พระยาพิชัยดาบหัก
 	มีชาวนาสามีภรรยาคู่หนึ่งประกอบอาชีพอยู่ที่เมืองพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์และมีบุตรด้วยกัน 4 คน แต่ตายเสีย 3 คน คงเหลือบุตรชายผู้หนึ่งชื่อ       จ้อย 
 ซึ่งเป็นเด็กที่มีนิสัยกล้าหาญ    โอบอ้อมอารี    และต่อยมวยเก่งที่สุดในหมู่เพื่อน
 พอจ้อยมีอายุเจริญวัยขึ้นพอสมควร    พ่อได้พาไปฝากเรียนหนังสือกับพระครูที่
 วัดมหาธาตุเมืองพิชัย  จ้อยไม่อยากเรียนหนังสือแต่อยากเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียง
 พ่อจึงสอนว่าการเรียนรู้หนังสือเป็นของจำเป็นอย่างยิ่ง  ผู้รู้หนังสือจนอ่านออก
 เขียนได้แล้วก็สามารถเรียนวิชาอื่นๆได้ดีกว่าคนที่ไม่รู้หนังสือ จ้อยจึงกิน นอน
 เรียนหนังสือและทำงานร่วมกับศิษย์วัดหลายคน      จ้อยเป็นคนมาอยู่ใหม่จึงได้
 ถูกคนเก่าแกล้งในเวลากินอาหารทุกครั้งก็จะยกชามแกงส่งต่อไปรอบๆวง
 ไม่วางให้จ้อยตักเลยซึ่งเด็กวัดเรียกว่า    แกงเหาะ   เมื่อบ่อยครั้งทำให้จ้อยทน
 ไม่ไหวจึงแสดงฝีมือแบบมวยวัดให้เด็กวัดเก่าได้รู้จักเสียบ้าง     จึงไม่มีใครกล้ารังแกจ้อยอีกเลย
 	จ้อยเป็นเด็กที่มีสติปัญญาดี   เรียนเก่ง  มีความประพฤติดี  ขยันหมั่นเพียรหลังเลิกเรียนก็จะฝึกฝนมวยด้วยตนเอง   ขั้นต้นนำต้นกล้วยมาวางไว้บนดินและเตะด้วยความรวดเร็วจนต้นกล้วยไม่ล้มถึงดิน     ขั้นต่อไปเอาลูกมะนาวผูกเชือกห้อยลงมาเสมอหน้าแล้วชกแกว่งไปมา    ปิดรับด้วยศอกและแขนจนไม่ถูกหน้าเลย  ด้วยความพากเพียรในการฝึกซ้อมจึงทำให้ฝีมือในการชกมวยดีขึ้น 
 	จ้อยได้อยู่กับพระครูที่วัดมหาธาตุจนอายุประมาณ  14  ปี วิถีชีวิตก็เริ่มจะ
 เปลี่ยนไปเมื่อเจ้าเมืองพิชัยได้นำบุตรชายชื่อ คุณเฉิด  มาฝากกับพระครูที่วัดนี้
 และมีเพื่อนมาด้วยสามคน      คุณเฉิดได้วางอำนาจเป็นลูกเจ้าเมืองและได้มีการ
 ท้าชกต่อยกับจ้อยที่หลังวัด พวกของคุณเฉิดได้เข้าตะลุมบอนแต่สู้จ้อยไม่ได้
 ส่วนตัวคุณเฉิดได้ล้มก้นกระแทกจึงร้องเอะอะโวยวายว่าจ้อยทำร้าย   ด้วยความ
 เกรงกลัวพระครูจะลงโทษฐานทำร้ายลูกเจ้าเมือง       จ้อยจึงวิ่งหนีโดยไม่ย้อนกลับไปที่วัดอีกเลย จ้อยเคยได้ยินชื่อ ครูเมฆ ชาวท่าเสาเป็นครูมวยฝีมือดี
 จึงคิดจะไปหา โดยเดินทางตามฝั่งแม่น้ำน่านไปเรื่อยๆพอเดินทางมาถึงที่ตำบลบ้านแก่งก็ได้พบกับ   ครูเที่ยง  กำลังฝึกซ้อมนักมวยอยู่จึงฝากตัวเป็นลูกศิษย์   และบอกว่าชื่อ ทองดีเพราะเกรงว่าจะมีคนตามตนไปลงโทษ  ทองดีเป็นคนที่
 ไม่กินหมากจึงใช้ชื่อว่า  นายทองดี ฟันขาว และได้ฝึกเรียนวิชามวยกับครูเที่ยงเป็นเวลา 1 ปีเศษ จนมีความชำนาญ มีฝีมือเหนือศิษย์เก่าจึงทำให้ศิษย์เก่าอิจฉาและถูกแกล้งจากพวกศิษย์เก่าทำให้มีการทะเลาะวิวาทกัน       ทองดีรำคาญและหมดวิชาที่จะสอนตนจึงขอลาครูเที่ยงเดินทางไปเรียนวิชามวยกับ  ครูเมฆ ที่ท่าเสา
