โรคจิตสลายในสังคมสติแตก


ชายไทยร้อนวิชาเข้าขั้น ถึงขนาดขึ้นไปบนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ท่ามกลางความร้อนของเปลวแดด ยิ่งเห็นบรรดาไทยมุงประกอบด้วยสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวกันอย่างใจจดใจจ่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ นักจิตวิทยามือโปรช่วยกล่อมคนสติแตก แถมผู้คนที่อยากรู้เรื่องราวความเป็นไป ชายผู้นั้นก็ยิ่งออกฤทธิ์ออกเดชมากเข้าไปอีก กว่าจะเจรจาให้ลงมาได้ พานรัฐธรรมนูญก็หายไปแล้ว ชายผู้บ้าคลั่งใช้ฆ้อนทุบทิ้งอย่างเมามัน กรุงเทพมหานครคงต้องเสียเงินซ่อมแซมไม่น้อย
สามีขี้โมโหตามง้อขอคืนดีกับภรรยาไม่เป็นที่ตกลง ฝ่ายชายใช้มีดสับร่างหญิงสาวที่ตัวบอกว่ารักสุดหัวใจจนไม่อาจจะมีชีวิตต่อไปได้ถ้าไม่มีเธอ เสร็จสรรพกระโดดลงไปให้เครื่องจักรย่อยร่างตัวเอง กว่าจะช่วยขึ้นมาได้ร่างกายก็แหลกเหลวไปครึ่งร่าง เสียชีวิตอย่างน่าเวทนา
เด็กหญิงวัย 14 ก่อคดีฆ่าเด็กชาย-หญิงสองพี่น้องในห้องน้ำสาธารณะด้วยอารมณ์โกรธแค้นชั่ววูบ เหตุเพียงเพราะเด็กผู้ตายเอาเหล็กแหลมไปขูดม้าเด็กเล่นของหลานชาย เด็กหญิงมือฆาตกรรัดคอเด็กสองพี่น้องแล้วจับกดน้ำจนตายอย่างเหี้ยมเกรียมชนิดยากจะเชื่อว่าเด็กวัยนี้จะมีจิตใจฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ผลการสอบสวนพบภูมิหลังของเด็ก เป็นคนอารมณ์ร้ายเพราะเคยไปเป็นพยานในคดีลอบวางเพลิงและถูกผู้จ้างวานจับตัวไปมัดมือมัดเท้า จับกดน้ำหวังฆ่าให้ตายแต่รอดชีวิตกลับมาได้
เพียงตัวอย่างคดีที่เกิดขึ้น และเป็นข่าวครึกโครม ยังไม่นับการกระทำอีกมากมายที่บ่งบอกให้เราประเมินถึงภาวะของสังคมไทยได้เป็นอย่างดีว่า ยอดของคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองให้อยู่กับร่องกับรอยจนไปก่อความเดือนร้อนให้ผู้อื่นนั้น สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว และ
มันช่างน่ากลัวสักเพียงใดที่เราต้องอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ โดยไม่มีวันรู้ว่าวันดีคืนดีจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาและตกเป็นเหยื่อเข้า ที่น่าเจ็บปวดก็คือครอบครัวของผู้ที่ต้องสูญเสียจากเงื้อมมือของคนสติแตกเหล่านี้ไม่สามารถรับการชดเชยใดๆ เพราะกฎหมายไม่อาจเอาผิดกับคนที่ทำอะไรลงไปโดยปราศจากสติสัมปชัญญะ ปัญหาก็คือทำอย่างไรเราจะมีความมั่นคงทางจิตใจและมีปลอดภัยในชีวิตท่ามกลางสังคมที่มีผู้คนสติแตกนี้ได้
ความจริงสิ่งที่เราควรตะหนักก็คือ ทุกวันนี้โอกาสที่แต่ละคนจะเป็นโรคจิตสลายนั้นมีได้มากเหลือเกิน ลองสำรวจตัวเองดูก่อนก็ได้ว่า เรา……
1. รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเหมือนมอดไหม้ไปหมดทั้งตัวหรือไม่
2. มีอะไรผิดปกติไปบ้างไหมในความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนรอบๆตัว
3. อะไรๆที่เคยทุ่มเทเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น บัดนี้กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอีกต่อไปหรือเปล่า
4. ลูกๆดูไม่มีความสุขและห่างเหินไปหรือไม่
