ฮวงจุ้ย?

ฮวงจุ้ย ?
ฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์และศิลป์ ที่เกิดจากปัญญาอันลึกล้ำของนักปราชญ์จีนโบราณ มีหลักปรัชญาแฝงไว้ด้วยความเร้นลับ จนเหลือรู้เหลือเห็นหรือที่เข้าใจได้ยาก เป็นศาสตร์ที่มีการผสมผสานไม่ขัดแย้งเข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หลักการสำคัญของฮวงจุ้ย คือ การสร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติกับสังคมและมนุษย์ให้เกิดความสมดุลนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต
คำว่า “ ฮวงจุ้ย ” ให้ความหมายที่ลึกซึ้ง มากกว่าเพียงแค่หลุมฝังศพคนตาย ความหมายของคำว่า “ ฮวง ” หมายถึง ลม เป็นธาตุหนึ่งในธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลมไฟ ทอง
ลมที่ดีต้องมีอาการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ เมื่อกระทบกายมีความรู้-สึกเย็นสบาย หลักการของฮวงจุ้ยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับลม เมื่อได้เข้าไปอยู่ ณ ที่แห่งใด ความรู้สึกครั้งแรก ที่ได้สัมผัสกับสถานที่แห่งนั้น มีความรู้สึกเหมือนลมเย็นมากระทบผิวกาย หากความรู้สึกที่ได้รับถึงกับซาบซ่านเกิดอาการขนลุกขึ้น และจิตใจเปิดโล่ง มีความรู้สึกสบาย แสดงถึงสถานที่นั้นเหมาะที่จะอยู่อาศัย เพราะสิ่งแรกที่จะได้รับเป็นความสงบสุขสันติและยั่งยืนนาน
ถ้ากายและจิตที่สัมผัสกันครั้งแรก มีความรู้สึกร้อนไม่เกิดความปิติยินดีเมื่อได้เข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มีความรู้สึกเกิดความอึดอัด บางครั้งจิตใจว้าวุ่นสับสน เมื่อมีความรู้สึกเกิดขึ้นในลักษณะนี้สถานที่อาคารและบ้านเหล่านั้นไม่เหมาะที่จะเข้าไปอยู่อาศัย
คำว่า “ จุ้ย ” ความหมายในภาษาจีนหมายถึง น้ำ เป็นสัญลักษณ์ความอิ่มเอิบ เป็นหนึ่งใน 5 ธาตุที่อยู่ในหลักของศาสตร์ฮวงจุ้ย เน้นให้เห็นถึงความผูกพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่ต้องเกื้อหนุนกัน หรือ ทำลายล้างกัน
ความหมายของน้ำ ยังมีข้อคิดอีกหลายประการ ในตำราพิชัยสงครามของขงจื้อกล่าวว่า ผู้ใช้ไฟเข้าช่วยในการโจมตีถือว่าฉลาด ส่วนผู้ที่สามารถใช้น้ำทำลายข้าศึกได้ ถือว่ามีอำนาจ ความหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าน้ำมีอานุภาพยิ่งใหญ่ขนาดไหน นี่เป็นเพียงความหมายของน้ำตามธรรมชาติ ความยิ่งใหญ่ของน้ำไม่ใช่อยู่ที่ใช้น้ำทำลายข้าศึกได้ แต่น้ำมีคุณค่ามหาศาลเพียงใดกับชีวิตของมนุษย์ โทษภัยของน้ำก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
คำว่า “ ฮวงจุ้ย ” สองคำนี้ ยังให้ความหมายที่มากและกว้างไกลลึกล้ำไม่รู้จบ ครอบคลุมเข้าไปในศาสตร์ทุกแขนง แสดงถึงความเจิดจ้าในสุนทรียภาพอันยิ่งใหญ่ของศาสตร์นี้ที่แฝงอยู่รอบๆ ตัวเรา และสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิผล
อันที่จริงจุดมุ่งหมายในการยึดถือศาสตร์นี้ประการสำคัญ เป็นการไขข้อข้องใจ หรือมีสิ่งเคลือบแคลงสงสัย ไม่ใช่มองเป็นสิ่งที่งมงาย เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นสิ่งเร้นลับ ยากที่จะเรียนรู้หรือทำความเข้าใจได้ก้าวเข้ามาสู่หนทางที่ถูกต้องของศาสตร์นี้



โดย : นางสาว ทิตภา กอถวิลพร, โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย, วันที่ 12 พฤศจิกายน 2544