เรื่องเล่าจากดาวดวงหนึ่ง



เรื่องราวนี้เกิดบนโลกแห่งหนึ่ง เด็กน้องถูกทอดทิ้งให้อยู่บนโลกตามลำพัง พร้อมกับคำสอนของพ่อก่อนตายจากไปว่า “เจ้าจงเพาะปลูกต้นข้าวให้งอกงาม รดน้ำพรวนดินอย่างสม่ำเสมอ และรู้จักแบ่งปันผลผลิตให้แก่เพื่อของเจ้า” พ่อยังบอกอีกว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะมาอยู่ที่ซีกโลกอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองพูดจาคนละภาษา จึงต้องพยายามเข้าใจกัน มีความรักความเมตตา เพื่อให้โลกสันติ พร้อมกับคำสอนอันเป็นพินัยกรรมล้ำค่า พ่อยื่นถุงผ้าให้ถุงหนึ่ง และบอกเป็นปริศนาว่า “ทรัพย์นั้นอยู่ใต้โลก” หลังฝังศพพ่อ เด็กชายครุ่นคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ ดังนั้น แทนปล่อยเวลาให้สูญไปโดยไร้ประโยชน์ เขาเริ่มสำรวจโลกของเขาเองก่อน เด็กชายพบว่าซีกโลกด้านหนึ่งมีต้นไม้ ลำธาร เนินดิน เนินทราย ส่วนซีกโลกอีกด้านหนึ่งมีแต่ที่โล่ง พื้นดินแข็งกระด้าง ฝุ่นทราย แต่บนเนินทรายแห่งหนึ่งมีโต๊ะเก้าอี้เก้าชุดหนึ่งวางไว้ บนโต๊ะมีแฟ้มกระดาษ ขวดหมึก ปากกา เด็กน้อยจึงนั่งลงที่โต๊ะ แต่ละคืนบันทึกเรื่องราวของแผนดิน ผืนฟ้า สายน้ำ และความทรงจำลงบนแผ่นกระดาษเป็นประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และบทกวี
เมื่อเด็กชายนึกถึงที่พ่อให้ก่อนตายขึ้นมาได้ เขารีบกลับไปหาถุงผ้านั้น พบว่าในถุงผ้ามีเม็ดขาวเปลือกอยู่เต็ม เด็กชายดีใจที่พบจุดหมายที่จะสร้างโลกให้มีคุณค่า เขาแบ่งข้าวเปลือกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกไว้ปลูก ส่วนที่สองไว้กิน ส่วนที่สามไว้เผื่อฉุกเฉิน เด็กชายปลูกข้าวแล้วรอดูต้นข้าวงอกพ้นพื้นดิน หลายวันผ่านไปต้นข้าวยังไม่งอก เด็กชายจึงกลับไปเปิดบันทึกและพบคำว่า “รดน้ำพรวนดิน” เด็กชายจึงนำข้าวส่วนที่เก็บไว้เผื่อฉุกเฉินมาปลูกใหม่ พร้อมทั้งรดน้ำดูแลอย่างเอาใจใส่ ในที่สุดต้นข้าวก็งอกงาม เติบโตจนออกรวง เด็กชายจึงขยายการปลูกข้าวไปทั่วซีกโลกด้านอุดมสมบูรณ์
เด็กชายทำการสำรวจซีกโลกด้านแห้งแล้งอีกครั้ง และตั้งใจว่าเขาจะทำให้ซีกโลกด้านนี้เขียว ชอุ่มเช่นซีกโลกอีกด้าน เขาวางแผนขนดินจากซีกโลกด้านสมบูรณ์มาปนกับทรายในซีกด้านแห้งแล้ง และขนทรายจากซีกโลกด้านหนึ่งกลับไปป่นกับดินในซีกโลกอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้ดินอุดมทั่วกันทั้งโลก สามารถปลูกข้าวได้
เด็กชายพบเด็กชายอีกคนหนึ่งที่โต๊ะเก้าอี้บนเนินทราย ทั้งสองตกลงเป็นพี่น้องกัน เด็กชายคนแรกเป็นพี่ เด็กชายผู้ที่มาทีกลังเป็นน้อง เด็กชายคนน้องต้องการเดินทางไปยังดาวดวงอื่น เพราะเขาต้องการมีโลกของเขาเอง แต่เด็กชายผู้พี่ชักชวนให้คนน้องช่วยกันสร้างโลกให้อุดมสมบูรณ์ ให้เป็นโลกของทั้งสองคน ทั้งสองช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าว แล้วช่วยกันขยายพื้นที่นาข้าวไปยังซีกโลกทะเลทราย โดยขนดินอุดมไปปนกับทรายที่แห้งแล้ง จนในที่สุดแผ่นดินก็เขียวชอุ่มไปทั่วด้วยทุ่งข้าวที่งอกงามอย่างอุดมสมบูรณ์
