เครื่องปั้นดินเผาของแต่ละชุมชน

ภาคกลาง
ศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่เกาะเกร็ด
     ที่เกาะเกร็ดก็มีศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาหลายที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไปชมการผลิตได้ อย่างเช่นที่ศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผากวาน อาม่าน ผู้ที่เป็นเจ้าของศูนย์นี้ก็คือ คุณบริรักษ์ สุขศีลธรรม ซึ่งก็เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถมาทดลองทำเครื่องปั้นดินเผาได้ แต่ก็ไม่ได้มีแค่ศูนย์เดียวนะคะ ยังมีอีกหลายศูนย์บนเกาะเกร็ดนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ตามริมทาง จะมีป้ายบอกทางไปตามศูนย์นั้น
   
ศูนย์แสดงเครื่องปั้นดินเผาบนเกาะเกร็ดนี้ จะมีวางโชว์ตามบ้านริมทาง สินค้าที่นำมาโชว์จะมี โอ่ง แจกัน ครก กระทง ต้นไม้ ของชำร่วยต่างๆ เป็นต้น ซึ่งนักท่องเที่ยงก็ได้ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนทำให้ผู้ผลิตผลิตไม่ทัน จึงต้องเร่งรีบทำให้ทันตามความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่เกาะเกร็ด

 เบญจรงค์
   
เบญจรงค์เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ใช้ในบ้านขุนนาง หรือเจ้านายชั้นสูงมีมาในสมัยอยุธยา ไม่นิยมนำมาขายตามท้องตลาด เครื่องเบญจรงค์สันนิษฐานว่ามีมาแต่สมัยอยุธยา จะมาสิ้นสุดที่ ร. 5 รูปทรงที่ใช้จะต่างกันไปตามยุคตามสมัย เช่น สมัยอยุธยาใช้ลายเทพนม และลายนรสิงห์ รูปทรงที่ใช้ทรงบัว และทรงมะนาวตัดเป็นต้น

              

ภาคอีสาน

            เครื่องปั้นดินเผาในภาคอีสานนี้สันนิษฐานได้ว่ามีมาก่อนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดพบเครื่องปั้นดินเผาในหลุมศพ ซึ่งเป็นประเพณีของคนสมัยก่อน ในภาคอีสาน และได้พบแหล่งที่เป็นศูนย์ผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญในภาคอีสานนั้นก็คือ บริเวณบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี สันนิษฐานได้ว่ามีอายุประมาณ 6000 ปีเศษมาแล้ว ในยุคต้นเครื่องปั้นดินเผาเป็นเพียงภาชนะดินเผาทั่วไป บนเครื่องปั้นดินเผาจะมีลวดลายสีแดงทับลงไป สีที่ใช้คือสีดินเทศ เครื่องปั้นดินเผาบ้านเชียงนั้น จะสามารถแบ่งเป็นกลุ่มลวดลายออกได้ เช่น

1.      ลายก้านขดและก้นหอย

2.      ลายรูปเลขเลขาคณิต

3.      ลายดอกไม้

4.      ลายรูปสัตว์  เป็นต้น

การทำเครื่องปั้นดินเผาในภาคอีสานนี้ได้สืบทอดกันมานานหลายชั่วอายุคนโดยไม่ค่อยได้มีการ

เปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก กรรมวิธีการทำได้คงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทำให้เอกลักษณะของเครื่องปั้นดินเผาในภาคอีสานยังคงสวยงามเหมือนเก่า

            ดินที่ชาวภาคอีสานใช้ปั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นใช้ดินที่อยู่ใกล้ๆ บ้านนำมาผสมกับดินเชื้อ และนิยมนำมานวดบนหนังควาย แต่ปัจจุบันกรรมวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนก่อนทำให้ลักษณะของเครื่องปั้นดินเผาแตกต่างกันไป ดังนั้นเราจึงควรอนุรักษ์ลักษณะของเครื่องปั้นดินเผาของภาคอีสานไว้

            เครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงของชาวอีสาน คือ

ด่านเกวียน
            เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยไว้มาก แหล่งกำเนิดอยู่ที่ หมู่บ้านด่านเกวียน ต. ท่าอาง อ.
โชคชัย จ. นครราชสีมา

