nsc-alumni – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Sun, 01 Aug 2021 15:51:58 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png nsc-alumni – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 แนะนำรุ่นพี่ NSC : วงศกร เทศยรัตน์ (NSC 2010) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2010-wongsakorn.html Thu, 04 Apr 2019 01:39:58 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3070
บทสัมภาษณ์ | เดือนธันวาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ชาคริต นิลศาสตร์
ทำไมเด็กคนหนึ่งจะทำเงินล้านไม่ได้ ถ้าเขาเจ๋งจริง…

‘นิว’ วงศกร เทศยรัตน์ สตาร์ทอัพวัยกระเตาะ ที่ฝีไม้ลายมือไม่กระเตาะ คือหนึ่งในนั้น น่าสนใจที่เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่วัยยี่สิบต้นๆ โดยที่ตัวเขาเองบอกว่า เขาไม่ใช่โปรแกรมเมอร์ที่เก่งแต่อย่างใด ชวนติดตามก้าวย่างสู่ความสำเร็จที่ไม่มีสูตรสำเร็จในแบบของเขาผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ แล้วคุณจะพบว่า ถ้ามีของ…เราก็ไม่ต้องรออะไร

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เรียนดี…แต่ไม่มีรางวัล

ผมชอบไอทีมาตั้งแต่เด็ก จำได้ว่าเห็นพ่อนั่งทำงานบัญชีในคอมพิวเตอร์ก็ให้พ่อสอนโปรแกรม Lotus ให้ เป็นครั้งแรกที่สนใจคอมพิวเตอร์ แต่ถ้าเริ่มประกวดคอมฯ น่าจะช่วง ป.4 ได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่ง Power Point แต่ยังไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก จนกระทั่ง ม.1 เริ่มค้นหาตัวเองว่าอยากทำอะไรเพราะรู้สึกเบื่อการเรียน ที่ผ่านมาเรียนได้เกรด 4 ตลอดแต่ต้องแข่งกับเพื่อนสลับกันได้ที่ 1 ที่ 2 พอเข้าเรียนที่โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ห้องโครงการวิทย์-คณิต ก็ต้องเรียนวิทย์ เรียนคณิต สอบ ทำโจทย์ยากๆ ทำการบ้าน ทำโครงงาน เหมือนเด็กสายวิทย์-คณิตทั่วไป แต่ผมรู้สึกว่าเราทำอะไรอยู่? มันวนอยู่แบบนี้ ที่บ้านอยากให้ผมเรียนดี แต่ผมไม่เคยได้รางวัลอะไรจากการเรียนดีเลย

โตขึ้นผมอยากเป็นแฮกเกอร์

วันหนึ่งที่หน้าโรงเรียนมีคนมาแจกโบรชัวร์โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ในภูเก็ต ผมสนใจเลยเข้าไปติดต่อที่นั่น พี่เขาถามว่าอยากเรียนอะไร ผมบอกว่า อยากแฮก Wi-Fi อยากแฮกโน่นนี่นั่นได้ ด้วยความที่เราไม่รู้ เห็นในทีวีมีหนังแฮกเกอร์มันเขียนโปรแกรมได้ Mindset แรกของเราคืออยากทำให้ได้ นั่งคุยกันเกือบชั่วโมงเขาคงเห็นว่าเราอยากเรียนเลยบอกว่าจะเปิดคอร์สสอนให้ แต่พอไปเรียนวันแรกสิ่งที่เจอคือทฤษฎีคอมพิวเตอร์ ใครคือโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก ภาษาแรกของโลก พัฒนาการของภาษา ฯลฯ ซึ่งมันไม่ได้อยู่ในความสนใจของเรา พอวันที่สองเริ่มเขียนโปรแกรม Hello World เขียนโปรแกรมเครื่องคิดเลข เอาโจทย์คณิตศาสตร์มาเขียนโปรแกรม ซึ่งเรารู้สึกว่าเมื่อไหร่จะได้ทำอย่างอื่น

ผู้เข้าแข่งขันที่เด็กที่สุด!

จนกระทั่งพี่เขาบอกว่ามีโครงการ NSC อยากลองแข่งคอมพิวเตอร์ไหม ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร รู้แค่ว่ารางวัลที่หนึ่งได้ 60,000 บาท ก็เลยตัดสินใจไปแข่งตอน ม.2 ทำให้เราได้เขียนโปรแกรมจริงจัง โดยเขียนโปรแกรมเป็น Web Application แล้วส่งประกวด NSC ปีแรกเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว เราเป็นเด็กสุดที่ได้เข้าโครงการ NSC และเป็นตัวแทนภาคใต้ไปแข่งที่กรุงเทพฯ เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คสำหรับเด็ก ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าทำไมต้องรีบมาลอกการบ้านเพื่อนแต่เช้า เลยอยากทำกลุ่มห้องขึ้นมาและคิดว่าทุกคนควรมีโทรศัพท์ถ่ายส่งการบ้านให้ลอกตั้งแต่อยู่ที่บ้านไม่ต้องรีบมาโรงเรียน ตอนนั้นวางโมเดลไว้ว่าจะดีลกับร้านหนังสือและร้านอื่นๆ แล้วมาขายโฆษณา ซึ่งถ้าย้อนกลับไปมันใหม่มาก ผมใช้ Payment Gateway คนก็งงว่าใครจะยอมมาจ่ายเงินทางโทรศัพท์ แต่กรรมการเห็นแล้วรู้สึกว่าน่าจะมีประโยชน์ ปีแรกได้รางวัลชมเชยมา เราก็ถามกรรมการตรงๆ ว่าทำไมเราได้ชมเชย เขาบอกว่าคอนเซ็ปท์ยังไม่ชัดเจน

เอาความใหม่เข้าสู้!

หลังจากนั้นก็คิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรดี มาคิดว่าเราอยู่ภูเก็ตซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจหลักที่ควรจะเชื่อมให้เป็นเครือข่าย ตอน ม.3 เลยเกิดโซเชียลเน็ตเวิร์คชื่อว่าเฟซบิส (FaceBiz) เทคโนโลยีที่ใช้คือ Mobile Web Application ซึ่งมันค่อนข้างใหม่มาก เป็น Business to Collaboration สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว ผมมองว่าโรงแรมมีซัพพลายเออร์หลายอย่าง ทำไมไม่มีระบบกลางที่เข้ามาช่วย แล้วมีระบบจ่ายเงินออนไลน์ ทำให้เป็นเครื่องมือที่ดีตัวหนึ่งแล้วมีระบบจัดการภายในด้วย ถ้าฟังตอนนี้มันไม่ใหม่หรอก แต่พอย้อนกลับไปมันใหม่ ปีนั้นเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของ NSC แต่ได้รางวัลชมเชยเหมือนเดิมครับ

ช่วงพีคของชีวิต!

คราวนี้ตั้งเป้าหมายใหม่ว่าเราจะประกวด NSC เป็นปีสุดท้ายแล้ว วางคอนเซ็ปท์ให้ดี ทำให้เต็มที่ จนเข้ารอบชิงชนะเลิศได้รางวัลที่ 1 ตอนนั้นอยู่ ม.4 เป็นช่วงที่ผมพีคมาก ได้ที่ 1 NSC แล้วเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่ง APICTA (The Asia Pacific ICT Alliance) ได้รางวัลเยอะมาก ไปไหนต้องมีรางวัลกลับมา ซึ่งเราพัฒนาต่อยอดจากผลงานเดิม เพิ่มฟังก์ชันเข้าไปเป็น Business Model ที่ชัดเจนขึ้น มีโชว์เคสของธุรกิจโรงแรมว่าจะมีการเข้าร่วมอย่างไร มีการยืนยันกับโรงแรมว่าถ้ามีแล้วมันจะดีจริงๆ แล้วทำวิดีโอพรีเซนต์ให้น่าเชื่อถือ ยังไม่ได้ใช้จริง แต่เราต้องสร้างก่อนว่ามีคนทำธุรกิจอยากจะใช้ผลงานนี้

ความสำเร็จไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

ช่วงนั้นก็หนักเหมือนกัน เป็นช่วง ม.ต้นต่อ ม.ปลาย ต้องสอบเข้าห้องโครงการด้วย แต่สิ่งที่เราอยากทำก็ต้องเอารางวัลให้ได้ ผมต้องอ่านหนังสือเยอะมาก ลงเรียนพิเศษทุกวันแต่ให้เพื่อนเก็บชีทให้แล้วตัวเองไปนั่งเรียนอยู่ที่โรงเรียนสอนคอมฯ เป็นแบบนี้ทุกวัน พอสอบติด ม.ปลายก็ไม่สนใจแล้ว ทำผลงานส่งประกวดต่อจนเกรดตก ที่บ้านก็บ่น ตอนนั้นลึกๆ ก็น้อยใจอยู่นะ แต่เรามีสิ่งที่อยากทำและต้องทำ ซึ่งผมตั้งเป้าหมายว่าต้องได้ที่ 1 ถ้าไม่ได้ปีหน้าผมไม่ส่งแล้ว เพราะจะกลายเป็นว่าเราไปกั๊กตัวแทนภาคใต้คนอื่นที่อาจจะได้ไปอยู่ตรงนั้นแทนเราและเขาอาจจะมีโอกาสมากกว่าเรา นี่คือสิ่งที่ผมมองตอนนั้น ซึ่ง NSC คือโครงการแรกที่ผมรู้สึกว่ามันคือการประกวดจริงๆ และเป็นเวทีแรกของเรา จึงมีเป้าหมายเดียวว่าต้องทำให้ได้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

มากกว่าความสำเร็จของงาน คือการพัฒนาตนเอง

สำหรับผม NSC คือก้าวแรกของทุกวันนี้ คือเวทีที่ทำให้ผมเขียนโปรแกรมได้ คือเวทีที่ทำให้ผมมีโปรไฟล์ คือเวทีที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามีเป้าหมายในชีวิต และทำให้เราได้ฝึกวิธีคิด NSC ไม่ใช่การแข่งเขียนโปรแกรมแบบไปสอบปรกติที่มีโจทย์ยากๆ แต่คุณต้องรู้เรื่องธุรกิจ คุณต้องขายของให้เป็น คุณต้องทำซอฟต์แวร์ให้ได้ และคุณต้องกล้าพรีเซนต์ขายของ หลังจากนั้นผมได้เข้าโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ด้วย ซึ่งผมมองว่าทุกเวทีที่ไปมันคือการปรับวิธีคิดใหม่ มันคือการต่อยอดตัวเองไม่ใช่การต่อยอดผลงาน บางทีผลงานเราเหมือนเดิมแต่เราต่อยอดตัวเอง เรารู้วิธีการพูด รู้วิธีการพรีเซนต์ รู้วิธีการขาย ของชิ้นเดิมเราเปลี่ยนที่ขายใหม่ ฟังก์ชันเดิมแต่เราเปลี่ยนวิธีพูด นี่คือสิ่งที่ได้จากการที่เราเจอคนหลายๆ คน หลายๆ มุมมอง

แข่งจนเกือบไม่มีที่เรียนต่อ!

ช่วงนั้นผมแข่งเยอะมากจนรู้สึกว่าไม่ต้องสอบก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่าง ซึ่งช่วงพีคที่สุดของผมคือการไปแข่งโครงการจากร้อยสู่ล้านของธนาคารออมสิน ก็ใช้ผลงานเฟซบิสไปประกวด จาก 1,700 ทีมผมได้รางวัลที่ 1 ได้เงิน 1 ล้านบาทและเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดในโครงการที่จัดขึ้นปีแรก ซึ่งเงิน 1 ล้านบาทสำหรับเด็กมันเยอะ โอกาสมี ความรู้แน่น โปรแกรมอะไรมาทำได้หมด อยากทำอะไรก็มีผู้ใหญ่ช่วย และมันเป็นสิ่งที่เราชอบ เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัยเลย ตอนนั้นก็ทะเลาะกับที่บ้านบ่อย เพื่อนได้ที่เรียนหมดแล้วแต่เรายังไม่มี

ภารกิจ (สมัคร) เรียนต่อเพื่อพ่อแม่

สุดท้ายตัดสินใจยื่นพอร์ตที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพราะมีคณะไอทีและมีทุนให้ ซึ่งผมไม่ได้อ่านเงื่อนไขโครงการ พ่อผมก็ช่วยทำพอร์ตให้ เอาเกียรติบัตรเอารูปมาทำในไฟล์ Word ทุกหน้ามีรูปมีข้อความ เปิดมารู้เลยว่าพ่อตั้งใจทำให้มาก พอไปถึงปรากฏว่ามันปิดรับสมัครไปนานแล้ว เกรดก็ไม่ถึง แต่ก็ลองฝากพอร์ตไว้ให้อาจารย์แล้วกลับภูเก็ต ผ่านมาสองอาทิตย์ได้รับแจ้งว่าที่คณะเปิดโควต้าใหม่ขึ้นมาสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านคอมพิวเตอร์ ผู้มีสิทธิ์ได้เข้าสัมภาษณ์คือผมคนเดียว ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจที่เขาเปิดโอกาสให้เราไปสัมภาษณ์ ที่บ้านก็แฮปปี้ เพียงแต่ว่าช่วงนั้นผมอยากจะเปิดบริษัทก็เลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องเรียนมาก เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะทำ แต่เป็นสิ่งที่ผมต้องทำเพื่อรักษาความรู้สึกของที่บ้าน และเราก็ทำเพื่อให้มันไปถึงจุดที่ได้แล้ว

ตอนสัมภาษณ์ เขาให้นำเสนอผลงานและตอบคำถาม ซึ่งมีหลายคำถามที่ตรงใจมาก อาจารย์ถามว่าที่มาสัมภาษณ์เพราะที่บ้านใช่ไหม เขาคงเห็นพ่อนั่งอยู่ แล้วถามว่าคุณอยากได้อะไรจากคณะนี้ เพราะคุณทำได้ขนาดนี้แล้วคุณต้องมาเริ่มใหม่ 4 ปีนะ คุณเลือกดีแล้วใช่ไหม จนสุดท้ายเขาตกลงรับผมเข้าเรียน แต่ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแต่ภูมิใจที่ทำให้ป๊าได้

โอกาสที่มากกว่ามหาวิทยาลัย

พอกลับภูเก็ตผมก็เปิดบริษัทซอฟต์แวร์ รับงานซอฟต์แวร์งานแรกกับซิป้า (ปัจจุบันคือดีป้า – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) เอาเฟซบิสไปต่อยอด ได้เห็นอะไรหลายอย่างทั้งการร่วมงานกับภาคเอกชนและรัฐบาล รวมถึงวิธีคิดต่างๆ ในการทำซอฟต์แวร์ หลังจากนั้นก็ไปทำสตาร์ทอัพ เปิด Co-working Space แล้วทำอื่นๆ อีก 6 – 7 อย่าง คือผมไม่อยากไปเรียน คิดแค่ว่าจะซิ่วอย่างไรดี จะดรอปอย่างไรดี แล้วใช้การดรอปแบบกรณีพิเศษว่าเราได้รางวัลและทำงานอยู่ สุดท้ายดรอปได้นานถึงสองปีครึ่ง ได้รักษาความรู้สึกที่บ้านแล้ว แต่มองว่าโอกาสเรามีมากกว่าในมหาวิทยาลัย ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาเราไปทำงานกับคนอื่นก็เป็นเรื่องง่ายมาก ก็เลยตัดสินใจยุติการเรียน

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ซื่อสัตย์ในสิ่งที่รัก

ผมไม่ได้บอกว่าระบบการศึกษาไม่ดี แต่โจทย์ที่เลือกตอนนั้น อันดับแรกคือผมต้องบริหารความรู้สึก ทั้งความรู้สึกตัวเองและความรู้สึกครอบครัว ที่ผมต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองมีมหาวิทยาลัยเรียนให้ได้เพื่อจะให้ที่บ้านแฮปปี้ในระดับหนึ่ง แต่ผมก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเองที่อยากทำงานนี้ ซึ่งผมตัดสินใจเลือกสิ่งนี้แล้ว ก็บอกที่บ้านว่าไม่ต้องไปสนใจใคร ในเมื่อเราแฮปปี้ บ้านเราแฮปปี้ก็พอแล้ว ทุกวันนี้ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว ผมทำธุรกิจไม่เคยใช้เงินที่บ้านเลย ไม่ได้ขอเงินที่บ้านใช้มาตั้งแต่ ม.4 ตอนนั้นผมทำงานคอมพิวเตอร์ ทำกราฟิก งานหนึ่งก็ 2 – 3 พันบาทแล้ว เราก็เก็บสะสมมา ของทุกอย่างที่ซื้อก็เงินตัวเอง ทำธุรกิจก็เงินตัวเอง เราได้พิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นแล้วและเราก็ดูแลเขาได้ด้วย

หวนคืนสู่ความเป็นมิตร

สำหรับ NSC สิ่งที่ผมได้ทุกครั้งที่เข้าร่วมคือความเป็นกันเอง ผมมองว่ามันคือเวทีเด็ก ไม่ใช่เวทีสตาร์ทอัพผู้ใหญ่ แต่หลังๆ ภาพมันกลายเป็นทางการ เกือบจะเทียบเท่าโครงการแข่งสตาร์ทอัพแล้ว แต่ผมอยากเห็น NSC เป็นแบบเมื่อก่อนที่ดูเป็นมิตร เด็กเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องมีหลักการทฤษฎีเยอะ คุยกันง่ายๆ สบายๆ ถ้าจะเปลี่ยนไปให้ดีขึ้นก็ได้แต่อย่าเปลี่ยนความเป็นตัวตน เดี๋ยวนี้ผมเห็นซอฟต์แวร์ที่เข้าประกวดเริ่มคล้ายกับสตาร์ทอัพรุ่นพี่ เริ่มผลักดันอยากให้มี VC (Venture Capital) มาลง แต่เด็กอายุเท่านี้จะมีกี่คนที่รอด มันทำให้เด็กไม่กล้าเข้าร่วมและไม่เกิดการเรียนรู้ แล้วหันไปสายอื่นไม่มาสายนี้ มันก็เลยขาดแคลนคนจนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะไม่มีโอกาสให้เด็กเข้าไปได้ง่าย

อย่างผมมองว่าตัวเองมีโอกาสมากกว่าคนอื่นในหลายๆ อย่าง อันดับแรกคือผมได้โอกาสจากเวทีการประกวดเยอะมากด้วยความบ้าของตัวเอง ด้วยความอยากทำ ทำให้เด็กต่างจังหวัดอย่างเราได้เจออะไรที่หลากหลายมาก รวมทั้งโอกาสที่ได้จากรุ่นพี่ที่ผมให้เครดิตมากๆ เพราะถ้าไม่มีพวกพี่ๆ ผมคงไม่ได้มาไกลขนาดนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

โปรแกรมเมอร์ที่ขายของเป็น

ผมไม่ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่ง แต่ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ที่สามารถขายของได้ สมมติเพื่อนเขียนฟังก์ชันนี้ชั่วโมงหนึ่งผมเขียน 10 นาที ถ้ามองในแง่ผู้พัฒนาโค้ดเพื่อนผมดีกว่าอยู่แล้ว โค้ดผมไม่ดีหรอก แต่ชั่วโมงหนึ่งผมสามารถเขียนได้ 6 ฟังก์ชันนะ นี่คือวิธีคิดของผม ผมจะเน้นทำโปรโตไทป์มาก่อนเพื่อทดสอบตลาด ถ้าผ่านแล้วค่อยไปใส่กับมันหนักๆ เพราะถ้าคุณพยายามคิดหรือมโนทุกอย่างว่าซอฟต์แวร์คุณจะดีแบบนี้แล้วทำทุกอย่าง เหมือนการสร้างบ้านคุณมองว่าบ้านนี้ต้องออกมาเพอร์เฟคมาก สวยมาก แต่พอไปอยู่แล้วไม่สบาย อะไรก็ดูแข็งไปหมด จะแก้ก็ทุบเยอะ คนจะมาซื้อก็ซื้อลำบาก แต่สำหรับผมคือให้มันอยู่ได้ก่อน ต้องขายไอเดียให้ได้ก่อน เพราะการทำอะไรทุกวันนี้มันคือการขายของ ถ้าคุณขายไม่ได้ ไม่มีคนมาซื้อ ก็ไม่มีเงิน ถ้ามองง่ายๆ ซอฟต์แวร์คือโปรดักส์ เหมือนเราทำก๋วยเตี๋ยวทำขนมก็ต้องอร่อย ต้องให้คนมากิน แต่การที่จะอร่อยได้ก็ต้องไปเรียนพัฒนาสูตร พัฒนาตัวเองจนทำซอฟต์แวร์ออกมาได้ดี และมีฟังก์ชันที่ดีจึงจะขายได้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ผมมองว่าตัวเองเป็นลูกครึ่ง ครึ่ง Developer ครึ่ง Business แนวคิดนี้ผมได้มาจาก NSC โจทย์ตอนนั้นคือขายไอเดีย ไม่ได้ขายฟังก์ชัน กรรมการไม่ได้มานั่งดูโค้ด โค้ดอย่างไรก็ได้แต่ผมพรีเซนต์ได้ ผมขายของได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราทำซอฟต์แวร์จริงๆ ขายให้ลูกค้ามันเป็นคนละแบบกัน เพราะมันต้องใช้จริงแล้ว เราก็ต้องวางโครงสร้างให้ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไร เพื่ออะไร ตรงนั้นมันสำคัญมาก อย่างผมเปิดร้านกาแฟใหม่เป็นกาแฟไนโตรเจน ผมไม่เคยกินแต่รู้สึกว่ามันใหม่ เป็นนวัตกรรม ขายได้ ทุกวันนี้ผมก็มีหุ้นที่ร้านแต่ชงกาแฟไม่เป็น ผมมองว่าตัวเองไม่ใช่คนชง แต่รู้ว่าเครื่องดื่มที่ต้องขายควรออกมาเป็นอย่างไร รสชาติอย่างไร เหมือนเขียนโปรแกรม ผมไม่เขียนนะ แต่รู้ว่ามันเขียนได้ ถ้าคุณบอกเขียนไม่ได้ ผมหาในอินเทอร์เน็ตให้ก็ได้ ไปอ่านและสรุปให้แล้วเขียนวิธีการด้วย อะไรที่คนบอกว่าทำไม่ได้ผมหาวิธีทำให้เขาได้ อะไรทำไม่ได้ แล้วขาดอะไรอยู่ ถ้าเราจะทำให้เท่าเขาต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ แล้วค่อยคิดสิ่งที่ดีกว่า คุณจะคิดนวัตกรรมก็ได้แต่ทำแบบธรรมดาให้ได้ก่อน แต่ถ้าไม่มีแบบธรรมดาเลย แล้วทำสิ่งใหม่ขึ้นมามันก็ไม่รู้จะอย่างไรต่อ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

อยากทำก็ทำเลย!

ผมเป็นคนที่มักจะทำไปก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหา ถ้าคิดว่ามีปัญหาก็ไม่ได้ทำสักที เพราะการทำทุกอย่างมันมีปัญหาอยู่แล้ว ปัญหาคือจุดเริ่มต้นของการทำทุกอย่าง แค่เรานั่งคุยกันแล้วไม่ทำนั่นคือปัญหาแล้วนะ เหมือนโปรเจกต์ทุกอย่างที่ผมทำจะคุยกันแค่อาทิตย์สองอาทิตย์หรือเดือนสองเดือนแล้วทำเลย ไม่มีอะไรที่รอนานเป็นปี ต้องเริ่มแล้วทำ ระหว่างทางยังไม่รู้ แต่รู้ว่าจะมีปัญหาประมาณนี้อยู่แล้ว

มีรุ่นพี่ผมสอนมาว่าคนเราแบ่งชีวิตเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกช่วงเรียน หลังจากนั้นแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงอายุ 20 – 30 ปี ธุรกิจที่คิดว่าเสี่ยงทำไปเลย ธุรกิจที่เสี่ยงหมายความว่ารายได้สูง เรามีเวลาล้มลุก ถ้ามันได้ก็ได้เลย ถ้ามันเจ็บเราก็เจ็บไปแล้วลุกขึ้นมาใหม่ มันมีเวลาอยู่ พอหลังอายุ 30 ปีค่อยทำธุรกิจที่มั่นคง ผมก็ใช้วิธีนั้นมาถึงทุกวันนี้ อะไรที่เสี่ยงผมทำหมดเพราะอย่างน้อยมันก็แก้ไขได้ ช่วงนี้ก็จะมีโปรเจกต์ใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียว ทำไปก่อนเก็บประสบการณ์ไปก่อน รอวันหนึ่งที่มีพร้อมทุกอย่างเราค่อยเป็นเจ้าของเองแล้วชวนคนที่เคยให้โอกาสกลับมาเป็นหุ้นส่วนเรา เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจไว้และมันเป็นจุดหนึ่งที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วย ดังนั้น สำหรับคนที่คิดจะทำอะไรขอให้ทำไปเลย ไม่ต้องคิดเยอะ แม้จะพลาดแต่เราไม่เคยพลาดที่ศูนย์ คำว่าพลาดคือเราเรียนรู้ไปถึงจุดหนึ่งว่าวิชานี้มันจบหลักสูตรแค่นี้แล้วเราค่อยเรียนใหม่

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ทำสิ่งที่โลกชอบ…ก่อนสิ่งที่ตัวเองรัก

เวลาผมไปพูดให้น้องๆ ที่โรงเรียนฟัง ผมมักจะบอกให้น้องเลือกว่าเขาอยากเป็นนักธุรกิจหรืออยากเป็นลูกจ้างมืออาชีพ หากเป็นลูกจ้างมืออาชีพก็คือคุณมีโปรไฟล์ดีมาก อยู่บริษัทใหญ่โตของโลก มีเงินเดือนสูงๆ แต่สิ่งที่คุณไม่มีคือเวลา เขาใช้เงินซื้อเวลาคุณไป แต่ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจคุณใช้เวลาของคุณมาทำเงิน ถ้าคุณคิดเยอะคุณก็ใช้เวลาน้อย และต้องทำของชิ้นนั้นให้ขายราคาแพงถึงจะได้เงินเยอะ แต่ถ้าคุณคิดน้อยคุณก็ใช้เวลาเยอะมันก็จะได้ของกลับมา เพราะฉะนั้นต้องเลือก จะทำคาบเกี่ยวกันไม่ได้ถ้าไม่แข็งแรงพอที่จะทำธุรกิจส่วนตัวด้วยทำงานประจำด้วย มันมีคนที่ทำได้แต่ผมมองว่ามันไม่สุด

มีประโยคหนึ่งที่พ่อของรุ่นพี่เคยพูดว่า ‘ทำในสิ่งที่โลกชอบก่อน แล้วค่อยทำในสิ่งที่ตัวเองรัก’ ผมฟังแล้วมันใช่! ไม่อย่างนั้นเราจะเอาอะไรไปทำในสิ่งที่ตัวเองรักล่ะ ให้มองว่าเราเกิดมาตัวเปล่าบนโลก เราต้องทำให้โลกชอบก่อน เพราะบางทีสิ่งที่เรารักโลกอาจจะไม่ชอบ แต่ถ้าบังเอิญว่าสิ่งที่เรารักและสิ่งที่โลกชอบเป็นสิ่งเดียวกันก็ยิ่งแฮปปี้ …

เพราะนวัตกรรมเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้ใช้ และในขณะเดียวกัน นวัตกรรมก็ควรจะต้องทำให้ตัวนวัตกรอยู่รอดได้ด้วย นิวสร้างสมดุลระหว่างความจริง 2 ด้านนี้ด้วยไอเดียและทักษะทางการขาย ที่ได้มาจากการเข้าแข่งขันไอทีมากมายหลายรายการ แต่เหนือกว่าความสามารถข้างต้น ก็คือ ความกล้า! ที่จะซื่อสัตย์ต่อความเป็นตัวเองของเขา และนั่นเองคือสิ่งที่ผลักดันให้เขาก้าวมายืนอยู่ในจุดที่เขาเป็นอย่างในทุกวันนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ข้อมูลการศึกษา
  • โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย
  • คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2010
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • 2014 – 2018
    • Business Development At Phuket City Development Co., Ltd.
    • CO-FOUNDER = The Library Phuket
    • CEO = THE FACEBIZ LIMITED
    • CO-FOUNDER = IAMTRAVELISM
    • CO-FOUNDER = HATCH CO-WORKING SPACE
    • พัฒนาระบบ Tourism Logistic System ให้กับทาง SIPA
    • พัฒนาระบบ Platform for Tourism ให้กับทาง SIPA
    • รางวัลสุดยอดแรงบรรดาใจเมืองภูเก็ต ประจำปี 2558 ในหมวด เยาวชน
  • 2013
    • รางวัลเยาวชนดีเด่นปี 2557
    • “MERIT” Asia Pacific ICT Alliance 2013 (APICTA)@ “HONGKONG”
    • “รางวัลที่ 1” ออมสิน จากร้อยสู่เงินล้าน ( 1ล้านบาท )
    • ตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน International ICT Innovative Services Contes @“TAIWAN”
    • “WINNER” Thailand ICT Award 2013 (TICTA)
    • ได้รับการสนับสนุนจาก SIPA “บ่มเพาะผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ภาคใต้”
    • ได้รับเชิญเป็นวิทยากร “การแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ Thailand ICT Awards 2013”
  • 2012
    • รางวัลชนะเลิศ “การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 14 ( NSC 2012 ) ได้รับถ้วยพระราชฐานจากสมเด็จพระเทพ”
    • ผ่านเข้ารอบสุดท้าย “รางวัลเจ้าฟ้าไอที รัตนราชสุดา สารสนเทศ ครั้งที่ 8”
    • ได้รับการคัดเลือกเป็น “คณะกรรมการบริหารสภานักเรียนโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2555”
  • 2011
    • “MERIT” Asia Pacific ICT Alliance 2011 (APICTA)@ “THAILAND”
    • “WINNER” Thailand ICT Award 2013 (TICTA)
    • รางวัลชมเชย “ การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่ง ประเทศไทย ครั้งที่ 13 ( NSC 2011 ) ”
  • 2010
    • รางวัลชมเชย “ การแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่ง ประเทศไทย ครั้งที่ 12 ( NSC 2010 ) ”
ปัจจุบัน
  • Co-Founder, HATCH Co-Working Space
ความเชี่ยวชาญ
  • บริหารธุรกิจ
  • การตลาด
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : วีรศิลป์ อชิรพัฒน์กวี (NSC 2012) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2012-virasin.html Thu, 28 Mar 2019 01:11:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3066

 

บทสัมภาษณ์ | เดือนตุลาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ปิ่นพงศ์ เนียมมะณี
เราอาจไม่เห็นคุณค่าของชีวิต หากเราไม่เคยประสบวิกฤตแห่งชีวิต…

นั่นคือจุดเปลี่ยนของ ‘เบนซ์’ วีรศิลป์ อชิรพัฒน์กวี CEO หนุ่มแห่งอินทิเกรซ โซลูชั่น บริษัทสีขาวที่มุ่งทำธุรกิจเพื่อสังคมผ่านนวัตกรรมทางการแพทย์ ความน่าสนใจของเขาอาจไม่ใช่ทักษะหรือความรู้ระดับกูรู หากแต่คือมุมมองและวิธีคิดในการสร้างนวัตกรรมเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ เพื่อยับยั้งวิกฤตแห่งชีวิตของผู้อื่น และเพื่อสังคมที่ดีขึ้นสำหรับทุกชีวิต

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เหตุเกิดจากชำแหละคอมฯ (แล้วซ่อมไม่เป็น)

