ปาก (ดี)
ัวันสุนทรภู่ ปีนี้ ขอเขียนเรื่องปาก ให้สร้างสรรค์สังคม อีกสักครั้ง (เถอะ)

สุนทรภู่ว่าไว้ว่า

"อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก
แต่ลมปาก หวานหู ไม่รู้หาย
แม้นเจ็บอื่น หมื่นแสน จะแคลนคลาย
เจ็บจนตาย นั้นเพราะเหน็บ ให้เจ็บใจ"

จึง.........

"ปาก" เป็นอวัยวะสำหรับการสื่อสารที่สำคัญ เป็นอันดับสาม รองจาก ตา และหู เรารู้จักใช้ปากนับแต่วินาทีแรกที่ออกจากท้องแม่ และมีความแตกต่างมากมายระหว่างการใช้ปากของผู้ชายกับผู้หญิง

เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นเด็กเล็กเลยทีเดียวเชียวนะ เด็กผู้หญิงจะเริ่มพูดได้เร็วกว่าเด็กผู้ชาย ทั้งยังรู้จักสรรหาคำศัพท์มาใช้ในการพูดจาได้ดีกว่าเด็กผู้ชายอีกด้วย

ผู้หญิงมีสมองส่วนที่ควบคุมการพูดอยู่ที่สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา แต่สำหรับผู้ชาย สมองที่ควบคุมการพูดจะอยู่ที่ซีกซ้ายเพียงข้างเดียว สมองซีกซ้ายเป็นสมองส่วนตรรกะและเหตุผล ส่วนสมองซีกขวา เป็นสมองที่ทำหน้าที่ในเรื่องของอารมณ์และความรู้สึก

ผู้ชายนั้น เวลาพูด เขาจะพูดแสดงความคิดเห็น ที่เป็นตรรกะ ข้อเท็จจริง เหตุ และผล (เพราะอิทธิพลจากสมองซีกซ้าย) แต่ในผู้หญิง จะพูดออกมาจากความรู้สึก และอารมณ์ (จากอิทธิพลของสมองซีกขวา)

จึงไม่ใข่เรื่องแปลก ถ้าผู้หญิงจะถามแฟนว่า "คุณรักฉันหรือเปล่า" แต่ในความรู้สึกของผู้ชาย จะรู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไร้สาระ
"ไม่เห็นต้องถาม รู้ๆกันอยู่ ผู้หญิงนี่เข้าใจยากซะจริงๆ"

ผู้หญิงจะใช้การพูดระบายสิ่งที่คั่งค้างอยูในสมองซีกขวาออก ในขณะที่ผู้ชายแม้จะผ่านเรื่องยุ่งเหยิงมาทั้งวันแต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาสามารถลบข้อมูลที่รกสมองอยู่ออกไปได้โดยอัตโนมัติ สำหรับผู้หญิงข้อมูลที่คั่งค้างอยู่ในสมองจะซึมซาบเข้าไปในสมองส่วนของอารมณ์และความรู้สึก (สองซีกขวา) ซึ่งลบข้อมูลออกทันทีไม่ได้ ทำให้เธอต้องระบายออกทางปากด้วยการบ่นๆๆๆๆ และบ่น

เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเรื่องรกสมองของผู้ชายอยู่ในสองซีกซ้ายซึ่งเป็นสมองที่ทำหน้าที่คล้ายคอมพิวเตอร์มากจึงสามารถลบข้อมูล
จากหน่วยความจำออกได้ทันที แต่เราไม่สามารถจะสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เลียนแบบการทำงานของสมองซีกขวาได้หรอกนะ (จ๊ะ) มิฉะนั้นหุ่นยนตร์คอมพิวเตอร์ในอนาคต จะมีอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติมาก

โดยธรรมชาติ เรารู้กันอยู่ว่า ผู้ชายจะไม่ค่อยพูด ผู้ชายสามารถนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดจาอะไรกันเลย และไม่รู้สึกอึดอัดอะไรด้วย(ใช่ไหม) ไม่เชื่อลองเทียบร้านตัดผมผู้ชายกับร้านเสริมสวยผู้หญิงดูซิ บรรยากาศการพูดคุยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงใช่ไหม

และเนื่องจากสมองส่วนที่เรียนรู้ทางด้านภาษา จะอยู่ที่สมองซีกขวา แต่สมองส่วนควบคุมการพูดของผู้ชายอยู่ทีซีกซ้าย ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า อาชีพล่าม จึงหาผู้ชายได้น้อยมาก (ผู้ชายมีเส้นประสาทเชื่อมโยงระหว่างสมองทั้งสองซีกน้อยกว่าผู้หญิงจ้ะ)