            ลักษณะของเครื่องปั้นดินเผาที่นี่คือ

1.มีความมันวาวในตัวเองโดยธรรมชาติ ที่มีมาจากดิน

2.มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจ เป็นการเอาแบบทั้งสมัยก่อนและสมัยใหม่มาปั้นเป็นรูปแบบที่สวยงาม

            และในบางครั้งยังมีการปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งของทุกอย่างที่ปั้นภายในจะมีลักษณะกลวง และเตาเผาของที่นี่ จะมีลักษณะเหมือนเตาทุเรียงในสมัยสุโขทัย

บ้านเชียงวัฒนธรรมบ้านเชียง

                แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

1.สมัยตอนต้นของบ้านเชียง    มีอายุราว 3600 – 1000 ปีก่อนคริสตฯ ช่วงแรกบ้านเชียงได้เพาะปลูกข้าวและเลี้ยงสัตว์เป็นอาชีพหลัก การฝังศพในสมัยนี้มี 3 ลักษณะ คือ วางศพในท่านอนงอเข่า นอนหงายเหยียดยาว และบรรจุศพในภาชนะดินเผาแล้วนำไปฝัง ( ศพเด็ก) ส่วนใหญ่มีการนำภาชนะดินเผาใส่ลงไปในหลุมฝังศพและใช้เป็นเครื่องประดับให้ผู้ตายด้วย

        ภาชนะดินเผาของบ้านเชียงสมัยต้น

                ระยะที่ 1 เป็นภาชนะดินเผาสีดำหรือเทาเข้ม ภาชนะครึ่งบนตกแต่งด้วยลายขีดเส้นโค้ง ส่วนล่างตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ

                ระยะที่ 2 เริ่มมีการนัดศพเด็กมาบรรจุในภาชนะดินเผาก่อนฝัง มีการตกแต่งเป็นลายคดโค้งและมีลายขีดถี่ๆ

                ระยะที่ 3 เริ่มปรากฏภาชนะดินเผาที่ด้านข้างเกือบตรง ทำให้มีรูปร่างคล้ายทรงกระบอกและมีภาชนะดินเผาประเภทหม้อก้นกลมคอสั้นแต่งด้วยลายเชือกทาบ

                ระยะที่ 4 เริ่มมีภาชนะดินเผาประเภทหม้อก้นกลม ไหล่ภาชนะดินเผาแต่งด้วยลายเส้นขีด บริเวณลำตัวตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ เรียกเครื่องปั้นดินเผานี้ว่า “ภาชนะแบบบ้านอ้อมแก้ว”

2. สมัยกลางของบ้านเชียง     มีอายุราว 1000 – 300 ปี ก่อนคริสตฯ ยังคงมีการฝังศพในลักษณะนอนหงายเหยียดยาวอยู่ โดยนำภาชนะเครื่องปั้นดินเผามาทุบในแตกแล้วโรยคลุมทับศพ

         ภาชนะดินเผาสมัยกลางของบ้านเชียง

                ภาชนะดินเผาที่เด่นที่สุดคือ ภาชนะดินเผาที่มีผิวนอกสีขาว ไหล่ภาชนะหักเป็นมุมหรือโค้งอย่างชัดเจน มีทั้งแบบก้นกลมและก้นแหลม ในช่วงนี้เริ่มมีการแต่งบริเวณปากภาชนะดินเผาด้วยการทาสีแดง

3. สมัยปลายบ้านเชียง    มีอายุราว 300ปี ก่อนคริสตฯ มีประเพณีการฝังศพเช่นเดียวกับในยุคกลาง

         ภาชนะดินเผาสมัยปลายของบ้านเชียง

                ในช่วงต้นพบภาชนะดินเผาเขียนลายสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ในช่วงปลายมีการเขียนลายสีแดงและช่วงสุดท้ายเริ่มมีภาชนะดินเผาฉาบด้วยน้ำดินสีแดงแล้วขัดมัน

 

ภาคใต้

          ในภาคใต้นี้การทำเครื่องปั้นดินเผายังมีไม่มากนัก ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์  เพราะยังไม่พบแหล่งผลิตจนมีผู้ค้นพบเศษเครื่องปั้นดินเผาอยู่ทั่วไป และได้พบเครื่องปั้นดินเผาแบบเอิร์ธเทินแวร์ บริเวณอ.สทิงพระ อ.เมืองสงขลา ซึ่งเป็นแบบจีนกระจายอยู่ทั่วไป เป็นของราชวงศ์จีนสมัยถัง ซ้องเหมิน จากการขุดพบจึงทำให้รู้ว่าบริเวณปากอ่าวทะเลสาบสงขลาเป็นที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาในภาคใต้ ถึงแม้ว่าเครื่องปั้นดินเผาในภาคใต้จะไม่เป็นที่แพร่หลายมาก แต่ก็ยังมีการปั้นอยู่เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน สถานที่ทำเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น เครื่องปั้นดินเผาสทิงหม้อ บ้านนอกไร่ เป็นต้น