ผมรู้ว่าตัวเองชอบคอมพิวเตอร์ตอนอยู่ ม.5 ก่อนหน้านั้นผมไม่รู้เลยว่าวิศวกรรมมีอะไรบ้าง แต่พอได้มาเข้าค่ายของบางมด (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) ทำให้รู้ว่าวิศวกรรมมีหลายแขนงมาก หนึ่งในนั้นคือวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งสมัยก่อนยังอยู่ภายใต้วิศวกรรมไฟฟ้า เราก็จะเห็นแต่ภาพวิศวกรรมไฟฟ้า แต่ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น ผมรู้จักเครื่องคอมพิวเตอร์มานานมากๆ แล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาเรียกคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประมาณ ม.2 ผมลองแกะเครื่องนี้และแยกทุกอย่างออกเป็นชิ้น แต่ผมประกอบมันไม่ได้ ต้องไปซื้อหนังสือคู่มือการประกอบคอมพิวเตอร์มาแล้วเริ่มประกอบเครื่องนั้นตอน ม.3 แต่เริ่มลงลึกตอน ม.5 ทำให้เรายิ่งสนใจมากยิ่งขึ้น แต่ยังรู้แค่การใช้ Microsoft Office เบื้องต้น ไม่เคยรู้ว่าวิธีเขียนโปรแกรมเป็นอย่างไร ทุกอย่างได้มาเจอตอนเรียนที่บางมดครับ

จากเด็ก (โรงเรียน) วัด…สู่วิศวะอินเตอร์

ตอนผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังเป็นระบบเอ็นทรานซ์ มีคนบอกว่าให้เลือกคณะที่ชอบอยู่อันดับสอง และเลือกคณะที่คิดว่าจะไม่ติดอยู่อันดับหนึ่ง แต่มันกลายเป็นจุดหักเหของชีวิตคือผมเลือกวิศวกรรมคอมพิวเตอร์หลักสูตรนานาชาติไว้ทั้งที่จบโรงเรียนวัด ซึ่งมันขัดแย้งมาก เพื่อนผมที่เข้าไปเรียนก่อนบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเดี๋ยวจะมีคนแปลให้ แต่สุดท้ายก็ไม่มี เลยต้องพยายามกระเสือกกระสน ช่วง 2 ปีแรกจะลุ่มๆ ดอนๆ หน่อย มา 2 ปีหลังค่อยจับทิศทางลมถูก จากที่ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษมาก่อนเลย ภาษาอังกฤษเรียกว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก พอเรียนจบสี่ปีก็ได้ทักษะภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นบ้าง แต่แค่ในมุมของวิศวกรรมกับคอมพิวเตอร์ เราฟังได้แต่ยังพูดหรือสื่อสารไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เวลาเรียนก็จะเลกเชอร์อย่างเดียว

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ย่นเวลาเร็นเดอร์…ยืดชีวิตคนไข้

หลังจากเรียนจบผมทำงานที่ IBM อย่างที่ตั้งใจไว้ประมาณหนึ่งปีแล้วกลับมาเรียนปริญญาโทที่คณะเดิมครับ ตอนนั้นอยากทำงานวิจัยเกี่ยวกับภาพถ่ายทางการแพทย์ มาปะติดปะต่อได้ว่าการเร็นเดอร์ (Rendering) หรือการขึ้นภาพสามมิติเกี่ยวกับภาพถ่ายทางการแพทย์มันใช้เวลาเยอะ เราอยู่ในแล็บ High Performance Computing หรือการประมวลผลขั้นสูงด้วยก็เลยเอาเรื่องนี้มาทำงานวิจัยว่าเราจะเร็นเดอร์อย่างไร สมัยก่อนในการเร็นเดอร์ภาพหนึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่งานวิจัยของผมสามารถทำเหลือประมาณ 15 วินาทีได้ คือเร็วมาก

ที่ผมสนใจเกี่ยวกับภาพถ่ายทางการแพทย์เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากพ่อของผม พ่อเป็นมะเร็งที่สมองตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียว แม่บอกว่าพ่อเข้าไปในอุโมงค์แล้วออกมามันก็เป็นรูป เหมือนเป็นคำพูดสั้นๆ ที่ทำให้เราสนใจว่าภาพอะไรที่ได้มาจากอุโมงค์นี้ ตอนปี 4 มารู้ว่ามีรุ่นพี่เคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับการเร็นเดอร์ เขาก็ใช้ภาพถ่ายทางการแพทย์ ผมก็เพิ่งรู้จักว่ามันเรียก MRI (Magnetic Resonance Imaging) ตอนนั้นผมมีความเชื่อว่าถ้าเราลดระยะเวลาลงได้แปลว่าผมสามารถช่วยคนได้ 1 คน ดังนั้น ถ้าผมลดระยะเวลาได้ 5 วินาทีต่อคนแปลว่าวันหนึ่งผมสามารถช่วยคนได้หลายคน นี่คือความคิด ณ ตอนนั้นนะครับ

ส่งประกวดเพื่อภาควิชา

ก่อนที่ผมจะเรียนจบได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นหัวหน้าภาควิชาว่า ผมอยากลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อภาควิชาบ้าง เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับจากภาควิชาจนเกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง เลยคุยกันว่ามีอะไรบ้างที่เกี่ยวกับการประกวด ซึ่งช่วงนั้นที่บูมๆ จะมี Imagine Cup ของ Microsoft และ NSC ของเนคเทค ผมก็เลยส่งผลงานนั้นเข้าประกวดทั้งสองเวที สำหรับ NSC ผมได้ที่ 1 หมวดวิทยาศาสตร์ประยุกต์ครับ โดยมีน้องที่เรียนปริญญาตรีอีก 2 คนในทีมช่วยกันผลักดันและทำให้มันสำเร็จขึ้นมา

รู้ซึ้งถึงสิ่งที่ทำ…จากคุณแม่

พอเรียนปริญญาโทผมเจอวิกฤตกับตัวเองคือตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำให้มีความอินกับภาพถ่ายทางการแพทย์มากขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าผลงานนี้มีประโยชน์ตอนที่พบว่าแม่เป็นเส้นเลือดฝอยในสมองตีบ แล้วผมเห็นหมอเอาภาพที่ MRI ทั้งหมดมากางแล้วชี้ให้แม่ดู ผมถามแม่แบบติดตลกว่า ม๊าเข้าใจเหรอ? ผมก็เลยบอกว่าเดี๋ยวจะทำอะไรให้ดู ตอนนั้นผมเอาภาพถ่ายของแม่ทั้งหมดมาเร็นเดอร์เป็นภาพสามมิติ ชี้จากในรูปแล้วชี้ที่สมองของเขาจริงๆ ว่ามันอยู่ตำแหน่งนี้ ส่วนที่เป็นมันแค่นี้ เขาก็เข้าใจ พอเข้าใจการรักษาทุกอย่างมันราบรื่นมาก เพราะตอนแรกหมอต้องการดูว่าต้องผ่าตัดไหม แต่แม่ผมไม่ยอมเพราะเขามีความเชื่อจากกรณีของพ่อว่าหลังจากเปิดสมองไปสักพักพ่อก็เสียชีวิต เขาก็จะกลัวและไม่เข้าใจ ยิ่งไม่เข้าใจก็ยิ่งรักษายาก แต่พอเข้าใจทุกอย่างมันก็ราบรื่น ทำให้เห็นประโยชน์ของมันขึ้นมา ณ วันนั้น

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

หันหลังให้รางวัล…คิดใหม่เพื่อการแพทย์

จากโจทย์แรกคือทำอย่างไรให้ภาควิชาได้รางวัล ทำให้ผมส่งประกวดทุกเวทีทั้ง Imagine Cup NSC และเจ้าฟ้าไอที และได้รางวัลทั้งหมด แต่มาถึงจุดหักเหของชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือตอนนั้นผมเป็นเหมือนพวกล่ารางวัลมาก ไปเวทีไหนก็ชนะ พอเราพูดเกี่ยวกับภาพถ่ายทางการแพทย์ คนชรา และคนพิการ อย่างไรก็ได้รางวัล กลายเป็นว่าจุดยืนของเรามันเริ่มเปลี่ยน จากตอนแรกพยายามแก้ไขปัญหาสังคม ต้องการช่วยหมอจริงๆ มันเริ่มเปลี่ยน

พอรู้ตัวเองผมก็ถอยหลังกลับมา หลังจากนั้นผมไม่เคยส่งประกวดอีกเลย เพราะรู้สึกว่าผมแค่อยากได้รางวัลแต่ไม่ได้อยากพัฒนามันจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดจากเส้นทางที่เราร่างไว้ตอนแรก เลยตัดสินใจทำบริษัทของตัวเอง มุ่งเน้นเกี่ยวกับโรงพยาบาลโดยเฉพาะ ชื่อว่าบริษัท อินทิเกรซ โซลูชั่น จำกัด ทำงานกับแผนกรังสีวิทยาในโรงพยาบาล โดยนำผลงานที่ต่อยอดจาก NSC มาปรับให้มันใช้ได้จริง เพื่อช่วยให้หมอทำงานง่ายขึ้น

จัดการเวลา…เพื่อการรักษาที่ดีขึ้น

ตอนนี้ที่บริษัทกำลังทำเรื่องการจัดการระบบคิวในโรงพยาบาล ตอนที่ตรวจเจอว่าเป็นมะเร็ง ผมก็เป็นหนึ่งในลูกค้าของโรงพยาบาลรามาธิบดี ทำให้เห็น Pain Point แบบสุดๆ คือบ้านผมอยู่ลาดพร้าว ต้องตื่นประมาณตี 5 เพื่อจะเอาบัตรมาวางไว้ในตะกร้าตอนเจ็ดโมงครึ่ง แล้วก็ต้องลุ้นว่าเราจะได้เข้าตรวจเมื่อไหร่ บางทีผมมาวางบัตรตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง คิวผมเก้าโมงครึ่ง แต่ได้ตรวจตอนสิบโมงครึ่ง ทำให้เห็นว่าจุดอ่อนคืออะไร และช่วงนั้นผมไปโรงพยาบาลบ่อยมากเพราะเป็นช่วงติดตามผลนาน 2 – 3 ปี ทำให้เห็นพฤติกรรมของคนทุกคน เห็นวิธีจัดการของพยาบาล เห็นวิธีการจัดการของหมอ วิธีการเรียกคิวของหมอ รู้สึกว่าถ้าเราช่วยลดเวลาสักช่วงหนึ่งลง ลดแรงกดดันของคนไข้ลงได้ มันก็น่าจะดีครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

ผู้ใช้เปลี่ยนได้…ถ้าของดีจริง!

ล่าสุดผมไปทำระบบคิวให้แผนกรังสีวิทยาของโรงพยาบาลที่เพชรบูรณ์ วันแรกที่เข้าไปติดตั้งพนักงานต่อต้านเลย เขารู้สึกว่าเป็นการเพิ่มภาระมากขึ้นเพราะจะต้องมีขั้นตอนในการใช้งานเพิ่ม ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาทั้งที่ผมไม่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้ (User) มากที่สุด อยากให้ทำแบบเดิมแต่เพิ่มอีกแบบง่ายๆ แค่นั้น ซึ่งคนที่เป็นหัวหน้าแผนกเขารู้สึกว่าพวกผมมีใจที่จะช่วยจริงๆ ผมไม่ได้เข้ามาแล้วบอกว่าพี่จะต้องซื้อกับผม ผมไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรของเขา แทบจะนั่งเรียนรู้กับเขาก่อนด้วยซ้ำว่าตั้งแต่คนไข้เดินเข้ามา คนไข้จะต้องมีขั้นตอนนั่งรอตรงไหน คนไข้จะดูอะไร คนไข้ต้องเข้าใจอะไร ฯลฯ ผมต้องทำการบ้านทั้งหมด พอเราติดตั้งวันแรกวันนั้นคนไข้เยอะมากแค่ภาคเช้า 200 กว่าคน ผมเห็นความวุ่นวายเกิดขึ้น สิ่งที่เราทำได้คือเป็นเหมือนทีมงานคนหนึ่งที่อยู่กับเขา ช่วยเขา สอนเขา และเรียนรู้ไปกับเขา

สิ่งที่เขาให้ความเห็นคือระบบมันโอเค ทุกคนเข้าใจระบบ แต่อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมให้กับคนไข้ เราก็พยายามตอบสนองเร็วมาก วันต่อมาเจ้าหน้าที่และคนไข้เริ่มรู้สึกว่าถ้ามีระบบนี้ก็ดี ทำให้รู้ว่าถึงลำดับที่เท่าไหร่แล้ว อีกกี่คิวจะได้พบหมอ พอวันที่สามเริ่มสนุก สามารถเรียกเคสโดยที่ไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกแปลกแยก เช่น ผู้ป่วยที่เป็นพาหะ ติดเชื้อ นักโทษ ฯลฯ เขามีบาดแผลในใจ ทำอย่างไรให้ระบบเป็นตัวสื่อสารและไม่ทำให้คนอื่นมีคำถามกับคนกลุ่มนี้ ผมเก็บ feedback เก็บอารมณ์ เก็บสีหน้าทุกคนว่าเขารู้สึกอย่างไร แล้วนำกลับมาคุยกับทีมงาน น้องๆ ก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ได้สูญเปล่า และมีกำลังใจในการพัฒนาต่อไป

ปิดทองหลังพระ…บริษัทสีขาว

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงอยู่กับวงการแพทย์ มีพี่คนหนึ่งชื่อพี่อดิสรณ์ (คุณอดิสรณ์ ท่าพริก) เขาทำงานเพื่อสังคมและโรงพยาบาลมาตลอด สิ่งที่เขาปลูกฝังกับผมคือ หนึ่ง เราต้องทำบริษัทสีขาว สอง เขาพูดกับผมว่าการที่น้องช่วยลดระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งนาทีในการช่วยชีวิตคนหนึ่งคนแปลว่าน้องได้ทำบุญมากกว่าการทำบุญตักบาตรอีก ผมรู้สึกว่ามันซื้อใจ แล้วเราก็อยากทำแบบนั้น ซึ่งพี่เขาทำทุกอย่างโดยไม่เคยคิดอยากจะ โปรโมทว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่อโรงพยาบาล เหมือนพยายามปิดทองหลังพระเดี๋ยววันหนึ่งมันก็ล้นมาหน้าองค์พระเอง แล้วมันก็จะขับเคลื่อนตัวเราไปได้ มันก็เลยทำให้ผมยังปิดทองหลังพระอยู่ ณ ตอนนี้ครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

แรงบันดาลใจจากคนข้างหลัง

สิ่งที่เป็นแรงผลักดันสำหรับผมคนแรกคือแม่ ถ้าผมไม่มีแม่คอยปลูกฝังว่าเราจะต้องช่วยประเทศชาติ เราก็คงไม่มีแรงผลักดันเหมือนในตอนนี้ คนที่สองคืออาจารย์ สมัยก่อนผมเรียนไม่เก่งมากๆ จนกระทั่งมีอาจารย์คนหนึ่งเดินมาคุยกับผมแล้วบอกว่าเขาเชื่อมั่นในตัวผมมาก ถ้าตั้งใจเรียนสักนิดเราจะไปได้ไกล ตอนนั้นอยู่ ม.3 มันอยู่ตรงเส้นบางๆ ว่าเราจะไปสายพาณิชย์หรือจะเรียนสายวิทย์ต่อ เขาทำให้เราสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น อีกจุดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาว่าเราต้องตั้งใจจริงๆ คืออาจารย์ท่านนั้นเป็นมะเร็งแล้วเสียชีวิต ตอนนั้นผมอยู่ปี 2 เทอม 2 ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วนึกถึงว่าถ้าเราช่วยเขาได้ก็คงดี พอปี 3 – ปี 4 ก็เลยตั้งใจมาก ทุกอย่างมันก็เปลี่ยน ปริญญาโทก็เปลี่ยน ตอนจบปริญญาตรีแรกๆ ยังคิดว่าเราต้องไปผจญโลกกว้าง แต่พอกลับมาเรียนปริญญาโทรู้เลยว่าเราอยากจะทำเพื่อคนข้างหลัง ไม่ใช่เพื่อเราแล้ว

แนะนำรุ่นพี่ NSC

เงินไม่สำคัญเท่าชีวิตคน

ยุคสมัยนี้ทุกคนพูดถึงแต่สตาร์ทอัพ สำหรับผมไม่ได้กำหนดว่าอยากจะได้เงินเท่าไหร่ แต่กำหนดจากโจทย์ว่าผมอยากจะช่วยคนมากเท่าไหร่ ผมอยากจะทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จขนาดไหน มันจะเจ๋งขนาดไหน มันจะเจ๊งไหม แต่สิ่งที่คิดคือเราสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง บางครั้งเด็กสมัยใหม่อาจถูกวัตถุนิยมบีบมากเกินไป ทำให้เราเอาเงินเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้มองแล้วว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร ไม่ได้มองว่าสิ่งที่ลูกค้าอยากจะได้จริงๆ คืออะไร คิดแค่ว่าทำมาแล้วได้กำไรหรือเปล่า ได้กำไรเท่าไหร่ เราพูดถึงแต่กำไร พูดถึงผลประโยชน์อย่างเดียว ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งพวกนี้ผมพูดเป็นอันดับสองมากกว่า อันดับหนึ่งของผมคือมันได้ใช้ประโยชน์จริงๆ หรือเปล่า แล้วพยายามจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

กลับไปยังจุดยืน ณ วันแรก

ถ้าฝากในมุมของรุ่นพี่ NSC ก็คือสิ่งที่คุณคิดหรือทำในการประกวดวันแรก คุณมีความรู้สึกจริงๆ อย่างไร วันนี้อยากให้มีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ ผมเข้าใจว่าบางคนอาจถูกอาจารย์ชักจูงมาหรืออยากจะมาเอง ไม่ว่าจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัล แต่ถ้าความรู้สึกตอนแรกที่คุณอยากจะทำมาถึงวันนี้ยังไม่หายไป ผมเชื่อว่ามันจะไปต่อได้ ซึ่งโมเมนต์ที่ผมอยากจะทำวันแรกกับวันนี้ยังเป็นเหมือนเดิม หลายคนที่ถามผมว่าหลังแข่ง NSC ผ่านไปหกปีความรู้สึกของผมเป็นอย่างไร ผมก็ยังพูดคำเดิม ผมอาจจะเป๋ไปทางอื่นบ้าง แต่สุดท้ายพอรู้ว่ามันไม่ใช่ผมก็กลับมายืนทางเดิม นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจุดยืนของผมคือทำอย่างไรก็ได้เพื่อช่วยคนอื่น แต่ระหว่างทางก็ต้องอดทนรอ เส้นทางมันไม่ได้สวยหรู

แนะนำรุ่นพี่ NSC

บ้านแห่งความภาคภูมิใจ

เป็นธรรมดาที่ในการทำงานต้องเจอปัญหาอุปสรรค สิ่งที่ทำให้ผมผ่านมาได้คือทีมงาน น้องๆ ที่อยู่ในออฟฟิศ รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในบ้าน ในชีวิตของผม เหมือนเขาเป็นน้องของผมจริงๆ คนหนึ่ง ผมมีความรู้สึกว่าการที่จะต้องเดินออกไปข้างนอกเพื่อขายงาน ต้องฟันฝ่ากับคู่ต่อสู้ เราก็มีท้อบ้างเหนื่อยบ้าง แต่พอเดินกลับเข้ามาในออฟฟิศ ผมรู้สึกเหมือนเดินเข้าบ้าน ได้เจอพี่น้องของผมจริงๆ ผมมีปณิธานว่าวันหนึ่งที่ผมจากไป ผมก็ยังอยากให้บริษัทมันเดินไปด้วยแนวคิดนี้ ผมพยายามปลูกฝังให้น้องๆ ทำงานเพื่อคนอื่นจริงๆ เราไม่ได้อยากทำงานเพื่อตัวเราเอง และพอเราไปถึง ณ จุดนั้น มันจะเป็นความภูมิใจกลับเข้ามาหาเรา

อย่าสิ้นสุดแค่ถ้วยรางวัล

สำหรับ NSC ผมมีคำถามว่าพอแข่งจบแล้วเราไปไหนต่อ มีอะไรต่อยอดได้บ้าง เข้าใจว่าบางที Passion ของเด็กไม่ได้เกิดจากตัวเด็กจริงๆ แต่ถ้ามีเด็กกลุ่มหนึ่งเกิด Passion ของเขาจริงๆ เนคเทคสามารถสนับสนุนอะไรกับคนกลุ่มนี้ได้บ้าง ซึ่งโปรดักส์ที่เกิดขึ้นจากการประกวดมันไม่สามารถเอาไปใช้งานได้จริงทั้งหมด เราต้องเชื่อในเรื่องนี้ก่อน ไม่ใช่ว่าจบ NSC แล้วสามารถขายได้เป็นหลักหลายล้านเลย ในธุรกิจจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น

ตอนนี้ผมได้รับเกียรติจากทางเนคเทคให้เป็นกรรมการของโครงการต่อกล้าให้เติบใหญ่ โครงการนี้ค่อนข้างดีที่อย่างน้อยก็ได้ไปถึงจุดสุดท้ายของโปรดักส์จริงๆ อย่างน้อยความคิดของน้องที่ทำออกมาก็ดูเหมือนจะใช้งานได้จริง หลายทีมก็ออกมาเป็นโปรดักส์จริงเลย ถ้ามีโครงการแบบนี้อีกในเนคเทค หรือเนคเทคสามารถสนับสนุนทางด้านนี้ หรือมีค่ายวิทยาศาสตร์ระดมคนที่ชนะ NSC มาเข้าค่ายต่อ มันน่าจะเวิร์คขึ้น ซึ่งผมพยายามบอกน้องๆ ว่า สิ่งที่น้องทำมันไม่ใช่แค่ล่ารางวัล แต่ต้องทำเพื่อให้เกิดขึ้นมาได้จริงๆ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ผมเป็นคนที่อินกับประเทศไทยมาก ผมเริ่มเห็นคนหลายคนตั้งแต่คนที่อยู่ล่างเราจนถึงคนที่อยู่สูงกว่าเรา เห็นตั้งแต่คนป่วย คนที่หาทางออกของชีวิตไม่ได้ จนถึงตอนนี้ผมก็เริ่มเห็นแล้วว่าถ้าจะให้นิยามตัวเองจริงๆ ผมอยากจะทำอะไรก็ได้ที่สามารถช่วยคนกลุ่มนี้ได้ เหมือนเป็นอาสาสมัครเพื่อสังคมจริงๆ สมัยก่อนเวลาเห็นคนที่ทำงานเพื่อสังคมส่วนใหญ่ไม่รวย แต่ผมจะช่วยสังคมและผมต้องรวย ผมคิดอย่างนี้ในหัวเสมอ ผมทำเพื่อคนอื่นแต่สุดท้ายผมต้องมีตังค์เหมือนกัน เราช่วยคนอื่นแล้วเราก็ต้องช่วยคนในครอบครัวของเราด้วย คนในครอบครัวของผมหมายถึงพนักงานในออฟฟิศทุกคนต้องยกระดับ ต้องไปด้วยกัน

(อยาก) เป็นตำนานของวงการแพทย์

สำหรับอนาคตถ้าเป็นเป้าหมายเรื่องสังคม หลังจากที่ตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ผมเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราจะสร้างอะไรต่อจากนี้ เราจะสร้างชื่อเสียงหรือจะสร้างตำนาน ซึ่งผมอยากสร้างตำนานมากกว่า มันคือจุดหักเหของชีวิต ผมต้องเลือกว่าจะไปเรียนต่อปริญญาเอกหรือจะทำงานเพื่อสังคม สุดท้ายผมเลือกสังคมดีกว่า พอเลือกสังคมปุ๊บมันก็เลยประจวบกับทางการแพทย์พอดี เราก็เลยมุ่งไปทางการแพทย์เลย

สร้างค่านิยมเพื่อสังคมที่ดีขึ้น

ตอนนี้ผมกำลังจะมีลูก ผมก็เริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ว่า ทำอย่างไรให้สิ่งที่กำลังจะเกิดมาในสังคมดีกว่าที่เราอยู่ ซึ่งมันเริ่มต้นที่สังคมของเราก็คือในออฟฟิศของเรา ผมคุยกับน้องๆ เสมอเรื่องความเห็นแก่ตัวว่า สิ่งที่เราทำ ที่เราเหนื่อย เราท้อ ความเห็นแก่ตัวของเรามันกำลังจะก่อเกิดขึ้น ความชั่วร้ายของเรามันก็จะค่อยๆ ทยอยและก่อเกิดความอยากเอาเปรียบคนอื่น ขนาดพูดหลายครั้งว่าเราช่วยสังคม บางทีเรายังเห็นแก่ตัวเลย แปลว่าที่เราทำมันยังไม่พอหรือเปล่า ผมเชื่อว่าวันหนึ่งถ้าเราทำมากๆ ความเห็นแก่ตัวในสังคมมันจะลดลงไปจริงๆ ซึ่งอาชีพที่ผมนับถืออันดับหนึ่งคือพยาบาล เพราะพยาบาลเป็นคนกลางที่น่าสงสารมาก หมอก็กดดัน คนไข้ก็กดดัน ผมอยากจะช่วยเจ้าหน้าที่หรือพยาบาลที่เขาอยู่ตรงกลาง ทำอย่างไรให้เขาสบายขึ้น ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนไข้ ไม่ต้องเถียงกับหมอ ผมคิดว่าถ้าชีวิตพยาบาลเริ่มดี สังคมก็จะดีเหมือนกัน ผมเลยพยายามปลูกฝังให้คนในออฟฟิศมองแบบนี้ จะได้พัฒนาสังคมไปด้วยกันครับ …

วิกฤตในชีวิตไม่ใช่เรื่องน่าสนุก หากแต่ในแง่หนึ่งก็ได้มอบมุมมองที่ลึกซึ้งให้กับเจ้าของชีวิตนั้น ในวันที่ชีวิตผ่านพ้นวิกฤตมาหลายขนาน เบนซ์เลือกที่จะใช้กำลังที่มีอยู่เพื่อผู้อื่นมากกว่าความร่ำรวยของตัวเอง และพยายามอยู่ตลอดเวลาในการถ่ายทอดค่านิยมที่เขาเชื่อไปสู่เพื่อนพ้องน้องพี่ แน่นอนว่าชีวิตของเขาอาจไม่ได้มี ‘มูลค่า’ สูงระดับอภิมหาเศรษฐี แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่แหละคือชีวิตที่มี ‘คุณค่า’ อย่างที่สุด

แนะนำรุ่นพี่ NSC
ข้อมูลการศึกษา
  • 2010 – 2012 : Master of Engineering (Computer Engineering) King Mongkut’s University of Technology Thonburi (KMUTT), Bangkok, Thailand
  • 2004 – 2008 : Bachelor of Engineering (Computer Engineering) King Mongkut’s University of Technology Thonburi (KMUTT), Bangkok, Thailand
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2012
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • 2012
    • First Price, National Software Contest 14th [System for 3D display of medical image]
    • First Price, Imagine Cup Thailand 2012 [Novitat : The Smart House]
    • First Runner up Price, Thailand ICT Contest Festival 2012 [The Smart House]
    • Runner up Price, IT Princess Award [Virtual Reality Room]
  • 2011
    • First Runner up, Imagine Cup Thailand 2011 [3Diz : Mr.i]
  • 2017 – ปัจจุบัน
    • Project Co-ordinator, Demuq Co., Ltd.
  • 2014 – ปัจจุบัน
    • Managing Director, Integrace Solution Co., Ltd.
ความเชี่ยวชาญ
  • Programming : C#
  • Mobile : Xamarin
  • Web Programming : HTML5, PHP, ASP .Net, Javascript
  • Database : Microsoft SQL, My SQL
  • Operating System : Windows, Linux
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : ภาดา โพธิ์สอาด (NSC 2017) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2017-pada.html Fri, 22 Mar 2019 03:00:14 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3062
บทสัมภาษณ์ | เดือนตุลาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ปิ่นพงศ์ เนียมมะณี
โลกเปลี่ยนแปลงได้จากฝันที่ยิ่งใหญ่ และฝันที่ยิ่งใหญ่ก็อาจเกิดมาจากคนตัวเล็กๆ

…เช่นเดียวกับ ‘ภี’ ภาดา โพธิ์สอาด นักส่งเสริมนวัตกรรมสาวแห่ง NIA ที่มีฝันอยากจะเปลี่ยนโลกด้วยไอที แม้วันนี้เธอจะยอมรับว่าความฝันนั้นยังไม่เป็นจริง แต่ถ้าอ่านบทสัมภาษณ์แล้วจะพบว่า เธอมาไกลไม่น้อยจากวันแรกที่ฝัน และจากจุดที่เธออยู่ในวันนี้ ถ้าความฝันของเธอจะเป็นจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

แนะนำรุ่นพี่ NSC

อยากเปลี่ยนโลกด้วยไอที

ภีชอบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เด็กทุกคนชอบเล่นเกมอยู่แล้ว เริ่มจากตอนเด็กๆ ชอบเล่นเกมก็เลยคิดว่าถ้าเราอยากจะสร้างเกมของตัวเองจะทำอย่างไร เลยไปร้านหนังสือและลองซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสร้างเกมมาเขียนเองดู เริ่มเขียนโปรแกรม ลองด้วยตัวเอง พอเข้าเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จึงตัดสินใจเรียนภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เพราะตอนที่ไปศึกษาดูงานแต่ละคณะ แต่ละสาขาวิชา มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้บอกไว้ว่าถ้าอยากจะสร้างผลงานอะไรบางอย่างที่มีผลกระทบ (Impact) กับคนทั้งโลกให้เลือกเรียนทางด้านไอทีและคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราก็มองว่าถ้าอยากสร้างผลกระทบอะไรบางอย่างให้โลกใบนี้ เครื่องมือทางด้านไอทีมันสามารถทำได้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

จาก Senior Project สู่ NSC

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่า NSC คืออะไร ตอนนั้นมีโฆษณาที่คณะฯ แล้วอาจารย์บอกว่างานของคุณมีศักยภาพที่สามารถส่งประกวดได้นะ ก็เลยตัดสินใจลองส่งผลงานเข้าแข่งขันดู ผลงานนี้เป็น Senior Project ด้วย เป็นของเล่นโต้ตอบอัตโนมัติสำหรับเด็กพิการทางสายตา ตอนนั้นคิดว่าอยากจะทำของเล่นที่เป็นแนว Interactive Toys สำหรับผู้พิการทางสายตา เป็นกลุ่มผู้ใช้ (User) ที่เฉพาะเจาะจง คิดว่าถ้าเราทำเป็นบล็อกที่กดแล้วมีเสียง หรือมีการสั่น หรือมีเทกเจอร์ (Texture) หรือมีอะไรบางอย่างที่แตกต่าง มันจะเป็นอย่างไร ก็เลยเอาฮาร์ดแวร์มาเล่น เอาซอฟต์แวร์มาเล่นค่ะ ได้ไปถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่ว่าไม่ได้รางวัล

แนะนำรุ่นพี่ NSC

เปิดมุมมองเมื่อได้ลองแข่ง

NSC เป็นเหมือนเวทีที่ทำให้ภีรู้สึกว่าได้เปิดมุมมองอะไรหลายอย่างมากขึ้น อย่างตอนแรกเราเคยอยู่แต่ในมหาวิทยาลัย เคยเจอแต่เพื่อนที่เรียนมาเหมือนๆ กัน ลักษณะนิสัยคล้ายๆ กัน สังคมแบบเดียวกัน แต่ NSC ทำให้เราเจอเพื่อนจากมหาวิทยาลัยหลากหลายทั่วประเทศ มันทำให้ได้เปิดมุมมองว่าตอนนี้มหาวิทยาลัยอื่นเขาทำอะไรอยู่ เขามีไอเดียแบบไหน บางคนที่เราคิดว่าเขาไม่น่าจะเก่งกว่าเรา แต่จริงๆ เขาเก่งกว่าเรามากๆ ก็มี เหมือนเป็นการเปิดโลก นอกจากนี้คณะกรรมการก็มีมุมมองและแนวคิดต่องานเราที่ทำให้เรารู้ว่ามันสามารถคิดในแง่นี้ได้ด้วยนะ มันทำให้เราสามารถพัฒนาผลงานได้ดีมากขึ้น

