กำเนิดตรีมูรติ

ตรีมูรติคือเทพสูงสุด 3 องค์ของศาสนาฮินดูคือพระศิวะ พระนารายณ์ และพระพรหม เมื่อก่อนที่จะมี พระศิวะนั้น ในจักรวาลมีแต่ความมืดและว่างเปล่า ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน มีเพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏ คือ สัตพรหมณ์เป็นโยคีผู้เป็นอมตะ เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีเริ่มต้นและสิ้นสุดหรือดับสูญ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นที่รวมแห่งสรรพปัญญาและความรู้ทั้งมวล แต่ไม่มีรูปร่าง มีแต่ความปรารถนาที่จะสร้างสิ่งทั้งหลายขึ้นมา จึงบังเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมาจากพลังงานและอำนาจของความรู้และปัญญาที่มีอยู่ ล่องลอยไปทุกหนทุกแห่ง มองเห็นได้ รูปร่างนี้เป็นจุดกำเนิดของสิ่งทั้งหลายที่จะเกิดตามมาภายหลัง เป็นรูปร่าง ในสภาวะจิต เป็นพรหมสูงสุด บรรดานักปราชญ์ และฤๅษีในสมัยโบราณได้ขนานนามรูปร่างนี้ว่า พระศิวะ จากนั้นพระศิวะได้สร้างสิ่งต่างๆให้เกิดตามมา โดยการแบ่งภาคมาจากพระองค์เอง โดยให้เกิดเป็นหญิงคือนางอุมาเทวี ซึ่งเป็นมารดาแห่งเทพทั้ง 3 คือ พระวิษณุ พระพรหม และพระศิวะ มีพระศิวะเป็นเทพสูงสุด และได้สร้างศิวะโลกเพื่อเป็นที่ประทับ เมื่อสร้างสิ่งต่างๆแล้ว พระองค์จำเป็นต้องมีการคุ้มครองสิ่งเหล่านั้น และทำลาย สิ่งที่ไม่ดีออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่ดี พระองค์จึงทรงหลั่งน้ำอำมฤตลงบนซีกด้านซ้าย และเกิดชีวิตใหม่ขึ้นมา และประทานนามให้ว่าพระวิษณุ(หรือพระนารายณ์ แปลว่า ผู้มีแผ่นน้ำเป็นที่อาศัย เนื่องจากพระวิษณุลงไป พักผ่อน อยู่ในน้ำ) โดยให้มีหน้าที่คอยคุ้มครองรักษาสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา แล้วพระองค์ก็จะ เปลี่ยนเป็น พระผู้ทำลาย คือทำลายสรรพสิ่งที่ไม่ดี แก้ไขไม่ได้ โดยมีดวงตาที่ 3 อยู่บนหน้าผากซึ่งปิดสนิท ถ้าลืมตาขึ้นมาก็ จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญทุกสิ่งในขณะที่พระวิษณุบรรทมอยู่ในน้ำ ก็ได้เกิดมีดอกบัวผุดออกมาจากสะดือ ซึ่งเป็นพระบัญชาของพระศิวะ และ พระศิวะได้หลั่งน้ำอำมฤตลงบนซีกขวาเพื่อให้ได้ชีวิตใหม่คือ พระพรหม และใส่ไว้ในดอกบัวนั้น พระพรหม หรือพระผู้เกิดมาจากดอกบัว ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาได้อย่างไร และใครเป็นผู้สร้าง เมื่อออกมาจากดอกบัวแล้ว ได้เขย่า ดอกบัวจึงบังเกิดเป็นมนุษย์ชาติ และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ชาวฮินดูจึงเรียกพระพรหมว่า