เอลนิญโญเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่อาจกล่าวได้ว่า ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวโลกมากกว่า
ปรากฏการณ์ทางภูมิอากาศอื่นใดที่เกิดขึ้นตามครรลองของฤดูกาลจะพึงกระทำได้
ปรากฏการณ์อันร้ายกาจ ครั้งล่าสุดที่เกิดระหว่างปี 2525-2526 ในบริเวณเขตร้อนของมหาสมุทรแปซิฟิกนั้นเอลนิญโญ
ทำให้อุณหภูมิที่พื้นผิวของมหาสมุทรสูงขึ้นค่อนข้างมาก และเป็นผลกระทบให้เกิดความหายนะต่าง
ๆ ทั่วโลก
ทุก ๆ 5 ปีครึ่ง โดยประมาณ จะมีกระแสน้ำร้อนผิดปรกติปรากฏขึ้น่ในเขตเส้นศูนย์สูตรในฝั่งตะวันออก
และตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก กระแสน้ำร้อนนี้ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันและไม่พึงประสงค์นานัปประการ
เช่น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบอากาศทั้งในเขตร้อนและรวมไปถึงอเมริกาเหนือและที่อื่น
ๆ
ชื่อ El Nino (EN) แต่เดิมใช้อธิบายสภาพการณ์ที่พื้นผิวน้ำทะเลในเขตนอกฝั่งตะวันตกของอเมริกาใต้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเปรูเกิดร้อนขึ้นมาตามฤดูกาล ขณะเดียวกันจะเกิดปรากฏการณ์สภาพอากาศแปรปรวนทางภาคใต้
(Southern Oscillation หรือ OS) ในอีกซีกหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกปรากฏการณ์นี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไปทั่วท้องมหาสมุทรแปซิฟิก
ราวกับการเล่นการเล่นไม้กระดกของเด็ก ๆ คือเมื่อเกิดสภาพความกดต่ำในเขตดาร์วิน
ออสเตรเลียก็จะเกิดความกดสูงที่ตาฮิติ กระบวนการทั้งสองคือ EN และ SO ดังกล่าวมานี้
ก่อให้เกิดปรากฏ ENSO ในมหาสมุทรแปซิกฟิกที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศรอบโลก
และด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเมื่อแรกเริ่ม เอลนิญโญจะเป็นชื่อที่ใช้เรียกขานปรากฏที่เกิดขึ้นในบริเวณเล็ก
ๆ ส่วน ENSO จะเป็นชื่อที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ที่ครอบคลุมท้องมหาสมุทรแปซิฟิก
แต่ในปัจจุบันชื่อ El Nino หรือ ENSO ก็กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ใหญ่เดียวกัน
แม้แต่หมู่นักวิทยาศาตร์เอง
ความรุนแรงของปรากฏการณ์นี้อาจเกิดขึ้นในระดับอ่อน ปานกลาง หรือรุนแรง ตัวอย่างของปรากฏการณ์ระดับอ่อน
ๆ ก็คือ ทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวทะเลภาคตะวันออกของแปซิฟิกเขตร้อนสูงขึ้นจากธรรมดา
1-2 ํ C ส่วนปรากฏการณ์รุนแรงจะคลอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของแปซิฟิกเขตร้อน และทำให้อุณหภูมิน้ำสูงขึ้น
3-4 ํ C หรือกว่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว กระแสน้ำอุ่นนี้จะก่อตัวในมหาสมุทรแปซิฟิกบริเวณใกล้กับออสเตรเลีย
ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย การก่อตัวนี้เป็นผลมาจากกระแสลมตะวันตกที่พัดแรงข้ามมหาสมุทรมาจากชายฝั่งเปรู
บ่อยครั้งลมนี้อ่อนตัวลง และบางครั้งจะกลับตัวและพัดไปทางทิศตะวันออก ทำให้เกิดกระแสน้ำอุ่นในตอนกลางและภาคตะวันออกของมหาสมุทร