ต่อยอดผลงานไปกับต่อกล้าฯ

หลังจากเวที NSC มีพี่โบ้ (สิทธิชัย ชาติ) จากทางเนคเทคได้มาชวนให้ไปเข้าค่ายชื่อว่า ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’ ก็เลยได้ลองส่งผลงานเข้าค่ายนั้น และได้ไปฝึกอบรมในค่ายนั้นด้วย สนุกดีค่ะ เป็นค่ายที่เราได้เจอทั้งรุ่นน้อง ทั้งเพื่อน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและได้เจอคนเก่งๆ มากมาย มี Mentor Experts ทางด้านต่างๆ มาช่วยขัดเกลาผลงานของเรา พัฒนาตัวเราเองให้เก่งขึ้น มีมุมมองที่กว้างและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นค่ะ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

โลกกว้างที่ออฟฟิศไม่มีให้…

หลังจากเรียนจบ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เริ่มเข้าค่ายต่อกล้าฯ ด้วย ทำให้เราไม่ได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานแบบเป็นพนักงานประจำเลย แต่ได้มาลองทำโปรเจกต์ของตัวเองในค่ายต่อกล้าฯ แทน และมีอีกการแข่งขันหนึ่งที่ได้เข้าร่วมชื่อว่า i-CREATe ได้ไปแข่งที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น เป็นการแข่งขันเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์สำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ ก็เลยเริ่มชีวิตการทำงานแบบนั้น คือเริ่มจากโปรเจกต์ของเราก่อน ซึ่งมันก็จะต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ ตอนแรกก็เคว้งๆ ว่า เราคิดถูกไหมนะ เพราะเพื่อนคนอื่นเขาเริ่มทำงาน เขามีเงินเดือน เขาเริ่มที่จะดูแลตัวเองได้ เริ่มชีวิตแบบใหม่แล้ว แต่เราต้องอยู่กับโปรเจกต์ ไม่ได้เงินเดือนเฉพาะเจาะจง แถมยังต้องมีงานเสริมเพื่อที่จะจ่ายค่าครองชีพในแต่ละวัน แต่ประสบการณ์กับสิ่งที่ได้มามันคุ้มค่ามากกว่าการเข้าไปเป็นพนักงานประจำเลย จะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสเอาผลงานที่ตัวเองคิดไปแข่งที่ประเทศญี่ปุ่น และมีคณะกรรมการจากทั่วโลก ทั้งจากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และประเทศต่างๆ ก็เลยคิดว่ามันเป็นการเปิดโลกให้เรา ยิ่งกว่านั้นยังได้คอนเนคชันกับเพื่อนที่มาจากหลากหลายประเทศทั้งคนสิงคโปร์ ไต้หวัน เยอรมัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นการเปิดโลกเราให้กว้างมากยิ่งขึ้น

ทำงานประจำ…แต่ความฝันยังเหมือนเดิม

หลังจากนั้นภีเริ่มงานประจำด้วยการไปเป็นโปรแกรมเมอร์ก่อนที่บริษัทแห่งหนึ่ง ทำงานเขียนเว็บไซต์ เขียนแอปพลิเคชัน แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการมากนัก มันเหมือนกับเป็นงานที่ไปถึงก็เขียนเว็บฯ เขียนโค้ดต่อจากคนโน้นคนนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราสร้างผลกระทบอะไรให้กับสังคมหรือประเทศสักเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าอยากจะลองเปลี่ยนงานดู พอดีมีโอกาสเคยเอาโปรเจกต์นี้ไปแข่งในเวทีชื่อว่า TICTA – Thailand Innovation Awards ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ แล้วพี่เขาเห็นเรา อยากจะชวนเราไปทำงานด้วย สุดท้ายก็เลยได้เปลี่ยนงานมาเป็นที่ที่สองคือที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติค่ะ

ท้าทายไปกับงานพัฒนาคนอื่น (และตัวเอง)

พอมาทำงานที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ เพราะว่าเปิดโอกาสให้เราได้เจอคนที่หลากหลายมากขึ้น ได้มุมมองที่แตกต่างมากขึ้น เหมือนเขาพยายามที่จะสร้างสภาพแวดล้อมความเป็นนวัตกรรมขึ้นมา ซึ่งมีงานหลายส่วนมาก มีทั้งให้ทุน (Funding) กับบริษัทต่างๆ รวมทั้งสตาร์ทอัพและ SMEs มีทั้งในส่วนพัฒนาผู้ประกอบการ พัฒนาธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ภีทำในส่วนการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการให้กับคน ส่วนมากก็จะจัดอีเวนต์หรือคอร์สอบรม ทำให้ได้เจอคนที่หลากหลายมากขึ้น แล้วเวลาที่มีการอบรมอะไรเราจะได้ไปเข้าร่วมเพื่อพัฒนาตัวเองด้วย นอกจากเราจะทำงานพัฒนาคนอื่นแล้ว เรายังพัฒนาศักยภาพตัวเองไปในตัวด้วยค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าเป็นงานที่สนุกและท้าทาย

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

NSC ต้นกล้าแห่งโอกาส

ถ้าไม่ได้มาแข่ง NSC ป่านนี้ภีคงเป็นพนักงานประจำ ใช้ชีวิตแบบกินเงินเดือนไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่คิดอะไรมากเท่านี้ มันเหมือนเวทีนี้มันทำให้เราเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง มากจริงๆ มันเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ต่อยอดให้เราได้ไปที่อื่นอีกมากมาย ทำให้โอกาสหลายอย่างผ่านเข้ามา ยกตัวอย่าง ถ้าภีไม่ได้เข้า NSC ก็คงไม่ได้เจอพี่โบ้แล้วก็คงไม่ได้เข้าต่อกล้าฯ ถ้าไม่ได้เข้าต่อกล้าฯ ก็คงไม่ได้แข่ง i-CREATe หรือไปแข่งเวทีอื่นต่อ แล้วสุดท้ายก็คงไม่ได้ทำงานที่สำนักงานนวัตกรรมฯ เพราะว่าไม่เคยเจอพวกพี่เขา มันเหมือนเป็นสิ่งที่ต่อเชื่อมกันมา ถ้าเราไม่ได้เริ่มที่จุดนั้น โอกาสต่างๆ เป็น 100 อันที่เข้ามาช่วงนั้นก็คงไม่ได้รับ

เติมความรู้ใหม่ ใส่ใจคอนเนคชัน

ภีมองว่า NSC เป็นการแข่งที่ดี เปิดโอกาสให้นักศึกษาชั้นปีสูงๆ ได้นำผลงานของตัวเองมาลองแข่งกัน แต่นอกเหนือจากการแข่งแล้ว NSC น่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น อย่างเช่น แทนที่จะแข่งกันอย่างเดียวอาจจะมีการอบรมให้นักศึกษาหรือมีอะไรที่เฉพาะเจาะจงโจทย์ เป็นโจทย์ที่ลึกขึ้นและเข้ากับหัวข้อในอนาคตมากขึ้น หรือเรามาลองทำเป็นแฮกกะตอน (Hackathon) ไหม หรือเป็นงานแบบใหม่ที่เด็กๆ ได้พัฒนาทักษะตัวเองได้มากขึ้นกว่านี้ ซึ่งน่าจะต้องให้ความรู้เด็กด้วย มันเป็นโอกาสที่ดีนะที่เราได้เอาเด็กทั้งประเทศที่มีศักยภาพมากๆ มาอยู่ด้วยกัน แต่เขาแทบจะไม่ได้สร้างคอนเนคชันอะไรกันเท่าไหร่หรือแทบจะไม่ได้รู้จักกัน ไม่ได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น ต่างคนต่างทำงานตัวเอง ภีมองว่าเราสามารถให้ความรู้เขาได้ และยังสามารถสร้างคอนเนคชันให้เขาได้ด้วย ซึ่งคอนเนคชันเป็นสิ่งสำคัญในอนาคตเวลาที่เขาจะทำธุรกิจหรือทำอะไรก็ตามต่อไป

เชื่อมเครือข่ายด้วยค่ายเวิร์คช็อป

ในส่วนของการรวมตัวคนที่เคยผ่าน NSC น่าจะมีสองมุม มุมแรกก็คือถ้าจะสร้างคอนเนคชันหรือสร้างเครือข่ายกันอย่างเดียวก็อาจจะเป็นดินเนอร์ทอล์ค หรือไม่ก็อาจจะไปต่างจังหวัดเลย เหมือนไปแฮงค์เอาท์สักสองสามวันแล้วไปทำกิจกรรมสันทนาการหรือไปทำกิจกรรมอะไรบางอย่างร่วมกันก็น่าสนใจ แต่ถ้าอยากให้มาแล้วเกิดการเชื่อมโยงกันจริงๆ ภีมองว่าการจัดเวิร์คช็อปหรือพัฒนาศักยภาพก็น่าสนใจ อาจจะเสริมเรื่องความเป็นผู้ประกอบการหรือความเป็นผู้นำให้กับเด็ก สำหรับภีที่เคยผ่านโครงการ NSC มาก่อน คิดว่าแบบนี้ก็น่าสนใจดีค่ะ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

อยากทันโลก…ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

เราอาจจะไม่ต้องพูดถึงว่าเด็กไอทีจะต้องมีทักษะอะไรก่อนที่จะเข้ามาในเส้นทางนี้ แต่หลังจากที่เข้ามาเขาจะต้องพัฒนาตัวเองอย่างไรมากกว่า ส่วนตัวภีเริ่มจากคนที่ไม่เก่งอะไรเลย ก็เลยกลับมาสู่สิ่งที่บอกว่าอยากให้ NSC จัดอบรมให้ความรู้เด็กมากขึ้น ซึ่งทักษะที่สำคัญน่าจะเป็นเรื่องการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะว่าสมัยนี้โลกมันไปเร็วมากๆ ถ้าคุณไม่สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ คุณไม่สามารถที่จะติดตามข่าวทุกวัน หรืออัพเดตเทคโนโลยีได้ทุกวัน สุดท้ายความรู้ที่มีอยู่มันก็จะเก่าและใช้ไม่ได้ เป็นทักษะหนึ่งที่ภีมองว่ามันสำคัญ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

ของต้องดีและขายให้เป็น

อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องการพรีเซนต์ โลกสมัยนี้มันคือการขายและการประชาสัมพันธ์ ถ้าคุณไม่สามารถขายตัวเองหรือขายงานได้มันก็ยากที่คนอื่นจะเข้าใจว่าคุณทำอะไร หรือสามารถประสบความสำเร็จจนขายงานนั้นได้จริงๆ การที่เราจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ ตัวเราจะต้องเข้าใจสิ่งนั้นเป็นอย่างดีก่อน ถ้าเราสามารถอธิบายงานของเราได้ดีก็เหมือนกับได้ทบทวนไปด้วยว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันคืออะไร เราก็จะเข้าใจสิ่งนั้นได้ดีขึ้น

จากประสบการณ์ที่เคยเข้าแข่งขันมาหลายเวที ถ้าเทียบกันทางด้านเทคนิคทุกโปรเจกต์มันเกือบจะสูสีกันหมด แต่สิ่งที่คณะกรรมการเขาตัดสินใจให้คะแนนจากการแข่งขันคือการขายหรือการพรีเซนต์มากกว่าว่าคุณสามารถพูดออกมาให้มันมีผลกระทบแค่ไหน พูดออกมาให้คนฟังเข้าใจและอยากจะซื้อมันมากแค่ไหน มันเป็นอีกทักษะหนึ่งที่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าคุณไม่ควรทำด้านเทคนิคให้ดีนะ คืองานคุณก็ต้องดีด้วยแล้วคุณพรีเซนต์ให้ดีด้วย ซึ่งพอเป็นคำว่าทักษะมันก็คือสิ่งที่ฝึกได้ เพราะฉะนั้น ภีเชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามถ้าเขาตั้งใจเขาจะสามารถพัฒนาทักษะขึ้นมาได้แน่ๆ อย่ามัวแต่กลัวหรือไม่อยากก้าวไปข้างหน้า มันควรจะตัดสินใจแล้วลงมือทำเลยดีกว่า คงไม่มีใครที่จะพร้อมตั้งแต่แรก ควรจะค่อยๆ พัฒนาตัวเองแล้วก็ Go for It แค่นั้นค่ะ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

คว้า (โอกาส) ไว้ไม่เสียหาย!

ภีมองว่าวันนี้ตัวเองก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จขนาดนั้น แต่ปัจจัยหนึ่งอาจเป็นเพราะเราเป็นคนที่ถ้ามีโอกาสอยู่ข้างหน้าจะคว้าเอาไว้ก่อน คือไม่ใช่คนที่เห็นแล้วมานั่งคิดว่าเราจะทำมันได้ไหมนะ ไม่เอาดีกว่า จะเป็นคนที่ได้ไม่ได้ไม่รู้ก็ลองคว้าไว้ก่อน ทั้งๆ ที่บางโอกาสที่เข้ามาบางอย่างก็ล้มเหลวเหมือนกันนะ แต่บางอย่างมันก็สำเร็จ มันก็คละกันไป แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับเราว่าเราจะตัดสินใจทำอย่างไรกับโอกาสนั้นๆ เราเลือกที่จะคว้าไว้ไหม เราจะพัฒนาตัวเองเพิ่มเติมไหม ถ้าเราเอาแต่กลัว สุดท้ายเราก็จะไม่ได้อะไรจากสิ่งนั้นเลย

สักวันฉันจะเปลี่ยนโลก!

อีกอย่างน่าจะเป็นเรื่องของความฝัน ตอนเด็กๆ ภีจะเป็นคนที่มีความฝันแรงกล้ามากๆ ว่า อยากจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ อยากจะเขียนโปรแกรม อยากจะสร้างอะไรบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศหรือสังคมได้ อาจเป็นเพราะเป็นคนที่ชอบเสพสื่อเยอะๆ อย่างบริษัทดังๆ Google , Facebook , Apple พวกนี้ พอเราเสพสื่อเยอะๆ ได้ฟังแล้วเหมือนเป็นแรงบันดาลใจ จากคนที่เขาอยู่ในมุมหนึ่งของโลกใบนี้ แต่เขาพยายามอย่างมากที่จะทำอะไรที่มันเป็นสิ่งดีๆ ออกมา มันก็เลยเป็นแรงบันดาลใจกลับมาที่เรา มองว่าเราก็อยากเป็นคนหนึ่งที่อยากทำได้แบบนั้นเหมือนกันนะ

ความสุขของผู้ใช้คือแรงผลักดัน

สำหรับงานของเล่นของเด็กตาบอดที่ทำตอนนั้น สิ่งที่ทำให้ก้าวผ่านอุปสรรคมาได้เป็นเพราะอย่างเดียวเลย คือได้ลองเอาโปรเจกต์ชิ้นนี้ไปให้น้องๆ ผู้พิการทางสายตาที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพได้ใช้ แล้วเขามีความสุขกับมัน เหมือนเด็กๆ รู้สึกว่าอยากได้ของเล่นชิ้นนี้ เขาอยากจะเล่นอันนี้กับเพื่อน เป็นสิ่งที่ทำให้เราหยุดไม่ได้ เหมือนเราได้ให้สัญญากับผู้ใช้ (User) ไปแล้ว เราได้เล่นกับเขาไปแล้ว แล้วเขาต้องการที่จะได้ของชิ้นนี้จริงๆ ก็เลยเป็นแรงผลักดันว่าไม่ว่าจะเจออุปสรรคอะไร เราก็ยังอยากจะทำมันออกมาให้ได้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ภีไม่ได้มองว่าตัวเองเก่งเลยนะ แต่เป็นคนที่มองว่าถ้าโอกาสอะไรก็ตามที่เข้ามาเราก็จะคว้าไว้เสมอ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะล้มเหลว คือส่วนมากมันก็ล้มเหลวแหละมีสำเร็จแค่ไม่กี่อัน แต่ก็อยากจะลองดู และเป็นคนที่ชอบคิดเกินตัวมากๆ ตั้งแต่ปีหนึ่งก็วางแผนให้กับชีวิตตัวเองว่าเราอยากไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่นสักครั้ง ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าทำอย่างไร แต่สุดท้ายพอปีสามก็ได้ไปจริงๆ เหมือนเป็นคนที่จะมองไปเสมอว่าเราอยากได้อะไร ภีเป็นคนที่รู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไรแล้วก็จะพยายามคว้ามันมาให้ได้ รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คือไม่ใช่คนเก่งหรอก แต่พอรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร แล้วเราขาดอะไร เราก็จะพยายามเสริมพยายามพัฒนาตัวเองขึ้นมาให้ได้

ตามหาจิ๊กซอว์ที่หาย…เป้าหมายคือยุโรป

ตอนนี้เป้าหมายสั้นๆ ก็คือภายในปีหน้าอยากจะไปเรียนต่อที่แถบยุโรปค่ะ ภีมองว่าสิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องคอนเนคชันกับความเข้าใจในทั้งวัฒนธรรม สถานการณ์เศรษฐกิจ การเมือง อะไรหลายๆ อย่างของประเทศต่างๆ มันจะทำให้เราเข้าใจมุมมองของโลกใบนี้มากขึ้น ตอนนี้ภีเคยไปญี่ปุ่นแล้ว เคยไปอเมริกาแล้ว แต่ยังขาดในแถบยุโรปที่เราไม่ได้มีคอนเนคชันที่นั่น ก็เลยอยากจะไปเรียนต่อที่นั่น รวมทั้งด้านที่สนใจคือด้าน Innovation Management เพราะรู้สึกว่าประเทศไทยยังขาดอยู่พอสมควร ถ้าเราไปเรียนต่อที่นั่นได้ จะมีคอนเนคชันที่ดีมาก ได้ไปฝึกงานในบริษัทแถวนั้น แล้วเราเอาความรู้กลับมาใช้ในประเทศไทยได้ ก็น่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศได้ไม่มากก็น้อย อาจจะนิดหน่อยแต่ก็คงช่วยได้บ้างค่ะ

แม้จะมีฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่น่าสนใจว่าภียอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอก้าวมาถึงจุดกึ่งกลางบนเส้นทางฝันนี้ได้ ก็เพราะเธอรู้ว่าตัวเองมีและไม่มีอะไร และถ้าสิ่งที่ไม่มีนั้นจำเป็นต่อความฝัน เธอก็ไม่รั้งรอที่จะไขว่คว้าหาโอกาสให้ได้มา เพื่อใช้ขับเคลื่อนพาตัวเองไปสู่ความฝันให้ได้สักวันหนึ่ง…

แนะนำรุ่นพี่ NSC
 
ข้อมูลการศึกษา
  • 2012-2017
    • Bachelor of Engineering in Computer Engineering , Chulalongkron University, Bangkok (Thailand)
  • 2015-2016
    • Certificate of Participation, Tohoku University, Sendai (Japan)
  • 2015
    • Internship Program, Tokyo University of Technology, Tokyo (Japan)
  • 2017
    • Newseed Camp , Nation Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
    • Thailand Innovation Award Camp, Thailand Nation Innovation Agency (NIA), Bangkok (Thailand)
    • nnovation and leadership Camp (Business Analysis and Design Thinking Workshops)
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2017
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • Global Student Innovation Challenge for Assistive Technology (i-CREATe in Kobe city, 2017) Design Category
    • Merit Award
    • Best Presentation Award
  • Thailand Innovation Awards (2017)
    • Third Place Award
ปัจจุบัน
  • Innovation Coursellor, Thailand Nation Innovation Agency (NIA), Bangkok (Thailand)
ความเชี่ยวชาญ
  • Foreign languages : English, Japanese
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : ปริเมธ วงศ์สัตยนนท์ (NSC 2016) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2016-parimeth.html Fri, 15 Mar 2019 01:00:56 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3058
บทสัมภาษณ์ | เดือนตุลาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ปิ่นพงศ์ เนียมมะณี
 
“ทุกคนมีสิ่งที่ชอบ ทุกคนมีความฝัน สิ่งสำคัญคือ อย่าลืมลงมือทำ!…”

นี่คือข้อความที่ ‘เจมส์’ ปริเมธ วงศ์สัตยนนท์ CEO หนุ่มน้อยแห่งยูอาร์นีค สตูดิโอ ฝากบอกถึงคนรุ่นใหม่ทุกคนที่มีความฝัน ว่าอย่ามัวปล่อยให้ความฝันเป็นเพียงความฝัน แต่จงลงมือทำซะ! เพื่อแปรรูปฝันนั้นให้กลายเป็นจริง

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ความฝันของเด็กชอบคอมฯ

ผมชอบเล่นเกมตั้งแต่เด็กเลยชอบเล่นคอมพิวเตอร์ไปด้วย ตั้งแต่ ป.1 – ป.2 ชอบจับคอมพิวเตอร์ วิชาที่ชอบเรียนตอนประถมฯ ก็คือคอมพิวเตอร์ เป็นสิ่งที่เราสนใจมาโดยตลอด โตขึ้นมาก็ทำกิจกรรม เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น มันก็เลยเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และพบว่าอยากทำเกมเป็นของตัวเองตั้งแต่ประถมฯ มีความฝันมาตลอดว่าอยากเขียนโปรแกรม อยากเขียนเกม แต่ไม่เคยได้ทำ

ใช้ความฝันกดดันตัวเอง

จนกระทั่งขึ้นมหาวิทยาลัย ผมเรียนวิศวะฯ คอมพิวเตอร์ที่จุฬาฯ ได้เลือกภาควิชาตอนปี 2 ซึ่งถ้าจะติดภาควิชาคอมพิวเตอร์ให้ได้เราต้องเขียนโปรแกรมเป็น ก็เลยตั้งใจทุ่มเททำการบ้าน เป็นเด็กเนิร์ดในห้อง อาจารย์สอนอะไรก็ยกมือถาม รู้สึกว่าถ้าเราอยากเข้าภาคคอมฯ เราต้องโชว์ให้ได้ว่าเราเขียนโปรแกรมเป็น เลยเป็นทักษะแรกๆ เกี่ยวกับโปรแกรมมิ่งตั้งแต่ตอนปี 1 จริงๆ เป็นวิชาบังคับที่ทุกคนต้องเรียน แต่บางคนไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เพราะวิศวะฯ ก็มีหลากหลาย แต่ผมกดดันตัวเองว่าถ้าเราอยากเข้าภาคคอมฯ เราต้องทำได้

ใช้โอกาสครั้งเดียว ได้ 2 เป้าหมาย

ผมประกวด NSC ตอนปี 3 ก่อนหน้านั้นเคยรวมทีมกับเพื่อนทำเกมด้วยกันมา แต่ผมไม่ได้เป็น ตัวนำอะไรแค่ไปแจมกับเพื่อน คือเพื่อนสนิทผมเขาไปเกาะกลุ่มกับคณะอื่นที่เป็นเพื่อนโรงเรียนเก่า เขาทำเกมด้วยกัน ผมได้ยินก็เลยไปแจมไปประกวดเกมด้วย เเล้วเอามาส่งประกวด NSC ได้รางวัลที่ 2 เป็นเกม puzzle บนมือถือ พอปี 4 ทำโปรเจกต์จบก็เลยอยากจะทำเกม เพราะเป็นเป้าหมายชีวิตที่อยากทำเกมอยู่แล้ว อาจารย์ก็แนะนำว่าควรจะประกวด เลยเป็นเป้าหมายแรกว่าจะทำโปรเจกต์จบแล้วชนะ NSC ให้ได้ ตอนนั้นได้รางวัลที่ 1 มาครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

มากกว่ารางวัลคือมิตรภาพ

สิ่งที่ผมรู้สึกว่าสำคัญมากกว่ารางวัลก็คือคนที่ผมร่วมงานด้วย ปกติถ้าเราทำการบ้านที่โรงเรียนมันก็แค่การบ้าน แต่ตอนทำโปรเจกต์นี้เรามีความจริงจังมากๆ เราต้องทำให้สำเร็จเพราะเป้าหมายมันใหญ่ ตอนนั้นรวมตัวกับเพื่อนเช่าคอนโดนอนด้วยกันเลย ทำกับข้าว ซักผ้าอยู่ด้วยกัน ก็เลยได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น กลายเป็นเหมือนพี่น้องเพราะเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

อีกส่วนหนึ่งก็คือการได้เจอกับทีมอื่นๆ ผมว่านี่คือสิ่งสำคัญที่สุดของการได้ไปแข่ง NSC ปกติเวลาเรียนเราสนใจแค่นี้ เราเป็นกลุ่มเดียวในคณะด้วยซ้ำ แต่พอมาแข่ง NSC เราได้เจอคนอื่นที่สนใจด้านไอที สนใจอะไรแนวเดียวกับเรา มี passion คล้ายๆ กัน แต่เราไม่เคยเจอเขามาก่อน ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยแต่ละคณะก็มีพื้นฐานที่ต่างกัน นิสัยที่ต่างกัน แม้เราจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่ความคิดอะไรหลายๆ อย่างไม่เหมือนกัน รู้สึกว่าการที่ได้เจอคนที่มีความฝันคล้ายๆ กันแต่มีเบื้องหลังที่ต่างกันมันเป็นอะไรที่จุดประกายให้ผมด้วย แล้วพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่ดี ทุกวันนี้ก็ยังเก็บคอนเนคชันอยู่ ไปกดไลค์รูปในเฟซบุ๊กบ้าง บางคนตอนนี้ก็มาช่วยงานผมด้วย รู้สึกว่าการแข่ง NSC มันได้อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้มีแค่ถ้วยรางวัลตอนจบ แต่มันคือประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่เริ่มต้น

โอกาสดีๆ ต้องทุ่มชีวิตเข้าใส่!

ด้วยความที่โปรเจกต์จบมันเป็นโปรเจกต์ประกวดด้วย ก็เลยโชคดีที่ Microsoft เขาติดต่อให้เราประกวด Imagine Cup โชคดีได้ชิงแชมป์โลกแล้วก็โชคดีที่ชนะเลิศมาครับ (หัวเราะ) มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต คิดว่าไม่น่าจะมีใครมีโอกาสโชคดีไปกว่าพวกผม ที่มีทุนจากรางวัล มีคอนเนคชันจาก Microsoft ก็เลยรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เราทำก็คงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว เพราะเรามีโปรเจกต์ที่เราเชื่อมั่นว่ามันน่าจะเวิร์ค และเราได้ความเชื่อมั่นจากผู้ใหญ่ในบ้านเรา ผู้ใหญ่เมืองนอกเขาเชื่อมั่นว่าโปรเจกต์เราจะรอด เรามีทุนจากรางวัลด้วยทำให้รู้สึกว่าทำไมเราจะทิ้งโอกาสนี้ไปทำงานก่อน เลยคิดว่าลองมาทำตรงนี้ก่อน ถ้าเจ๊งก็เสียเวลาแค่ปีหรือสองปี ถ้าไม่เจ๊งก็แฮปปี้ไป เพราะมันเป็นโอกาสที่ดี พวกเราเลยตั้งบริษัทชื่อว่า ยูอาร์นีค สตูดิโอ ก่อตั้งเมื่อต้นปีนี้ ก่อนหน้านั้นยังไม่ได้เป็นบริษัทจริงจังอะไร หลักๆ ก็ทำเพื่อพัฒนาตัวเกม คิดไทม์ไลน์ ตอนนี้เป็นบริษัทรับจ้างด้วย รับงาน outsource ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่างๆ พวกเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

พิชิตสตาร์ทอัพด้วยทีมที่ดีและทุนที่พอ!