            ลักษณะการทำเครื่องปั้นดินเผาของภาคใต้แตกต่างไปจากที่อื่นๆ คือมีการใช้แป้นหมุน และการเผาจะไม่เผากลางแจ้งจะใช้เตาเผา จึงทำให้เนื้อแข็งแรง โดยใช้ฟางทำ เราเรียกวิธีนี้ว่า การเผาดาด

            ทางภาคใต้จะหาดินจากบริเวณใกล้เคียงจากแหล่งที่ผลิต และนำดินมานวด ผสมกับทรายที่เป็นลักษณะของภาคใต้โดยเฉพาะ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ทางภาคใต้มีแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาน้อยมาก บางครอบครัวก็พากันเลิกไปกันหมด เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ผู้คนหันไปใช้อย่างอื่นกันหมด ดังนั้น เราจึงควรให้ความรู้กับผู้ผลิตว่า เราควรจะทำอย่างไรที่จะดึงดูดคนให้ซื้อเครื่องปั้นดินเผาไว้ใช้ โดยยังคงรักษากรรมวิธีการผลิตและรูปแบบคงเดิม


     เครื่องปั้นดินเผานั้นไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทย แต่ยังคงมีเครื่องปั้นดินเผาที่อื่นอีกมากมาย และรูปทรงลักษณะอาจจะต่างกันไปตามท้องถิ่น เราสามารถแบ่งได้ตามประเทศว่าแต่ละสถานที่ แต่ละราชวงศ์นั้นมีเครื่องปั้นดินเผาแบบไหน

            1.ไทย~ เบญจรงค์ ด่านเกวียน บ้านเชียงในภาคอีสาน ฯลฯ

            2.จีน~ ราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ้อง ฯลฯ

            3.ญี่ปุ่น~ ฮานิวา รากุ ฯลฯ

     เครื่องถ้วยจีนสมัยสุโขทัย
            ราชวงศ์เหม็ง  เครื่องเคลือบที่เรียกว่า กังไส เป็นอุตสาหกรรมของจีนที่ลือชาไปทั่วโลก เครื่องถ้วยสมัยนี้มักเป็นสีน้ำเงินเงา ส่วนที่เขียนสีลงยาทับน้ำเคลือบเรียกว่า เบญจรงค์ หรือ เหงาไซ้

            ราชวงศ์ซ้อง  เครื่องเคลือบเป็นลวดลายสีน้ำเงินเงา จนถึงราชวงศ์เซ็ง เครื่องเคลือบได้รับการส่งเสริมจาก king เพราะจีนได้สีครามจากอิตาลีและยังอยู่ในระดับดีจนถึงสมัย เคียนหลง แล้วจึงค่อยๆ เสื่อมลงเรื่อยๆ

     เครื่องถ้วยจีนในสมัยอยุธยา
            หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 เครื่องปั้นดินเผาของจีนมีอิทธิพลต่อประเทศไทยมาก โดยเฉพาะราชวงศ์เซ็ง มีการเขียนลายสีทับน้ำเคลือบโดยใช้แม่สีทั้ง 5 (ขาว ดำ เหลือง เขียว แดง) มักใช้ลายที่ลอกเลียนจากรูปภาพ (ผ้าปัก)

    เครื่องถ้วยจีนในสมัยธนบุรี
           
ในเวลานั้นไทยคงขัดสนเครื่องใช้จึงต้องสั่งของจีนเข้ามา

    เครื่องถ้วยจีนในสมัยรัตนโกสินทร์
           
-
ร.1  ส่วนมากเป็นกระเบื้องที่เผาแล้วเคลือบสี

                -ร.2  ฝีมือช่างไทยดีขึ้นมาก จึงมีลวดลายใหม่เกิดขึ้น เช่น ลายดอกกุหลาบ ลายน้ำทองเครื่องลายคราม  เครื่องถ้วยชามของจีนที่เขียนลายเป็นสีครามทำด้วยโคลนบริสุทธิ์สีขาว(โคลนเกาลิน) ถือเป็นของดีมีราคา

