ทับทิม


ชื่อวิทยาศาสตร์ Punica granatum Linn.
วงศ์ Punicaceae
ชื่อท้องถิ่น พิลา (หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแก้ว (น่าน) มะเก๊าะ (ภาคเหนือ)
การปลูก ใช้เมล็ดปลูกปลูกหรือใช้การตอนกิ่งก็ได้ แต่นิยมเพาะเมล็ดมากกว่า ปลูกได้ในดินทั่วไปแต่ชอบดินเหนียวปนหินและชอบอยู่ใกล้แล่งน้ำ ต้องการแสงแดดมากและเหมาะที่จะปลูกในต้นฤดูฝน วิธีการปลูกให้ปลูกต้นกล้าก่อนแล้วย้ายเอาไปลงหลุมเมื่อเป็นต้นอ่อนรดน้ำพรวนดิน และบำบุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์เมื่ออายุได้ 6 เดือน อย่าให้ร่มไม้ใหญ่บัง เพราะต้นทับทิมอาจจะแคะแกร็นไม่ออกดอกออกผลควรดูแลกำจัดศัตรูพืชด้วย
ส่วนที่ใช้เป็นยา เปลือกผลแห้ง
ช่วงเวลาที่เก็บยา เก็บในช่วงที่ผลแก่ ใช้เปลือกผลตากให้แห้ง
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด เป็นยาฝาดสมาน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เปลือกผลที่มีรสฝาด เนื่องมาจากมีสาร"แทนนิน"ประมาณ22-25% มีกรด gallotannic สารสีเขียวอมเหลือง เป็นต้นเปลือกผลมีฤทธิ์ฝาดสมาน เพราะมีสาร"แทนนิน"และมีกรด gallotannic จึงรักษาอาการท้องเดินได้ดี กองวิจัยการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิเคราะห์แล้วพบว่าไม่มีพิษเฉียบพลัน แต่ถ้าให้ในปริมาณที่สูงอาจจะเป็นพิษได้ (LD 50 =17 กรัม/กิโลกรัม)
วิธีใช้ เปลือกทับทิมใช้เป็นยาแก้ท้องเดินและโรคบิด มีวิธีการใช้ดังต่อไปนี้ คืออาการท้องเดิน ใช้เปลือกผลแห้งประมาณ 1 ใน 4 ของผล ฝนกับน้ำฝนหรือน้ำปูนใสข้นๆ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกงหรือต้มกับน้ำปูนใสแล้วดื่มน้ำที่ดื่มก็ได้อาการบิด โรคนี้จะมีอากาปวดเบ่งและมีมูกออกมาด้วย หรืออาจจะมีเลือดออกมาปนกับมูก ให้ใช้เปลือกผลแห้งของทับทิมครั้งละ 1 กำมือ (3-5 กรัม) ต้มกับน้ำดื่มดื่มวันละ 2 ครั้งอาจใช้กานพลูหรืออบเชยแต่งกลิ่นให้น้ำดื่มก็ได้
คุณค่าทางอาหาร ทับทิมใช้รับประทานเป็นผลไม้มีรสหวานหรือเปรี้ยวอมหวานมีวิตามิน ซีรวมทั้งเกลือแร่อื่นๆอีกช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้ดี

ที่มา:http://www.samunpai.com


โดย : นาย สุไลยหมาน หมิแหละหมัน, โรงเรียนหัวไทรบำรุงราษฎร์, วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2545