ถ้าพูดถึงสตาร์ทอัพมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่เขาบอก ที่สำเร็จจริงๆ น้อยนิดมาก ถ้าใครคิดจะมาแนวสตาร์ทอัพสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมีก่อนอย่างอื่นเลยก็คือทีม ต้องมีคนที่มีทักษะพร้อมในการทำสิ่งนั้นๆ ด้วย ซึ่งการจะชวนคนมาอยู่กับเราโดยที่เรายังไม่มีเงินเดือนนะ เรายังไม่มีรายได้นะ ผมว่ามันยาก เพราะฉะนั้น เราต้องชวนคนที่มีความฝันและ passion เดียวกันให้ได้ก่อนเเล้วเริ่มไปด้วยกัน เริ่มตั้งแต่จุดแรกมันง่ายกว่ามาก แม้แต่การประกวด NSC ทีมก็คือพระเอกที่สุดเพราะเราทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดสตีฟ จ็อบส์ ยังมีพนักงาน ต่อให้คุณอัจฉริยะแค่ไหนก็ต้องมีทีมงาน บริษัทก็ยังมีทีมงาน ทุกคนต้องมีทีมงานกันหมด ผมเชื่อว่าทีมคือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามแต่ ผมเคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาและได้คุมเด็กแข่ง NSC ยกตัวอย่างสองทีมที่มีความแตกต่างกันชัดเจน ทีมหนึ่งไม่มีความเป็นทีมเวิร์คเลย ไม่มีใครคุยกัน ไม่มีแผน ทุกคนทำตามสไตล์ตัวเองที่อยากจะทำ กับอีกทีมหนึ่งคุยกันตลอด พยายามวางแผน พยายามคุยกัน ซึ่งผมเห็นผลลัพธ์ที่ได้มันแตกต่างกันมาก ดังนั้น ทักษะสำคัญที่เด็กไอทีต้องมีคือทีมเวิร์ค ต้องทำงานเป็นทีมเป็น ต้องฟังคนอื่นด้วย อีกอย่างคือต้องมีทุน เพราะเราต้องกินต้องใช้ ทำอย่างไรจึงจะอยู่รอดโดยที่ไม่ตายก่อน ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมันต้องพร้อมทุกๆ ด้านทั้งทุนและทีม

ฝีมือเจ๋งอย่างเดียวไม่พอ ต้องขายของเป็นด้วย

อีกอย่างที่สำคัญและเด็กไอทีหลายคนมักจะขาดมากคือ เด็กไอทีมีของแต่มักจะขายไม่เป็น ทำโปรเจกต์อย่างเจ๋งเลยแต่เอาไปพรีเซนต์กรรมการไม่รู้เรื่อง กรรมการไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำอะไรอยู่ ต่อให้เราทำของเจ๋งสุดยอด ถ้าไม่สามารถพรีเซนต์ให้คนอื่นรู้ว่าทำไมต้องมีของชิ้นนี้ มันก็เหมือนคุณทำขยะขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น คุณทำของที่ดีแล้วคุณต้องขายมันเป็นด้วย อันนี้คือสิ่งสำคัญ

เป็นโคชที่ไม่คุม

ตอนที่ผมไปเป็นโคชก็สนุกดีครับ ได้ดูคนอื่นแข่ง ไม่เครียด (หัวเราะ) รู้สึกสบายขึ้น เพราะตอนแข่งมันเหนื่อย มันต้องทำกันโต้รุ่ง แต่มันก็เป็นประสบการณ์ในการแข่งขัน ได้ความสนุกเหมือนเราเป็นคนเล่นเกมเอง แต่พอเป็นที่ปรึกษาของคนอื่นเราแค่ให้คำแนะนำเขา เรารู้ว่าเขาจะเจออะไรบ้าง เรารู้ว่าเขาจะต้องผ่านอะไรอีก เราก็แค่ให้คำแนะนำ พยายามบอกอะไรที่เขาไม่ต้องไปเจอแบบเราหรือเสียเวลาแบบเรา แต่มันก็ไม่ใช่เราอยู่ดี บางทีเขาอาจจะทำตาม บางทีเขาอาจจะไม่ทำตาม มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาด้วย มันก็เลยเป็นอีกมุมมองหนึ่งว่าถ้าเราจะไปคุมเขาเราแข่งเองดีกว่า

สร้างเมนเทอร์ประจำทีม

ถ้า NSC จะช่วยน้องๆ หลักๆ อยากให้เพิ่มเรื่องการให้คำแนะนำมากขึ้น คอยดูแลในภาพรวมแล้วค่อยมาให้คำแนะนำดูแลแบบถึงตัวตรงๆ เพราะเท่าที่ผ่านมาเราจะไม่ได้มีคอนเนคชันหรือติดต่อกับ NSC โดยตรง เหมือนเราแค่ไปประกวดแล้วจบกลับบ้าน ยังไม่เคยมีความรู้สึกว่ามีที่ปรึกษาหรือเมนเทอร์ (mentor) แต่ก็เข้าใจว่าเพราะมีครูที่ปรึกษาของน้องๆ แต่ละโรงเรียนอยู่แล้ว เข้าใจว่า NSC ไม่ได้มีคนเยอะพอที่จะหาที่ปรึกษามาให้ได้ แต่ที่ผมเคยไปประกวดเวทีอื่นเขาจะมีเมนเทอร์ขององค์กรนั้นเข้ามาช่วยจัดการช่วยดูแลเหมือนเป็นพี่เลี้ยง ช่วยพาเราสำเร็จตามเดดไลน์ได้ ช่วยคิดหรือให้คำแนะนำบางอย่างเพิ่มเติม เช่น สอนเรื่องพื้นฐานว่าทีมเวิร์คเป็นอย่างไร หรือช่วยทำอย่างไรให้งานเสร็จเร็วขึ้น แนะนำเทคนิค และเคล็ดลับในการใช้เครื่องมือมากขึ้น ซึ่งจะมีหลากหลายวิธีที่ทำให้เด็กทำงานได้ดีขึ้น หรือทำงานให้เสร็จได้ทันเวลา อย่างผมก็แค่อยากรู้ว่าเราควรทำอย่างไรให้เสร็จทันเวลา หรือถ้าไม่เสร็จทันเวลาเราจะแก้ไขอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง ถ้ามีอะไรแนะนำเพิ่มเติมเพื่อช่วยเรามันจะดีมากขึ้นครับ อาจจะเขียนให้ความเห็นสักหนึ่งย่อหน้าเพื่อให้เรารู้ว่าจะปรับตรงไหนได้ ผมว่าน่าจะช่วยให้เด็กๆ ได้เข้าใจว่าเขามีจุดอ่อนอะไรหรือทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาเข้าใจมากขึ้นด้วย

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

สร้าง Passion ร่วมกัน…ความฝันย่อมไปถึง

ผมว่าการที่เราจะได้รางวัลมันไม่ได้อยู่ที่ฝีมืออย่างเดียว มันเป็นเรื่องของโชคด้วย เพราะว่าทุกคนที่ไปแข่ง NSC เก่งอยู่แล้ว แต่ที่หนึ่งมันมีได้คนเดียว เพราะฉะนั้น คนที่อาจจะเก่งที่สุดและมีดวงเยอะที่สุดจึงจะชนะ ผมคิดว่าโปรเจกต์ของผมก็ไม่ได้ดีกว่าใคร ผมยังนั่งประเมินอยู่เพราะกลุ่มนี้ก็ดีกลุ่มนั้นก็ดี ส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องของ passion ทุกคนต้องมี passion อย่างน้อยผู้นำต้องมีความสามารถถ่ายทอด passion ของตัวเองให้น้องๆ หรือเพื่อนในทีมทุกคนมี passion ร่วมกันได้ เพราะเขากำลังเดินตามฝัน เพราะเขากำลังวิ่งแข่งไปด้วยกันกับคุณ ถ้าเขาไม่รู้ว่าเป้าหมายนั้นคืออะไรก็ไม่มีใครอยากจะออกแรงวิ่งไปกับคุณ ถ้าคุณไม่มีความสามารถในการชักจูงผู้คนไปร่วมเป้าหมายกับคุณได้ ผมว่าก็ไม่ค่อยเวิร์ค

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

รางวัลไม่ใช่เส้นชัยของชีวิต

สำหรับตัวผมเองก็ยังไม่สำเร็จหลายๆ อย่าง เป้าหมายของผมคืออยากเป็นบริษัทเกมที่ใหญ่และมีผลิตภัณฑ์ของตัวเอง สามารถสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้ อันนี้คือเป้าหมายของผม แต่ทีมผมยังน้องใหม่ในวงการเกมมาก ต่อให้เข้าวงการมาหนึ่งหรือสองปี แต่ยังไม่เคยมีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน รู้สึกว่ามันยังไม่สำเร็จ ที่ผ่านมาที่สำเร็จก็แค่รางวัล แต่ถ้าพูดตามตรงสำหรับอาชีพในวงการอุตสาหกรรมแล้วไม่มีใครแคร์รางวัล มีคนบอกว่าคนที่แคร์รางวัลมีแค่คุณคนเดียว คนอื่นเขาไม่แคร์รางวัลคุณ ซึ่งมันคือความจริง รางวัลมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่ฉากสุดยอดในชีวิต มันแค่ฉากเปิดหนังด้วยซ้ำ แต่เราจะเอารางวัลนั้นไปทำอะไรต่อกับมันได้ ที่เขาแคร์จริงๆ ก็คือเราทำอะไร เราเป็นใคร เขาแคร์ตรงนั้นมากกว่า รางวัลอาจจะเป็นแค่จุดสุดยอดของนักศึกษาตอนนั้นที่เรารู้สึกว่า เราโคตรเทพเลย เจ๋งมาก แต่พอเข้าวงการมาปุ๊บไม่มีใครมารักเราขนาดนั้น เราไม่ได้เทพ เราก็แค่เด็กน้อยในวงการ

หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว

เวลาเจออุปสรรคหรือปัญหาต้องค่อยๆ คิดวางแผนว่า ทำไมเรายังไม่ถึงจุดนั้น มันไม่มีใครดูโลกใบนี้ได้ทุกอย่าง มันต้องมีการเสียสละบางอย่างไป ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณีว่าอันไหนมันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค ต้องชั่งใจวางแผนดูว่าจะจัดการปัญหานั้นอย่างไร ปกติผมก็พยายามคุยกับเพื่อนอยู่ตลอดเวลา ปรึกษาคนในทีม เพราะฉะนั้น ผมก็จะเน้นคำว่าทีมๆ หน่อย จะเป็นบทสัมภาษณ์ที่มีแต่คำว่าทีมนะครับ (หัวเราะ) ผมว่ามันคือสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ เพราะบางเรื่องเราคิดเองคนเดียวไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องที่ตัดสินใจร่วมกันด้วย ซึ่งหลายอย่างมันประกอบกัน เรามีฝีมือ มีทีม มีดวง มีทุกอย่างเลย เป็นองค์ประกอบที่ทำให้เราได้มาถึงตรงนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ผมเป็นคนโชคดีที่มีเพื่อนที่ดีครับ และมี passion มีความเพ้อฝันของตัวเอง เพ้อฝันก็คือมีเป้าหมายไม่ใช่แค่อีก 10 ปีข้างหน้าฉันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น ไม่ได้มีเป้าหมายอย่างนั้น เป้าหมายเราคิดกว้างอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ อยากจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกมไทย เพราะวงการเกมไทยมันพัฒนาได้มากกว่านี้ เราอยากจะพาเกมไทยไปถึงระดับญี่ปุ่นหรืออเมริกาหรือประเทศจีนหรือประเทศอื่นๆ ผมคิดว่าเรามีโอกาสทำได้ ซึ่งทีมของผมสามารถประกวดเกมให้ชาวต่างชาติเชื่อได้ว่าเกมมันเวิร์ค ผมคิดว่าก็น่าจะทำให้คนไทยเชื่อได้เหมือนกันว่าทีมผมน่าจะเวิร์ค ก็เป็นความฝันหนึ่ง มันคือเป้าหมายของเราที่จะผลักดันวงการเกมไทยไปข้างหน้า แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นก็ต้องทำของเราให้รอดก่อน แต่เรามีเป้าหมายที่สูงกว่า เป็นเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น ผมเป็นคนที่มองอะไรใหญ่ เพ้อฝัน เราไม่ได้คิดเล็ก ผมว่าทุกคนฝันได้ อย่างน้อยได้ทำก็ยังดี

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ทำด้วยความเชื่อ และเชื่อว่าทำได้!

ถ้าให้คำแนะนำน้องๆ ก็อยากให้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ถ้าชอบอะไรแล้วมันจะทำสิ่งนั้นได้อย่างมี passion ซึ่ง passion คือพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับการทำอะไรสักอย่างที่เกินตัวเอง passion มันทำให้ชีวิตเราไม่น่าเบื่อ มันมีเป้าหมายที่ฉันอยากจะไปตรงนั้น สิ่งที่ฉันทำอยู่ทุกวันนี้มันทำให้ฉันไปถึงเป้าหมายตรงนั้นได้หรือยัง ทำทุกอย่าง ทำทุกวัน ฝากไว้ก่อนก็แล้วกันว่านั่นคือเป้าหมายชีวิตเรา ต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จมันก็ยังไปได้สักที่ที่มันโอเค ต่อให้อยู่ท่ามกลางดวงจันทร์ ถ้าพลาดก็อยู่ท่ามกลางดวงดาว ส่วนผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ที่ 1 Imagine Cup ไม่มีใครคิดว่าประเทศไทยแข่งทำเกมกับคนทั้งโลก ญี่ปุ่น อเมริกา จีน เกาหลี ทุกประเทศเลย แต่เราแค่เชื่อว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เราเชื่อว่าเราทำได้แล้วกัน เชื่อไว้ก่อนจะทำได้ไหมไม่รู้ แต่เชื่อตัวเองทำให้มั่นใจที่สุด และเราทำมันดีกว่าไม่เคยลอง ผมเชื่อว่าเด็กไทยหลายๆ คนชอบประเมินตัวเองว่าทำไม่ได้หรอก ขี้เกียจ เล่นเฟซบุ๊กทวิตเตอร์ดีกว่า ไถๆ จบกลับบ้านนอน ลองทำดูก่อนก็ได้ แค่คำว่าทำ Just do it อย่าให้ความฝันเป็นแค่ฝัน ทำแล้วมันจะเกิดขึ้น ต่อให้ไม่เกิดมันก็จะได้บางอย่างขึ้นมา

แน่นอนว่าการลงมือทำตามความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งอาจสะดุด บางครั้งอาจพลาดฝัน สิ่งสำคัญที่เจมส์แนะนำก็คือ การมีความเชื่อและ passion ที่เข้มแข็ง แม้วันนี้เราอาจพลาดพลั้ง แต่ด้วยกำลังใจที่ดีจะช่วยเก็บกอบความผิดพลาดนั้นเป็นต้นทุนประสบการณ์ เพื่อผลักดันชีวิตไปให้ถึงฝันได้ในสักวันหนึ่ง…

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 
ข้อมูลการศึกษา
  • จบการศึกษาจากวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2016
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • รางวัล 1st Place Winner in Game Design จากการแข่งขัน Imagine Cup Thailand 2016 ด้วยโปรเจคต์ Timeline
  • รางวัล 1st Place Winner in Games Category จากการแข่งขัน Imagine Cup 2016 ด้วยโปรเจคต์ Timeline
  • รางวัล Best Student Technical Project จากพิธีมอบรางวัล BIDC Awards 2017 ด้วยโปรเจคต์ Timeline
  • ก่อตั้งบริษัท ยูอาร์นีค สตูดิโอ จำกัด
  • บริษัทได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการ Indie Games Accelerator โดย Google
ปัจจุบัน
  • CEO และ Game Designer บริษัท ยูอาร์นีต สตูดิโอ จำกัด
ความเชี่ยวชาญ
  • ออกแบบเกม
  • UI/UX Design
  • โปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิก เช่น Adobe Photoshop
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : ทรงกริช สันตินันตรักษ์ (NSC 2002) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2002-songgrit.html Fri, 08 Mar 2019 03:15:46 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3053
บทสัมภาษณ์ | เดือนตุลาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ปิ่นพงศ์ เนียมมะณี
องค์ประกอบของความสำเร็จมีอยู่หลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ลงมือทำ

…‘อ๊อฟ’ ทรงกริช สันตินันตรักษ์ CEO หนุ่มวิสัยทัศน์ไกล เปิดเผยถึงปัจจัยแห่งความสำเร็จ ที่ทำให้อดีตชายหนุ่มที่มีเงินอยู่แค่ 5 หมื่นบาท สามารถก่อร่างสร้างตัวมาถึงจุดของการเป็นหุ้นส่วนบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ด้านไอทีอย่างแอดไวซ์ที่มียอดขายกว่าหมื่นล้านต่อปีได้ ว่าแล้วก็มาล้อมวงกันเถอะ…เขาอยากจะเผยเคล็ดลับแล้ว

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

ฝันแรงกล้าแต่วัยเด็ก

ตั้งแต่เด็กๆ ก็คล้ายกับทุกคนที่โตมากับเกม เราไปเจอเพื่อนบ้านที่เขามีเครื่องเกม ชอบไปเล่นกับเขาจนกระทั่งคุณแม่ซื้อเครื่องเกมมาให้เราเล่นเลย ก็เริ่มจากตรงนั้น สนใจว่าเกมมันเป็นอย่างไร มันผลิตอย่างไร เริ่มศึกษาตั้งแต่ประถมฯ ว่าเกมมันเป็นมาอย่างไร จนกระทั่งมัธยมฯ มีแต่คนบอกว่าต้องไปเรียนแพทย์ฯ นะ อยากให้ลูกเรียนสูงๆ แต่เรามาสายนี้ เราบอกพ่อแม่ว่าอยากเป็นคนผลิตซอฟต์แวร์ อยากเป็นคนผลิตเกม ซึ่งตอนนั้นผู้ใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เกมคืออะไร ทำไมไม่ไปเป็นหมอ ทำไมไม่ไปเป็นอะไรที่มันดีกว่านี้ แต่เราก็ต้องการตามความฝันของตัวเอง

วิศวะคอมฯ คือที่หนึ่งในใจ

จนกระทั่งจบ ม.6 ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตอนนั้นเน้นไปทางวิศวกรรมศาสตร์เลย แต่ปี 1 ยังเป็นวิชาพื้นฐานวิศวกรรมทั่วไปอยู่ พอปี 2 เริ่มเลือกภาควิชา ในใจผมเลือกภาควิชาคอมพิวเตอร์มาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ตอนนั้นคอมพิวเตอร์ก็เริ่มบูมขึ้นมาระดับหนึ่งและมีคนต้องการเลือกเยอะเหมือนกัน ก็เริ่มเข้ามาสายคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตอนนั้น จนกระทั่งได้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตอนปี 3 แล้วก็มารู้จักเนคเทคตอนปี 3 เช่นกัน เริ่มเข้าสู่เวทีแข่งขันในตอนนั้นครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ไม่มีอะไรยากเมื่อเราพยายาม

ที่เราเคยคิดไว้การเขียนโปรแกรมก็แค่เอาภาพมาปะติดปะต่อให้มันเป็นเกมสักเกมหนึ่ง แต่พอเข้าไปเรียน ช่วงแรกที่ได้เรียนรู้คือพวกภาษาปาสกาล (Pascal) ที่อาจารย์เอามาสอน มันคืออะไร? โปรแกรมแรกเลยคือ Hello world โปรแกรมเมอร์จะรู้ว่าเบื้องต้นต้อง Hello world ให้ได้ก่อน ตอนนั้นคิดว่าทำไมมันยากนัก เลือกถูกไหมที่จะมาสายนี้ แต่พอเรามีความตั้งใจ เราอยากได้เกมสักเกมหนึ่งมาเล่นและอยากลองทำด้วยตัวเอง ก็พยายามทำ พยายามศึกษา ทดลองเขียนโปรแกรม เขียนคำนวณตัวเลขต่างๆ ตามพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องเรียน มันก็เริ่มเรียนรู้ เริ่มมีทักษะมากขึ้น เริ่มมีความเข้าใจ logic ต่างๆ ในการเขียนโปรแกรมแล้วพัฒนาขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้ ก็เริ่มชอบซอฟต์แวร์ตั้งแต่ตอนนั้น

แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่

ตอนนั้นเริ่มมีอินเทอร์เน็ตแล้วแต่เราไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลย ได้แต่เรียนจริงๆ จนกระทั่งมีอาจารย์มาบอกว่ามีการแข่งขัน NSC ซึ่งมีรุ่นพี่เคยไปแข่งขันเเล้วได้รางวัลมาก่อนคือ พี่เพิ่ม (เพิ่มบุญ เอี่ยมสุภาษิต) เราก็เลยมีรุ่นพี่เป็นแรงบันดาลใจ แล้วเข้าแข่งขันตั้งแต่ปี 3 ครั้งแรกยื่นสมัครกับเพื่อนคนหนึ่ง จำได้ว่าจะผลิตเกม แต่พอดีเป็นช่วงปิดเทอม เเบ่งหัวข้อกับเพื่อนๆ แล้วแยกย้ายกันไป ช่วงนั้นไม่มีโทรศัพท์ มีแค่เพจเจอร์แต่ติดต่อกันไม่ได้ เราก็พยายามตั้งใจเขียน จนสุดท้ายเปิดเทอม ต่างคนต่างทำของตัวเองกลายเป็นว่ามันไม่สมบูรณ์ ครั้งแรกคือล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ เราเลยไม่ได้ส่งผลงานปีนั้น แล้วคืนเงินสนับสนุนไป แต่ตั้งใจว่าไม่เป็นไร ยังมีทีสิส (Thesis) เดี๋ยวเริ่มใหม่

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

ถ้าไม่ลองทำ…นวัตกรรมก็ไม่เกิด

พอขึ้นปี 4 เป็น NSC ครั้งที่ 4 ก็ลองสมัครโดยส่งผลงานโปรเจกต์จบเข้าแข่งขัน ซึ่งเราก็คิดร่วมกับท่านอาจารย์ ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ตอนนั้นอาจารย์เป็นหัวหน้าภาควิชาคอมพิวเตอร์และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจกต์ เราพยายามพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยเหลือคนพิการทางสายตา ช่วงนั้นซอฟต์แวร์ที่คนชอบใช้กันมากๆ เลยก็คือ MSN เป็นโปรแกรมแชทที่ฮิตกันมาก แต่คนพิการทางสายตาเขาพิมพ์ไม่ได้ เราก็พยายามคิดหาวิธีแล้วชวนเพื่อนอีกคนมาเป็นคู่โปรเจกต์ ซึ่งอาจารย์แนะนำให้ทำเป็นโปรแกรมที่สั่งงานได้ด้วยเสียง ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีซอฟทต์แวร์สั่งงานได้ด้วยเสียง เราก็ยังตกใจอยู่ว่าจะทำได้หรือ ด้วยความที่เราเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจับซอฟต์แวร์มาได้ปีเดียวเอง แต่ก็ลองศึกษาแล้วพยายามทำออกมา ปรากฏว่าทำออกมาได้ดีด้วย นี่คือความตั้งใจที่บางคนอาจจะคิดว่ามันยาก ทำไม่ได้หรอกด้วยเวลาแค่นั้น ถ้าคุณไม่ลองทำมันก็ยังคงไม่ได้อยู่อย่างนั้น ลองทำดูว่าจะทำได้ไหม สำเร็จหรือไม่สำเร็จอีกเรื่องหนึ่งแต่ขอให้ได้ทำ ตอนนั้นก็เลยลงมือทำมาเรื่อยๆ จนสำเร็จแล้วส่งเข้าแข่งขัน NSC ได้รับรางวัลชนะเลิศในหมวดซอฟต์แวร์สำหรับคนพิการ

ประสบการณ์สอนให้ทำงานเป็นทีม

สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือความพยายาม ส่วนหนึ่งคือเราต้องทำ สลัดความคิดที่ว่าเราทำไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการทำงานร่วมกับคนอื่นด้วยเพราะเราต้องทำงานเป็นกลุ่ม เราคิดว่าเราทำคนเดียวได้ แต่พอได้ทำร่วมกับคนอื่นมันจะมีจุดที่ว่าเราจะทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างไร เราจะแบ่งงานกันอย่างไร จะทำอย่างไรให้งานของทั้งสองคนหรือทั้งทีมมารวมกันแล้วเข้ากันได้ เป็นผลงานที่ทำออกมาได้ดี นี่คือตอนนั้นที่ได้เรียนรู้ เพราะเราล้มเหลวตอนปี 3 เนื่องจากขาดการสื่อสารกับเพื่อน ขาดความเข้าใจกับเพื่อนว่าเป้าหมายที่ต้องทำคืออะไร พอมาปี 4 เรารู้แล้วก็เริ่มแบ่งงานกับเพื่อนในทีม แล้วเอาผลงานของทั้งสองคนมาประสานร่วมกันให้ได้ กลายเป็นว่าทุกอย่างมันลงตัวจนประสบความสำเร็จ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เวทีแห่งการโชว์ของ!

ตัวตนจริงๆ ของผม ณ ตอนนั้นคือเราเป็นคนที่ชอบอยู่กับหน้าจอของตัวเอง อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง ไม่กล้าเอาความคิดของตัวเองแสดงออกมาว่า ‘ฉันอยากทำอันนี้ ฉันอยากให้คนอื่นได้เห็นสิ่งที่ทำ’ เพราะคิดว่าเราอยู่ของเราแค่นี้แหละ ทั้งที่จริงเรามีความสามารถ NSC เป็นเวทีที่ทำให้ผมมีความกล้าที่จะเอาผลงานที่ตัวเองได้ทำออกมา ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าผลงานเรามีประโยชน์ต่อสังคมอย่างไร แต่เราได้แสดงความสามารถของเราแล้ว เราได้แสดงในเวทีที่เขาเปิดกว้างให้เราได้แสดงออก เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับผมเลย ครั้งแรกอาจจะล้มเหลว พอครั้งที่สองประสบความสำเร็จมันทำให้เรารู้สึกว่า NSC เป็นเวทีที่ทำให้เราได้แสดงออกจริงๆ คิดว่ารุ่นน้องที่ได้มาสัมผัสตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเขาและก้าวต่อไปในอนาคต

เก็บประสบการณ์ลูกจ้าง เพื่อสร้างธุรกิจตัวเอง

ตอนเรียนจบใหม่ๆ มีบริษัทของญี่ปุ่นบริษัทหนึ่งมาสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยและรับเราเข้าทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ตอนนั้นชีวิตก็เหมือนมนุษย์เงินเดือนวัยทำงานทั่วไป พอทำงานกับบริษัทนี้ได้ 1 ปี คุณพ่อเริ่มมีอาการไม่สบายนิดหนึ่ง รู้สึกว่าอยากให้ของขวัญอะไรกับพ่อแม่บ้างก็คือการเรียนต่อให้มันสูงขึ้น เลยลาออกมาเรียนปริญญาโทที่จุฬาฯ หลักสูตร Software Business Development เป็นหลักสูตรทางด้าน Software Engineer พอจบปริญญาโทก็ไปทำงานต่อที่บริษัท True Corperation แต่ทำได้แค่ครึ่งปี ความรู้สึกตอนนั้นเราไม่อยากเป็นลูกจ้างเขา ด้วยลักษณะนิสัยเราที่อยากทำอะไรเป็นของตัวเอง เราไปทำงานตรงนั้นเพื่อได้เรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร เรียนรู้ถึงรากการเป็นชีวิตลูกจ้างว่าเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้ความรู้สึกของลูกจ้างที่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทว่าเป็นอย่างไร พอได้เรียนรู้แล้วก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่เราจะออกมาทำธุรกิจของตัวเอง

จากปลาเล็ก…สู่ปลาใหญ่

ตอนนั้นมีเงินทุนติดตัวแค่ 5 หมื่นบาท ด้วยความที่เราเรียนจบสายคอมพิวเตอร์และชอบคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ก็ไปเดินดูตลาดที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่าเพื่อหาแนวทางหากต้องไปเปิดร้านคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่ต่างจังหวัด ซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่โต บางคนอาจจะคิดอยากไปตั้งบริษัทที่ใหญ่โต แต่ความคิดผมตอนนั้นเอาแค่เล็กๆ ก็พอ ขอแค่ให้มันเป็นสิ่งที่เราชอบ เป็นสิ่งที่เราตั้งใจและได้เป็นเจ้านายของตัวเอง ได้ทำธุรกิจของตัวเอง เลยเอาเงิน 5 หมื่นบาทไปเปิดร้าน ธุรกิจก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ใช้เวลา 2 ปีธุรกิจเริ่มโต ร้านเริ่มใหญ่ขึ้น เริ่มมีพนักงานมากขึ้น เริ่มได้ควบคุมพนักงานหลากหลายรูปแบบ เริ่มเรียนรู้อะไรหลายอย่าง จนกระทั่งบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด ซึ่งตอนนั้นมีเจ้าของสองท่าน เขาเห็นยอดขายของเราที่เป็นดีลเลอร์ให้เขาอยู่ ก็เลยชักชวนมาใช้ชื่อบริษัทฯ กึ่งๆ เป็นแฟรนไชส์ ซึ่งเราก็ยังเป็นเจ้าของอยู่ แต่เราเอาโลโก้ของบริษัทไปใช้เหมือนเป็นสาขาที่จังหวัดนั้นๆ ยอดขายก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันบริษัท แอดไวซ์ฯ ยอดขายโดยรวมอยู่ที่ปีละหนึ่งหมื่นสี่พันล้านบาท เป็นตลาดไอทีเบอร์หนึ่ง ซึ่งเราพร้อมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทุกคนก็เลยรวมกลุ่มกัน ตอนนี้ก็เหมือนเป็นหุ้นส่วนกันเตรียมตัวที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ กว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ใช้เวลา 10 ปี

เดินสู่ความสำเร็จด้วยตัวเอง

สิ่งที่ผลักดันให้มาถึงทุกวันนี้น่าจะเป็นความอยากประสบผลสำเร็จ เราโตมาในครอบครัวคนจีน คุณพ่อจะพูดเสมอว่าต้องช่วยเหลือตัวเองให้ได้ ต้องทำให้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง การผลักดันก็น่าจะเป็นคำพูดของคุณพ่อ เขาไม่ช่วยเหลืออะไรนะ คุณต้องเดินด้วยตัวของคุณเอง ชีวิตคุณต้องประสบความสำเร็จด้วยตัวของคุณเอง เพราะฉะนั้น ในสมองเราจะคิดอยู่เสมอว่าเราต้องประสบความสำเร็จ มันเป็นจุดที่เราต้องทำสิ่งที่ชอบ ต้องเติบโต ต้องประสบความสำเร็จ ทำมาเรื่อยๆ เจออุปสรรคก็พยายามแก้แล้วเดินต่อไป เส้นทางขรุขระเราก็พยายามเดินมา ก็ผ่านมาเยอะพอสมควรกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จเต็มตัว ยังต้องก้าวต่อไปอีกระยะหนึ่งถึงจะประสบความสำเร็จ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

คนล้มเหลว คือคนที่ไม่ลงมือทำ

ผมมองว่า ทักษะเดียวที่น้องๆ ไอทีรุ่นใหม่ควรจะมีคือความตั้งใจ มันไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องชำนาญด้านใดด้านหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องเก่งซอฟต์แวร์หรือเขียนโปรแกรมเก่ง เพราะถึงแม้คุณจะเก่งแต่ถ้าไม่มีความตั้งใจก็ไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งเดียวที่ผมยึดถือมาตลอดคือทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ก็คือต้องทำ คนที่ทำแล้วไม่สำเร็จคุณไม่ได้ล้มเหลว คนที่ล้มเหลวคือไม่ได้ทำ ผมคิดแบบนี้เสมอ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณคิดอยากจะทำอะไรหรือมีความตั้งใจจะทำอะไรให้ทำ อย่าไปคิดมาก อย่าไปคิดว่าฉันทำไม่ได้ ฉันติดนั่นติดนี่ ฉันไม่มีเงินทุน ไม่มีคนสนับสนุน ฉันมีแค่ความสามารถ ฉันไม่มีเพื่อนไม่มีสังคม อย่าไปคิดแบบนั้น คุณต้องทำก่อน วางแผนให้ดีแล้วทำมันถึงจะมีคำว่าประสบความสำเร็จ อย่าไปคิดว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ทุกคนมีความสามารถของตัวเอง เรียนรู้ได้ พยายามได้ ศึกษาได้ ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำได้ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่ต้น แค่คุณพยายามและลองทำ ความสำเร็จรอคุณอยู่ข้างหน้า

สร้าง Connection สู่เวทีโลก

ในส่วนของ NSC ผมมองว่าการเป็นเวทีประกวดหรือแข่งขันที่ช่วยสนับสนุนเงินทุน เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว ถ้าจะให้เพิ่มเติมอีกก็คือ ความรู้ คอนเนคชันระดับที่ใหญ่ขึ้น ระดับประเทศ ระดับโลก เพราะปัจจุบันเรื่องไอทีคงไม่กระจุกอยู่ที่บ้านเรา ต้องมีคอนเนคชันกับต่างประเทศได้ เพิ่มศักยภาพของนักเรียนนักศึกษาไทยไปสู่เวทีต่างชาติ เพื่อที่จะเทียบชั้นกับประเทศที่เขาโตแล้ว เช่น อินเดีย ซึ่งเด็กไทยมีความสามารถ ถ้า NSC อยากจะช่วยก็น่าจะเป็นเรื่องคอนเนคชันกับต่างประเทศ อาจจะมองว่ามันเร็วไปไหมสำหรับเด็ก ผมว่าไม่เร็ว เด็กสมัยนี้ศึกษาได้เร็วมาก สมองเขาเร็วมาก การที่จะไปคุยกับต่างประเทศหรืออะไรที่มันสเกลใหญ่ขึ้นเขาทำได้และเขาจะเติบโตเร็วมาก

วิสัยทัศน์วัดความอยู่รอด

สิ่งที่จะทำให้อยู่ในตลาดได้ยาวคือวิสัยทัศน์ ต้องตามเทรนด์ตลาดให้ทัน ตอนนี้ตลาดไปเร็วมากใครจะนึกว่ากล้องถ่ายรูปจะล้มได้ ใครจะนึกว่าโนเกียจะล้มไปได้ คือเราต้องตามให้ทันแค่นั้นเอง มีวิสัยทัศน์ในการมองว่าเทรนด์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่มองแค่ว่าเราจะทำตรงนี้ แต่อนาคตเทรนด์จะไปอย่างไรเราต้องวางแผนรองรับ แน่นอนว่าตอนนี้เทรนด์การซื้อของออนไลน์กำลังมา การที่คุณจะเปิดหน้าร้านอย่างเดียวมันไม่ได้ คุณจะต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจของตัวเองให้ตามเทรนด์ได้ทัน เพราะฉะนั้น เด็กรุ่นใหม่ยุคนี้จะต้องมีความคิดที่ดี มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ตามเทรนด์ตามตลาดให้ทัน มองอนาคตให้ทันว่า อนาคตจะไปอย่างไร ถ้าคุณยังมองไม่ทันก็ยากที่จะเดินต่อ

ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้!