เมื่ออุณหภูมิที่พื้นที่ผิวทะเลสูง น้ำย่อมระเหยเป็นไอ ก่อตัวเป็นเมฆและกลายเป็นไอ
ก่อตัวเป็นเมฆและกลายเป็นฝนตกลงมา ด้วยเหตุนี้บริเวณที่เคยมีฝนตกชุ่มชื้น
เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียก็จะกลับมีอากาศแล้งจัด
ส่วนบริเวณที่เคยแห้งแล้ง เช่น ชายฝั่งทะเลตะวันตกของเปรู ชิลี และหมู่เกาะกาลาปาโกสก็จะมีฝนตกหนัก
ผลจากการเปลี่ยนแปลงความกดอากาศจากสูงเป็นต่ำทั่วโลกเช่นนี้ นำความแห้งแล้งมาสู่แอฟริกาตอนใต้
เอธิโอเปีย อินเดีย ตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ทางตอนใต้ของเปรู โบลิเวีย
และอเมริกากลาง
ปรากฏการณ์ร้ายกาจครั้งล่าสุดของเอลนิญโญที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2525-2526 นี้
ถือว่าเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบศตวรรษ เป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความงุนงงให้แก่บรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยอากาศทั่วโลก
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นใหญ่โตเกินความคาดหมาย ครอบคลุมบริเวณกว้าง ซ้ำยังเกิดขึ้นในฤดูกาลที่ไม่มีใครคาดคิด
ปรากฏการณ์ครั้งนั้นก่อให้เกิดความตื่นตัวทั่วโลก และเห็นเป็นความจำเป็นที่ต้องหาทางพยากรณ์ล่วงหน้าเป็นเดือนเป็นปีให้ได้
เพื่อเตรียมการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
ในอดีตที่ผ่านมา ผู้ที่จะให้ความสนใจแก่เอลนิญโญก็คือ ชาวนาและชาวประมงในเปรู
เพราะในช่วงปรากฏการณ์ดังกล่าวจำนวนปลาแอนโชวี่ที่เคยจับได้จะลดลงอย่างมาก
ถึงขนาดที่แม้แต่บรรดานกกินปลายังล้มตายเพราะขาดอาหาร ในช่วงต้นศตวรรษ 1970
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเปรูซึ่งเคยเป็นผู้นำทางการจับปลาแอนโชวี่
กลับต้องสูญเสียอาชีพให้แก่ประเทศอื่น ก่อให้เกิดผลกระทบทางการค้าระหว่างประเทศครั้งสำคัญ
ปัจจุบัน ปรากฏการณ์เอลนิญโญได้รับการตรวจสอบ ดูแล และจับตามองอย่างใกล้ชิดจากบรรดานักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยทั่วโลก
ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ใช้ดาวเทียมตรวจสอบสภาพอากาศ วางทุ่นลอยตามบริเวณที่กำหนด
และคอยรับรายงานจากเรือที่แล่นข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลและอุณหภูมิที่พื้นผิวน้ำ
ดูการรวมตัวของกลุ่มเมฆและอื่น ๆ แม้แต่อินเทอร์เน็ต ก็มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทุ่มเทให้กับปรากฏการณ์นี้
ไม่ว่าจะเกิดเอลนิญโญขึ้นกี่ครั้ง เอลนิญโญก็ยังความพิศวงงงงวยมาให้แก่นักวิทยาศาสตร์และผู้คนทั่วไป
และเพราะนักวิจัยเพิ่งจะได้เริ่มศึกษาปรากฏการณ์นี้ เมื่อกลางทศวรรษที่ 1970
เท่านั้น จึงยังไม่อาจกล่าวได้ว่า รู้จักเอลนิญโญดีพอ เรายังไม่รู้แม้กระทั่งว่าเท่าที่ผ่านมานี้เป็นเอลนิญโญที่ร้ายแรงที่สุดแล้วหรือยัง
นักวิทยาศาสตร์ที่เคยคิดว่าเข้าใจปรากฏการณ์นี้ดีพอที่จะพยากรณ์และรับมือเอลนิญโญได้แล้ว
ก็ยังเคยผิดหวังเพราะเอลนิญโญที่เกิดขึ้นกลับมาในรูปโฉมใหม่ที่ไม่ได้คาดไว้
การพยากรณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวประสบความสำเร็จบ้าง เช่น ในครั้งปี 2529-2530
และในครั้งปี 2535-2535 แต่ก็มีครั้งที่การพยากรณ์ล้มเหลว เช่น ปรากฏการณ์ของเอลนิญโญที่กลับมาอย่างรวดเร็วและไม่ได้คาดฝันในปี
2536
นักวิทยาศาสตร์ ได้เสนอผลการวิจัยที่แสดงว่า พฤติกรรมของเอลนิญโญ ระหว่างปี
2534-2538 นั้นเป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อนเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก แม้คำกล่าวนี้ยังไม่อาจนำมาเป็นข้อสรุปที่แน่นอนได้
แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นข้อสะกิดใจให้คิดว่าสภาวะโลกร้อนนี้ เป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้หรือไม่และอย่างไร
รายงานผลการเกี่ยวเนื่องมาจากเอลนิญโญ
-
ความเสียหายอันเกิดจากเอลนิญโญครั้งล่าสุดนี้ร้ายแรงกว่าที่คิดมากปรากฏการณ์ครั้งก่อน
(พ.ศ. 2525) ในครั้งนั้นหากคิดเป็นเงินแล้ว จะสูญเสียถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ฯ
-
ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเซีย
และประกอบกับประเทศในแถบนี้ ส่วนใหญ่ทำการเกษตร จึงทำให้ได้รับผลกระทบรุนแรงยิ่งขึ้น
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบสูงสุด
-
ในออสเตรเลีย
ความแห้งแล้ง ก่อให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ทางตอนเหนือ ทำลายพื้นที่เพาะปลูกเทียบเท่าพื้นที่ประเทศอังกฤษทั้งประเทศ
-
ความแห้งแล้งในอินโดนีเซีย
อันเป็นผลพวงมาจากเอลนิญโญ จัดได้ว่าเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษหลังนี้ความแห้งแล้งซึ่งยืดยาวนานมากกว่า
10 เดือน ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชที่เป็นอาหาร ซ้ำยังเกิดไฟป่าครั้งร้ายแรง
มีพื้นที่ที่โดนไฟเผาผลาญกว่า 180,000 เฮ็คเตอร์
ปัญหาที่ตามมาคือ การขาดแคลนน้ำและโรคระบาดที่ติดต่อทางน้ำ เช่นอหิวาต์ และโรคท้องร่วง
ควันไฟก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจและโรคอื่น ๆ
จากการเฝ้าดูปรากฏการณ์เอลนิญโญในหลายทศวรรษที่ผ่านมา พบว่าอินโดนีเซียได้รับปริมาณน้ำฝนลดต่ำกว่าปกติ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีปริมาณสูงขึ้น และมีผลต่อเนื่องกับการเพิ่มความรุนแรงและความถี่ในการเกิดเอลนิญโญ
-
ปาปัวนิวกินี
ประสบปัญหาความแห้งแล้งอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนเมษยนถึงพฤศจิกายน 2540 ปัญหาที่ตามมาคือ
การขาดอาหาร น้ำสะอาด และปัญหาสุขภาพ
-
ในฟิลิปปินส์
สภาพอากาศที่แห้งแล้งกว่าเดิมทำให้ผลผลิตข้าวในปีนี้ลดลงร้อยละ 13
-
ในประเทศไทยฝนตกน้อยลง
เป็นผลให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลง และอุณหภูมิของอากาศสูงขึ้นจนน่าเป็นห่วง
นับแต่ต้นปี 2541 เรื่อยมา
ที่มา : รวบรวมจาก วารสารส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติและคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ฉบับที่ 45