พระผู้สร้างพระวิษณุได้กล่าวปลอบพระพรหมโดยเรียกพระพรหมเป็นเด็กน้อย เพราะถือว่าเกิดมาจากดอกบัวในสะดือของพระองค์เอง พระพรหมเมื่อถูกเรียกอย่างนั้นก็ไม่พอใจ จึงเกิดการรบกันขึ้น ร้อนไปถึงพระศิวะ เมื่อทราบว่าเทพ ทั้ง 2 กำลังต่อสู้กันอยู่ จึงเสด็จมา ณ. สถานที่ที่กำลังรบกันอยู่ โดยแปลงตัวเป็นเสาไฟขนาดใหญ่ ซึ่งหาที่สิ้นสุดมิได้ทั้งบนและล่าง แล้วมาปรากฏอยู่ระหว่างเทพทั้ง 2 เสาไฟนี้ มีความร้อนมาก ทำให้เทพทั้ง 2 หมดสติไป เมื่อฟื้นขึ้นมาก็ให้แปลกใจในความใหญ่โตหาที่สิ้นสุดมิได้ เทพทั้ง 2 จึงพนันกันว่า ถ้าใครค้นหาจุดสิ้นสุดได้ก่อนถือว่าเป็นผู้ชนะ และผู้แพ้จะยอมกราบไหว้บูชา พระพรหมจึงแปลงร่างเป็นหงส์ บินขึ้นไปหาส่วนยอดด้าน บน พระวิษณุแปลงร่างเป็นสุกรขุดดินลงไปหาปลายที่ด้านล่าง ด้านพระพรหมในร่างของหงส์ เมื่อบินขึ้นไปก็หา จุดสิ้นสุดมิได้ แต่ได้พบดอกเกตุขึ้นอยู่ที่ส่วนหนึ่งของเสาไฟ จึงได้กลับลงไปพร้อมดอกเกตุนั้นฝ่ายพระวิษณุ เมื่อไม่พบอะไรก็กลับขึ้นไปยังที่เดิม และพบพระพรหมนำดอกเกตุลงมาจากข้างบน ก็เข้าใจว่าพระพรหมพบส่วน ยอดแล้ว ซึ่งพระพรหมโกหกว่าพบจริง โดยมีดอกเกตุเป็นพยาน พระวิษณุก็ยอมแพ้และกราบไหว้บูชาพระพรหม ตามสัญญา เมื่อเรื่องกลายมาเป็นเช่นนี้ พระศิวะจึงได้คืนร่างมาดังเดิม และชำระความให้แก่เทพทั้ง 2 โดยกล่าวชมว่า พระวิษณุเป็นเทพที่มีความซื่อสัตย์ จึงยกให้พระวิษณุเป็นเทพเสมอพระองค์ สามารถที่จะมีโบสถ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นของตนเองได้ ส่วนพระพรหมซึ่งเป็นผู้ไม่ซื่อสัตย์ พระศิวะได้ทำโทษ โดยการตัดเศียรทั้ง 5 แต่พระวิษณุได้ขอร้องไว้ จึงตัดไปเพียง 1 เศียรเหลืออยู่ 4 เศียร และไม่อนุญาตให้ขึ้นมาเป็นเทพเทียบเท่าพระ องค์ และไม่ให้มีโบสถ์และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นของตนเอง แต่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพระศิวะ และเป็น ผู้สร้างมนุษยชาติจึงอนุญาตให้มีศาลหรือเทวสถานอยู่นอกโบสถ์และให้พระพรหมเป็นประธานของพิธีบวงสรวงทั้งมวลส่วนดอกเกตุที่มีส่วนร่วมนั้น พระศิวะได้ห้ามนำมาใช้ในการบูชากราบไหว้ วันที่พระศิวะคืนร่างจากเสา ไฟ ชาวฮินดูเรียกว่าวันศิวะราตรี และจะทำพิธีบูชาในลิงคสถาน


กำเนิดตรีมูรติ. 2545 . [Online] . เข้าถึงได้จาก www.viboon.com



โดย : นางสาว จีระนันท์ ขลุ่ยกระโทก, ripw คลองหลวง ปทุมธานี 13180, วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545