เวลาเจอปัญหาต้องคิดก่อนว่าปัญหาที่เกิดขึ้น อุปสรรคที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ด้วยตัวผมเองเป็นคนที่ซีเรียส คนที่อยู่ข้างๆ ผมจะรู้ว่าผมเป็นคนที่ซีเรียสมาก แต่ในภาพที่ผมซีเรียสอยู่สมองจะคิดหาวิธีการที่จะ ก้าวข้ามอุปสรรคตรงนั้นให้ได้ บางคนเจออุปสรรคแล้วท้อ ‘ไม่ได้หรอก ฉันข้ามไม่ได้หรอก’ แต่ผมจะคิดเสมอว่ามันต้องมีสักทางที่จะทำให้เราก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ ซึ่งที่ผ่านมามันก็ทำได้อยู่ตลอด อย่าไปคิดว่าปัญหาบางอย่างแก้ไม่ได้ เพราะปัญหาทุกอย่างแก้ได้ อยู่ที่ว่าคุณพร้อมที่จะรับปัญหา รับความผิดพลาดที่เคยพลาดมาแล้ว แล้วจะแก้ไขอย่างไรให้ก้าวข้ามตรงนั้นไปได้ คนรอบข้างก็มีส่วนสำคัญเหมือนกันที่จะให้กำลังใจเรา แต่สุดท้ายอยู่ที่ตัวเราเอง สมองเราเอง จิตใจเราเอง คิดอย่างไรให้สามารถแก้ไขปัญหาตรงนั้นได้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ทุกวันนี้ผมพยายามทำตามฝันของตัวเอง ลงมือทำให้เต็มที่ ให้เต็มความสามารถของตัวเอง อย่าท้อ อย่าคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ สักวันหนึ่งคุณก็จะประสบความสำเร็จ ผมคิดเสมอว่าต้องพยายามทำ ต้องทำให้ได้ ซึ่งทุกคนต้องมีฝัน ความฝันก็คือเป้าหมายของตัวเอง เป้าหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนพอพูดถึงความฝันอาจเป็นเป้าหมายที่สูงเพราะมันเหมือนฝัน ซึ่งความฝันก็คือการกำหนดเป้าหมายที่สูงเอาไว้ ปักธงไว้ว่าต้องขึ้นไปให้ถึงจุดนั้น ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเราก็เดินไม่ถูก ต้องมีธงอยู่ข้างหน้าให้เห็นว่าเราจะไปตรงไหน ถ้าเป็นผมก็จะต้องมีการวางแผนและวางเป้าหมายให้ชัดเจน เราจะไปตรงนี้ ถึงตรงนี้ผ่านไปกี่ปี อายุเรากี่ปี เราจะเป็นอย่างไร มองตัวเองในอนาคตให้เห็น แล้วกำหนดไว้ว่าเราจะไปให้ถึงเป้าหมายนั้น

ทุกคนมีฝันในชีวิต แต่น่าเสียดายที่หลายคนเลือกฝากความฝันของตัวเองไว้กับความกลัว จนไม่ได้ลงมือทำอะไร และสุดท้ายก็จบลงที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น…สำหรับอ๊อฟ มีหลายช่วงในชีวิตที่เขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัว แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกล้าลงมือทำตามความฝัน และไม่ลืมที่จะบอกต่อรุ่นน้องๆ ว่า คงไม่มีวันนี้ถ้าไม่ลงมือทำในวันนั้น…

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 
ข้อมูลการศึกษา
  • ปริญญาตรี Computer Engineering – มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • ปริญญาโท Business Software Development – จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ใบประกาศณียบัตร MBA – Nida
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2002
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • รางวัลที่ 1 การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 : NSC 2002
ปัจจุบัน
  • หุ้นส่วนบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด และ กรรมการบริษัท ยูนิตี้ ไอที ซิสเต็ม จำกัด
    • จำหน่ายปลีก-ส่ง สินค้าไอที และสมาร์ทโฟน ผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต และหน้าร้าน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทย และสปป.ลาว กว่า 350 สาขา ปัจจุบันมียอดขาย 12,000 ล้านบาทต่อปี ถือเป็นร้านค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทย ทั้งทางด้านการครอบคลุมพื้นที่ และปริมาณการขายสินค้าไอที
  • Board of Directors Unity IT System Co.,Ltd.CEO และ Game Designer บริษัท ยูอาร์นีต สตูดิโอ จำกัด
ความเชี่ยวชาญ
  • JAVA
  • Microsoft .NET VB, C#
  • Mobile Application
  • ระบบเครือข่าย Network, Server
  • บริหารธุรกิจ
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : รุ่งกานต์ วังบุญ (NSC 2004) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2004-rungkant.html Fri, 08 Mar 2019 03:14:45 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3047
บทสัมภาษณ์ | เดือนกรกฎาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ชาคริต นิลศาสตร์
 
“ทุกคนอาจสอนได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นครูได้…”

นั่นคือสิ่งที่บ่งบอกตัวตนของ ‘ครูรุ่ง’ รุ่งกานต์ วังบุญ ครูคอมพิวเตอร์แห่งปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย ได้ดีที่สุด เพราะครูรุ่งไม่ได้แค่สอนคอมพิวเตอร์ หากแต่ยังเป็นครูสอนแนะแนวการใช้ชีวิตให้ลูกศิษย์ และไม่ใช่เพียงสอนไปตามสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา หากแต่สอนจากประสบการณ์ที่ตัวเองได้ปฏิบัติจริง อยากให้อ่านบทสัมภาษณ์ของครูรุ่ง แล้วเราอาจจะอิจฉาน้องๆ ปรินส์รอยแยลส์ฯ ที่มีครูที่ทุ่มเทขนาดนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ท้าทายในความเป็นครู

เมื่อก่อนเคยเป็นคุณครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่หลังจากเรียนจบ Computer Science ก็ร้อนวิชาอยากเขียนโปรแกรม เลยไปทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่นิคมอุตสาหกรรมอยู่ 9 เดือน ถึงแม้จะได้เงินได้โอทีเยอะมาก แต่ทำให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเอง หลังจากนั้นทางโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยเรียกตัวมาสัมภาษณ์เพราะเราเคยสมัครไว้ ตอนสัมภาษณ์ท่านผู้อำนวยการพูดไว้ว่าความเป็นครูไม่ได้เป็นวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แต่มันเป็นทุกวัน ไม่ใช่ถอดเครื่องแบบแล้วจะเลิกเป็น การเป็นครูไม่น่าเบื่อ ได้ทำอะไรหลายอย่าง คิดว่ามันน่าสนใจ และทางโรงเรียนจะส่งเสริมให้เรียนต่อปริญญาโทด้วย ก็เลยลาออกมาเป็นครูที่นี่ แล้วก็ได้เรียนต่อปริญญาโทจริงๆ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เจ็บเพื่อให้จำ ทำเพื่อให้รู้

พอเรียนจบปริญญาโททางโรงเรียนเลื่อนให้ขึ้นมาสอนระดับชั้น ม.ปลาย ซึ่งมีโครงการแข่งขันที่คุณครูท่านหนึ่งเคยทำไว้แล้ว เราก็คิดว่าจะทำได้หรือ แต่ก็ลองทำ ปีแรกปรากฏว่าเด็กได้รางวัลที่ 1 ของ NSC นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ซึ่งในปีแรกถือว่าเด็กเก่ง เราแค่ให้แนวทางเล็กๆ น้อยๆ ปีต่อมามีการแข่งขันสำหรับคุณครู แต่เรายังไม่กล้าแข่ง จนกระทั่งก็มีคนมาบอกว่า เราจะแนะนำเด็กได้อย่างไรถ้าเราไม่เคยไปสนามนั้นจริงๆ ก็เลยตัดสินใจลงแข่งปีแรก เริ่มต้นจากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำให้ได้เข้าใจบรรยากาศการเขียนข้อเสนอ ความสงสัย ความกดดัน ความตื่นเต้น ที่สำคัญทำให้เราได้เรียนรู้ความเจ็บปวดจากการแข่งขัน NSC ด้วย คือสมัยก่อนจะไม่มีการนำเสนอ ครูส่งผลงานด้วยแผ่นซีดี มีข้อเสนอโครงการ มีกรรมการตรวจให้ แล้วรอฟังผล ทำมาอย่างนี้ทุกๆ ปี ปีนั้น (2549) เราก็ไม่ได้ไปนำเสนอเพราะวันนำเสนอเป็นวันแต่งงานพอดี ปรากฏว่าหลังจากนั้นหนึ่งเดือนมีจดหมายแจ้งมาที่โรงเรียนว่าอาจารย์รุ่งกานต์ส่งผลงานไม่ได้เกณฑ์ตามมาตรฐานและจะโดนยึดทุนคืน เราช็อคมาก เลยไปถามกรรมการ เขาบอกว่าแผ่นซีดีที่เราส่งไปมันเปิดไม่ได้ เพราะเครื่องไม่ได้ลงโปรแกรมแฟลชเพลเยอร์ไว้ ตอนนั้นโกรธ NSC มาก อายมาก ก็เจ็บช้ำไปประมาณสามเดือน

วิถีคนจริง!

หลังจากนั้นถามตัวเองว่าเราจะหยุดอยู่แค่นี้หรือ แล้วคนอื่นเขารู้ไหม หรือเราจะก้าวต่อไปให้คนอื่นเห็นว่าเราคือของจริง คนจริง และเราทำจริง ก็เลยเอาผลงานเดิมที่โดนยึดเงินไปส่งเข้าแข่งขันในปีถัดมา ปรากฏว่าทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศแล้วได้ไปนำเสนอ และได้รางวัลที่สองหรือรองชนะเลิศ ปีนั้นไม่มีที่หนึ่งเพราะผลงานยังไม่ถึงเกณฑ์ แล้วทำอย่างไรถึงจะได้ เราก็กลับมาถามตัวเองว่าจะแข่งต่อไปไหม คือมันเหมือนยังไม่ที่สุด ก็เลยกลับมาปรับปรุงพัฒนาผลงานใหม่ ดูเกณฑ์ทุกอย่างให้รัดกุมมากขึ้น แล้วส่งแข่งขันต่อจนได้รางวัลที่ 1

วิธีหาโจทย์คือจะดูว่าเราทำสื่ออะไรที่มีคุณค่า อย่างเช่น ถ้าเราทำสื่อที่เขาเข้าใจอยู่แล้ว ทำดีแค่ไหนเขาก็ไม่เห็นประโยชน์ แต่เราจะดูว่าเรื่องไหนที่ยาก เด็กเรียนในห้องแล้วไม่เข้าใจ ต้องไปเรียนพิเศษมากขึ้น หรือคะแนนสอบตก เราก็หยิบตรงนั้นมาดูว่าจะทำภาพอนิเมชันได้อย่างไร

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

อาบน้ำร้อนก่อน ถึงสอนเด็กได้

คุณค่าที่ได้รับคือระหว่างทางเราได้ประสบการณ์ เราได้ซึมซับหลายอย่าง ซึ่งตรงนั้นเราจะกลับมาบอกกับเด็กๆ ได้ เราจะโคชเด็กๆ ได้ เหมือนเราบอกว่าเด็กๆ ไปป่าอเมซอนนะ ทั้งที่เขายังไม่เคยไป เพราะฉะนั้นครูต้องไปก่อนถึงจะรู้แต่ละจุดว่าเป็นอย่างไร บอกได้ว่าควรจะทำอย่างไร หลีกเลี่ยงอะไร เพราะถ้าไม่เคยไปเราจะบอกเด็กไม่ได้ ซึ่งแต่ละปีก็จะไม่เหมือนกัน ก็พยายามไปแต่ละเวที ทำให้เข้าใจเด็กว่าเวลานำเสนอเขาจะตื่นเต้นอย่างไร จะต้องมีเทคนิคอะไรที่จะช่วยเขา อันนี้เป็นสิ่งที่มีค่าที่จะนำมาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ต่อไป

ตอนที่เราไม่เคยเป็นคนแข่ง เราบอกให้เขาทำ ทำแบบนี้แล้วจะดี บางคนก็เชื่อ บางคนก็ยังไม่เชื่อ แต่ถ้าเราเคยทำมาก่อน เราจะเข้าใจหัวอกเขา รู้ว่าจังหวะนั้นเราเคยรู้สึกแบบนี้ เราต้องให้กำลังใจเขาอย่างไร เราต้องช่วยเขาอย่างไร เราต้องสนับสนุนเขาอย่างไร ตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร แม้เขาพูดออกมาอย่างหนึ่ง แต่ใจจริงๆ เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น มันก็จะมีวิธีปฏิบัติกับเด็กที่ต่างกันออกไป

ความพร้อมคือดาบสองคม

เมื่อก่อนเด็กจะกระตือรือร้นมาก เขาไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีอุปกรณ์อะไรเลย ไม่มีโน้ตบุ๊กด้วย เวลาที่อยากทำต้องกลับไปทำที่บ้าน ถ้าอยากทำที่โรงเรียนต้องยกเคสยกหน้าจอมานั่งทำ บางคนต้องไปทำที่บ้านเพื่อน ต้องลาเรียนไป เขาต้องใช้ความอดทนมาก มีความมุ่งมั่นมาก แต่เด็กสมัยนี้ค่อนข้างพร้อม มีห้องคอมฯ มีครู มีทุกอย่าง บางครั้งจะเห็นว่าเด็กยุคใหม่จะท้อแท้ง่าย ไม่ค่อยสู้ฝ่าฟัน ต้องคอยให้กำลังใจ คอยช่วยเหลือเขา แต่เด็กสมัยก่อนจะเข้มแข็งมาก เราแค่คอยแนะนำอยู่ห่างๆ ความมีวินัยไม่ต้องตามเยอะ สมัยก่อนถ้าสั่งปุ๊บจะทำ ถ้าทำไม่ได้จะมาบอกก่อน แต่เด็กสมัยนี้ต้องจี้ ต้องโคชละเอียด บางทีต้องโคชผู้ปกครองด้วย ก็เคยคิดว่าเป็นเพราะเขาพร้อมมากเกินไปหรือเปล่า แต่อาจเป็นเพราะสังคมในปัจจุบันด้วยที่เร่งด่วน ต้องการอะไรที่รวดเร็ว อีกอย่างเขาเรียนหนักขึ้นตั้งแต่เช้ายันเย็น เย็นต้องไปเรียนต่อ มีระบบ TCAS ที่บีบเขา เวลาที่จะมาทำตรงนี้ก็เลยแคบลง ถ้าไม่มีความพร้อมเด็กจะโดนกดดันและไปทางอื่นได้

เกรดวัดที่ชัดเจน กับความหลากหลายที่หายไป

ปัจจุบันครูสอนเด็กนักเรียนห้องกิฟท์คอมฯ (Gifted Computer) แต่ยุคแรกๆ สอนเด็กทุกคนเลย เมื่อก่อนเด็กทุกคนต้องเข้ามาเรียนคอมพิวเตอร์ชื่อวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ทุกคนต้องเรียนเหมือนๆ กัน ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ ก็สอน ม.4 ซึ่งต้องสอนพื้นฐานของกระทรวงให้จบไวๆ แล้วเราค่อยเพิ่มเติมในส่วนของโรงเรียนปรินส์ฯ เข้าไปให้เข้มข้นเพิ่มขึ้น ข้อดีคือเราจะเจอเด็กทุกคนไม่ว่าจะเด็กคนนั้นจะอยากเป็นวิศวะฯ คอมฯ หรือเปล่า แต่เราจะเจอ เราจะเห็นแววเด็กที่แตกต่างกันไป เราจะได้เห็นเด็กที่หลากหลาย แต่ถ้ากลุ่มเด็กกิฟท์คอมฯ จะมุ่งไปที่เขียนโปรแกรมการพัฒนา เราจะได้กลุ่มเด็กที่แคบลง แต่ความตั้งใจที่เขาจะมาทางด้านนี้ก็มีความชัดเจน

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เป้าหมายยิ่งสูง แรงพยายามยิ่งมาก

ที่ผลักดันให้เด็กได้เข้าแข่งขัน NSC อันดับแรกที่เห็นชัดเลยคือเด็กได้พัฒนาศักยภาพที่ชัดเจน ทำเพื่อแข่งในห้องก็แค่แข่งในห้อง แต่ถ้าทำเพื่อแข่งของโรงเรียนมันจะเพิ่มขึ้น ของภาคก็เพิ่มขึ้น ของประเทศก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้ครูพยายามผลักดันเด็กว่าเวลาทำงานอะไรต้องมองไปที่นานาชาติ ถ้าเรามองไปที่นานาชาติได้ระดับประเทศก็ไม่ยาก เพราะแรงของเด็กจะไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น ต้องสร้างเวทีที่ให้เด็กได้มีแรงขึ้นมาเอง แล้วจะป้อนอะไรก็ง่าย

ครูจะสอนเด็กว่าเห็นต้นไม้ไหม มันจะมีผลไม้ มีตั้งแต่ตกลงมาที่พื้นมีหนอนกินบ้าง มีข้างล่าง มีตรงกลาง มีข้างบน ข้างบนครูเปรียบเหมือนเป็นอมฤต ถามเด็กว่าอยากกินอันไหน เด็กบอกว่าข้างบน แต่ครูบอกว่าข้างบนมันเหนื่อยนะ อาจจะล้ม อาจจะเจ็บปางตาย ถลอกปอกเปิก เด็กบอกว่าไม่เป็นไรจะเอา เราก็เปรียบเทียบกับชีวิตจริง ถ้าอยากได้ที่ปลายยอด อย่างน้อยจะได้ที่ครึ่งต้น แต่ถ้าอยากได้ที่ครึ่งต้น มากสุดก็จะได้แค่ครึ่งต้น อันล่างๆ ก็จะเป็นของเธอ เขาก็จะเริ่มมองเป้าสูงที่จะทำให้เขามีแรงมากขึ้น ซึ่งแต่ละเคสจะไม่เหมือนกัน มีทั้งคนที่คิดว่าเขาทำไม่ได้หรอก เราก็ไม่มั่นใจหรอกว่าเขาจะทำได้ไหม แต่ต้องทำให้เขามั่นใจและเชื่อว่าเขาทำได้ แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ บางคนเราไม่เคยคิดว่าเขาจะนึกถึงเรา วันหนึ่งพอลงจากเวทีเขาก็มากราบเท้าตรงนั้นเลย เขาบอกว่าผมมีวันนี้ได้เพราะครู เราก็อึ้งทำอะไรไม่ถูก (ยิ้ม)

สร้างความมั่นใจ ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน

วิธีสร้างความมั่นใจให้เด็ก อันดับแรกครูจะบอกว่า ในทีมต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ถ้าอีกคนมีเป้าหมายแค่ที่โรงเรียน อีกคนระดับภาค อีกคนระดับประเทศ ทำให้เราต้องมาคุยกันก่อนว่าเป้าหมายเราคืออะไร เอาให้ชัด เพราะแต่ละระดับไม่เหมือนกัน ก็ให้คนที่ตั้งเป้าหมายแต่ละระดับอธิบายในมุมของเขา สุดท้ายเด็กจะคิดเองได้ว่าเขาจะเอาเป้าหมายอะไร ให้เด็กได้คุยกันแล้วเขาจะมีความเข้าใจกัน เขาจะได้มีข้อมูลมากขึ้น ถ้ามีเป้าหมายเดียวกันการเสริมแรงก็จะไม่ยาก ถ้ามีเป้าหมายแบบนี้ครูสามารถให้คำแนะนำได้เลยว่าข้อเสนอมันถึงระดับไหน การันตีได้ไหม แต่ต้องทำเผื่อไว้ถ้าจะได้ร้อยต้องทำร้อยยี่สิบ เพราะฉะนั้น เด็กก็จะมั่นใจในการ ก้าวกับเราว่าเราเห็นทางข้างหน้าที่ชัดเจน ที่สำคัญ ต้องไม่ประมาท ต่อให้เก่งอย่างไรต้องพิชิตใจกรรมการให้ได้ จะได้ไม่พลาดแบบที่ครูพลาด เพราะเราต้องใช้เวลากับมัน สิ่งที่ครูพลาดไปก็เป็นประโยชน์ที่จะมาเล่าให้เด็กฟัง อย่าคิดว่าพลาดแล้วเสียไป ถ้ามองให้เป็นประโยชน์ก็เอามาใช้กับเด็กได้ มีเทคนิคมาสอนเด็ก

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

การเติบโตของเด็ก คือรอยยิ้มของครู

ถ้าถามถึงความสำเร็จในการส่งเด็กเข้าแข่งขัน เรื่องรางวัลก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ระหว่างทางเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็ก เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีความรับผิดชอบ มีความคิดที่เปลี่ยนไป มีความเสียสละ มีการนึกถึงคนอื่น อันนี้คือสิ่งที่ทำให้ครูมีรอยยิ้มได้เรื่อยๆ ถ้าเป็นคุณครูทั่วไปก็จะได้เงินเดือนแค่สิ้นเดือน เดือนละหนึ่งครั้ง แต่สำหรับครูคิดว่าทุกครั้งที่อยู่กับเด็กเราก็ได้ตลอดเป็นเม็ดเล็กเม็ดน้อย และต้องคอยรดน้ำไปเรื่อยๆ เราเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา เราก็มีความสุข

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

ชีวิตเราใช้ให้คุ้ม!

สำหรับคุณครูที่สนใจส่งเด็กเข้าแข่งขัน ถ้าเราจะแนะนำเด็กได้เราต้องเคยทำมาก่อน เหมือนคำที่มีคนพูดว่า คุณจะเข้าใจคนอกหักได้อย่างไรถ้าไม่เคยอกหัก แล้วคุณจะแนะนำเด็กได้อย่างไร ถ้าคุณไม่เคยลองเส้นทางนั้นแม้แต่ครั้งเดียว และไม่มีอะไรที่น่ากลัวเพราะเด็กของเราต้องการจะไปและครูต้องไปก่อนแค่นั้นเอง

ถ้าจะโคชเด็กให้เข้าแข่ง จะบอกเด็กๆ ว่า ชีวิตนักเรียนมันจะมีอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เราเดินไปกินข้าว แล้วกลับมาห้อง อย่างมากเธอจะได้ไปเล่นบาส อย่างมากเธอจะได้ไปทัศนศึกษาปีละหนึ่งหรือสองครั้ง แต่การที่เราได้ก้าวออกมาแล้วทำอะไรสักอย่างที่เราชอบ แล้วทำให้สุดทาง มันมากกว่าในห้องเรียน เธอจะได้ชีวิตอีกด้านหนึ่ง ได้การเรียนรู้ที่จะอยู่กับเพื่อน การทำงานที่แท้จริง ความเก่งที่พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว และการรักษาสมดุลไม่ว่าจะเป็นตัวเอง กับครอบครัว กับเพื่อน กับทุกอย่างๆ มันคือชีวิตมากๆ มีชีวิตทั้งทีต้องใช้ให้คุ้ม แต่ต้องรักษาความสมดุลระหว่างคะแนนและการแข่งขันด้วย เพราะเด็กหลายคนถ้ารักษาสมดุลไม่เป็นอาจจะเสียการเรียน เด็กบางคนถึงแม้เขาจะได้โควตาแต่เกรดไม่ถึง หรือแม้จะไปเรียนแล้วแต่เขาไม่มีพื้นฐาน เขาก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องรักษาสมดุล และครูก็ต้องช่วยด้วย

ครูอยากให้ NSC คงอยู่ไปนานๆ มันเป็นแรงผลักดันที่ดีมากของเด็ก โดยเฉพาะการมีโควตาให้กับเด็ก เพราะเด็กที่มาอยู่ในโครงการเป็นเด็กที่เสียสละเวลามาแล้ว เขาไม่ใช่เด็กที่จะอยู่แต่ในห้องเรียน แต่ต้องรักษาความสมดุล และมหาวิทยาลัยที่รับเขาไปก็จะไม่ผิดหวัง

ช่วยบ่มเพาะระหว่างทาง

ครูเคยได้เป็นวิทยากรให้กับเนคเทค ปัญหาที่ครูหลายคนเจอ เขาบอกว่าเด็กอยากทำครูก็อยากแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะ หนึ่ง ครูไม่ได้เขียนโปรแกรมได้เก่งมากมาย สอง เด็กยังไม่มีพื้นฐาน แล้วจะทำอย่างไร ซึ่งน่าจะมีการบ่มเพาะระหว่างทางทั้งครูและนักเรียน จนกระทั่งเขาเขียนข้อเสนอได้ด้วย แต่ถ้าในระหว่างนั้นเขียนโปรแกรมไม่ได้ทำอย่างไร อย่างเช่นบางโปรแกรมที่เขียนยากๆ โรงเรียนปรินส์ฯ กว่าจะเขียนได้ก็ตั้งต้นนานเหมือนกัน แล้วถ้าเด็กข้างนอกจะเริ่มอย่างไร ทั้งที่เขามีไอเดีย ครูก็พร้อม อยากให้มีตรงนี้เข้ามาเชื่อมด้วย ถ้าเนคเทคสามารถช่วยตรงนี้ได้จะเป็นประโยชน์ และอีกอย่างที่ไปเมืองนอกจะเห็นเขาทำเป็น Landmark ที่ส่วนกลาง เด็กไม่มีเงินสักบาทแต่สามารถเดินเข้าไปใช้อุปกรณ์ได้หมดทุกอย่าง มีไกด์ไลน์ให้ สำหรับเด็กที่ยังไม่รู้ตัวเองหรือไม่มีความพร้อมตรงนี้ ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ เด็กก็จะได้เป็นไอเดียต่อยอดได้

สำหรับโรงเรียนที่ห่างไกล อย่างแม่ฮ่องสอนก็น่าจะเป็นโมเดลที่ดีมาก มีทั้งการเขียนข้อเสนอ ให้อาจารย์มหาวิทยาลัยโคชชิ่งให้ แล้วค่อยๆ ประคับประคองอย่างต่อเนื่อง ถ้าได้โมเดลนี้ขึ้นมาอาจจะไปช่วยที่อื่นได้ แต่ถ้ารอโมเดลอาจต้องใช้เวลา อย่างตอนนี้เรามีบทเรียนมากมาย ถ้าทำเป็นศูนย์เกี่ยวกับไอทีและเทคโนโลยี แบ่งเป็นหัวข้อ อย่างเช่นอาจารย์ถนัดหัวข้อนี้ก็อัดวีดีโอไว้ใส่เข้าไปรวบรวม อย่างน้อยมันมีอินเตอร์เน็ต เด็กเข้ามาแล้วก็ทำตาม มีอุปกรณ์ที่อยากได้ซื้อที่ไหน มีรายชื่อติดต่อผู้เชี่ยวชาญ ถ้ามีเว็บไซต์แบบนี้สักหนึ่งอันมันน่าจะไปได้

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

สำหรับตัวเอง ถ้าเป็นครูในห้องเรียนเราก็จะเป็นแนวที่จัดการเรียนการสอนให้สนุก ให้เด็กอยากรู้ ไม่มานั่งบอก 1 2 3 4 อยากให้เขาทำอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา แล้วเราทำหน้าที่เพียงช่วยเขาทำให้สำเร็จ แต่ถ้าเป็นโคชต้องจัดสิ่งแวดล้อมให้พร้อมมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นคน หลักสูตร ห้อง เนื้อหา การเชื่อมกับผู้บริหาร ผู้ปกครอง จัดให้พร้อม แล้วก็คอยดูว่าเขาขาดอะไร เราก็คอยเติมเต็ม

ที่ผ่านมาเราแข่งขันมาสิบกว่าปี ได้รับรางวัลก็ดีใจแป๊บๆ อนาคตอยากทำอะไรที่มันมี impact ในสิ่งที่เรารู้ให้กับคนอื่นบ้าง ไม่ว่ากับเด็กหรือคุณครู และเป็นระยะยาว อยากทำเว็บฯ ขึ้นมาเป็นศูนย์รวม ใครอยากรู้เรื่องไอทีเข้ามาตรงนี้จะรู้จริง สร้างเป็น hub และมี content ให้ครบถ้วน อีกหน่อยอาจจะมี conference ด้วยแต่ก็ยังเป็นความฝันอยู่ …

คำที่ว่า ความเป็นครูหาใช่อยู่ที่คุณวุฒิ หากแต่อยู่ในจิตวิญญาณของคนคนนั้น ยังคงเป็นจริงเสมอ และไม่อาจปฏิเสธเลยว่า ครูรุ่งคือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนถึงคำข้างต้นได้อย่างชัดเจน แม้จะต้องสู้อุตสาหะเพียงไร ขอแค่ได้เห็นความสำเร็จของลูกศิษย์ นั่นคือสิ่งตอบแทนที่มากเกินพอแล้วสำหรับครู…

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 
ข้อมูลการศึกษา
  • ปริญญาโท สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • ปริญญาตรี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2006
  • เป็นครูที่ปรึกษา”การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2004
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
ฐานะผู้ร่วมการแข่งขัน
  • 2007 โปรแกรม “เรียนสนุกกับไฟฟ้าเคมีออนไลน์” ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ2 (ไม่มีรางวัลชนะเลิศอันดับ1) ระดับประเทศ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์) ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
  • 2007 โปรแกรม “เรียนสนุกกับไฟฟ้าเคมีออนไลน์” ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ระดับประเทศ ประเภท E-Learning ในงานการประกวดผลงานแอนิเมชั่น เกม และสื่อการสอน ระดับบุคคลทั่วไป ในการแข่งขัน Thailand Animation & Multimedia2007 จัดโดย สำนักงานส่งเสิรมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SiPA)
  • 2008 โปรแกรม “เส้นสายประสาท หรรษา ออนไลน์” ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ระดับประเทศ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
  • 2008 โปรแกรม “เส้นสายประสาท หรรษา ออนไลน์” ได้รางวัลสื่อ ICT ดีเด่น ระดับประเทศ ในการประชุมวิชาการการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนการสอน จัดโดยโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
  • 2009 โปรแกรม ” สัตว์เลี้ยงอัจฉริยะกับความรู้คอมพิวเตอร์ออนไลน์” ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ1 (ไม่มีรางวัลที่1) ” ระดับประเทศ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
  • 2010 โปรแกรม ” สร้างโปรแกรมเมอร์น้อยด้วยโปรแกรมออนไลน์” ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ” ระดับประเทศ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
  • 2010 โปรแกรม ” สร้างโปรแกรมเมอร์น้อยด้วยโปรแกรมออนไลน์” ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ประเภท Education’s Choice สาขานวัตกรรมใหม่มีความโดดเด่น ระดับประเทศ จากกระทรวงศึกษาธิการและ บริษัทไมโครซอฟท์ประเทศไทย
  • 2010 โปรแกรม ” สร้างโปรแกรมเมอร์น้อยด้วยโปรแกรมออนไลน์” รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ประเภท ครูผู้นำด้านนวัตกรรมการเรียนการสอน ระดับประเทศจากกระทรวงศึกษาธิการและ บริษัทไมโครซอฟท์ประเทศไทย
  • 2010 จากโปรแกรม ” สร้างโปรแกรมเมอร์น้อยด้วยโปรแกรมออนไลน์” ที่ได้ทุนพัฒนาจาก Nectec ได้รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ในการประกวดการใช้นวัตกรรมในกระบวนการเรียนการสอน ระดับกลุ่มครูประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แปซิฟิก ณ ประเทศสิงคโปร์ ได้นำเสนองานในเวทีระดับโลก จากไมโครซอฟท์ Worldwide
  • 2010 จากโครงการ” สร้างโปรแกรมเมอร์น้อยด้วยโปรแกรมออนไลน์” ที่ได้ทุนพัฒนาจาก Nectec ได้เป็นตัวแทนครูไทย เพียง1เดียวร่วมนำเสนอ Worldwide Innovative Teacher Leadership Forum ณ เมืองเคปทาวน์ ประเทศ Soult Africa ในการใช้นวัตกรรมใหม่ในกระบวนการเรียนการสอนและ เข้าร่วมประชุมสัมนาการใช้นวัตกรรมการสอนระดับโลก
  • 2010 ครูรุ่งกานต์ วังบุญ รับเชิญเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เวลา 9.00-12.00 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา
  • 2012 โปรแกรม “เรียนรู้ระบบเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูลผ่านมือถือและแท็บเล็ต ” รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ระดับประเทศ ประเภทสื่อบทเรียนสำหรับระบบการเรียนรู้ออนไลน์ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
  • 2013 โปรแกรม “การเรียนรู้การพูดออกเสียงและเขียนภาษาอังกฤษ” รางวัลชนะเลิศอันดับ1 ระดับประเทศ ประเภทสื่อบทเรียนสำหรับระบบการเรียนรู้ออนไลน์ ประเภทสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ ระดับครู อาจารย์ ในการแข่งขันการพัฒนาโปรแกรมแห่งประเทศไทย (National Software Contest) จัดโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ฐานะครูที่ปรึกษา 2004 – 2019 (15 ปี ) จากเวที NSC
  • 8 Teams : รางวัลระดับนานาชาติ
  • 12 Teams : ชนะเลิศระดับประเทศ
  • 19 Teams : ที่ 2 ระดับประเทศ
  • 23 Teams : ที่ 3 ระดับประเทศ
ปัจจุบัน
  • ครูผู้สอน ที่ปรึกษา นักเรียนในโครงการ Gifted Computer โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
  • หัวหน้างานส่งเสริมอัจฉริยภาพผู้เรียนด้านเทคโนโลยี โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย
ความเชี่ยวชาญ
  • Java Programming
  • Python
  • IT Project Management
  • Action script3.0
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : ธนานพ กอบชัยสวัสดิ์ (NSC 2010) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2010-thananop.html Fri, 22 Feb 2019 04:48:30 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3043
บทสัมภาษณ์ | เดือนตุลาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ปิ่นพงศ์ เนียมมะณี
 