                -ร.3  ลวดลายเครื่องปั้นดินเผาของไทยทีความละม้ายคล้ายของจีนมาก มีการจัดทำเตาสังคโลกขึ้น  เตานี้ทำแต่กระเบื้องเคลือบมุงหลังคากับลายเคลือบสีต่างๆ

                -ร.4–7 การทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นที่แพร่หลาย มีการทำเครื่องปั้นดินเผาแบบอุตสาหกรรม

ทำให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก

 

เครื่องปั้นดินเผาจีน

            มีประวัติมายาวนาน จีนมีการทำเครื่องปั้นดินเผาบริเวณแม่น้ำเหลืองใน จ.แคนซู จะใช้ลักษณะรูปทรงขิงเลขาคณิตและใช้สีดำและสีน้ำตาล ดินที่ใช้คือดินแดง

            เครื่องปั้นดินเผาของจีนจะแบ่งออกตามราชวงศ์ของจีนที่มีขึ้น และแต่ละราชวงศ์จะแตกต่างกันออกไป ดังราชวงศ์ต่อไปนี้

            1) ราชวงศ์ฮั่น   จะมีลักษณะเด่นคือ การเลี่ยนแบบสำริดและนำมาใช้ทางพิธีศาสนาโดยสมัยราชวงศ์ฮั่นจะมีเทคโนโลยีการผลิตโดยมีการใช้แป้นหมุนเข้ามาช่วย เครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงคือ โถรูปภูเขาซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า

           

            2) ราชวงศ์ถัง ลักษณะเด่นของราชวงศ์ถังคือ มีการเคลือบที่มีชื่อเสียงและเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์ ก็คือดินเผาเคลือบสี 3 สี จะมีสี เขียว เหลือง น้ำเงิน ซึ่งเป็นที่สนใจของนักสะสมเครื่องปั้นดินเผา และที่มีชื่อเสียงอีกอย่างคือ การปั้นเป็นรูปชาย หญิงและสัตว์

            3) ราชวงศ์ซ้อง  เครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ เครื่องปั้นดินเผาจู ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาที่สุดในทางศิลปะ และอีกอย่างทีมีชื่อเสียงคือ เครื่องปั้นดินเผาชุน เป็นดินเผาที่เคลือบด้วยสีม่วง และน้ำเงิน จนเป็นประกาย

 

เครื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่น

            เครื่องปั้นดินเผาก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะทำด้วยมือ และตกแต่งเป็นลายเรขาคณิต  และได้สร้างเตาเผา  “อานา-กานา” ตามเนินเขา และได้มีจุดศูนย์กลางในการผลิต 6 แห่ง คือ ซีโต โตโก นาเมะ ชิการาคิ เทมปะ ไบเซ็น อีชิเซ็น

            เครื่องปั้นดินเผาญี่ปุ่น ถูกแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

1.เดินตามแบบเก่าแก่ของญี่ปุ่น และมีอิทธิพลของเกาหลีอยู่

2.มีลักษณะของศิลปะพื้นบ้าน

3.แสดงออกถึงความรู้สึกส่วนตัวมากกว่าการมองถึงประโยชน์ใช้สอย

            เครื่องปั้นดินเผาของญี่ปุ่นสามารถแบ่งได้ตามสถานที่ในญี่ปุ่น ดังนี้

1.เครื่องปั้นดินเผาฮานิวา มีลักษณะเป็นรูปร่างคนทรงกระบอก และการทำเครื่องปั้นดินเผานี้ต้องผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อเอาไปประดับหลุมศพ จึงทำให้เกิดความสิ้นเปลือง จึงหมดสมัยของฮานิวาไป

2.เครื่องปั้นดินเผารากุ นิยมใช้ในพิธีชาของญี่ปุ่น ใช้เป็นครั้งแรกในครอบครัวตระกูลรากุ เครื่องปั้นดินเผารากุนิยมใช้วิธีขึ้นรูปด้วยมือเปล่า และใช้การเผาทำให้เย็นเร็ว แต่ปัจจุบันนี้ความนิยมในการนำไปทำพิธีชานั้นหันไปใช้แบบสมัยใหม่ จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยม จึงเน้นที่ความงาม แต่ไม่เน้นประโยชน์ใช้สอย