กรดแอสคอร์บิคมีผลต่อ DNA อย่างไร

เอมส์ได้วัดปริมาณสารชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อดีเอ็นเอถูกทำลาย สารนี้มีชื่อว่า oxo8dG โดยวัดควบคู่ไปกับปริมาณวิตามินซีในอาหารที่รับประทาน การทดลองครั้งนี้ใช้อาสาสมัครเป็นสุภาพบุรุษ จำนวน 10 คน
อาหารที่ชายทั้งสิบรับประทานมีปริมาณกรดแอสคอร์บิควันละ 250 มิลลิกรัมพอดิบพอดี และเมื่อวัดปริมาณของ oxo8dG โดยวิธีลิควิด โครมาโทกราฟี (liquid chromatography) อย่างละเอียดก็ได้ค่า oxo8dG เฉลี่ยออกมาเท่ากับ 34 * 10-5 โมลต่อหนึ่งไมโครกรัม
ขั้นตอนต่อไปก็คือการทดลองลดปริมาณกรดแอสคอร์บิคในอาหารให้น้อยลง เหลือเพียงวันละ 5 มิลลิกรัม ผลก็คือค่า oxo8dG เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จากผลการทดลองนี้ เอมส์สรุปว่า สเปิร์มถูกทำลายมากขึ้นเพราะขาดวิตามินซีที่จะไปช่วยคุ้มครอง และเมื่อปริมาณวิตามินซีในอาหารลดลงถึงขนาดนี้แล้ว แม้จะค่อย ๆ เพิ่มวิตามินซีในอาหารขึ้นอีกจาก 5 เป็น 10 และ 10 เป็น 20 มิลลิกรัมต่อวันก็ปรากฏว่าค่าวิตามินซีในน้ำอสุจิยังคง ลดลงไปเรื่อย ๆ ส่วนปริมาณของ oxo8dG ก็เพิ่มขึ้น ๆ จนไปหยุดอยู่ที่ 2.5 เท่าของค่าที่วัดได้ครั้งแรก
ความเข้มข้นของกรดแอสคอร์บิคในน้ำอสุจิไม่ยอมเพิ่มขึ้น จนกระทั่งเอมส์เพิ่ม วิตามินซีขึ้นไปจนถึง 250 มิลลิกรัมต่อวัน นั่นแหละ oxo8dG จึงเริ่มลดปริมาณลง ด้วยเหตุและผลดังกล่าวนี้ เอมส์จึงให้ความเห็นว่า "มาตรฐานของสหรัฐอเมริกาที่ว่า คนเราควรได้รับวิตามินซีวันละ 60 มิลลิกรัม ขึ้นไปนั้น นับว่าต่ำมาก สมควรจะเพิ่มเป็นวันละ 250 มิลลิกรัม จึงจะเกิดประโยชน์จริง ๆ วิตามินซีเท่านี้ ถ้าได้กินอาหารผักวันละ 3 จาน กับผลไม้วันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว"
จากการวิจัยนี้ เห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงของปริมาณ oxo8dG กับความเข้มข้นของกรดแอสคอร์บิคในน้ำอสุจิ จะเป็นไปในทางตรงข้ามกันเสมอถ้าอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้น อีกอย่างหนึ่งก็จะลด
จากผลการวิจัย ทีมงานของเอมส์เชื่อว่า ขณะที่เชื้ออสุจิยังอยู่ในท่อนำน้ำอสุจิ (seminiferous tubules) หลังจากการผลิตขึ้นมาใหม่ ๆ นั้นกรดแอสคอร์บิคจะร่วมกับสารต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำหน้าที่เป็นปราการด่านแรก เพื่อปกป้องยีนที่อยู่ในสเปิร์
โดย ดร.เยส คอลัมน์ การแพทย์และสุขภาพ รู้รอบตัว 7(80) : 26-27 กันยายน - ตุลาคม 2535.