“เพราะโลกไม่เคยหยุดหมุน ความรู้จึงไม่ควรหยุดนิ่ง”

…คือแนวคิดที่ ‘ต้น’ ธนานพ กอบชัยสวัสดิ์ ว่าที่นักวิจัยหนุ่มอนาคตไกล เปรยกับเราผ่านบทสัมภาษณ์ ที่ว่าด้วยชีวิตที่ผ่านมาและเส้นทางที่อยากจะมุ่งหน้าไปของเขา จากอดีตมือแข่งขันระดับรางวัล สู่บทบาทของว่าที่อาจารย์และนักวิจัย ต้นบอกว่าสิ่งสำคัญของคนไอทีคือการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง และปัจจัยสำคัญของกระบวนการนั้น ก็คือ ความรู้ นั่นเอง

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

เข้าวงการเพราะจอเขียว

ผมเล่นคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็กๆ ครับ มีโอกาสได้ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้านตั้งแต่เป็นจอเขียว คุณอาจะเอาคอมพิวเตอร์เก่าๆ มาให้ใช้ตั้งแต่ป.1 ตั้งแต่นั้นมาก็ชอบคอมพิวเตอร์และสนใจมาเรื่อยๆ ครับ มาเริ่มแข่งขันครั้งแรกกับเนคเทคตอน ป.6 น่าจะเป็นปีแรกที่มีการจัดแข่งขันประกอบคอมพิวเตอร์ ครั้งต่อๆ มาเป็นช่วงมัธยมฯ ตอนนั้นเนคเทคกำลังโปรโมท LinuxTLE และมีแข่งขันติดตั้ง Server Linux ก็ได้เข้าไปแข่งขัน หลังจากนั้นเป็นช่วง ม.ปลายที่โรงเรียนจะให้นักเรียนที่เรียนวิชาเขียนโปรแกรมส่งโครงการเข้าแข่งขัน NSC เลยได้ส่ง NSC ครั้งแรกเป็นผลงานเกมปลูกผักที่ส่งเสริมการเรียนรู้ แต่ไม่ได้รางวัลครับ

ปันใจให้ไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่ทิ้งคอมฯ

จนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย ผมเรียนภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่จุฬาฯ ตอนนั้นมีเหตุเล็กน้อยก็เลยเปลี่ยนความสนใจไปเรียนด้านไฟฟ้าแทน แต่ได้ทำโปรเจกต์กับเพื่อนโรงเรียนเก่าที่อยู่ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วง ม.ปลายก็เคยทำโปรเจกต์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ด้วยกันอยู่แล้ว ตอนนั้นมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายคอมพิวเตอร์โอลิมปิกด้วยก็เลยเกาะกลุ่มกันมาจนมาถึงมหาวิทยาลัยครับ และได้ทำโปรเจกต์ร่วมกันตอนปีสอง เป็นโปรแกรมช่วยเหลือคนพิการ โดยให้ผู้ใช้พูดเป็นเสียงพูดเข้าไป หลังจากนั้นจะสร้างเป็นโมเดลภาษามือออกมา แปลงจากเสียงเป็นโมเดลสามมิติ ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่ไม่ได้รางวัลครับ

อัพพลังสร้างสรรค์จากการแข่งขันรัวๆ

หลังจากนั้นผมทำโปรเจกต์จบเกี่ยวกับการนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาวิเคราะห์ ช่วงนั้น AI Machine Learning กำลังมาแรง ผมเลยสนใจทำโปรเจกต์เรื่องนี้ แล้วไปต่อปริญญาโทภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และได้ทำโปรเจกต์หัวข้อ Text Detection คือพอถ่ายรูปมาปุ๊บ เราจะหาว่ามันมีข้อความอยู่ตรงไหนบ้าง ซึ่งโจทย์นี้มันเอาไปใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก อย่างเช่น Google Translate เวลาเราถ่ายรูปมามันก็จะแปลจากข้อความภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง และมันต้องใช้เรื่องพวกนี้ไว้ทำงาน ช่วงนั้นเป็นปีแรกที่เรียนปริญญาโท ทาง NSC ก็เปิดหัวข้อการแข่งขัน BEST (การวัดเปรียบเทียบสมรรถนะเพื่อพัฒนามาตรฐานการประมวลผลภาษาไทย – Benchmark for Enhancing the Standard for Thai language processing) เป็นเรื่องเดียวกับที่ทำวิทยานิพนธ์อยู่พอดี ก็เลยส่งผลงานเข้าแข่งขันและได้รางวัลที่หนึ่งครับ

ปีต่อมาเปลี่ยนหัวข้อใหม่เป็นหัวข้อที่ทำต่อยอดจากของเดิม เป็นการอ่านป้ายนักวิ่งจากภาพนักวิ่ง ช่วงนั้นกระแสงานวิ่งกำลังมาแรง แต่ละงานวิ่งจะมีช่างภาพเยอะมาก เขาไปถ่ายรูปงานวิ่งงานหนึ่งได้รูปเป็น 1,000 รูป แล้วต้องมานั่งคลิกหาคนทีละรูป ปีนั้น BEST มีโจทย์ว่าให้อ่านหมายเลขจากนักวิ่งแบบอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้คีย์เลขเข้ามาก็จะหาภาพที่มีเลขเหล่านั้นออกมาได้เลย ผลงานนี้ก็ได้ที่หนึ่งครับ

ปีถัดมาคือปีล่าสุดเป็นโจทย์ Human Detection คือจากภาพกล้องวงจรปิดที่มีคนอยู่เยอะมาก เราอยากนับว่าในภาพกล้องวงจรปิดช่วงนี้มีคนเดินผ่านไปผ่านมากี่คน ซึ่งสามารถเอาไปทำพวก Security Monitoring ได้ ผลงานนี้ก็ได้ที่หนึ่งเช่นกันครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

อัพเกรดตัวเองให้ทันโลกไอที

การแข่งขันแต่ละครั้งทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการพัฒนาตัวเอง เนื่องจากสายคอมพิวเตอร์มันพัฒนารวดเร็วมาก แต่ละปีเทคโนโลยีอาจเปลี่ยนไปเยอะมาก อย่างสายที่ผมทำอยู่จะเป็นพวก AI Machine Learning หรือด้าน Computer Vision เกี่ยวกับการนำภาพมาประมวลผลในคอมพิวเตอร์ด้วยวิธีต่างๆ ในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมาเทคโนโลยีมันพัฒนาไปเร็วมาก ปีหนึ่งมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่งแล้ว ทำให้เราต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะบางอย่างมันใหม่เกินกว่าจะหาคนมาสอนได้ เราต้องศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็นภาษาอังกฤษ

แชร์ความรู้ในสนามแข่ง

ถ้ามองในแง่คุณค่าที่ได้รับจากการแข่งขัน จะเป็นเรื่องการได้รู้จักคนอื่นๆ ค่อนข้างเยอะครับ อย่างตอนที่ผมส่งหัวข้อ BEST ตอนนั้นเป็นช่วงแรกๆ ที่เข้ามาเรียนปริญญาโท ซึ่งค่อนข้างเน้นเรื่องงานวิจัย พอมาแข่งขันหัวข้อ BEST ก็ได้รู้จักคนที่ทำหัวข้อวิจัยคล้ายๆ กันค่อนข้างเยอะเลยครับ ทั้งจากเนคเทคและอาจารย์มหาวิทยาลัยอื่นๆ ทำให้ได้รู้จักคนที่ทำงานในแวดวงเดียวกัน มีการพูดคุยกันต่อมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เราก็มีการแชร์ความรู้ให้กัน

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

อนาคตอาจารย์ (หรือนักวิจัย)

ด้วยความที่หัวข้อที่ผมทำโปรเจกต์ตอนปริญญาโทมันมี Impact ค่อนข้างเยอะ ก็เลยมี passion อยากทำต่อ เลยตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอกที่คณะเดิม จริงๆ มีสองทางที่ผมอยากเป็น เนื่องจากช่วงที่เรียนเป็นนักเรียนบัณฑิตศึกษา ผมมีโอกาสได้เป็นผู้ช่วยสอนของอาจารย์หลายท่าน และได้สอนวิชา Computer Vision ด้วย หลังจากช่วยสอนมาหลายปีรู้สึกชอบเรื่องการสอน เราได้ช่วยน้องๆ รุ่นใหม่ๆ ให้มีความรู้ที่กว้างขึ้น ใช้ประสบการณ์จากที่เราศึกษามาด้วยตัวเอง แทนที่จะให้น้องไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ แต่เราเรียนรู้บางส่วนมาบ้างแล้ว เราก็ช่วยให้น้องไปได้เร็วขึ้น ซึ่งจากตรงนี้ก็คล้ายๆ เราส่งเด็กรุ่นใหม่เข้าไปสู่ NSC ด้วยครับ นี่เป็นทางเลือกที่อยากเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

สำหรับอีกทางหนึ่งก็คือเนื่องจากเราทำวิจัยมาและรู้สึกชอบมาก ก็อยากเป็นนักวิจัยต่อ มีความคาดหวังว่าถ้าได้ทำงานเป็นนักวิจัยต่อก็ดีทั้งในไทยหรือไปทำ workshop ที่ต่างประเทศ

สร้าง Challenge ให้รุ่นน้อง

ตอนนี้ผมเป็น TA วิชา Computer Vision ในวิชาจะเรียนแบบเลคเชอร์ครึ่งหนึ่งทำแล็บครึ่งหนึ่ง ผมจะดูแลตอนน้องๆ ทำแล็บ และจะมีให้ทำโปรเจกต์ใหญ่หนึ่งตัว เราให้น้องส่งโปรเจกต์เข้าแข่งขัน NSC ซึ่งผมจะคอยช่วยดูว่าน้องติดปัญหาตรงไหน เหตุผลที่อยากให้น้องส่ง NSC เพราะคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับน้องที่เรียนอยู่ปี 4 และใกล้จบแล้ว น่าจะส่งผลงานอะไรสักอย่างเป็นการท้าทายตัวเองก่อนจบมหาวิทยาลัย และได้รางวัลให้ตัวเองเป็นโปรเจกต์ใหญ่ ซึ่งตอนที่เราทำ เราต้องทำเองทุกอย่าง แต่พอให้คำปรึกษาน้อง เราจะให้คำปรึกษาบ้าง บางส่วนก็ให้น้องไปหาเอง เพราะต้องให้น้องเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วย จะไม่ได้บอกทั้งหมด 1 2 3 แต่บอกเป็นแนวทางให้เขาไปทำต่อ

หมุนเคลื่อนไปตามกระแสโลก

ช่วงนี้เทคโนโลยีประเภท AI Machine Learning มาแรง ผมเห็นว่า NSC ก็มีการพัฒนา คือมีการเปิดหัวข้อใหม่ที่เป็น AI และไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ถึงเรียนปริญญาโทก็ยังส่งได้ เท่าที่เห็นมาในช่วงสองปีที่ผ่านมามีงานที่น่าสนใจส่งเข้ามาเยอะ จะเห็นได้ว่ามหาวิทยาลัยต่างๆ ในไทยหรือหน่วยงานการศึกษามีการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับที่โลกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีส่วนหนึ่ง แต่ผมคิดว่าน่าจะให้มีการแข่งขันเพิ่มเติม เพื่อให้คนที่สนใจทางด้านนี้สามารถมาเข้าร่วมและมีการแข่งขันกันมากขึ้น

แชร์ประสบการณ์สตาร์ทอัพ

หากจะรวมกลุ่มคนที่เคยผ่านเวที NSC ในมุมของคนส่วนใหญ่ก็อาจจะคิดเรื่องสตาร์ทอัพเพราะตอนนี้กำลังฮิตอยู่ อาจมีการแชร์ประสบการณ์ว่ามีความล้มเหลวอะไรบ้าง หรือผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง เท่าที่ผมเคยได้ยินสตาร์ทอัพรุ่นพี่คนอื่นๆ เขาล้มเหลวมาแล้วเป็นสิบๆ ครั้ง แต่ดีครั้งเดียวได้เลย น่าจะเป็นแนวที่คนทั่วไปสนใจ ส่วนในแนวของนักวิจัยก็อาจจะเป็นวงจำกัด ซึ่งปัจจุบันก็มีการรวมกลุ่มค่อนข้างเยอะ คนไม่ต้องมาเจอหน้าก็สามารถพูดคุยกันทางอินเตอร์เน็ตได้ครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

เรียนรู้เองไปได้ดี บวกภาษาดีไปได้ไกล

สำหรับคนที่อยู่สายคอมพิวเตอร์น่าจะรู้กันอยู่แล้วว่าเทคโนโลยีค่อนข้างไปเร็วมาก ทั้งสายที่เป็นการทำวิจัยหรือสายการพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วไป ทั้งสองสายนี้บางทีช่วง 2 – 3เดือนก็เปลี่ยนเทคโนโลยีไปรอบหนึ่งแล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเองค่อนข้างสูงมาก เราต้องพัฒนาตัวเอง ต้องรู้จักฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ถ้าเราล้าหลังไปก็จะไม่ทันคนอื่น

ทักษะที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องภาษา เนื่องจากในแวดวงคอมพิวเตอร์จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทั้งการวิจัยหรือซอฟต์แวร์เฮ้าส์ต่างๆ ที่เป็นนานาชาติจะใช้ภาษาอังกฤษทั้งนั้น จริงๆ ในไทยผมว่าแรงงานสายคอมพิวเตอร์ก็มีคุณภาพ เพราะจากที่ได้มีประสบการณ์สัมผัสกับแวดวงที่เป็นธุรกิจมาส่วนหนึ่งก็มีคนเก่งค่อนข้างเยอะ ถ้าประเทศไทยสามารถพัฒนาคนที่เรียนรู้ได้เร็วและมีทักษะทางภาษาค่อนข้างดีได้ ก็น่าจะไปได้ไกลครับ

พัฒนาตัวเองจากการแข่งขัน

สิ่งที่ผลักดันให้ผมประสบความสำเร็จที่ผ่านมาก็มาจากการแข่งขันส่วนหนึ่ง เมื่อเราได้มีการพัฒนาตัวเอง เราเห็นคนอื่นเขาทำมันแล้ว เราก็อยากทำให้มันดีกว่านั้น คิดว่าเราน่าจะพัฒนาอะไรเพิ่มเติมจากของที่เขาทำได้ และเนื่องจากเราอยู่ในแวดวงนี้มาค่อนข้างเยอะ เราต้องมีความรู้ที่จะเอามาช่วยเสริมให้ผลงานมันดีขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือเรามีความทุ่มเทกับมัน เรามีความอยากทำ สนุกไปกับมัน ทำแล้วอยากทำอีกไปเรื่อยๆ ครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

มากกว่ารางวัล คือความรู้

ช่วงแรกๆ ที่แข่งขันผมไม่ค่อยได้คิดเท่าไหร่ว่าถ้าไม่ได้รางวัลจะเป็นอย่างไร แค่อยากทำงานร่วมกับเพื่อนมากกว่า ทำแล้วรู้สึกสนุกที่ได้ทำ ได้เห็นว่าเขาทำกันอย่างไร ไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร อย่างเช่น ตอนที่ทำหัวข้อที่แปลงจากเสียงเป็นโมเดลสามมิติ ตอนนั้นก็ได้ทำเกี่ยวกับเรื่อง Speed Recognition คือแปลงจากเสียงให้เป็นตัวหนังสือ แล้วค่อยแปลงจากตัวหนังสือให้เป็นโมเดลสามมิติอีกทีหนึ่ง ช่วงนั้นเทคโนโลยี speed recognition กำลังมาแรง ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าเขาทำกันอย่างไร เราก็ได้ความรู้จากตรงนั้นมาด้วย ไม่ได้มองว่าส่งไปแล้วจะได้รางวัลหรือไม่ได้ เพราะอย่างไรเราก็ได้ความรู้มาเพิ่มอยู่ดี

ทางเลือกสำหรับสายวิจัย

ในสายงานวิจัย นอกจากอาจารย์หรือนักวิจัย เดี๋ยวนี้พวก Text Company ก็ต้องการคนที่ทำ Machine Learning เก่งๆ เยอะมาก จริงๆ ในไทยก็มีหลายบริษัท ทั้งที่เป็น NLP (การประมวลผลภาษาธรรมชาติ – Natural Language Processing) เป็นการประมวลผลทางภาษาหรือที่เป็นตัวเลขคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตต่างๆ เช่น เราคาดการณ์ว่าลูกค้าคนนี้มีแนวโน้มที่จะทำประกันไหม หรือถ้าเป็นสาย Computer Vision ทำเกี่ยวกับรูปภาพ การวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ลูกค้าเข้ามาในร้านใช้เวลากับแคชเชียร์นานเท่าไหร่ หรือมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจเอาไปวิเคราะห์เพื่อช่วยส่งเสริมการขาย ก็จะมีงานสายพวกนี้อยู่ในไทยที่ค่อนข้างมาแรงครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ผมมองว่าตัวเองเป็นแนวๆ นักวิจัย เรามีความอยากที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ที่ยังไม่เคยมีคนทำมาก่อน หรือพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มันดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครคิดที่จะสร้างระบบที่สั่งให้จับคนได้ หรืออ่านตัวหนังสือจากป้ายที่ทำงานได้รวดเร็วขนาดนี้ หรือยกตัวอย่างที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันก็คือสมาร์ทโฟน เมื่อ 10 ปีที่แล้วยังไม่คิดว่าจะมีสมาร์ทโฟนขนาดเล็กเท่านี้อยู่ในกระเป๋า แถมยังเร็วกว่าคอมพิวเตอร์เมื่อ 20 ปีที่แล้วเป็น 10 เท่า ทั้งที่ขนาดเล็กลงตั้งเยอะ สิ่งเหล่านี้เป็นผลผลิตจากนักวิจัยทำมา เราก็อยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้แก่สังคมโลก ความฝันของผมก็คืออยากสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่เป็นสิ่งที่คนใช้กันทั่วไปหรือเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้จัก อยากให้สิ่งที่ทำมาจากเรามันขยายไปในวงกว้าง

ภารกิจขยายวง (กลม) ความรู้

ในมุมของนักวิจัย เราจินตนาการว่าความรู้เป็นวงกลม นักวิจัยพยายามดันวงกลมนั้นออกไปอีก เราขยายขอบเขตของความรู้ออกไป เพราะบางทีการศึกษาด้วยตัวเองก็อาจจะศึกษาแค่ในวงกลม แต่เราจะทำให้วงกลมขยายออกไปอีก 1 มิลลิเมตร เพื่อเพิ่มความรู้ของมนุษยชาติออกไป นั่นคือส่วนหนึ่งที่นักวิจัยอยากทำกัน มันคือการขยายขอบเขตความรู้ของมนุษย์ออกไปครับ …

เพราะเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา ต้นได้ผ่านกระบวนการพัฒนาตนเองมาอย่างโชกโชน เขาจึงเห็นความสำคัญอย่างยิ่งของความรู้ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งสำหรับมนุษยชาติ ยิ่งในโลกของไอทีที่ทุกสิ่งเคลื่อนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การพยายามทำความเข้าใจเพื่อตามให้ทันโลกจึงต้องอาศัยความรู้ที่ไวและชัดเจน ซึ่งสำหรับคนรุ่นใหม่อาจต้องมีผู้ช่วยที่คอยบุกเบิกและจัดการความรู้เหล่านั้นให้ และนั่นเองคือสิ่งที่ต้นกำลังมุ่งไป…

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 
ข้อมูลการศึกษา
  • Chulalongkorn University
PhD Student – Computer Engineering (2016 – Present)
Thesis Tile : Thai Scene Text Recognition
Advisor : Asst. Prof. Thanarat Chalidabhongse
Master of Engineering – Computer Engineering (2013-2016)
Thesis Title : Thai Text Localization in Natural Scene Images
Advisor : Asst. Prof. Thanarat Chalidabhongse
Bachelor of Engineering – Electrical Engineering (2008 – 2012)
Senior Project : Multiple CCTV Management Framework for Android based Mobile Phone
Advisor : Asst. Prof. Supavadee Aramvith
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2010
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • First place in BEST 2018 : Human Detection Contest in National Software Contest 2018 (NSC:2018) organized by NECTEC.
  • First place in IT Princess Award 2017 (organized by Foundation for Research in Information Technology : FRIT) in student research innovation category.
  • First place in BEST 2017 : Text Localization and Recognition Contest in National Software Contest 2017 (NSC:2017) organized by NECTEC.
  • First runner up in TICTA Award 2016 (Thailand ICT Award 2016) in research and innovation category.
  • First place in BEST 2016 : Text Localization and Recognition Contest in National Software Contest 2016 (NSC:2016) organized by NECTEC.
  • Final round candidate in IT Princess Award 2016 (organized by Foundation for Research in Information Technology : FRIT)
  • First place in BEST 2015 : Text Location Detection Contest in National Software Contest 2015 (NSC:2015) organized by NECTEC.
  • Final round candidate in IT Princess Award 2015 (organized by Foundation for Research in Information Technology : FRIT)
  • Honorable mention “Value to Society” in 2nd ITU IPTV Application Challenge in the topic “Thai Sign Language Finger spelling System for Bridging Communication between Thai People and Thai Deaf” (December 2012)
  • Final round candidate in Nation Software Contest 2010 (NSC:2010) in the topic “Speech to 3D Sign Language Animation” , assistive technology category.
ปัจจุบัน
  • PhD Student – Computer Engineering Chulalongkorn University
ความเชี่ยวชาญ
  • Preferred Programming Language : Python, C++, C, MATLAB, C#, JAVA, PHP.
  • Computer Vision Tools :
    • OpenCV (Open Source Computer Vision Library)
    • EmguCV (.Net Wrapper to OpenCV)
    • Aforge.Net.
  • Machine Learning Tools :
    • Caffe (Deep Learning Framework developed by Berkeley Vision and Learning Center),
    • MatConvnet
    • Tensorflow
    • MxNet
    • PyTorch
  • GPU Programming : CUDA in C++
  • Mobile Application Development :
    • React-Native
    • Android Development (JAVA)
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : พลวัต วีระพันธุ์พิสิษฐ์ (NSC 2011) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2011-ponlawat.html Thu, 14 Feb 2019 00:49:31 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3039

ทสัมภาษณ์ | เดือนกรกฎาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ชาคริต นิลศาสตร์

เรามีชีวิตเดียว เพราะฉะนั้นใช้มันให้คุ้ม

…นั่นคือสิ่งที่ ‘หมอ’ พลวัต วีระพันธุ์พิสิษฐ์ โปรแกรมเมอร์หนุ่มสายลุย ยืนยันชัดเจนในจุดยืนของตัวเอง ว่าเขามีวันนี้ได้ก็ด้วยแนวคิดเช่นนี้ อยากให้ลองอ่านบทสัมภาษณ์ของเขา แล้วเราจะพบว่า ถ้ามีโอกาสอย่ารอช้า ลองทำทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เพราะที่สุดแล้วมันมีแต่ได้กับได้!

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

เก่งคอมฯ เพราะหนังสือ

ความจริงผมเล่นคอมพิวเตอร์ตั้งแต่สมัยอยู่ประถมฯ แล้ว ที่บ้านมีหนังสือสอนทำเว็บไซต์ด้วย html ง่ายๆ ก็ลองทำดู แต่ถ้าในแง่ของการพัฒนาที่เกี่ยวกับคอมฯ หรือในแง่ของการเขียนโปรแกรมมาเริ่มจริงๆ ตอน ม.1 – ม.2 ช่วงนั้นขอพ่อแม่ซื้อหนังสือเขียนโปรแกรมภาษาซีมาลองอ่านแล้วเขียนตาม หลังจากนั้นก็เริ่มเขียนภาษาอื่นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้จริงจังเท่าไหร่ แค่ลองเขียนตามโจทย์ในหนังสือ จากตอนแรกแค่เล่นคอมฯ อารมณ์เด็กก็แค่ติดเกม แต่เพราะมีหนังสือด้วยก็เลยสนใจ

ขึ้นรถไฟทัวร์ NSC

ผมแข่ง NSC ทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกตอน ม.3 คุณครูวิชาคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนแนะนำว่ามีการประกวดนี้อยู่ไม่ลองส่งผลงานหรือ ผมก็ตกลงลองคิดหัวข้อ ครั้งแรกได้เข้ารอบระดับประเทศแต่ไม่ได้รางวัลครับ ตอนนั้นทำเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวด้วยรถไฟ มีข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ทางรถไฟรวมไว้ให้ค้นหา เช่น ถ้าจะเดินทางจากตรงนี้ไปตรงนี้จะต้องนั่งรถไฟขบวนไหน โดยได้แรงบันดาลใจมาจากตอนเด็กๆ ที่นั่งรถไฟบ่อย ทำให้ค่อนข้างเชี่ยวชาญรู้เรื่องเกี่ยวกับขบวนรถไฟ แต่ถ้าคนไม่เคยเดินทางบ่อยๆ เวลาจะค้นหาก็ยาก เลยอยากลองทำสิ่งที่ดูมีประโยชน์แล้วลองทำข้อมูลให้ค้นได้ เหมือนมันเป็นความสนใจส่วนตัวแล้วเอามาประยุกต์ใช้

ครั้งที่สองแข่งตอน ม.4 ได้รางวัลชมเชยประเภทเกม ก็ยังไม่พ้นเรื่องรถไฟ ตอนนั้นทำเกมขับรถไฟ มีฮาร์ดแวร์เหมือนคันโยกบังคับในเกมเลย ครั้งที่สามตอน ม.5 ก็ยังเป็นเรื่องรถไฟอยู่ครับ (ยิ้ม) แต่ทำเป็นโปรแกรมประยุกต์ ซึ่งตอน ม.3 เป็นการค้นหาเส้นทาง ตอนทำครั้งแรกความรู้ยังไม่ค่อยเยอะมาก พอ ม.5 เราเริ่มพัฒนาความสามารถที่หลากหลาย มีแอปพลิเคชันในมือถือด้วย ทำให้รู้ว่ารถเราอยู่ขบวนไหน ตรงไหน สายกี่นาที รวมไปถึงระบบเครือข่ายเพื่อดูว่าตอนนี้เพื่อนเดินทางจากไหนไปไหน ก็ได้รางวัลที่ 2 หมวดโปรแกรมประยุกต์ครับ พอขึ้น ม.6 ก็ไม่ได้แข่งแล้ว

Ponlawat03

 

เปิดประสบการณ์นอกห้องเรียน

สิ่งที่ได้เรียนรู้แน่นอนคือได้ประสบการณ์ ถ้าเราเรียนเขียนโปรแกรมมาเฉยๆ แต่ไม่ได้ใช้เพื่อสร้างอะไรจริงๆ ทักษะเราก็จะไม่กว้างหลากหลาย อย่างถ้าเราเรียนว่าเรื่องแบบนี้มันใช้แบบนี้เอามาใช้กับเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าได้มาทำจริงจะทำให้รู้ว่าเรื่องนี้มันสามารถประยุกต์ใช้กับเราได้ด้วย นี่คือประสบการณ์ที่ได้จาก NSC อีกอย่างหนึ่งคือทำให้ได้คอนเนคชัน ทำให้ได้รู้จักกับคนที่อยู่วงการเดียวกัน ไม่ว่าจะสถาบันเดียวกันหรือต่างสถาบัน ซึ่งถ้ามีการรวมตัวคนที่ผ่าน NSC อยากให้มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์แต่ละคน เราอยากฟังว่าแต่ละคนเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทำให้เราได้รู้ว่าโลกไม่ได้มีแค่นี้นะ เขาไปทำแบบนี้ด้วย มีส่วนนี้ด้วย บางครั้งเราอาจจะร่วมกับเขาด้วยก็ได้

Ponlawat04

 

NSC ปูทางอนาคต

นอกจากนี้ NSC ยังทำให้ผมได้เข้าวงการมาสายนี้เลย เพราะตอน ม.ปลายเราทำผลงาน NSC ทำให้ไม่ค่อยได้เข้าเรียนวิชาทั่วไป ถ้าไปสอบก็คงยากที่จะได้เข้าคณะวิศวะฯ แต่ถ้าได้รับรางวัล NSC ระดับประเทศก็จะมีมหาวิทยาลัยที่เราสามารถยื่นเข้าไปคัดเลือกเฉพาะกับคนที่มีผลงานด้วยกันได้ พอจบ ม.6 ผมเลยได้เข้าเรียนต่อคณะวิศวะฯ คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต่อยอดมา ถึงตอนนี้เรียนจบแล้วก็ทำงานเกี่ยวกับคอมฯ ถ้าไม่มี NSC ตอนนี้อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถนัดหรือมีทักษะอะไรที่สามารถพัฒนาต่อได้ เหมือน NSC ช่วยทำให้เรารู้จักตัวเอง ทำให้ค้นเจอตัวเองว่าเราชอบทางนี้ แล้วมันก็ปูเส้นทางเรามาเรื่อยๆ

เรียนปัจจุบัน เพื่อตอบคำถามในอดีต

เราเคยเขียนเคยสร้างผลงานมาตั้งแต่ตอน ม.ปลาย บางครั้งเราติดตรงนั้น เราก็ไปเปิดอินเทอร์เน็ตดูแล้วทำตาม แต่พอเราเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยเหมือนเป็นการตอบคำถามย้อนหลังได้ว่าทำไมมันถึงต้องทำอย่างนี้ ปกติเป็นคนที่เวลาจะแก้โจทย์ปัญหาอะไรสักอย่างจะไม่ชอบแก้แค่ปัญหามันหายไป แต่เราอยากรู้ด้วยว่าทำไมถึงแก้ปัญหาได้ พอไปเรียนเราได้มาเรียนรู้ที่มาของขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ เป็นการตอบคำถามตัวเองย้อนหลังว่าทำไมตอนนั้นถึงทำแบบนี้หรือใช้วิธีนี้ดีกว่า เหมือนเราได้มาเติมทฤษฎีด้วยจากที่เราเริ่มจากการปฏิบัติมาก่อน เลยทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเต็มที่ไม่ได้ไปแข่งที่ไหนอีก เน้นทำโปรเจกต์ที่เรียนครับ

ค้นหาตัวตนจากงานที่หลากหลาย

พอเรียนจบตอนแรกผมตั้งใจว่าอยากเรียนต่อ รู้สึกว่าชอบเรียนรู้ พอเรียนจบวิศวะฯ คอมฯ ก็ทำให้เราเรียนรู้ได้หลากหลายด้าน ด้านไหนก็น่าสนใจหมดเลย แต่ถ้าเรียนต่อมันค่อนข้างเจาะลึก เนื้อหาก็จะลึกไปทางด้านนั้น ตอนนี้เลยเลือกรับงานหลากหลายก่อนเพราะจะได้รู้ว่าตัวเองถนัดหรือชอบคอมพิวเตอร์เฉพาะเจาะจงด้านไหนก่อนที่จะเลือกเรียนต่อ เหมือนกับว่าตอนนี้เราหาตัวเองให้ชัดขึ้น ที่แน่ๆ เรารู้แล้วว่าเรามาสายไอที สายคอมฯ แต่ว่ามันก็มีอีกหลากหลายศาสตร์ที่เราก็สนใจ ถ้าเลือกก็ต้องดูให้ชัดจริงๆ