 ตามความตั้งใจเดิมโดยเดินทางไปกับพระวัดบ้านแก่งที่จะไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์  เมื่อไปถึงวัดพระแท่นศิลาอาสน์  นายทองดีได้ดูการแสดงงิ้ว    และชอบใจท่ากายกรรมจึงแอบไปหัดเลียนแบบท่าทาง  ต่อจากนั้นเดินทางไปท่าเสาฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชามวยกับครูเมฆได้ปีกว่าๆก็สำเร็จ     ในขณะนี้ทองดีอายุอย่างเข้า  18  ปีได้เริ่มชกมวยตามงานและเป็นนักมวยที่ลือเลื่องในเมืองลับแล 
 ทุ่งยั้ง  สวางคบุรีและเมืองพิชัย
 	ต่อมาได้มีพระภิกษุจากสวรรคโลกชักชวนทองดีไปเรียนฟันดาบกับอา
 ของท่านที่สวรรคโลกเป็นเวลา   3   เดือนก็สำเร็จวิชาและได้เดินทางไปเที่ยวที่
 สุโขทัยกับครูมวยจีน      และเรียนวิชามวยอีก  1  เดือน     ในขณะที่อยู่สุโขทัย
 มีคนมาฝากตัวเป็นศิษย์มากมาย ทำให้ทองดีได้เป็นครูสอนวิชามวยและฟันดาบ  ได้มีเด็กกำพร้าบิดา  มารดาชื่อ บุญเกิด มาขออยู่ด้วยจึงมีเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน    บังเอิญมีพ่อค้าจีนเดินทางมาจากตากได้มาพบนายทองดีจึงเล่าให้ฟังว่าพระยาตาก  เจ้าเมืองตากนิยมคนมีฝีมือทางชกมวย  ถ้าไปเมืองตากก็คงมีโอกาสได้มีชื่อเสียง  นายทองดีจึงนำเด็กบุญเกิดเดินทางไปกับพ่อค้าจีน
 	ในระหว่างทางจากสุโขทัยไปเมืองตากมีเสือชุมมาก      คนทั้งสามต้อง
 พักแรมกลางป่าและผลัดเปี่ยนเวรกันอยู่ยามคอยสุมไฟคืนหนึ่งเป็นเวรของเด็ก
 บุญเกิดได้เผลอหลับไป ไฟมอดลงและดับสนิท มีเสือใหญ่ได้คาบเด็กบุญเกิด
 เข้าป่าไปนายทองดีตกใจตื่นจึงได้คว้ามีดปลายแหลมวิ่งตามเสือทันและ กระโดดกอดคอเสือ  เสือจึงวางบุญเกิดและหันมาจะกัดทองดี  ทองดีได้ใช้มีดปลายแหลมแทงเข้าในปากเสือแล้วโยกมีดอย่างแรง   เสือได้รับความบาดเจ็บจึงวิ่งเข้าป่าไปทองดีได้ทำแคร่หามบุญเกิดไปพักอาศัยรักษาตัวอยู่ในวัดแห่งหนึ่งในเมืองตาก
 	วันหนึ่งที่วัดมีการทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา         มีงานรื่นเริงต่างๆ มีการ
 ชกมวยด้วย  ทองดีไม่มีคู่เปรียบมวยจึงขอต่อยคู่กับ ครูห้าวซึ่งเป็นครูมวยที่มีชื่อ
 ของเมืองตาก        พระครูที่วัดไม่เคยเห็นฝีมือในการชกของทองดีเกรงว่าถ้าแพ้
 ก็จะเจ็บตัวเปล่าแต่ถ้าชนะก็จะถูกลูกศิษย์ของครูห้าวรังแกจนอยู่เมืองตากไม่ได้
 จึงได้ตักเตือนและนายทองดีก็ได้ตรึกตรองดูก็เห็นว่าเป็นจริง   จึงไม่ขึ้นชกมวย
 ตามเวลาที่กำหนดไว้
 	ในวันนั้นพระยาตากได้ทราบข่าวการท้าต่อยมวยของคนแปลกหน้า
 กับครูมวยเมืองตากจึงอยากดู      และให้ไปตามนายทองมาสอบถามถึงเหตุผลที่
 นายทองดีไม่ยอมขึ้นต่อยมวย    เมื่อพระยาตากได้ทราบเหตุผลและได้รู้เรื่องการ
 ต่อสู้กับเสือจนฆ่าเสือตายแล้วจึงรับรองว่าจะให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น        นายทองดี
 ได้ชกมวยและชนะครูห้าวด้วยการที่เตะขากรรไกรครูห้าวอย่างแรง    เลือดไหล
 ออกปาก  ออกจมูก  สลบทันที    ต่อจากนั้นก็ได้มีครูมวยอีกผู้หนึ่งอาสาต่อยกับ
