ในปี พ.ศ. 2541 องค์การสหประชาชาติประกาศเป็นปีสมุทรสากล
(1998 United Nations International Year of The Ocean) ทั้งนี้เพราะทะเลคือเกือบทุกอย่างของโลก
ความหมายในประโยคนี้ตีความหมายได้กว้างไกล
อาทิ
-
ทะเลเป็นมวลน้ำขนาด
1,300 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ปกคลุมผืนโลกกว้าง
71.9 เปอร์เซ็นต์
-
เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตร้อยละ
99 ของโลก (Living space)
-
เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนเกือบทั้งหมดของโลก
(มากกว่าป่าไม้หลายเท่า)
-
ผลิตอาหารให้มนุษย์มากกว่าปศุสัตว์
เช่น วัว หมู ไก่ เป็นต้น
-
คนมากกว่าครึ่งโลก
(2,700 ล้านคน) อาศัยอยู่ในพื้นที่แคบ ๆ ไม่เกิน
100 กิโลเมตรจากชายฝั่งทะเล
ความจำเป็นที่ต้องประกาศปี
IYO เพราะจากการสำรวจรายงานว่า
15 ใน 17 แหล่งผลิตประมงสำคัญที่สุดในโลกเกิดปัญหาใช้ทรัพยากรแบบย่ำยีแทนที่จะเป็นแบบยั่งยืน
แน่นอนว่าเมืองไทยคือ 1 ใน 15 แหล่งเหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ องค์การสหประชาชาติจึงหวังว่าปี
IYO จะช่วยให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องทะเล
ช่วยกระตุ้นเตือนพลเมืองโลกว่า โลกสีครามแห่งนี้สำคัญมิใช่เพียงจุดกำเนิดและสิ่งหล่อเลี้ยงทุกชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้
แต่ยังเป็นทรัพยากรที่ชี้กำหนดอนาคตของเราและลูกหลาน
ทะเลไทย
ขณะที่หลายประเทศในโลกเริ่มใช้ประโยชน์จากทะเล
อีกหลายประเทศกำลังรณรงค์และเรียนรู้เรื่องโลกสีคราม
ประเทศไทยของเราก้าวไกลไปกว่านั้นมาก
เราใช้ประโยชน์จากทะเลขนาดมากกว่า
400,000 กิโลเมตร มาเป็นเวลานานแสนนาน ชายยาวมากกว่า
2,815 กิโลเมตรและเกาะจำนวน 513 เกาะคือสิ่งที่ทำให้พวกเรามีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้
ทะเลไทยคือ แหล่งทรัพยากรที่ทำให้
-
เมืองไทยส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นอันดับหนึ่งในสิบของโลกติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี
การประมงเหล่านี้ทำรายได้ให้ประเทศอันดับ
1 ใน 5 รายได้สูงสุด
-
นักท่องเที่ยวมาเมืองไทย
เพราะทะเลคือหนึ่งในแรงดึงดูดใจอันดับแรก
ขณะที่เราก้าวไกลในเรื่องการใช้ประโยชน์
เมืองไทยกลับล้าหลังในเรื่องการเรียนรู้และการอนุรักษ์
-
เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลไทย
การศึกษาเรื่องฟองน้ำ ทากทะเล หอย ปะการัง
และปลาอีกนับร้อย นับพันชนิดเพิ่งเริ่มต้น
-
เราไม่เคยตระหนักว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังเกิดใต้ผืนน้ำ
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของพวกเรา
เป็นการทุบหม้อข้าวใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

สิ่งที่พวกเราทราบเป็นเพียงการมองอย่างผิวเผิน
เรารู้ว่า
-
ระเบิดปลาไม่ดีต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปจับกุม
-
ปล่อยเต่าดีเพราะทะเลมีเต่ามากขึ้น