ตอนนี้ผมเป็นฟรีแลนซ์ ลักษณะงานคือรับงานมาจากลูกค้าเป็นโปรเจกต์ไปๆ ทำเสร็จก็จบไป หรืออาจมีขั้นตอนบำรุงรักษาก็แล้วแต่โปรเจกต์ เนื่องจากอยากรู้ว่าตัวเองถนัดด้านไหนทำให้รับงานที่หลากหลาย มีลูกค้าหรือโปรเจกต์หลายแบบตั้งแต่เขียน back-end โครงสร้างข้างหลัง มีอัลกอริทึมมา จนถึง front-end ข้างหน้ามีระบบ มี UI ให้เขาใช้ด้วย ลูกค้าก็มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ธรรมชาติคนเบื้องหลัง

งานที่รู้สึกสนุก น่าจะเป็นงานที่สร้างหรือมีอัลกอริทึมแล้วให้ implement เป็นงานฝั่งข้างหลัง ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยมีความคิดสร้างสรรค์เท่าไหร่ พวกศิลปะจะไม่ค่อยสวย ถนัดคำนวณมากกว่า แต่บางครั้งเขาให้งานมาเราก็ต้องทำ ให้ออกแบบระบบหน้าตาด้วย ถ้าถามถึงฝั่งข้างหน้าความจริงก็สนใจแต่ว่าไม่ค่อยมีความสามารถที่จะออกแบบให้สวยได้ ซึ่งความจริงก็สามารถชวนคนอื่นมาช่วยทำได้ แต่ตอนนี้งานที่รับมาจะเป็นโปรเจกต์สเกลที่ทำคนเดียว มีบางโปรเจกต์ที่ต้องทำเป็นทีม ส่วนมากเป็นเชิงรับงานหรือโปรเจกต์ที่เขามีอยู่แล้ว ไม่ได้สร้างโปรเจกต์ขึ้นใหม่ บางโปรเจกต์เขาจะมีทีมทำอยู่แล้วเราก็ไปต่อยอดช่วยเขา

เพิ่มความแน่นด้วยทักษะเชิงทฤษฎี

ผมรู้สึกว่าเด็กสมัยนี้ไวมาก ถ้าเทียบกับตัวเองที่เริ่มเขียนโปรแกรมตอน ม.ต้นแล้ว ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าสายนี้ไวเมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกัน แต่สมัยนี้บางคนเริ่มเขียนโปรแกรมได้ตั้งแต่ประถมฯ เพราะการศึกษาปัจจุบันมีสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เขาเรียนรู้เกี่ยวกับการคิดการเขียนโปรแกรมได้ไวด้วย แต่ตอนที่ผมทำบางครั้งเราติดปัญหา เราแก้ปัญหาด้วยการค้นหาในอินเทอร์เน็ตแล้วเอาของเขามาใช้โดยที่ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงแก้ปัญหาได้ พอเวลาเราเจอปัญหาครั้งหน้าซึ่งความจริงอาจใช้วิธีเดียวกันแก้ได้ แต่เราไม่รู้ว่ามันเชื่อมหากัน คิดว่าเด็กรุ่นใหม่น่าจะมีทักษะเชิงทฤษฏีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พวกอัลกอริทึมและตรรกะพวกนี้ด้วย ถึงมันจะแก้ปัญหาได้เหมือนกัน แต่เราอาจจะเจอวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่าหรือเอาไปประยุกต์ใช้กับปัญหาอื่นได้ ซึ่งโอกาสของเด็กสมัยนี้มีมากกว่ารุ่นก่อนๆ อยู่แล้ว ถ้าเพิ่มเติมตรงนี้ก็จะทำให้เขาแน่นมากขึ้น

Ponlawat05

 

แปลภาษาเทพ (ไอที) เป็นภาษาคน

อีกทักษะหนึ่งที่สำคัญคือการสื่อสารครับ เพราะอย่างที่รู้กันว่าบางคนเก่งคอมฯ มาก ถนัดเขียนโปรแกรมมาก แต่พูดไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) บางครั้งเราต้องคุยงาน ลูกค้าที่เราต้องไปทำระบบให้ก็ไม่ใช่คนสายคอมฯ เลย เราต้องอธิบายให้ฟัง บางครั้งเราไม่สามารถอธิบายที่เป็นคำศัพท์เทคนิคให้เขาฟังได้ เราต้องมีทักษะการสื่อสารที่ทำให้เข้าใจตรงกัน ไม่ใช้คำศัพท์ที่ยากจนเกินไป และต้องคิดเป็นว่าควรสื่อคำนี้ออกไปอย่างไรให้ผู้ฟังเข้าใจและรับรู้ตรงกันได้ ถ้าเรารับงานจากฝ่ายที่เป็นไอทีเหมือนกันก็จะจัดเต็ม อยากคุยอะไรก็เข้าใจ แต่บางครั้งเราต้องรับงานจากบริษัทที่ทำอย่างอื่น เขาอยากได้ระบบไอทีภายในบริษัทของเขา เวลาเราไปคุยงานเราก็ไม่สามารถใช้ศัพท์เฉพาะได้ตรงๆ เช่น front-end , back-end เราก็ใช้ว่า ‘หน้าบ้าน-หลังบ้าน’ แทน

กาลเทศะสำคัญพอๆ กับความเก่ง

อีกอย่างหนึ่งความจริงมันก็ยังอยู่ในทักษะการสื่อสาร แต่บางครั้งก็อาจจะไม่ถึงขั้นการพูดคุย คือการพิมพ์ข้อความตอบอีเมล เหมือนที่เราเห็นในโซเซียลเน็ตเวิร์กที่บอกว่า ‘มาสมัครงาน หนูแนบเรซูเม่ (resume) มาแล้วนะคะ’ อาจจะเรียกว่ามารยาท ความเหมาะสม หรือกาลเทศะ เราควรอยู่ในระดับไหนกับกลุ่มคนไหน เพราะเราอยู่ในสังคมแบบนี้ บางครั้งมันควรเป็นทางการแต่เด็กรุ่นใหม่อาจจะใช้ภาษาง่ายๆ ผมมองว่าเรื่องความรู้อย่างไรก็เติมกันได้อยู่แล้ว สมัยนี้เนื้อหาเต็มอินเทอร์เน็ต อย่างการทำงานพอติดปัญหา ถ้าเราใช้เครื่องมือที่คนเขาใช้กันเยอะ เวลาเราไปค้นหามันก็มีคำตอบอยู่แล้ว เรื่องทักษะที่เป็นเชิงเทคนิคจึงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่ปลูกฝังยาก เพราะบางคนเขาเติบโตมาแบบนั้น มันฝังลึกเข้าไปอยู่ข้างในแล้ว อันนี้ก็ต้องช่วยกันดู

ผลงานดี เขียนและพูดต้องเข้าใจ!

ในส่วนของ NSC จะมีอย่างหนึ่งที่ไม่เชิงเกี่ยวข้องกับเทคนิค อย่างที่ผมบอกก็คือตอนนำเสนอ บางครั้งงานเราทำดีมาก ว้าว! มีเนื้อหาเยอะแยะ แต่ว่าถ้านำเสนอไม่เป็นก็น่าเสียดาย บางคนตื่นเวที เจอกรรมการแล้วลน เราทำมา A B C D แต่เรานำเสนอ A B D ข้ามตัว C ไป ถึงเรามีแต่กรรมการไม่รู้ แม้จะเขียนไว้ในรายงานเขาก็อาจจะไม่ได้ดูละเอียด แต่สิ่งที่กรรมการได้รับเต็มๆ คือสิ่งที่ออกมาจากปากของคนที่พัฒนา ดังนั้น การเตรียมพร้อมก่อนเกิดอะไรใหญ่ๆ นั้นสำคัญ อย่างเช่นการนำเสนอ บางคนยังแก้งานจนถึงวันสุดท้าย แทนที่วันสุดท้ายจะเป็นวันพักผ่อน สมองจะได้ตื่นตัวสามารถโต้ตอบกับกรรมการได้ เสียงดังฟังชัด คุยกันรู้เรื่อง ไม่ลืมเนื้อหา ไม่เบลอ

ความจริงในการแข่งขันตัวชิ้นงานที่ทำก็สำคัญ แต่ขั้นตอนการนำเสนอก็สำคัญ เพราะเป็นการบอกได้ว่างานเรามีอะไรบ้าง แล้วคนที่ตัดสินคือกรรมการ เขารับรู้งานเราจากการที่เรานำเสนอ ซึ่งรายงานก็สำคัญเหมือนกัน เราทำ A B C D แต่รายงานเราไม่ได้เขียนครบทั้งหมด แล้วกรรมการมาเปิดดู เขาอาจไม่รู้ว่ามี หรือเขาฟังแล้วลืม ไปเปิดดูแต่ไม่เจอ การทำรูปเล่มเอกสารให้ละเอียดก็สำคัญเช่นกัน เพราะ NSC มีทุกองค์ประกอบตั้งแต่ส่งข้อเสนอจนถึงวันไปประกวด ทุกอย่างจึงสำคัญหมดตั้งแต่ตัวชิ้นงาน เอกสารรายงาน การนำเสนอ

Ponlawat06

 

ค้นหาความชอบด้วยการลองทำ

สำหรับคนที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ต้องลองทำครับ บางครั้งเราอาจจะคิดว่าเราน่าจะชอบหรือเหมาะกับอันนั้น แต่ถ้าเราไม่ได้ทำก็ไม่รู้จริงๆ ว่าใช่หรือเปล่า อย่างบางคนชอบฟังเพลงก็คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นนักดนตรีได้ดี แต่พอมาลองจับแล้วมือมันไม่ไป จังหวะมันไม่ได้ เขาอาจจะถนัดฟังมากกว่า เหมือนคนที่ชอบคอมพิวเตอร์ ชอบใช้โปรแกรม ชอบเล่นเกม ไม่ได้หมายความว่าจะชอบทำงานสายคอมฯ เพราะการสร้างกับการใช้ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องลองมาทำ อาจจะเสียเวลาบ้าง เพราะต้องเรียนรู้เพื่อจะลองทำดู เรียนรู้ก่อนจะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ถึงบางครั้งมันไม่ใช่ทางของเรา แต่เราก็ได้ความรู้เรื่องนั้นไปแล้ว ถึงเราจะไม่ชอบแต่เราทำได้แล้ว หรืออาจไม่ถนัดมากแต่เราก็มีความรู้เรื่องนั้นแล้ว แล้วเราค่อยไปหาทางอื่น บางทีทางอื่นที่เราชอบหรือถนัดจริงๆ ก็อาจจะประยุกต์ใช้กับทางที่เราไม่ได้ถนัดมากแต่เรามีความรู้อยู่แล้ว อาจก่อให้เกิดศาสตร์ใหม่ๆ ก็ได้

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

ผมมองตัวเองเหมือนน้ำยังไม่เต็มแก้ว ยังอยากได้น้ำอยู่ คือทุกวันนี้ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชอบเรียนรู้ ยังอยากรู้อะไรใหม่ตลอดเวลา แต่ก็มีข้อเสียนิดหนึ่งคือบางครั้งเราทำงานเขียนโปรแกรมวิธีนี้อยู่ พอเราเปิดอินเทอร์เน็ตดู อ้าว! ต้องรื้อใหม่หมด มันเป็นการเรียนรู้ แต่ทั้งหมดก็อยู่ในขอบเขตของเวลาด้วย ซึ่งต้องเปิดใจ เพราะบางครั้งอยากแก้แต่เราก็ยังฝังอยู่กับวิธีใดวิธีหนึ่งอยู่ ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา ผมก็พยายามปรับและพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา

ไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

ทุกวันนี้เวลามีใครเสนออะไรเราจะค่อนข้างคว้าไว้หมด ตั้งแต่ตอน ม.3 ที่แข่ง NSC ส่วนมากจะแข่งตอน ม.ปลาย แต่ครูเขาแนะว่าทำไหม เราเพิ่งเริ่มเรียนเขียนภาษาซีตอน ม.2 เวลาแค่ปีเดียวก็คงไม่ถึงกับจะไปสร้างผลงานอะไรได้ แต่เราเลือกที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ ลองทำดูอย่างไรก็ไม่เสียหาย ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นที่ต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้ เหมือนเราไม่ปล่อยโอกาสไป ไม่จำเป็นว่าเฉพาะเรื่องนี้ เรื่องอื่นๆ ด้วย อย่างตอนมหาวิทยาลัยมีโครงการแลกเปลี่ยนไปประเทศญี่ปุ่นและทุนให้ด้วย ก็ลองสมัครแล้วพอเราได้ไปทำให้เราสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ รวมถึงมีลูกค้าต่างประเทศ มีลูกค้าญี่ปุ่นด้วย จากจุดเริ่มที่เราคว้าโอกาสไว้ ได้เริ่มรู้จักกับคนที่โน่น มีคอนเนคชัน แต่เราก็ไม่ได้คว้าทุกโอกาส ต้องเลือกด้วย บางครั้งก็เสียดายที่เราไม่ได้คว้าไว้ เช่น เรื่องเรียนต่อ ที่ผ่านมามีทุนปริญญาโทเข้ามา แต่เราก็ชั่งใจและต้องตัดสินใจเลือก พอย้อนกลับไปคิดว่าถ้าเราเลือกเรียนมันก็น่าจะดีเหมือนกัน

Ponlawat07

 

 

อนาคตนักวิจัย

อนาคตก็อยากเรียนต่อ ที่วางไว้ตั้งแต่แรกๆ อยากเรียนถึงปริญญาเอก ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ไหม แต่ตั้งไว้ก่อน เรียนจบมาก็อยากจะเป็นนักวิจัย เพราะเราชอบค้นคว้า ชอบเรียนรู้ หาเหตุผลมาตอบโจทย์ อย่างที่บอกว่าเวลาแก้ปัญหาไม่ใช่แก้ได้อย่างเดียว แต่อยากรู้ด้วยว่าทำไมแก้ได้ บางครั้งเขาก็บอกมาแล้วว่าทำไมแก้ได้ แต่ก็ยังติดใจอยู่ อยากรู้ว่าทำไม มันต้องมีเหตุผลที่เราสามารถเข้าใจได้ เลยคิดว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับสายนี้

ชีวิตต้องมีแผน

หลักคิดในการใช้ชีวิตของผมก็คือหากจะทำอะไรสักอย่างต้องคิดให้ถี่ถ้วนไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำเลย มันอาจจะดีในแง่ความเร็วความคล่องตัว โดยปกติผมเป็นคนชอบวางแผนก่อน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ หรือเกิดอะไรขึ้นเราแก้อย่างไร บางครั้งก็โดนคนอื่นต่อว่าเหมือนกันว่าจะคิดอะไรเยอะมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก แต่ถ้ามีโอกาสความน่าจะเป็นที่ไม่ใช่ศูนย์ เราก็น่าจะมีการวางแผนให้ถี่ถ้วน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราควรจะมี backup plan ไว้ …

แม้จะขึ้นชื่อว่าสายลุย แต่ก็จะเห็นได้ว่าหมอนั้นมีแผนในชีวิตที่ค่อนข้างชัดเจน ถ้ามองเห็นแล้วว่าอะไรที่น่าจะมีประโยชน์ มีโอกาสก็ต้องลองทำ ไม่จำเป็นต้องกลัวอาย กลัวความล้มเหลว เพราะความล้มเหลวนั้นมีอีกชื่อว่า ประสบการณ์ และมันก็มีคุณค่าเพียงพอให้เราใช้เป็นบันไดสู่ก้าวต่อๆ ไปในชีวิต…ไปจนถึงความสำเร็จได้!

Ponlawat08

 

 
ข้อมูลการศึกษา
  • 2013-2017 Undergraduate B.Eng. Computer Engineering with First Class Honours (GPA) Faculty of Engineering, Chiang Mai University, THAILAND
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2011
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • 2011 Honourable Award in Nation Software Contest (NSC 2011) (High School Level)
  • 2012 2nd Prize in Nation Software Contest (NSC 2012) (High School Level)
  • 2015 Faculty of Engineering Academic Excellence Award (2014 Academic Year)
  • 2016 Faculty of Engineering Academic Excellence Award (2015 Academic Year)
  • 2017 Faculty of Engineering Academic Excellence Award (2016 Academic Year)
  • 2018 Chiang Mai University Academic Excellence Award: Silver Medal (CMU 52nd Graduation Ceremony)
ปัจจุบัน
  • Programmer At Moodle Association of Japan
ความเชี่ยวชาญ
    • Programming and computing theory/ algorithms/ database system/ data processing
  • Computer Science
  • Computer and Electrical Engineering
    • embedded system/ wireless sensor network
  • Software Engineering
    • application development/ software project management/ user experience and interface design
  • Moodle Plugin Development
    • Moodle/object-oriented programming/ open-source project contribution and version control system
    • PHP, JavaScript (jQuery), MySQL, PostgreSQL
  • Bus Ticketing System Development
    • Project management/ system design/ user interface design/ database system/ server administration/ application development/ system security/ user manual documentation/ staff training
    • C#, PHP, Bash Shell Scripting, JavaScript (Angular), MySQL, Ubuntu Server
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : อธิป น้อมศิริ (NSC 2002) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2002-atip.html Fri, 08 Feb 2019 07:01:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3035

บทสัมภาษณ์ | เดือนกรกฎาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ชาคริต นิลศาสตร์

“อนาคตของเด็กติดเกมไม่เลวร้ายเสมอไป ถ้าได้รับการส่งเสริมอย่างถูกจุด…”

เหมือนดังเช่นชีวิตของ ‘บิ๊ก’ อธิป น้อมศิริ สตาร์ทอัพรุ่นใหม่อนาคตไกล ที่ยอมรับกับเราว่าเขาเริ่มเล่นเกมมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ แต่ด้วยความสนใจอย่างลึกซึ้ง บวกกับแรงหนุนจากอาจารย์ ทำให้เขาก้าวเข้าสู่แวดวงการแข่งขันด้านไอทีอย่างจริงจัง ซึ่งได้กลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาก้าวมาสู่จุดที่เขาวาดหวังไว้ได้สำเร็จ ติดตามเส้นทางชีวิตของเขาได้จากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

เส้นทางชีวิตของเด็กติดเกม

เริ่มต้นตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 2 ขวบ คุณพ่อซื้อคอมพิวเตอร์มาให้เล่น เราก็เล่นเกมมาเรื่อยๆ พอ ป.2 มีคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่ง ด้วยความเป็นเด็กเราจะชอบเล่นเกม พยายามค้นหาวิธีว่าจะเล่นเกมนั้นได้อย่างไร หรือจะโหลดเกมที่อื่นมาใส่เครื่องที่บ้านได้อย่างไร นั่นเป็นจุดเริ่มต้น พอ ป.6 มีแข่งคอมพิวเตอร์งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ คุณครูก็ส่งเราไปแข่งโปรแกรมวาดภาพ ชนะได้รางวัลเหรียญทอง หลังจากนั้นคุณครูก็ส่งแข่งขันและได้รางวัลมาเรื่อยๆ จนถึง ม.4 ได้รู้จักโครงการ NSC เป็นครั้งแรก แม้จะเคยหัดเขียนโปรแกรมมาบ้างแต่ไม่เคยทำโปรแกรมเป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ แต่ก็ลองส่งแข่งขันดู ครั้งแรกส่งในกลุ่มส่งเสริมการเรียนรู้ได้เข้ารอบสุดท้ายและได้รางวัลชมเชยมา หลังจากนั้นก็ส่ง NSC ต่อมาเรื่อยๆ จนถึง ม.6 เลยครับ

นักแข่งสายชีวะ

ปีแรก เป็นโปรแกรมส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศ ผมทำเป็นสื่อการเรียนการสอนเนื่องจากตอนนั้นมีความคับข้องใจอย่างหนึ่งคือเอนทรานซ์รุ่นนั้นมีการเปลี่ยนระบบใหม่ มีสอบสองครั้ง ทำให้ต้องอัดเรียนให้จบก่อนเพื่อให้ทันสอบรอบแรก บางเนื้อหาวิชาถูกตัดออกไป เลยคิดทำสื่อการสอนเรื่องระบบนิเวศและมีตัวจำลองระบบนิเวศด้วย สมมติในระบบนิเวศหนึ่งมีพืช แมลง นก ฯลฯ ถ้าจะให้ระบบนิเวศนั้นอยู่ได้ต้องมีสิ่งมีชีวิตแต่ละอย่างปริมาณเท่าไหร่ ถ้าใส่บางอย่างมากไประบบนิเวศจะพัง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะตายไป ซึ่งจะมีทั้งเนื้อหาและข้อสอบให้ทำ

ปีที่สอง เป็นโปรแกรมคำนวณแคลอรี ก็ยังอยู่ในแนวชีววิทยา ชื่อโปรแกรม ‘กินได้กินดี’ โดยประมวลกิจกรรมและแคลอรีที่ใช้แต่ละวัน ได้เข้ารอบสุดท้ายและได้รางวัลที่สาม

ปีสุดท้าย ตอน ม.6 เป็นโปรแกรมสำหรับเก็บข้อมูลคล้ายๆ แฟมิลี่ทรีแต่เป็นทางการแพทย์ โดยโปรแกรมนี้จะช่วยคำนวณ เช่น สมมติว่ามีพ่อแม่เป็นโรคทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง เรามีโอกาสเป็นเท่าไหร่ โดยมี user คือคุณพ่อ เพราะคุณพ่อผมเป็นหมอ คุณพ่ออยากเอาไปใช้เลยทำตัวนี้ขึ้นมา และมี requirement มาเลยว่าอยากได้แบบนี้ ผลงานนี้ได้รางวัลชมเชยมาครับ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

พรีเซนต์ของธรรมดา (ให้ไม่ธรรมดา)

สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการแข่งขันในเรื่องการทำซอฟต์แวร์อันนี้แน่นอนชัดเจน แต่ที่ได้เรียนรู้มากขึ้น หลักๆ เป็นเรื่องการพรีเซนต์ เนื่องจากเราทำซอฟต์แวร์มา แม้ซอฟต์แวร์เราอาจไม่ได้ดีที่สุด มีของคนอื่นที่ดีกว่าเรา พอเข้ารอบไปมีแต่โปรแกรมสุดยอดทั้งนั้น ของเราธรรมดาแต่สิ่งที่วัดว่าโปรแกรมของเราจะได้รางวัลหรือเปล่า อยู่ที่ว่าเราสามารถนำเสนอแสดงคุณประโยชน์ให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างไร เป็นกุญแจสำคัญในการประกวด

สนามบ่มเพาะการทำงานจริง

สิ่งที่ได้ค่อนข้างเยอะนอกเหนือจากการเรียนรู้คือได้เพื่อน ได้รู้จักคนที่อยู่ในสายงานนั้นค่อนข้างมาก ทุกวันนี้ก็เป็นเพื่อนกันอยู่ ช่วยเหลือกัน เวลามีปัญหาก็ถามกันได้ ตอนที่ผมแข่ง NSC ผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีโครงการไหนที่เป็นการแข่งลักษณะนี้เลย สิ่งที่ได้อีกอย่างคือประสบการณ์ที่คล้ายเราต้องทำงานจริงๆ เพราะในการแข่งขันอื่นๆ อาจจะวัดความสามารถโดยตรง เช่น โอลิมปิกวิชาการ เขาจะวัดความสามารถโดยตรง แต่ไม่ได้วัดการทำงานจริง แต่ NSC ได้ทำงานจริง ปฏิบัติจริง ทำให้ได้ประโยชน์หลายอย่างมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ได้ทำงาน ได้มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง

รางวัลเบิกทางสู่รั้วมหา’ลัย

พอแข่ง NSC ได้รางวัลระดับประเทศ หลายมหาวิทยาลัยรวมถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จะมีโครงการสำหรับคนที่เคยได้รางวัลจากการแข่งขัน NSC สามารถเข้าศึกษาต่อคณะวิศวะกรรมศาสตร์ สาขาคอมพิวเตอร์ได้เลย ผมก็ได้ประโยชน์จากการเข้าแข่งได้รางวัลมาและได้เรียนต่อในคณะวิศวะฯ มช. โดยไม่ได้ผ่านโควต้าอย่างอื่น แต่เข้าผ่านโครงการนี้

พอเรียนมหาวิทยาลัย ผมไม่ได้ประกวด NSC แล้ว หลักๆ ที่ไม่ได้ส่ง NSC เพราะพอเข้ามหาวิทยาลัยมาเราได้ทำกิจกรรมอื่นๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในมหาวิทยาลัยด้วยและฟอร์มทีมค่อนข้างยาก แต่ได้ประกวดโครงการอื่นบ้าง เช่น สามารถอินโนเวชันและโนเกียเอนเกจ เป็นการแข่งทำเกมทั้งคู่ ที่ทำเกมเริ่มจากตอนแรกที่หัดเขียนโปรแกรมเพราะอยากทำเกมตั้งแต่ต้น พอเข้ามหาวิทยาลัยมามีโอกาสได้แข่งขันเกมเพราะมีโครงการเข้ามา เราก็ได้โอกาสทำเกมส่ง

บันไดขั้นแรกของความฝัน

หลังจากเรียนจบผมตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทครับ เนื่องจากตอนนั้นคุณแม่เส้นเลือดในสมองตีบ เป็นอัมพฤกษ์ ต้องดูแลอยู่ที่บ้าน เลยตัดสินใจเรียนต่อ ในช่วงเรียนต่อปริญญาโทปีที่ 2 ก็เริ่มทำบริษัทแรก เพราะความฝันที่อยากทำบริษัทของตัวเองมีมานานแล้ว ตั้งแต่เราอยากเข้าวิศวะฯ ซึ่งมีจังหวะโอกาสที่ดีที่ดีป้า (DEPA-สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) มีโครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการซอฟต์แวร์เลยไปเข้าร่วมโครงการตอนนั้น โดยเขามีการสนับสนุนสถานที่ทำงาน การอบรมเกี่ยวกับการเป็นผู้ประกอบการให้

หน้างานพาไปสู่เส้นทางใหม่

ตอนที่เริ่มทำบริษัท ตอนแรกอยากทำเกมเพราะเป็นฝันดั้งเดิม แต่เนื่องด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้ออำนวยให้ทำเกม ณ ตอนนั้น ซึ่งผมเคยรับงานตั้งแต่ ม.ปลาย เช่น ทำเว็บไซต์ ทำโปรแกรม และได้โอกาสที่ดีจากหน่วยงานรัฐหลายแห่ง ทำให้ผมได้เข้าไปอบรมการใช้ซอฟต์แวร์ให้หน่วยงานต่างๆ พอทำไปเรื่อยๆ งานหลักของเรากลายเป็นงานสอนหรือเทรนนิ่ง ซึ่งมีหลายกลุ่มหลายคอร์ส เช่น การใช้ซอฟต์แวร์ในองค์กร เนื่องจากตอนนั้นมีเรื่องการจับการใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนค่อนข้างมาก เราเข้าไปอบรมการใช้โปรแกรมทดแทน ช่วงหลังมีหน่วยงานรัฐอื่นๆ อยากได้โปรแกรมนั้นโปรแกรมนี้ หรือทางหน่วยงาน NEC ที่มีการอบรมผู้ประกอบการ เราก็มีการไปอบรมการตลาดออนไลน์ การถ่ายภาพ การทำโซเชียลเน็ตเวิร์ค กลุ่มที่มาอบรมจะมีตั้งแต่นักศึกษา เจ้าหน้าที่ พนักงานในหน่วยงานต่างๆ และผู้ประกอบการ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

จับปัญหา…ค้นคว้าการตลาด

จุดเริ่มต้นสำหรับคนที่อยากเข้ามาในเส้นทางนี้หรืออยากเป็นสตาร์ทอัพ ต้องเริ่มมองถึงเพนพ้อยท์ (pain point) ก่อน มีปัญหาอะไรที่เราจะสามารถเข้าไปแก้ให้กับคนอื่นได้ หลังจากรู้ว่าจะเข้าไปแก้ให้เขาอย่างไร รู้ปัญหาและวิธีแก้แล้ว อย่างที่สองที่สำคัญคือการตลาด อย่างผมจบวิศวะฯ มาเราจะอ่อนเรื่องการตลาดค่อนข้างมาก ด้านซอฟต์แวร์ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่การตลาดจะเป็นปัญหาที่ทำให้เราเติบโตหรือไม่เติบโต ซึ่งผมเริ่มเรียนรู้จากการอ่านหนังสือก่อน รวมถึงภาครัฐที่มีโครงการอบรมผู้ประกอบการเรื่อยๆ เราก็เข้าร่วมโครงการเหล่านั้นได้ จะช่วยให้เราได้ประสบการณ์และความรู้เพิ่มขึ้น

รักแล้ว…ต้อง (รับผิด) ชอบด้วย

ปัจจัยที่ส่งเสริมและผลักดันให้ผมมาถึงจุดนี้ อย่างแรกคือตัวเองต้องมีความรักและชอบในสิ่งที่ทำ ตรงนี้สำคัญมาก เนื่องจากผมมีโอกาสได้คุยกับน้องๆ เด็กๆ ที่โรงเรียน คนที่เราเห็นว่าเขาจะพัฒนาไปได้ไม่ได้เกิดจากคนที่เก่ง แต่เกิดจากคนที่มีความรักความชอบที่จะทำสิ่งนี้โดยตรง จะสามารถเติบโตไปได้ไกลมากกว่าคนเก่งที่เขาอาจไม่ได้ชอบตรงนี้จริงจัง นอกจากนี้ เรื่องความรับผิดชอบก็สำคัญ เนื่องจากงานของ NSC มีความแตกต่างจากงานแข่งขันอื่น สิ่งที่เราต้องมีคือความรับผิดชอบที่มากกว่า งานแข่งขันอื่นไปแข่งหนึ่งวันเสร็จปุ๊บกลับบ้าน แต่ NSC ต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำงานให้เสร็จตามสิ่งที่เราได้เสนอไป ซึ่งมันเหมือนกับลักษณะการทำงานจริง เพราะปัจจุบันจะพบปัญหาว่าเด็กรุ่นใหม่ซึ่งเขาเก่งกว่าเราสมัยก่อนเยอะ แต่ถ้าให้เขามานั่งทำซอฟต์แวร์เป็นเดือนๆ เขาทำไม่ได้ เพราะเขาอดทนไม่พอในการที่จะทำมันจนเสร็จ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

สร้างช่องทาง…ส่งงานสู่การใช้จริง

ในมุมมองของผม สิ่งที่อยากให้ NSC เพิ่มเติมคือเรื่องการติดตามผลหรือการนำผลงานที่ทำเสร็จแล้ว ไปใช้งาน เนื่องจากตลอดโครงการดีมาก ผลงานที่ออกมาก็ดีมาก แต่หลังจากแข่งเสร็จเราไม่ได้ทำอะไรต่อกับตรงนี้ ถ้าเราโฟกัสอีกนิดว่าโปรแกรมนี้จะเอาไปต่อยอดทำอะไรได้บ้าง หรือตอนพรีเซนต์หรือช่วงงานมีนักลงทุนเข้ามาดูงานที่ส่งแข่งขันน่าจะดีขึ้น ตอนนี้จะขาดส่วนนี้ไป แต่ตั้งแต่ต้นโครงการมันโอเคหมดเลย อย่างผมการแข่งขัน NSC ก็เป็นส่วนหนี่งที่ทำให้เรามีความเชื่อมั่น มั่นใจว่าเราสามารถสร้างสรรค์ผลงานเพื่อให้คนเอาไปใช้ได้จริง

