ในปี 1965 กอร์ดอน อี.มัวร์
(Gordon E. Moore) หนึ่งในปรมาจารย์ในด้านพีซีไมโครโปรเซสเซอร์ ได้ให้การพยากรณ์ไว้ว่า
กำลังม้าในทางคำนวณของคอมพิวเตอร์ชิปจะเพิ่มเป็นสองเท่าในทุก 18 เดือนที่ผ่านไปและคำพยากรณ์นี้ได้กลายเป็นกฎของมัวร์ในเวลาต่อมา
ดังจะเห็นได้จากจำนวนทรานซิสเตอร์ที่บรรจุอยู่ในชิป เช่น ของ Intel 4004 ในปี
1971 ได้มีทรานซิสเตอร์อยู่ 2,300 ตัว จากปี 1972-1978 จำนวนทรานซิสเตอร์ในชิปของ
Intel ได้เพิ่มจาก 3,500 ตัว เป็ฯ 29,000 ตัว Intel 80286 ในปี 1982 มีทรานซิสเตอร์
134,000 ตัว 1985 Intel 80386DX มีทรานซิสเตอร์ 275,000 ตัว 1989 Intel 80486DX
มีทรานซิสเตอร์ 1.2 ล้านตัว จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ยุคของ Intel Pentium ในปี
1993 ซึ่งมีทรานซิสเตอร์ 3.1 ล้านตัว Pentium Pro (1995) และ Pentium II (1997)
มีทรานซิสเตอร์จำนวน 5.5 และ 7.5 ล้านตัว ตามลำดับ และได้มีการคาดกันว่าในอนาคตคือในราวปี
ค.ศ. 2011 ชิปของผู้ผลิต เช่น Intel จะมีทรานซิสเตอร์ 1,000 ล้านตัว เป็นต้น
อันเป็นพัฒนาการในโลกของวัสดุกึ่งตัวนำที่เข้าใจกันว่ากฎของมัวร์ยังมีความเป็นจริงอยู่อย่างไรก็ตาม
ท่ามกลางการรุดหน้าของอิเล็กทรอนิกส์เทคโนโลยีซึ่งไม่แน่ว่าจะก้าวไปสู่ทางตันเมื่อใด
ก็ได้เกิดมีสาขาวิชาใหม่ ๆ ขึ้นมาในอันที่จะใช้ความรู้ในเรื่องของแสงให้เป็นประโยชน์ในรูปของ
Optical และ Optoelectronic Technologies เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมาะที่จะใช้วิชาอิเล็กทรอนิกส์แต่เพียงอย่างเดียว
เช่น เรื่องของการขาดแคลนแบนด์วิดธ์ในทางสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหมญ่ในขณะนี้
รูปที่
1 ระบบโทรศัพท์ในสหรัฐฯ เมื่อ ค.ศ. 1915
จากอิเล็กทรอนิกส์ไปสู่โฟตอน
ถ้าจะมองพัฒนาการของไมโครโปรเซสเซอร์
ซึ่งเริ่มจาก Bell Labs ในปี 1947 ที่มีทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียวและต้องใช้เวลาถึง
50 ปีกว่าจะมีโปรเซสเซอร์ที่มีทรานซิสเตอร์ถึง 7.5 ล้านตัวนั้น เมื่อเทียบกับวิวัฒนาการของการสื่อสารที่เริ่มีระบบโทรเลขในปี
1844 ซึ่งอาศัยรหัสแบบ Morse ในการรับส่งสัญญาณที่เป็นแบบดิจิตอล โดยมีขีดความสามารถในการส่งสัญญาณแค่เพียง
5 บิตต่อวินาที ต่อมาในปี 1876 ก็มีโทรศัพท์ที่รับส่งสัญญาณเสียงได้วินาทีละ
2,000 บิต โทรศัพท์ในเชิงพาณิชย์ได้เริ่มในสหรัฐฯ ในปี 1915 ซึ่งอาศัยสายทองแดงที่ทำงานด้วยระบบ
frequency multiplexing โดยมีอัตราเร็วในการสื่อสารเพิ่มขึ้นเป็น 30,000
บิตต่อวินาที แต่ยังคงพูดกันได้ชัดในระยะไม่เกิน 40 ไมล์ ในปี 1940 AT&T
ได้จัดวางเคเบิลโทรศัพท์ที่เรียกว่า coaxial circuits ซึ่งภายในเคเบิลแต่ละสายจะส่งสัญญาณเสียงได้
480 voice calls หรือเมื่อคิดรวมกันหมดก็จะได้ตัวเลขในการส่งสัญญาณ (16 kilobits
ต่อ voice circuit) ที่เท่ากับ 7,680,000 บิตต่อวินาที ในปี 1956 ได้มีการวางสายเคเบิลจากนิวฟาวน์แลนด์ไปยังสก็ตแลนด์
ที่รับส่งสัญญาณได้เคเบิลละ 36 voice calls หรือเท่ากับ 1,152,000 บิตต่อวินาที
จากนั้นก็ก้าวไปสู่ยุคของการใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสารในปี
1962 โดยอาศัยดาวเทียมที่ชื่อว่า Telstar ที่มี 12 voice circuits ที่รับส่งสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของดิจิตอลได้วินาทีละ
768,000 บิตการใช้สายใยแก้ว (glass fibers) เพื่อรับส่งสัญญาณโทรศัพท์ระหว่างกรุงนิวยอร์คและวอชิงตัน
ดี.ซี. ได้เริ่มเมื่อปี 1983 โดยรับส่งสัญญาณได้วินาทีละ 45,000,000 บิต ผู้ให้บริการด้านโทรศัพท์ของสหรัฐฯ
เริ่มติดตั้งอุปกรณ์ไฟเบอร์ออปติกขนาด 2.5 gigabit ในปี 1996 รวมทั้งการให้บริการของบริษัท
MCI ที่มีสมรรถนะสูงกว่าบริษัทอื่นถึง 4 เท่า เพื่อสำหรับใช้เป็นอินเทอร์เน็ตแบ็กโบน
อันทำให้อัตรการรับส่งข้อมูลด้วยสายใยแก้วได้ก้าวมาถึงจุดที่ให้ความเร็วได้ถึง
40,000,000,000 บิตต่อวินาที พัฒนการในการรับส่งสัญญาณข้อมูลด้วยออปติคัลไฟเบอร์ยังคงก้าวต่อไปอีกในแง่ของความเร็ว
ดังจะเห็นได้จากการมีผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟเบอร์ออปติกรายใหม่ ๆ ที่ปรากฎในตลาดของสหรัฐฯ
หนึ่งในบริษัทที่กำลังมาแรงในด้านการส่งสัญญาณด้วยออปติคัลไฟเบอร์ ในขณะนี้ก็มี
อาทิเช่น Ciena ที่รับปากว่าจะนำอุปกรณ์ด้านไฟเบอร์ออปติกที่ส่งสัญญาได้ 100
gigabit ออกสู่ตลาดในต้นปีหน้า (1998) ที่ตามมาอย่างกระชั้นชิดก็มี Lucent
Technologies ที่สามารถส่งสัญญาณข้อมูลในห้องทดลองได้ในระดับ terabit (tera
= 108) สถานภาพของการสื่อสารด้วยไฟเบอร์ออปติกจวบจนขณะนี้ (1997)
สามารถส่งข้อมูลเมื่อคิดโดยรวมได้เร็วถึง 100,000,000,000 บิตต่อวินาที อันทำให้มีผู้สรุปว่าในยุคของการสื่อสารด้วยแสงหรือโฟโตนิ |