5. เพื่อนร่วมงานหลีกหนีไม่อยากคบหาใช่ไหม
6.งานที่ทำกลายเป็นงานที่เคร่งเครียดยุ่งเหยิงน่าเบื่อหรือเปล่า
7.เริ่มจะเสาะแสวงหาหนทางใหม่ที่เสี่ยงเพื่อจะนำความรู้สึกมีชิวิตชีวากลับมา
8.นึกอยากจะเก็บของเสียให้หมดแล้ววิ่งหนีไป หรือเปล่า
ถ้าใช่ แม้เพียงข้อเดียว แสดงว่ามีสัญญาณ ที่จะตกอยู่ในภาวะจิตสลายแล้ว
อาการของคนจิตสลายจะเริ่มจากความเหนื่อยอ่อน หมดเรี่ยวหมดแรง เริ่มแยกตัวออกจากคนอื่น เฉยเมย มึนชา ห่างเหิน ความรู้สึกตายด้าน เบื่อหน่าย ชอบพูดจาประชดประชัน ใจร้อน ขี้หงุดหงิด ความไม่อดทนจะเกิดขึ้นและเพิ่มมากขึ้น จะรู้สึกรำคาญทุกคนที่อยู่รอบข้าง คนจิตสลายจะโทษแต่คนอื่น มีความรู้สึกว่าตนเองเก่งเหลือหลาย ชอบพูดเกินความจริงซึ่งเกือบจะเข้าขั้นหลงตัวเอง หวาดระแวงว่าตนจะไม่ได้รับการยกย่องจากผู้อื่น รู้สึกว่าถูกรังแกและถูกทำร้าย เมื่ออาการจิตสลายเพิ่มขึ้น จะรู้สึกแปลกและแยกตัวจากสังคม มีอาการใจลอย สลดหดหู่ จ้องมองไปในความว่างเปล่าหรืออาจนอนได้ทั้งวัน ไม่อยากอาหาร ไม่มีความปรารถนาในเรื่องเพศ ชีวิตดูเหมือนไร้ความหมาย และอาจฆ่าตัวตายได้
ท่ามกลางโรคจิตสลายและอาการสติแตกที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในสังคมไทยทุกระดับ วิธีที่ป้องกันไม่ให้ตัวเราต้องติดโรคนี้เหมือนคนอื่นนั้นคงมีอยู่บ้าง นายแพทย์วิทุร แสงสิงแก้ว อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข เคยกรุณาให้คำแนะนำผู้เขียนไว้ ดังนี้
1. พยายามสร้างความสมดุลระหว่างตัวเรากับสังคม เราต้องทำตัวให้แข็งแรงขึ้น สร้างภูมิคุ้มกันอาการจิตสลายด้วยการเรียนรู้ว่าโลกย่อมเป็นไปอย่างที่มันเป็นอยู่ เราอาจต้องสูญเสียอุดมคติ เราอาจจะต้องลดหย่อนมาตรฐานในงานลงบ้าง แต่เราจะมีความสงบในจิตใจ และนั่นคือความสุขใจ ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้เราได้
2. รู้จักที่จะสื่อสารกับใครๆอย่างเหมาะสม พูดในสิ่งที่ตนเองคิดให้ได้ เพื่อคนอื่นจะได้เข้าใจความรู้สึกของเรา การได้เจรจาพาที พูดคุยเป็นวิธีง่ายๆในการคลี่คลายปัญหา
3. รู้จักฟังอย่างตั้งใจและเข้าใจ เป็นนักฟังที่ดี นักฟังที่ดีเหมือนผู้มีเวทมนตร์ สามารถทำให้คนอื่นๆรู้สึกดีขึ้นและมีค่าขึ้น เรื่องนี้ตรงกับความคิดเห็นของเมน จอห์นสัน นักเขียนและนักปรัชญาอังกฤษที่กล่าวว่า การสนทนาที่ดีคือการแลกเปลี่ยนการตอบสนองคำพูดของกันและกัน ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม การสนทนาอย่างมีความสุขคือ ไม่มีการชิงดีชิงเด่น มีสาระ เป็นไปอย่างสงบ ถ้อยทีถ้อยอาศัยและจริงใจในทุกเรื่อง

กลยุทธ 3 ข้อ นี้ใช้ได้ผลมาแล้ว ในทุกสถานการณ์ ทำให้โรคจิตสลายบรรเทาลงจริง แม้บางคนจะไม่หายขาด แต่ก็พอจะเจือให้รวมเป็นสังคมที่จางจากอาการสติแตก พอได้มองเห็นจิตสว่างสู่สังคมที่จะมีอะไรๆให้สร้างสรรค์ได้บ้าง.

ขอขอบคุณ จุฬาพิช มณีวงศ์ เจ้าของคอลัมภ์ “คิด… เห็น… ประเด็นข่าว” แห่งวารสารขวัญเรือนผู้ให้ข้อคิดและคำแนะนำ



โดย : นาง พรรณี ชุติวัฒนธาดา, โรงเรียนศรีพฤฒา, วันที่ 1 เมษายน 2545