารถติดต่อมายังหมายเลข
ENUM นี้  ในหลายหลากวิธี  คือ สามารถใช้ได้ทั้งบริการอีเมล์  บริการส่งข้อความอื่นๆ หรือส่งเป็นเสียง  การเข้าสู่เว็บเพจ หรือจะใช้เป็นโทรศัพท์ธรรมดา  รวมไปถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตแอพพลิเคชั่นในการฟังเพลงออนไลน์ด้วยโทรศัพท์ อย่างไรก็ดี  ยังมีประเด็นที่เป็นปัญหาในแง่ของผู้บริโภค คือ  ความสามารถในการอัปเดทหมายเลข ENUM ของตัวเองหรือปัญหาของการส่งสแปมเมล์ซึ่งอาจใช้ช่องทางหมายเลข ENUM โดยยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ชัดเจนในเรื่องนี้ 
            แต่ทั้งนี้ บริษัทผู้ประกอบการรายใหญ่ทางด้านโทรคมนาคม  เช่น 
AT&T, Nortel, Cisco และ Lucent  ต่างขานรับเทคโนโลยีนี้โดยพัฒนาอุปกรณ์และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ENUM  ออกสู่ตลาดโดยทั่วหน้าแล้ว  และจากการที่หลายๆ ประเทศให้ความสนใจและตื่นตัวโดยมีการผลักดันเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจน   จึงนับเป็นอีกเทคโนโลยีที่เราควรติดตามและให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด             

 

ที่มา : https://neasia.nikkeibp.com/wcs/leaf/CID/onair/asabt/intvw/326011
        https://news.zdnet.co.uk/communications/networks/0,39020345,39164222,00.htm

 

IT Digest เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่จัดทำขึ้นเผยแพร่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หากท่านสนใจเป็นสมาชิก หรืออ่านบทความย้อนหลัง โปรดติดต่อเราได้ที่เว็บไซต์  https://digest.nectec.or.th/ (อยู่ระหว่างจัดทำ)
ที่ปรึกษา: ทวีศักดิ์ กออนันตกูล และ ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล   บรรณาธิการบริหาร: กัลยา อุดมวิทิต
กองบรรณาธิการ: ถวิดา มิตรพันธ์, รัชราพร นีรนาทรังสรรค์, จิราภรณ์  แจ่มชัดใจ, พรรณี  พนิตประชา, อภิญญา  กมลสุข  และ จินตนา พัฒนาธรชัย 
สงวนลิขสิทธิ์ (c) 2547 โดยเนคเทค