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

ช่วงวัยแห่งการฝึกปรือ

ผมคิดว่าช่วงมัธยมปลายหรือถ้าเป็นมัธยมต้นได้ยิ่งดี มันเป็นช่วงที่เรามีเวลาว่างเยอะที่สุด เหมาะแก่การสร้างเสริมประสบการณ์ ฝึกฝีมือ หรือเข้าแข่งขันมากที่สุด อย่างช่วง ม.ปลาย ถ้าน้องๆ คนไหนที่อยากเข้าเรียนต่อ ถ้าเข้าแข่ง NSC และได้รางวัลก็มีโอกาสได้เรียนต่อเลย ไม่ต้องปวดหัวกับการสอบแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงทุกปี (หัวเราะ)

ส่วนตัวผมที่เข้าโครงการนี้รู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์มาก เราได้เข้าเรียนตรงสายที่ต้องการโดยไม่ต้องไปแข่งขันกับคนอื่นมากนัก และมันเป็นการฝึกความสามารถเรา ส่วนหนึ่งอาจจะช่วยครอบครัวได้ด้วย พอเราแข่งขันได้รางวัลมา มันเป็นเครื่องการันตีอย่างหนึ่งว่าเราสามารถทำงานใดๆ ก็ตามให้เสร็จได้ จะทำให้ได้งานเร็วขึ้น หางานง่ายขึ้น เพราะถือว่ามีโปรไฟล์ที่ดีที่เมื่อเข้าไปสมัครงานและเขาจะรับ เป็นความพิเศษกว่าคนที่ไม่ได้แข่ง ถ้าเรียนอย่างเดียวจบมาอาจได้เกียรตินิยม แต่ถ้าอีกคนมีรางวัลจาก NSC ด้วย มันเปรียบเทียบได้ว่าคนนี้ทำงานได้จริงกับอีกคนไม่แน่ใจ

เปิดเวทีให้คนภายนอก

ผมเข้าใจว่าคนที่ผ่าน NSC ส่วนใหญ่น่าจะยังอยู่ในแวดวงนี้และอาจมีผลงานหรือโปรดักส์ของตัวเอง ถ้ามีการจัด Alumni ให้คนเก่าๆ ที่มีผลงานเอามาโชว์กันได้ มีการพบปะพูดคุยกัน บางคนอาจจะไม่มีผลงานแต่มีไอเดียเพิ่มเติมก็มาร่วมกันได้ ถ้าจัดแบบนี้น่าจะช่วยหาคนมาลงทุนให้ได้อยู่ เพราะ NSC ทำมาหลายปีน่าจะมีโปรดักส์เยอะพอสมควร นอกเหนือจาก Alumni อยากให้มีประกวดสำหรับผู้ประกอบการหรือคนทั่วไปเพิ่มเข้ามาอีกโจทย์หนึ่ง เพราะคนกลุ่มนี้อยากแข่งอยู่แล้ว แต่ไม่มีประเภทหรือหมวดให้ประกวด

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

 

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

นิยามสำหรับผมเป็นมอตโต้ที่ให้กับตัวเองและบริษัทด้วย คือ Make IT Simple ทำอย่างไรก็ได้เพื่อช่วยให้ไอทีง่ายสำหรับทุกคน ทำให้ไอทีเข้าถึงได้ง่ายครับ …

เพราะปัจจัยแวดล้อมที่ต่างกัน เราจึงไม่สามารถชี้วัดได้ว่าอนาคตของเด็กจะเติบโตไปเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? แต่สำหรับบิ๊ก ต้องกล่าวได้ว่าเขาอยู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อแก่การเติบโต ยิ่งบวกกับความสนใจ พลังการสร้างสรรค์ และความมุมานะพยายาม ก็ทำให้เขาสามารถพิชิตความฝันที่อยากจะเปิดบริษัทของตัวเองได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย และมีเวลาเหลืออีกมากมายสำหรับความฝันชิ้นต่อๆ ไป…บนย่างก้าวของชีวิต

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

ข้อมูลการศึกษา
  • 2556 วศ.ม. วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ปริญญาโท) หัวข้อวิจัย: การพัฒนาเครื่องมือสำหรับการพัฒนาโครงการซอฟต์แวร์ด้วยเทคนิคเพิร์ทซีพีเอ็ม และการวิเคราะห์ผลกระทบไขว้
  • 2551 วศ.บ. วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ปริญญาตรี)
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2002
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • 2548 รางวัล Silver Award และอันดับที่ 1 ประเภท Game Application การแข่งขันพัฒนาโปรแกรม บนโทรศัพท์มือถือ Samart Innovation Award 2005
  • 2547 รางวัลชมเชย โครงการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6 (NSC 2004) ประเภทโปรแกรมเพื่อการประยุกต์ใช้งาน (นักเรียน)
  • 2546 รางวัลชนะเลิศ การแข่งขันตอบปัญหาคอมพิวเตอร์ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในงานสัปดาห์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ณ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • 2546 รางวัลที่ 3 โครงการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 (NSC 2003) ประเภทโปรแกรมเพื่อการประยุกต์ใช้งาน (นักเรียน)
  • 2545 สอบผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายโอบิมปิควิชาการ ค่าย 1 และ ค่าย 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ โดย มูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา (สอวน.) (POSN)
  • 2545 รางวัลชมเชย การแข่งขัน Intel Tri contest ระดับประเทศ
  • 2545 รางวัลเหรียญทองแดง และรองชนะเลิศอันดับ2 การแข่งขันโปรแกรม Visual Basic 5.0 กิจกรรม วันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ณ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ
  • 2545 รางวัลรองชนะเลิศ การแข่งขันประกวดออกแบบเว็ปไซท์ หัวข้อ “หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ใน ชุมชนของฉัน” งาน IT EXPO Chiang Mai 2002 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • 2545 รางวัลชนะเลิศ การประกวด Webpage Comcamp II โดยชมรมคอมพิวเตอร์คณะ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • 2545 รางวัลชมเชย โครงการแข่งขันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 (NSC 2002) ประเภทโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ (นักเรียน)
ปัจจุบัน
  • Co-Founder & CEO บริษัท แม็กนีเซียม จำกัด
ความเชี่ยวชาญ
  • โครงสร้างข้อมูล และอัลกอริธึม
  • การออกแบบระบบ
  • การวิเคราะห์ธุรกิจ
  • การบริหารจัดการโครงการ
  • การบริหารจัดการความเสี่ยง
  • การอบรม
  • การให้คำปรึกษา
]]>
แนะนำรุ่นพี่ NSC : ศิริณเรจน์ วินัยพานิช (NSC 2006) https://www.nectec.or.th/social/nsc-alumni/nsc2006-sirinnared.html Fri, 01 Feb 2019 05:22:06 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=3032

บทสัมภาษณ์ | เดือนกรกฎาคม 2561
เรื่อง | มณฑลี เนื้อทอง, กิติคุณ คัมภิรานนท์
ภาพ | ชาคริต นิลศาสตร์

คำว่าวิกฤตอาจไม่มีอยู่จริง ถ้าเรามองมันให้เป็นโอกาส…

นั่นคือสิ่งที่ ‘รัน’ ศิริณรจน์ วินัยพานิช หนึ่งในสตาร์ทอัพรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง บอกกับเราผ่านเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของเธอ สะท้อนให้เห็นว่านอกจากทักษะความรู้แล้ว มุมมองและการตัดสินใจในชีวิตก็คือสิ่งสำคัญที่จะสร้างจุดเปลี่ยนไปสู่ความสำเร็จได้ ใครอยากเป็นสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ อยากชวนให้ลองอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ของเธอกัน…

แนะนำรุ่นพี่ NSC

จากความสนุก สู่ความถนัด (ไอที)

เริ่มต้นจากตอนเด็กๆ คุณพ่อซื้อเครื่องวิดีโอเกมให้เล่น เรารู้สึกว่าคนคิดเกมเขาเจ๋งนะ เขาวางเงื่อนไขวางด่านในเกมให้คนเล่นรู้สึกสนุกเพลิดเพลินได้ เลยมีความฝันว่าโตขึ้นอยากทำเกมให้คนได้เล่นบ้าง พอเข้าสู่มัธยมฯ มีการแข่งขันเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ไอที ผลงานที่ภาคภูมิใจมากๆ คือ การทำโครงงานตกแต่งพาวเวอร์พ้อยท์ อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเกมแต่เรารู้สึกว่าการที่มันมีกราฟิกสวยๆ แล้วเราสามารถทำและชนะได้รางวัลมามันเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง เป็นความสำเร็จขั้นต้นของเด็ก ณ ตอนนั้น อาจารย์ก็เริ่มมองว่าเราน่าจะมีความถนัดด้านไอที เลยเริ่มพาไปเทคคอร์ส เริ่มไปติวเกี่ยวกับวิศวะฯ คอมพิวเตอร์ จนกระทั่งตัดสินใจเข้าเรียนที่คณะวิศวะฯ คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ

เลือกแล้วก็ลุยสักตั้ง!

จากความฝันตอนแรกที่อยากทำเกม แต่พอเข้าไปเรียนที่คณะวิศวะฯ ไม่เกี่ยวกับเกมเลย คือเราอยากทำเกมแต่เจอแคลคูลัส ฟิสิกส์ เริ่มรู้สึกยากแล้ว มันจะใช่หรือเปล่า แต่พยายามตั้งใจเรียนไปเรื่อยๆ ซึ่งโรงเรียนมัธยมฯ ที่เราจบไม่ได้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด จะพูดว่าบ้านนอกก็ได้ พอมาเจอเพื่อนที่เรียนในเมือง เขามีทักษะหลายๆ ด้านเยอะกว่าเรา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและการคำนวณที่เขาค่อนข้างเก่งกว่า ทำให้เทอมแรกๆ ผลการเรียนไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณพ่อก็ถามว่าไหวไหม จะไปเรียนอย่างอื่นไหม แต่จะเรียนอย่างอื่นอะไรดี จะให้ไปเรียนบัญชีก็ไม่ใช่ ชีวะฯ เราก็ไม่ชอบ สุดท้ายเลยตัดสินใจเรียนวิศวะฯ ต่อ พยายามขยันมากขึ้นและให้เพื่อนช่วยติวให้

ทบทวนตัวตนกับความฝัน

จนกระทั่งตอนปี 2 เพื่อนชวนทำโครงงานเข้าแข่งขัน NSC เนื่องจากความฝันของเราคือเกม พยายามจับกลุ่มเพื่อน 3 คนทำเกมขึ้นมา เกมที่เราชอบส่วนใหญ่เป็นบอร์ดเกมก็เลยลองเลียนแบบบอร์ดเกมมาสร้างเป็นเกมในคอมพิวเตอร์คือเกมเศรษฐี เรามีการทำวิจัยด้วยว่าเกมไหนที่คนเล่นแล้วสนุก แต่ก็ไม่เข้ารอบ (หัวเราะ) ปีถัดไปก็ยังไม่หยุดความพยายามค่ะ ตอนปี 3 มีความรู้มากขึ้นแล้ว ก็เลยส่งโปรเจกต์เดิมเข้าไป แต่มีฟังก์ชันเพิ่มมากขึ้น กราฟิกสวยขึ้น ซึ่งเราไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับโฟโต้ช้อปมาอ่าน ครั้งนั้นได้เข้าไปโชว์แต่ไม่ถึงรอบสุดท้าย เลยมานั่งคิดกับเพื่อนว่าหรือวงการบันเทิงไม่ใช่เรา (หัวเราะ) คือ NSC ถ้าส่งเกมจะไปอยู่หมวดโปรแกรมเพื่อความบันเทิง เราอาจต้องเปลี่ยนรูปแบบหรือเปล่า

แนะนำรุ่นพี่ NSC

ลองเดินในเส้นทางใหม่ (ที่ไม่ไกลจากเดิม)

พอขึ้นปี 4 เราต้องทำโปรเจกต์จบ แล็บที่อยู่คือ CG (Computer Graphic) ก็ลองคิดว่าอยากทำอะไร ตอนนั้นมีโอกาสเจอเพื่อนอีกคนที่เรียนอยู่เครื่องกล และมีอาจารย์ที่เครื่องกลแนะนำว่าตอนนี้มีความต้องการจากโรงงานอยากได้ระบบที่สามารถซิมูเลชันกับการสั่นของมอเตอร์โทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งเมื่อก่อนโทรศัพท์มือถือในระบบสั่นของเราจะค่อนข้างตัวใหญ่ มีหลายแกน ทำให้สูญเสียต้นทุนการผลิตเยอะ ถ้าสามารถมีระบบที่ซิมมูเลชันได้เขาจะลดต้นทุนการผลิตลงไป คิดว่ามันน่าสนใจและดูมีประโยชน์ เลยเอาโปรเจกต์นี้ส่งเข้า NSC อีกครั้ง ได้เข้ารอบสุดท้ายและได้นำโครงงานไปโชว์ที่แฟชั่นไอส์แลนด์ แม้ไม่ได้รางวัลที่หนึ่งแต่เราได้ใบประกาศมาใบหนึ่ง เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจมาก มันคือรางวัลชิ้นแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเลือกถูกทางแล้ว ไอทีคือสิ่งที่เราชอบ มันคือความประทับใจ คือประสบการณ์ที่เราชอบและมีคุณค่ามากๆ ค่ะ

เปิดหูเปิดตา ก้าวขาสู่โลก CI

ตอนที่ไปออกงานที่แฟชั่นฯ เราได้เห็นผลงานของมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่อยู่ในหมวดเดียวกับเรา รวมถึงได้เห็นผลงานของคนที่เขาทำด้านเกมด้วย ทำให้เห็นว่าเกมที่เราทำกับที่เขาทำมันต่างกันมาก เลยไม่แปลกใจว่าทำไมเราถึงไม่เข้ารอบ และประสบการณ์ที่ไปเดินดูบูธอื่น ทำให้รู้ว่าซอฟต์แวร์มันมีประโยชน์มาก มันสามารถเอาไปทำอะไรได้หลายๆ ด้าน ที่ชอบอย่างหนึ่งคือจากที่เราพยายามส่งด้านบันเทิงแต่ไม่ผ่าน แต่มีซอฟต์แวร์หนึ่งน่าจะของจุฬาฯ เขาทำเป็นแค่การฮัมเพลงแล้วมันก็ออกมาเลยว่าเป็นเพลงอะไร มันมหัศจรรย์มาก เขาใช้ลักษณะของ Voice Recognition แล้วเอามาทำด้าน AI จากนั้นเราจึงเริ่มเบนเข็ม ตรงนั้นเป็นจุดแรกที่ทำให้เราตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท โดยเลือกห้องแล็บที่เป็น CI (Computer Intelligence)

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

วิกฤติครอบครัว สู่โอกาสสร้างตัว

จุดเริ่มต้นที่มาทำบริษัทเพราะที่บ้านประสบปัญหาทางเศรษฐกิจด้วย คุณพ่อเป็นข้าราชการ คุณแม่เป็นเจ้าของร้าน แล้วคุณแม่ประสบอุบัติเหตุ ต้องผ่าตัดสมอง ร้านที่บ้านต้องปิดไปเกือบปีเพื่อรักษาคุณแม่ คุณพ่อเป็นข้าราชการก็จริงแต่รายได้มีทางเดียว ตอนนั้นก็เลยคิดว่าถ้าจะเรียนต่อเราต้องส่งตัวเองเรียน ซึ่งการจะหาเงินมาเรียนได้มันต้องหางานข้างนอกทำ ก็เลยถามพี่ๆ น้องๆ ในคณะว่าใครมีงานให้ทำบ้าง พี่ๆ บางคนก็ส่งเว็บไซต์มาให้ทำ ส่งโปรแกรมมาให้ทำ อาศัยงานตรงนั้นหล่อเลี้ยงตัวเองมา พอเราเริ่มสะสมประสบการณ์ สะสมโปรไฟล์มากขึ้นก็มีคนมาทาบทามให้เปิดบริษัท ประกอบกับตอนนั้นมีโครงการของดีป้า (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล) เขาสนับสนุนสตาร์ทอัพและให้พื้นที่ในการทำออฟฟิศ เลยตัดสินใจรวมตัวกับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จัดตั้งเป็นบริษัทขึ้นมาเมื่อปี 2552 จากวันนั้นถึงวันนี้มีบริษัทที่ดูแลทั้งหมด 3 บริษัท รวมระยะเวลาในการตั้งบริษัทมาทั้งหมด 8 ปีแล้ว ด้วยวิกฤตชีวิตทำให้เราต้องดิ้นรน รู้สึกว่าถ้าทำบริษัทเองน่าจะทำเงินได้มากกว่า แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน (หัวเราะ)

ตะลุยโลกตลาดซอฟต์แวร์

บริษัทแรก ด้วยความที่ชอบกราฟิกเลยรับทำเกี่ยวกับ e-learning สื่อการสอน และได้รู้จักกับสถาบันพัฒนาการเด็กราชนครินทร์ ก็เลยมีโอกาสทำโปรเจกต์วิจัยเกี่ยวกับเด็ก LD (Learning Disabilities) โดยเอาความรู้ด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกมาทำเป็นแอปพลิเคชันบนแท็บเล็ตแล้วแจกให้โรงเรียนที่มีเด็กเหล่านี้เรียนร่วมอยู่ด้วยได้ใช้ เป็นโปรเจกต์ที่ได้คัดเลือกระดับประเทศ

บริษัทที่สองทำเกี่ยวกับระบบบริหารจัดการโรงแรม เริ่มต้นมาจากตอนที่เรียนปี 3 มีโครงการลอจิสติกของจังหวัดเชียงใหม่ โดยคณะวิศวะฯ เป็นผู้ดูแลโครงการ เขาประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการซอฟต์แวร์เข้านำเสนอ พอดีเรากำลังเริ่มสนใจตลาดท่องเที่ยวเพราะเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว เลยอยากทำระบบบริหารจัดการโรงแรม บริษัทนี้เลยก่อตั้งขึ้นมา

พอเริ่มมีลูกค้าประมาณ 21 แห่ง รู้สึกว่าระบบโรงแรมมีคู่แข่งเยอะ ทำอย่างไรให้เราแตกต่าง สามารถอยู่ในตลาดซอฟต์แวร์ที่เป็นระบบบริหารจัดการโรงแรมได้ นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องไอทีอีกส่วนหนึ่งที่เรายังไม่ได้จับคือฮาร์ดแวร์ สิ่งที่คิดคือเราจะนำฮาร์ดแวร์มาใช้กับระบบโรงแรมได้อย่างไร ซึ่งโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ตามท้องถิ่นมักมีปัญหาเรื่องเช็คอิน-เช็คเอาท์ หรือพนักงานรับเงินมาแล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าโดยที่เจ้าของไม่รู้ว่าเงินหายไป เราเลยคิดจะนำระบบควบคุมไฟที่สามารถควบคุมผ่านมือถือได้ คือพอเช็คอินปุ๊บไฟในห้องจะเปิด ถ้าไม่เช็คอินก็ใช้ไฟไม่ได้ เลยกลายเป็นบริษัทที่สามที่ก่อตั้งขึ้นโดยขยายจากระบบจัดการโรงแรม

หัวใจ 3 ข้อของไอทีสตาร์ทอัพ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า ทักษะที่สำคัญสำหรับคนไอทีคือการสื่อสาร เนื่องจากโปรแกรมเมอร์หรือวิศวกรจะมีธรรมชาติที่ต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ การสื่อสารที่เป็นคำพูดค่อนข้างน้อยมาก และหัวเราจะคิดเร็ว บางครั้งเวลาเราคุยกับลูกค้าอาจเกิดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร หรือลูกค้าอาจรู้สึกไม่ประทับใจในบุคลิกหรือวิธีการสื่อสารของเรา อันนี้เป็นเรื่องแรกสุดที่เรียนรู้ในการทำธุรกิจ ยิ่งถ้าเราดีลงานกับผู้ใหญ่ การมีปฏิสัมพันธ์ การมีสัมมาคารวะ และความชัดเจนในการสื่อสารสำคัญมากๆ

สอง การศึกษาตลาด เมื่อก่อนเราอยากผลิตอะไร เราชอบอะไรเราจะอยากทำสิ่งนั้น ซึ่งบางทีเราไม่ได้สำรวจก่อนว่าตลาดต้องการจริงไหม ซึ่งเมื่อไหร่ที่เราทำอะไรขึ้นมามันคือการลงทุนที่เราลงไปแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ถ้าเราทำออกมาแล้วมันขายไม่ได้ สุดท้ายก็เจ๊งเหมือนกัน

สาม บริษัทจะไม่สามารถเติบโตได้ถ้าเราเจอคู่แข่งแล้วเราหยุด ทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่ได้และมีลูกค้าที่ใช้ต่อเนื่องกับเรา แสดงว่าเราต้องพัฒนาต่อเนื่องให้มันล้ำสมัยขึ้นไปอีก มีจุดเด่นในการทำเป็นธุรกิจให้ได้

สร้างทักษะการตลาดในเวทีแข่ง

การแข่งขัน NSC เป็นเวทีแรกที่ทำให้เราได้ฝึกการนำเสนองาน การถ่ายทอด เนื่องจากตอนนั้นอาจจะมีหลายโครงการ กรรมการที่มาเดินอาจไม่ได้โฟกัสการนำเสนองานของเรามากนัก เขาก็พยายามถามเพื่อให้คะแนนเรา ถ้าให้เสนอแนะ NSC น่าจะมีเรื่อง Pitching ให้น้องๆ ฝึกพัฒนาการถ่ายทอดด้วย รวมไปถึงการตลาด อาจให้เขามีโอกาสศึกษาตลาดก่อน แล้วเอามา Pitching ว่าโครงการนี้สามารถต่อยอดไปเป็นอาชีพจริงๆ ได้ไหม เพราะเท่าที่ผ่านมา NSC ทำได้ค่อนข้างดีมาก สร้างนักธุรกิจที่เติบโตจาก NSC ได้หลายๆ คน

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่คนที่เคยผ่าน NSC จะเปิดบริษัทกัน แต่โปรดักส์ที่มีกระจัดกระจาย ถ้าจัด Alumni ของ NSC อาจจะปลั๊กกันได้ โปรดักส์จะได้กว้างขึ้น หรืออีกอย่างคือคนที่แข่ง NSC ลึกๆ เขามีความชอบการแข่งขันอยู่แล้ว อาจจะท้าทายมีโจทย์ขึ้นมาใน Alumni ใครมีวิธีการแก้หรือมีโซลูชันมานำเสนออย่างไร

ตั้งคำถามกับตัวเอง ก่อนเป็นสตาร์ทอัพ

สำหรับคนที่อยากเป็นสตาร์ทอัพหรือทำธุรกิจต้องคุยกับตัวเองก่อนว่า เราอยากทำงานด้านนี้จริงไหม เพราะถ้าพูดถึงสตาร์ทอัพด้านซอฟต์แวร์มันมีเยอะมากในตลาดนี้ ถ้าเราชอบจริงเราจะอยู่กับมันได้นาน คำถามถัดไปคือเราชอบมันแล้ว เราอยากทำอะไร เราถนัดด้านไหน แล้วเราจะสามารถทำผลิตภัณฑ์อะไรที่ตอบโจทย์ตลาดได้ อีกอย่างถ้าเริ่มต้นใครมีทุนก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีทุนต้องพยายามหาคนที่เป็นนักลงทุนให้ อาจเป็นทุนรัฐบาล ทุนวิจัย หรือทุนเอกชนก็ได้ เดี๋ยวนี้มีเยอะมาก เริ่มต้นจากตรงนี้ก็ได้ ข้อดีคือจะได้คนที่ช่วยสนับสนุนเราด้วย ถ้าเรามีทุนอยู่แล้วอาจจะเริ่มได้เร็วแต่ก็ต้องไปเจอคู่แข่ง ซึ่งการมีคนช่วยลงทุนเขาจะช่วยเราในเรื่องนี้

แนะนำรุ่นพี่ NSC

ทักษะแห่งอนาคต

ความท้าทายสำหรับเด็กยุคใหม่ ยังมองว่าเป็นเรื่องการสื่อสาร ยิ่งสมัยนี้ข้อมูลข่าวสารมันเร็ว ความกระชับและชัดเจนของการถ่ายทอดก็ต้องเร็วด้วย ซึ่งเด็กสมัยนี้เขามีความคิดที่ดี แต่เขาอาจไม่อดทนในการสื่อสารให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจ ถ้าเราอยากเติบโตอยากพัฒนาอาจหาเวทีในการฝึกนำเสนอ การทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นธุรกิจที่เราจะทำ อีกอย่างคือความรับผิดชอบ สปิริต ไม่ว่าจะทำงานอะไร ทุกงานต้องมีความรับผิดชอบ เวลาที่เจออุปสรรคปัญหา ต้องพยายามก้าวข้ามอุปสรรคให้ได้ แก้ปัญหาให้ได้ อดทนรอคอย ซึ่งสมัยนี้ถ้าใครมีทักษะนี้เยอะจะได้เปรียบ

แนะนำรุ่นพี่ NSC

 

คุณค่าที่มากกว่ารายได้

โดยส่วนตัวผลงานอะไรก็ตามที่ออกจากฝีมือหรือสมองเราและมีประโยชน์ต่อคนทั่วไป มันคือความสำเร็จ ผลงานที่ภูมิใจมากๆ ตั้งแต่ทำด้านไอทีมาก็คือโครงการวิจัยที่ทำสื่อการสอนให้เด็ก LD ณ ตอนที่ทำมันยังไม่มีโปรแกรมภาษาไทยที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่เด็กกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ต้องซื้อจากต่างประเทศและค่าลิขสิทธิ์แพงมาก แต่งานนี้แม้ใช้ทุนวิจัยจำนวนมากเหมือนกัน แต่สุดท้าย 30 โรงเรียนของภาคเหนือที่มีเด็กเรียนร่วมได้ลองเอาไปใช้ และผลปรากฏว่าเด็กมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น มันเป็นความอิ่มใจที่ได้ทำเพื่อสังคมด้วย รายได้ก็เป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง แต่ความสุขทางใจเป็นความสำเร็จที่เหนือกว่ารายได้ขึ้นไปอีก

แรงส่งจากวิกฤตและแรงหนุนจากอาจารย์

สิ่งที่ผลักดันให้มาถึงวันนี้คิดว่าเป็นวิกฤตในชีวิตด้วยนะคะ ถ้าตอนนั้นที่บ้านไม่เจอวิกฤต ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความอดทนหรือความพยายามในการแก้ปัญหาของเราจะเยอะขนาดนี้ไหม อีกเรื่องหนึ่งต้องขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่พยายามกล่อมเกลาพัฒนาให้เราเป็นคนเก่งขึ้นดีขึ้น ในรั้วมหาวิทยาลัยทำให้เราเจอประสบการณ์หลายอย่าง อาจารย์อาจไม่ได้พูดกับเราตรงๆ แต่วิธีการในการสั่งงานหรือให้การบ้านคือสิ่งที่จะทำให้เราพัฒนาขึ้นไปอีก ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านตั้งแต่ประถมฯ ถึงปริญญาโทที่ดูแลเรามา

นิยามตัวเอง ณ วันนี้

คำคมประจำใจของเราคือ ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น’ สำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่สำคัญ สำคัญที่วันนี้คุณพยายามแล้วหรือยัง อีกเรื่องคือชีวิตเราไม่ได้อยู่ตลอดกาล แต่สิ่งที่เราทำจะถูกจดจำยาวนานตลอดไป อะไรก็ตามที่เราทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือคนอื่นได้ประโยชน์ เชื่อเถอะว่าความสุขมันเกิดขึ้นในจิตใจ และมันมีคุณค่ามากกว่าเงินทอง เรามองว่าเราอาจจะไม่ได้เก่ง หรือถ้าจะพูดว่าเป็นนักพัฒนาอาจไม่ถึงขั้นนั้น แต่เราไม่หยุดที่จะทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นอีก จะเป็นนัมเบอร์วันหรือเปล่าไม่รู้ แต่ไม่หยุดแน่นอน

ครอบครัวมีสุข คือเป้าหมายชีวิต

เป้าหมายในชีวิตที่ตั้งไว้ตั้งนานแล้วคือปีนี้คุณพ่อจะเกษียณ มีความใฝ่ฝันอยากพาพ่อกับแม่ไปเที่ยวรอบโลก ในวันที่เราเริ่มมีเงินเก็บ เริ่มสร้างชีวิตแล้ว เขาใช้ชีวิตมาน้อยกว่าเรา เพราะต้องเก็บเงินเลี้ยงลูกสามคน เป้าหมายชีวิตคืออยากทำให้เขามีความสุข และเชื่อว่าการทำธุรกิจของเรา เราพยายามวางแผนมาตลอดว่าจะเติบโตไปทางไหน ถ้าเจอคู่แข่งจะเบนไปทางไหน ด้วยความที่เราไม่หยุดเชื่อว่าวันนั้นมาถึงแน่นอน

เส้นทางชีวิตของรันอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ด้วยทักษะวิชาชีพและมุมมองในการใช้ชีวิตก็ได้นำพาเธอมาสู่จุดแห่งความสำเร็จ…ที่ไม่ใช่แค่การทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นการสร้างสมดุลระหว่างการทำธุรกิจกับการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมผ่านทางผลงาน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยมุมมองนี้อาจทำให้เธอต้องเหนื่อยและพยายามมากกว่าคนทั่วไป แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่า นั่นคือความสำเร็จที่มีคุณค่ามากกว่าความสำเร็จทั่วๆ ไปด้วยเช่นกัน

แนะนำรุ่นพี่ NSC
 
ข้อมูลการศึกษา
  • 2550-2553 ปริญญาโท คณะวิศวกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • 2546-2550 ปริญญาตรี คณะวิศวกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การเข้าร่วมเวทีการประกวด/แข่งขัน ของเนคเทค/สวทช.
  • เข้าร่วมการแข่งขัน “การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย: NSC” ตั้งแต่ปี 2006
ความสำเร็จ (ผลงานที่สร้างชื่อเสียง/รางวัลที่ได้รับ)
  • ได้รับทุนโครงการคูปองนวัตกรรมสานักงานนวัตกรรมแหง่ชาติ(NIA) ชื่อโครงการ : “Autism Smart app” โปรแกรมประยุกต์เพื่อการสื่อสารสำหรับบุคคลออทิสติก และบุคคลบกพร่อง ทางการสื่อสาร ปีท่ีเร่ิมทางาน : 2559 ปีท่ีสิ้นสุดการทางาน : 2560
  • ได้รับทุนงานวิจัยสถาบันวิจัยระบบสาธารณะสุข(สวรส) ชื่อโครงการ : โครงการวิจัย การพฒั นาโปรแกรมประยุกต์ฟื้นฟูทักษะการอ่านคาศัพท์บน Tablet Computer สาหรับเด็กท่ีมีปญัหาทางการเรียนรู้ด้านการอ่านระดับช้ันประถมศกึษาปีที่2 ปีท่ีเริ่มทางาน : 2557 ปีที่ส้ินสุดการทางาน : 2558
  • ได้รับทุนโครงการคูปองนวัตกรรมสานักงานนวัตกรรมแหง่ชาติ(NIA) ชื่อโครงการ:การผลิตสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเพื่อการเรียนรู้สาหรบัเด็กออทิสติกบนแท็บเล็ตทักษะการสื่อสารการ เรียนรู้คำศัพท์พื้นฐานปีท่ีเริ่มทำงาน : 2554 ปีที่สิ้นสุดการทำงาน : 2555
ปัจจุบัน
  • กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออาร์จี ไซเบอร์บิซ จำกัด
ความเชี่ยวชาญ
  • มีความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์และออกแบบและเขียนโปรแกรมตามหลัก OOP
  • มีความรู้เกี่ยวกับความฉลาดทางการคำนวน (CI) และสมองกล (AI)
  • มีความรู้เกี่ยวกับวิเคราะห์และประมวลผลภาพ (Image Processing)
  • มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจและการทำตลาดดิจิทัล
  • มีประสบการณ์ในการพัฒนาสื่อการสอนให้กับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ
  • มีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบบริหารจัดการโรงแรม และ IoT
  • มีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้ประกอบการ SME ในภาคเหนือ
]]>