กีฬาเทนนิสได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอังกฤษ ได้มีการเชิญชวนนายทุนและคณะกรรมการมาร่วมมือกัน เป็น ครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับที่ผู้พัน Wingfield เคยทำมาแล้วในครั้งอดีต และในที่สุดก็นำไปสู่การเปิดวงการเทนนิส ใน ค.ศ.1968 ซึ่ง เป็นการเริ่มทำให้กีฬาเทนนิสกลายเป็นกีฬาอาชีพสมัยใหม่ อย่างไรก็ตามก่อน ค.ศ.1968 ก็ได้มีการปรับปรุงพื้นฐานบางอย่างหลายครั้ง จนประสบ ผลสำเร็จ โดยขั้นแรกใน ค.ศ.1900 Mr.Dwinght Davis สนับสนุนให้มีการแข่งขันประเภททีมชาย โดยมีรางวัลคือ "ถ้วยเดวิส"(Davis cup) เป็นการ จัดการแข่งขันระหว่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษและได้ได้ขยายออกไปสู่ทุกๆชาติที่สนใจเทนนิส สี่ทหารเสือ(Four Muskateers) จากฝรั่งเศสประสบ ผลสำเร็จครองถ้วยเดวิส ช่วง ค.ศ.1927-1932 สี่ทหารเสือที่กล่าวถึงนี้ประกอบด้วย Henri Cochet , Rene Lacoste , Jacques Brugnonและ Jean Borotra ซึ่งมีอิทธิพลทำให้เทนนิสเด่นดังมากขึ้นในช่วงเวลานั้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าตลอดกาลและทำให้ William Tatem Tilden II ได้เข้าสู่การ เป็นนักเทนนิสอาชีพ ในช่วงปลาย ค.ศ.1930 โดยมีบริษัท C.C. (Cash and carry)เป็นผู้ให้การสนับสนุนและมี Pyle ร่วมเป็นผู้ให้การสนับสนุน อีกด้วย

           Pyle คือผู้ที่ได้เซ็นต์สัญญากับ Red Grange ซึ่งเป็นทีมอเมริกาฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์ เป็นสัญญาระดับอาชีพ และสร้างทีมขึ้นพร้อมกับท้าทายทีมฟุตบอลอาชีพในยุคนั้นมาร่วมการแข่งขัน ทำให้ทีมRed Grange ประสบความสำเร็จสูงสุดใน 2 สัปดาห์ของการ แข่งขันPyle ทำให้สนามฟุตบอลเต็มเกือบทุกวันในรายการแข่งขัน Whirlwind tour หลังจากความสำเร็จของทีม  Red GrangeและฟุตบอลPyle ก็เซ็นต์สัญญา กับนักเทนนิสดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงที่สุดในขณะนั้น ชื่อ Suzanne Lenglen ผู้ซึ่งไม่เคยพลาดการแข่งขันมือสมัครเล่นเลย ในช่วงเวลา 8 ปี โดยมี Mary K.Browne ของสหรัฐอเมริกาเป็นคู่ต่อสู้ และ Howard Kinsey แข่งกับVinnie Riards ในประเภทชายเดี่ยว และได้    จัดตั้ง Whirlwind tour ใน ค.ศ. 1926-1927 แต่กลุ่มนักเทนนิสมืออาชีพเหล่านี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่ากับ ฟุตบอลทัวร์ของ Red Grange ถึงแม้ว่า ได้มีการโฆษณาของสินค้าต่างๆควบคู่กันไปอย่างมากมาย เช่นน้ำหอมและเครื่องแต่งกาย โดยให้ Lenglen เป็นนางแบบ ในที่สุด Lenglen ก็ต้อง เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสหลังจากที่ไม่ประสบผลสำเร็จ

           เทนนิสนั้นแตกต่างจากอเมริกันฟุตบอล ฟุตบอลมักจะสร้างทีมให้มีชื่อเสียง มีสนามอยู่ทั่วไปในสหรัฐอเมริกา พร้อมกับมีผู้ชมที่นิยมชมชอบ มากมาย  แต่เทนนิสมักจะเล่นกันในคลับคนชั้นสูงทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ และมีลักษณะเป็นกีฬาเฉพาะบุคคล ไม่มีสนามเทนนิสที่มีอัฒจรรย์ ที่ใดอีก นอกจากที่สหรัฐอเมริกา รวมทั้งไม่มีการเล่นเทนนิสในที่สาธารณะที่อื่นใด นอกจากแถวชายฝั่งตะวันออก Pyle ก็ยังไม่สามารถเจาะตลาด เข้าถึง นักเทนนิสมือสมัครเล่นได้เช่นกัน เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของคลับและสมาคมเทนนิสแห่งสหรัฐอเมริกา (USTA) ตระหนักดีว่า ความสำเร็จของ นักเทนนิส มืออาชีพนั้นหมายถึงการสูญเสียอำนาจของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมให้มืออาชีพมารวมอยู่ด้วย พวกเขาก็เพียงแต่ปฏิบัติตาม เงื่อนไข  All England Clup ตั้งขึ้นในการต่ออายุสมาชิก โดยให้สิทธิพิเศษนี้แก่ผู้ชนะเลิศชายเดี่ยวแต่จะถอนสิทธิพิเศษนั้นคืน หากผู้นั้นเลือก ทางเดินเป็นมืออาชีพ

           แม้ว่าผลประโยชน์ของนักเทนนิสสมัครเล่นยังคงควบคุมนักกีฬาเอาไว้ แต่ผู้ชนะเลิศสมัครเล่นแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นมืออาชีพ และ ประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็ว คือ "Big Bill"Tilden,Ellsworth Vines,Fred Perry,Don Budge,Bobby Riggs,Jack Kramer  และ    Pancho Gonzales  และชาวออสเตรเลี่ยน คือ  Ken Rosewall,Rod Laver   นักกีฬาเทนนิสหญิง ได้แก่ Helen Wills Moodly,Helen Hull Jacobs,Maureen Connolly,Althea Gibson

           Lamar Hunt ประธานกรรมการบริหารสมาคม World Championship Tennis เศรษฐีน้ำมันแห่งเท็กซัส ได้นำวิธีโฆษณาเช่นเดียวกับ ผู้พัน Wingfield เพื่อเผยแพร่กีฬาเทนนิส แต่ก็ประสบความล้มเหลวอีกเช่นเคย เพราะผู้ชมยังไม่นิยมการชมเทนนิส และในช่วง ค.ศ. 1920-1970 ได้มีการคิดค้นพื้นสนามที่ทำด้วยใยสังเคราะห์เพื่อสร้างสนามในร่ม แต่ปัญหาการนับแต้มที่อาจจะต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่มีกำหนดสิ้นสุดการแข่งขัน ไม่เป็นที่ยอมรับของวงการถ่ายทอดโทรทัศน์จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบไท-เบรก(Tie-breaker)ขึ้น คือเมื่อสกอร์ 6 เกมเท่ากัน จะมีการเล่น ต่ออีก เพียง 1 เกมเท่านั้นในการตัดสินเซ็ทนั้นๆ การนับแต้มระบบนี้ในระยะนั้นไม่เป็นที่ยอมรับของ ITF (อังกฤษ) และ USTA (อเมริกา)