เด็กน้อยสองคนเริ่มมีความคิดแตกแยกกันเรื่องการสร้างยุ้งเก็บข้าว คนพี่ต้องการให้มียุ้งแห่งเดียว คนน้องต้องการแบ่งข้าวคนละยุ้ง เมื่อคนพี่ยืนยันสร้างยุ้งข้าวแห่งเดียวเพื่อดูแลผลประโยชน์ร่วมกัน คนน้องขัดใจ หนีหายไปอยู่ซีกโลกด้านแห้งแล้ง เด็กชายคนพี่ไม่อยากให้คนน้องโกรธจึงตกลงยินยอมสร้างยุ้ง 2 แห่ง แบ่งกันดูแลโดยเด็ดขาดตามความประสงค์ และยอมเขียนหนังสือสัญญาให้คนน้องถือไว้ หลังจากนั้น คนน้องก็ใช้จดหมายเขียนเรียกร้องผลประโยชน์ ตั้งข้อแม้หรือมีข้อเสนอเรื่องต่างๆตลอดเวลา ทั้งสองเริ่มสื่อสารกันคนละวิธี ฝ่ายพี่ใช้ภาษาพูด ฝ่ายน้องใช้ภาษาเขียน ความขัดแย้งเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลต่อผลผลิต การทำงาน และด้านจิตใจ ในที่สุดคนน้องกั้นรั้วลวดหนามแบ่งอาณาเขต พร้อมทั้งติดประกาศยื่นข้อเสนอ 4 ข้อ มีใจความว่า ต้องการการเปลี่ยนแปลงขนบประเพณีดั่งเดิม (การเคารพศพพ่อและความสัมพันธ์แบบพี่น้อง) ไปสู่การมีอิสรภาพ เสรีภาพ และอำนาจในการตัดสินใจ รวมทั้งการแบ่งปีนผลประโยชน์
เด็กชายผู้พี่ปวดร้าวด้วยความทุกข์ใจ ในที่สุดเขาเสนอว่ายินดีมอบผลผลิและอำนาจในการดำเนินงานทุกอย่างแก่เด็กชายผู้น้อง เพื่อให้โลกเป็นหนึ่งเดียว เหมือนดังคำที่พ่อบอกไว้ “เขาก็ต้องการให้โลกเป็นหนึ่งเหมือนที่เจ้าต้องการ เขาจะพูดสำเนียงที่เจ้าไม่เข้าใจ เจ้าต้องพยายามเข้าใจเขาเพื่อให้ดาวดวงนี้มีสันติ จงเพาะปลูกความรักให้เติบโตดังเช่นต้นข้าว จงสร้างเมตตาให้เหมือนเจ้ารดน้ำ และจงอุทิศทุกอย่างให้เขาด้วยใจเหมือนเจ้าพรวนดิน” แต่เด็กชายคนน้องซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดระแวงกกลับยื่นข้อเสนอให้เด็กชายผู้พี่อพยพออกจากโลก ไปอยู่ที่ดาวดวงอื่น เด็กชายผู้พี่รู้สึกสิ้นหวังที่จะสร้างโลกให้มีสันติสุข หลังจากนอนซมด้วยความระทมทุกข์อยู่หลายวัน เขาออกสำรวจซีกโลกของเขา และพบเหตุการณ์ที่ทำให้ตระหนกตกใจอย่างยิ่ง นั่นคือ ต้นลำธารถูกกั้นเส้นทางให้น้ำไหลไปสู่ด้านทะเลทราย ทำให้นาแล้ง ต้นข้าวตายหมดผืนดินบนซีกโลกของเขากำลังกลายเป็นทะเลทราย เด็กชายจึงท้อแท้หมดหวัง ณ หลุมศพของพ่อ เขารำลึกได้ถึงคำพ่อว่า “ทรัพย์นั้นอยู่ใต้โลก” เขาจึงตั้งหน้าตั้งตาพลิกฟื้นผืนดินอีกครั้ง เขาขุดพบทองแท่งสุกปลั่ง จึงคิดว่าทรัพย์ล้ำค่านี้จะช่วยลบล้างความร้าวฉานและสมานไมตรี ให้เขาและน้องชายได้อีกครั้ง เขานำทองไปให้เด็กชายผู้น้อง แต่ความหวังที่จะกลับมาเป้นพี่น้องรักใคร่ให้ความร่วมมือกันเหมือนเดินไม่สำเร้จ เขากลับไปด้วยความโกรธและเสียใจ พร้อมรับคำท้าของน้องชายในการแข่งขนขุดทองจากซีกโลกของตน ทั้งๆที่ไม่เข้าใจว่าจะแข่งขันกนไปเพื่อประโยชน์อะไร เด็กชายทั้งสองคนต่างขุดทะลวงผืนดินในซีกโลกของตน ลึกลงไป ลงไปทุกที จนในที่สุดโลกปริแตกเป็นสองซีกลอยแยกจากกันไปคนละสุดขอบฟ้า
เด็กชายรีบกระโดดคว้าดวงดาวที่ลอยมาใกล้ที่สุด แต่แล้วเขาต้องเข่าอ่อน จนต้องทรุดตัวลงนั่งเมื่อพบว่าดาวดวงใหม่ของเขาก็มีทุกอย่างคล้ายกับโลกที่เขาและเด็กชายผู้น้องเพิ่งทำลายแตกแยกไปไม่นานมานี้




โดย : นางสาว Laddawan Meegul, คลองหลวง ปทุมธานี 13180, วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545