ก็เพราะผู้หญิงพูดออกมาจากสมองส่วนอารมณ์และความรู้สึกนี่แหละ ทำให้เธอแสนจะแคร์กับคำพูดมากเลย ทั้งน้ำเสียงและคำพูดของเธอ จะสื่อถึงความรู้สึกออกมาด้วยนะ ในขณะที่ผู้ชายจะพูดออกมาแบบตรงๆทื่อๆ ไม่ค่อยแคร์ความรู้สึกคนฟังนัก

เวลาเกิดความเครียด ซึ่งเป็นเรื่องอารมณ์และความรู้สึก สมองซีกขวาของผู้ชายจะทำงานหนัก ทำให้ศูนย์การควบคุมการพูดซึ่งอยู่ที่สมองซีกซ้ายหยุดทำงานทันที ดังนั้นผู้ชายเวลาเครียดจะหยุดพูดเลยนะ ตรงข้ามกับผู้หญิงซึ่งมีสมองส่วนส่วนควบคุมการพูดอยู่ที่ซีกขวาด้วย ทำให้เวลาที่เธอเครียด สมองซีกขวาถูกกระตุ้น เธอจึงต้องระบายๆออกด้วยการพูดๆๆๆๆ (ไงล่ะ)

ทีนี้ถ้าเป็นผู้หญิงประเภทปากร้ายใจดี ก็น่าเสียดายที่ปากร้ายทำให้คนอยากคบน้อยลง คือไม่ค่อยมีใครอยากคบ เพราะกว่าจะรู้ถึงใจว่าดี ก็ถูกปะทะปากเข้าไปก่อน ยกเว้นจะคบกันไปนานๆ ค่อยตาสว่าง เห็นถึงใจว่าตรงกันข้ามกับปาก แต่โชคดีไม่มาบ่อยๆหรอก เพราะไม่ค่อยมีใครอยากทน จึงต้องมีอันเป็น คือ เขาปากร้ายกลับ และเกิดเหตุร้ายก่อนที่จะรู้ว่าใจดีด้วยกันทั้งคู่

มาถึงคนปากร้ายใจดี ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มักมีใบหบ้าถมึงทึงเป็นนิจ ด่าว่าคนไม่อ้อมค้อม อย่าคิดว่าคนปากร้ายใจดีจะด่าไปยิ้มไป ให้เห็นความใจดีผ่านมาทางดวงตาซึ่งเป็นหน้าต่างของหัวใจนะ

คนปากร้ายจะเสียเปรียบคนปากดีตั้งแต่เริ่มพูด ยกเว้นคนฟังจะมีจิตใจผิดปกติ คนส่วนใหญ่ชอบฟังคำหวานหู คนดีมีจิตใจดีควรแก้ไขให้ปากพูดดีๆด้วย จะทำให้คนฟังคล้อยตามง่ายกว่า ไม่ต้องกลัวเสียเชิงว่า เป็นคนฟังแล้วจะเหลิงหรือเหลิม เพราะคำพูด ที่เพราะเสนาะจับใจนั้นน่าฟังน่าจำกว่ากิริยากรรโชก เพราะไม่แน่ใจว่าจะกรรโชกทรัพย์ด้วยหรือเปล่า สำคัญที่ผู้มีวาจาไพเราะนั้น ควรจะมีจิตสำนึก คือความจริงใจในคำพูด มิใช่เป็นแค่คำพูดหวานชวนอ้วกในที ทำให้ผิดศีลกันไปใหญ่ แทนที่ผู้ฟังจะแก้ไข กลับส่งเสริมให้บ้าหนักเข้าไปอีกอันนี้ผิดมหันต์เลยทีเดียว

ทั้งนี้ฝ่ายผู้ฟังควรจะใช้ปัญญาไตร่ตรองเจตนาผู้พูดด้วย ซึ่งบางทีปากที่ดูร้ายจริงๆก็มีความหวังดีแฝงอยู่อนันต์ นับเป็นหน้าที่ของผู้ฟังเองที่จะต้องแยกสีให้ถูก ว่าเขาร้ายจริงหรือร้ายเฉพาะวาจา อาจได้ข้อคิดจากวาจาร้าย เกิดเป็นวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลออกไป ก็ไม่แน่นัก.

เห็นด้วยกับท่านสนุทรภู่แล้ว ใช่ไหมว่า "ปาก" นั้นเป็นอวัยวะสื่อสารภาษาที่สำคัญมากมายเพียงใด.


โดย : นาง พรรณี ชุติวัฒนธาดา, โรงเรียนศรีพฤฒา, วันที่ 23 มิถุนายน 2545