 นายทองดีแต่สู้ไม่ได้     พระยาตากเห็นฝีมือของทองดีจึงให้รางวัล  5  ตำลึง  และให้รับราชการอยู่กับท่านในเมืองตาก   ส่วนเด็กบุญเกิดเรียนวิชาป้องกันตัวจากนายทองดีและได้เข้ารับราชการด้วย  เมื่อนายทองดีอายุได้    21   ปีได้อุปสมบท
 เป็นเวลา  1  พรรษา   สึกมารับราชการได้บรรดาศักดิ์เป็น     หลวงพิชัยอาสา 
 และได้แต่งงานเป็นหลักเป็นฐานในเมืองตาก
 	พ.ศ.2309  พระยาตากและหลวงพิชัยอาสาได้สู้รบกับกองทัพพม่า     เพื่อป้องกันกรุงศรีอยุธยา  แต่ไม่สามารถป้องกันเมืองไว้ได้     เพราะข้าราชการที่ในเมืองแตกความสามัคคีกัน พระยาตากรวบรวมผู้ที่สวามิภักดิ์ต่อบ้านเมืองได้ประมาณ 500 คน  ตีฝ่าวงล้อมของพม่าออกมาได้  จึงเดินทางผ่านไปทาง  ชลบุรี ศรีราชา  ระยองและบุกเข้าตีเมืองจันทบุรี จึงพักอยู่ที่จันทบุรี 3 เดือน ทำการต่อเรือได้ 100 ลำ  จึงยกกองทัพเรือมาตีกรุงธนบุรีได้สำเร็จและยกทัพไปขับไล่พม่าที่กรุงสรีอยุธยาแล้วกอบกู้เอกราชคืนจากพม่าได้ภายใน 7 เดือน
 	ต่อจากนั้นพระยาตากได้ถูกอัญเชิญให้เป็นเจ้ากรุงธนบุรีและพระองค์ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้หลวงพิชัยอาสาเป็น พระยาสีหราชเดโช ได้ออกศึกทำสงครามคู่กับพระองค์และตามเสด็จอย่างใกล้ชิดทุกครั้งทำการรบอย่างกล้าหาญ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็น พระยาพิชัย ไปปกครองเมืองหน้าด่านทางภาคเหนือคือเมืองพิชัย เพราะเป็นชาวพิชัยและทรงแต่งตั้งให้บุญเกิดเป็น หมื่นหาญณรงค์
 เป็นทหารคนสนิทของพระยาพิชัย
 	เมื่อพระยาพิชัยเดินทางมาถึงที่เมืองพิชัยก็รีบไปหาบิดามารดา แต่บิดาได้เสียชีวิตไปแล้วจึงรับมารดาไปอยู่ด้วยที่บ้านเจ้าเมืองและได้นำข้าวของเงินทองไปให้ครูเที่ยงกับครูเมฆ พร้อมทั้งแต่งตั้งให้เป็นกำนันทั้งสองคน
 	ต่อมาพม่าได้ยกทัพมาตีเมืองพิชัย  พระยาพิชัยนำพลออกสู้รบกับพม่ากันอย่างชุลมุนและพระยาพิชัยได้เสียหลักล้มลง จึงเอาดาบยันดินไว้โดยแรงดาบจึงหักคามือ  ส่วนหมื่นหาญณรงค์ได้ถูกกระสุนปืนทะลุอกตายคาที่  เมื่อพระยาพิชัยเห็นดังนั้นจึงโกรธพม่ามากได้ใช้ดาบดีและดาบหักไล่ฟันพม่าอย่างดุเดือดจนพม่าพ่ายแพ้ยับเยิน จากนั้นได้นำศพของหมื่นหาญณรงค์ไปจัดการศพอย่างสมเกียรติ
 	ตั้งแต่นั้นมาพงศาวดารก็ได้เรียกท่านว่าพระยาพิชัยดาบหักและท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 41 ปีในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ต่อมาบุตรหลานผู้สืบสกุลของท่านพระยาพิชัยดาบหักได้รับพระราชทานนามสกุลว่า
 วิชัยขัทคะ ซึ่งนามสกุลนี้ยังมีอยู่เป็นอันมากในปัจจุบันนี้
 	
 ในปัจจุบันชาวเมืองอุตรดิตถ์ได้ระลึกถึงคุณงามความดีของบรรพบุรุษ
 ผู้กล้าหาญท่านี้  จึงสร้างอนุสาวรียืท่านพ่อพระาพิชัยไว้ที่หน้าศาลากลางจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้ลูกหลาน ได้สักการะดวงวิญญาณของท่านตราบเช่นทุกวันนี้สืบต่อไป
 	
 
 
  |