-
รักษ์พะยูนดีเพราะเขาน่าสงสาร
-
ปลูกปะการังดีเพราะช่วยฟื้นฟูของที่พังไปแล้ว
-
ปะการังเทียมดีเพราะแทนปะการังแท้ได้
ทุกสิ่งที่กล่าวมาเรารณรงค์เราทุ่มงบประมาณและผู้คน
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ดีสมควรปฏิบัติ
แต่เรายังหยุดอยูแค่นั้นปาฏิหาริย์ที่ช่วยให้ทะเลไทยรอดย่อมไม่เกิด
ต่อให้เรามีปะการังเทียม พะยูนและเต่าว่ายกันเต็มไปหมด
ทะเลไทยก็ยังคงตายอยู่ดี
สิ่งที่หลงลืม
ขณะที่เรารณรงค์ฟื้นฟูทะเลกันในด้านหนึ่ง
เรากลับทำกิจกรรมทำลายทะเลอีกด้านหนึ่ง
โดยอ้างว่าไม่รู้ไม่เข้าใจไม่เห็นเกี่ยว
ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
ทะเลไทยและคนส่วนมากในประเทศนี้
-
เราตกปลาในเขตอนุรักษ์
มีการโปรโมทจัดเทศกาลหรือออกข่าวผ่านสื่อต่าง
ๆ การตกปลาเป็นงานอดิเรกและกีฬาตราบใดที่เราฝ่าฝืนกฎหมายเข่ามาตกในเขตห้ามตก
(อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์น้ำ ฯลฯ )
-
เราเลี้ยงสัตว์ทะเลสวยงามทั้งที่พวกเขาเพาะพันธุ์ไม่ได้
ทั้งหมดถูกจับมาจากทะเล อาจมีนำเข้ามาจากเมืองนอก
แต่แน่ใจว่าที่ถูกลักลอบจากทะเลไทยย่อมมีเช่นกัน
ชีวิตเหล่านั้นคือทรัพยากรอันทรงคุณค่าด้านการท่องเที่ยว
-
เราประดับบ้านด้วยปะการัง
กัลปังหา และหอยหายากโดยอ้างว่าเป็นบ้านอิงธรรมชาติ
ทั้งที่ปะการังและหอยเหล่านั้นถูกจับมาจากทะเลแล้วนำมาฆ่าให้ตายเพื่อขายแก่พวกเรา
เมื่อมีคนซื้อย่อมมีคนขาย ผลที่เกิดขึ้นคือทะเลถูกทำลายและลูกหลานชาวไทยไม่มีอะไรเหลือกิน
บทสรุป
ปัจจุบันชาวโลกเริ่มตระหนักว่าทะเลคือทรัพยากรแสนสำคัญ
ต้องเข้าใจรู้จักใช้รู้จักรักษา
สำหรับชาวไทย ทะเลสำคัญมากกว่านั้น ในยามที่ประเทศไทยเราประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยวคือหนทางเดียวที่จะนำเงินเข้าประเทศอย่างรวดเร็ว
และทะเลคือหนึ่งในแหล่งดึงดูดใจอันดับแรกที่ช่วยให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย
การอนุรักษ์ทะเลในปัจจุบันมิใช่เรื่องที่ควรทำเพราะเป็นสิ่งที่ดี
หรือกระแสของคนรุ่นใหม่ที่น่าสงสารเพื่อนร่วมโลก
แต่เราต้องรักษาทะเลไว้เพื่อประโยชน์ของชาวไทยเอง
เพื่อเราจะได้รอดพ้นภาวะวิกฤติเหล่านี้ไปได้
และเพื่อมั่นใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ในคราวหน้า
เมืองไทยยังมีทะเลเหลือไว้ขาย
เราจำเป็นต้องเข้าใจ ต้องรักษา และต้องใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างยั่งยืนมิใช่แบบย่ำยีเหมือนที่เคยเป็นมา
เพราะโลกสีครามแห่งนี้คือสมบัติธรรมชาติลำเอียงมอบมาให้เมืองไทย
เป็นทรัพยากรชี้กำหนดอนาคตของคนไทยทุกคน
เราจำเป็นต้องอนุรักษ์ทะเลเพราะนี่คือหนึ่งในทางรอดสุดท้ายของชาวไทยและชาวโลกในอนาคตอันใกล้
... เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว
ที่มา
: รวบรวมจาก วารสารส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติและคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
ปีที่ 10 ฉบับที่ 44