ประโยคที่ใช้ในการสื่อสารแบ่งเป็น 6 ชนิด
1. ประโยคบอกเล่า เป็นประโยคบอกว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เป็นการ
แจ้งเรื่องราว บอกข่าวต่างๆ เช่น
ตาของข้าพเจ้ามีอาชีพทำไร่ทำนา
เมื่อช่างปั้นหม้อเสร็จก็นำไปแกะสลักลวดลาย และนำไปอบในเตาเผา
มีดาราคนหนึ่งยิงตัวตายในลิฟต์ ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรม
2. ประโยคปฏิเสธ เป็นประโยคมีใจตรงข้ามกับประโยคบอกเล่า อันความไม่ตอบสนองต่อผู้ถาม มักใช้คำว่า ไม่ ไม่ได้ ไม่ใช่ มิได้ ประกอบในประโยค
ผมไม่ได้ขโมยยางลบเขาไปนะ
เธอไม่สามารถมากินข้าวกับผมได้
ตาของผมเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่นักการเมือง
3.ประโยคคำถาม เป็นประโยคที่ใจความ มักแสดงคำถามอยู่หน้าหรือหลังประโยค มี 2ชนิด
ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบ มักใช้คำว่า อะไร ใด ไหน เมื่อไร อย่างไร เหตุใด เท่าใด อยู่หน้าหรือท้ายประโยคก็ได้ เช่น
ใครเป็นคนทำกับข้าวไว้ให้
วันนี้กินอะไร
เราจะไปเชียงใหม่โดยการเดินทางแบบใด
ประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบรับ หรือปฏิเสธ มักมีคำว่า หรือ หรือไม่ ไหม
ท้ายประโยค เช่น
ยางลบก้อนนี้ของคุณหรือ
คุณไปกินข้าวกับผมได้หรือไม่
4.ประโยคคำสั่ง เป็นประโยคบอกให้ทำหรือไม่ให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มักจะละประธานไว้
ประโยคจะมี 2 ลักษณะ คือ
ประโยคสั่งให้ทำ มักใช้กริยาขึ้นต้นประโยค จะใช้คำว่า จง
แต่หากมีประธานขึ้นต้นจะมีคำว่า ซิ นะ หน่อย ต่อท้ายประโยค เช่น
จงนั่งเร็วๆหน่อย
เธอพูดดีๆนะ
จงทำตามที่เธอสั่ง
ประโยคห้าม หรือสั่งไม่ให้ทำ มักละประธาน และใช้คำว่า อย่า ห้าม ขึ้นต้นประโยค เช่น
อย่าเดินลัดสนาม
ห้ามทิ้งขยะลงชักโครก
ห้ามจับปลาฤดูวางไข่
5. ประโยคแสดงความต้องการ เป็นประโยคที่มีใจความแสดงความต้องการ อยากได้ อยากมี อยากเป็น มักมีความว่า ต้องการ ปรารถนา ประสงค์ อยู่ในประโยค เช่น
ฉันปรารถนาที่จะบินได้เหมือนนก
เเม่ต้องการให้ฉันเป็นเด็กดี
พ่อประสงค์ให้ฉันเรียนต่อในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
6.ประโยคขอร้อง ชักชวน และอนุญาต เป็นประโยคมีใจความขอร้อง ชักชวน หรืออนุญาต อาจละประธานไว้ มักมีความว่า ซิ หน่อย นะ น่า อยู่ท้ายประโยค และมีความว่า โปรด กรุณา ช่วย วาน อยู่หน้าประโยค เช่น
โปรดอย่าส่งเสียงดังในห้องสมุด
เราออกไปเดินเล่นงานกาชาดกันดีกว่านะ
เธอเข้าไปเถอะนะ
|