Radium
(Ra)
เรเดียม
เลขอะตอม
88 เป็นธาตุที่ 6 หรือธาตุสุดท้ายของหมู่ II A ในตารางธาตุ จัดเป็นโลหะ
น้ำหนักอะตอม
226.0254 amu
จุดหลอมเหลว
700 ํc
จุดเดือด
1140 ํc
ความหนาแน่น (โดยประมาณ)
5 g/cc
เลขออกซิเดชันสามัญ
+2
เรเดียมเป็นโลหะหมู่ II A หรือหมู่อัลคาไลเอิร์ทที่หนักที่สุด ธาตุนี้ไม่มีไอโซโตปเสถียร ไอโซโตปกัมมันตรังสีมีประมาณ 16 ไอโซโตป ซึ่งทั้งหมดมีครึ่งชีวิตสั้นยกเว้น
226
Ra ซึ่งมีครึ่งชีวิต 1620 ปี เรเดียมในธรรมชาติเกิดจากการสลายโดยตนเองตลอดเวลาของ
238
U
การค้นพบ
นปี ค.ศ. 1898 Pierre และ Marie Curie และ G. Bemont ค้นพบธาตุนี้ในแร่ pitchblende หรือ uraninite (แร่ประกอบด้วย UO
2
) 55-75 % และ UO
3
สูงถึง 30 % และธาตุอื่น ๆ) ที่พบทางทิศเหนือของ Bohemia เขาเหล่านี้ตั้งชื่อธาตุนี้ว่า radium จากคำลาติน radius ตรงกับคำอังกฤษว่า ray แปลว่าแสง
ในปี ค.ศ. 1911 Maric Curie และ Debierne สามารถเตรียมธาตุนี้ในรูปธาตุอิสระได้โดยนำ สารละลายของเรเดียมคลอไรด์ (RaCl
2
) บริสุทธิ์มาแยกสลายด้วยไฟฟ้า (electrolysis) โดยใช้ปรอทเป็น คาโทด
การใช้ประโยชน์
การใช้ประโยชน์ของเรเดียมอาศัยสมบัติกัมมันตรังสีของมันพอสรุปได้ดังนี้
1.
แหล่งนิวตรอน
อนุภาคอัลฟาที่ปล่อยออกมาโดยเรเดียมและไอโซโตปลูกของมันมีพลังงานสูงพอที่จะไปริเริ่มปฏิกิริยานิวเคลียร์ของธาตุที่เบา
2.
สีเรืองแสง (luminous paint)
เป็นการใช้ประโยชน์ของเรเดียมที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรม โดยให้ เรเดียม (หรือไอโซโตปที่ปล่อยอนุภาคอัลฟาอื่น ๆ) ผสมอย่างทั่วถึงใน hosphor อนินทรีย์ ซึ่งอนุภาคอัลฟาที่ปล่อยออกมามีพลังงานเพียงพอในการกระตุ้นทำให้เกิดการเรืองแสงได้ (จึงไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานจากภายนอก) สีเรืองแสงใช้ในหน้าปัดนาฬิกา (ทำให้สามารถอ่านเวลาได้ในที่มืด) และสัญญาณจราจรต่าง ๆ
3.
ในวงการแพทย
์ ใช้รักษามะเร็งโดยการฉายรังสี
4. เป็นแหล่งหลักของธาตุเรดอน
ความเป็นพิษ
เนื่องจากเรเดียมให้กัมมันตรังสีที่เข้มมาก สามารถฆ่าเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิตได้ จึงเป็นธาตุอันตรายมาก การใช้จึงต้องใช้ความระมัดระวังสูง
ผู้เขียน :
ดร.ชัยวัฒน์ เจนวาณิชย์
ที่มา :
รวบรวมจาก หนังสือสารานุกรมธาตุ