5G – SMC https://www.nectec.or.th/smc Sustainable Manufacturing Center Mon, 01 Apr 2024 01:06:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.1 https://www.nectec.or.th/smc/wp-content/uploads/2021/02/cropped-siteicon-SMC-32x32.png 5G – SMC https://www.nectec.or.th/smc 32 32 [White Paper] 5G Use Cases for Smart Factory/Manufacturing ในประเทศไทย: มุมมองเชิงเทคนิคและความคุ้มค่าการลงทุน https://www.nectec.or.th/smc/5g-use-cases-for-smart-factory-manufacturing/ Mon, 01 Apr 2024 01:06:01 +0000 https://www.nectec.or.th/smc/?p=7567

โดย กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
ทีมวิเคราะห์ตลาดและเทคโนโลยี
เนคเทค สวทช.

เทคโนโลยีเครือข่ายเซลลูลาร์ไร้สายมีวิวัฒนาการมาถึงยุคที่ 5 หรือที่เรียกว่าย่อว่า 5th Generation Cellular  Network (5G) ในช่วงปี พ.ศ. 2562 ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกเหนือจากการให้บริการโทรคมนาคมแก่บุคคลทั่วไปในการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเทคโนโลยี 5G มีศักยภาพที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงอุตสาหกรรมการผลิตให้เข้าสู่ยุคที่ 4 หรือ ที่เรียกว่า Industry 4.0 ด้วยการเพิ่มการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายข้อมูลที่มีเสถียรภาพ เข้าไปในสายการผลิต เป็นผลให้การผลิตสามารถปรับให้มีความยืดหยุ่นได้ สามารถตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีความใหม่ และมีการปรับปรุงมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ที่ใช้งานได้ในโรงงานกำลังค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น อีกทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้งานยังมีความเข้าใจในการประยุกต์ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอย่างจำกัด ผนวกกับความกังวลในความคุ้มค่าที่จะลงทุนในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละราย เป็นส่วนสำคัญที่ยับยั้งการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของการลงทุนใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0

ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการทดลองทดสอบและการถ่ายทอดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G ให้กับอุตสาหกรรมเพื่อนำไปสู่ Smart Factory/Manufacturing ได้อย่างยั่งยืน ให้เข้ากับบริบทของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งการทดลองมาจากความต้องการของผู้ประกอบการโรงงาน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของเทคโนโลยี 5G ในด้านต่าง ๆ ซึ่งเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้เป็นสรุปผลการทดลองภายใต้โครงการทดลองและถ่ายทอดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturing ที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อเป็นการนำร่องศึกษาการใช้งานเทคโนโลยี 5G ในโรงงาน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์จากแนวทางการเลือกใช้เทคโนโลยีทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของการลงทุน และผลกระทบต่อภาคธุรกิจโทรคมนาคมและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงโอกาสและข้อจำกัดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างแท้จริง

สามารถดาวน์โหลดเอกสารได้ ที่นี่

5G Use Cases for Smart Factory/Manufacturing ในประเทศไทย: มุมมองเชิงเทคนิคและความคุ้มค่าการลงทุน

]]>
SMC x Thailand 5G Summit 2022 https://www.nectec.or.th/smc/smc-x-thailand-5g-summit-2022/ Fri, 17 Jun 2022 09:33:40 +0000 https://www.nectec.or.th/smc/?p=5913
SMC x Thailand 5G Summit 2022
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ร่วมกับ AIS นำผลงาน Co-bot เพื่อโชว์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ใน Industry 4.0 นำเสนอโดย คุณรพีพงศ์ โชครุ่งอิสรานุกูล และ คุณชำนาญ ปัญญาใส ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) และโครงการทดลองและถ่ายทอดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturingโดย ดร.กมล เขมะรังษี จากกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) ร่วมออกบูธ ในงานThailand 5G Summit 2022: “The Real 5G Leader of The Region” ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 – 17 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 22 กรุงเทพฯ
โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการในชื่อ Thailand 5G Summit 2022 ภายใต้แนวคิด The 5G Leader in the Region ที่จัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และ Global System for Mobile Communications Association (GSMA) APAC 5G Industry Community
และในวันที่ 17 มิถุนายน 2565 ดร.กมล เขมะรังสี ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง “5G Enabling Sustainable Manufacturing”เพื่อแนะนำศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) บริการต่างๆ Testbed รวามทั้งนำเสนอตัวอย่าง usecase 5G for factory & Warehouse อีกด้วย
]]>
ประเทศไทยก้าวไกล ต้องใช้ 5G หรือไม่? https://www.nectec.or.th/smc/5g/ Tue, 10 Nov 2020 12:09:30 +0000 https://www.nectec.or.th/smc/?p=5152

บทความ | ดร.กมล เขมะรังสี , ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ , ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
ภาพปกและเรียบเรียง | ศศิวิภา หาสุข

ในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีกระแสของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือที่รู้จักกันในนามของเทคโนโลยี 5G เข้ามาประชาสัมพันธ์ให้สาธารณะชนทราบในสื่อสาธารณะต่าง ๆ สร้างความตื่นตัวทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมากที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยี 5G ขับเคลื่อน และในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการจัดการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ครั้งล่าสุดในย่าน 700 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ผลจากการประมูลดังกล่าว ทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทยสามารถเริ่มให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ได้แล้ว ซึ่งสร้างความคาดหวังที่จะก่อให้เกิดการแข่งขันในภาคธุรกิจโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขึ้นในประเทศไทย

5G เป็นมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายใหม่ที่ถูกกำหนดขึ้นตามหลังมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 1G, 2G, 3G และ 4G ตามลำดับ  โดยเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 5G ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับการส่งข้อมูลที่รวดเร็วในระดับหลายกิกะบิตต่อวินาที (Gbps), รองรับความหน่วงต่ำอย่างมาก (Ultra low latency), ความสามารถในการรองรับการใช้งานแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมหาศาล และการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้สายที่มีความน่าเชื่อถือสูง (Reliability) เป็นต้น โดยมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 5G ได้ถูกออกแบบตามการคาดการณ์ที่จะมีกรณีการใช้งาน (Use cases) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ [1]

  1. ความต้องการส่งข้อมูลปริมาณมากและความเร็วสูง (enhanced Mobile Broadband : eMBB)  : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ Smart Stadium [2] ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะถึงนี้ ณ กรุงโตเกียวที่ผู้ชมใน Stadium สามารถเลือกชมภาพการแข่งขันในระดับคุณภาพ 8K video ในมุมมองที่ตนเองอยากเห็นได้อย่างอิสระด้วยเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ซึ่งสร้างประสบการณ์การชมการแข่งขันใหม่  เป็นต้น
  2. ความต้องการสื่อสารที่ความหน่วงที่ต่ำ (ultra-Reliable and Low Latency Communications: uRLLC) : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ แอปพลิเคชั่นของรถยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous vehicle, การผ่าตัดทางไกล (Remote medical surgery), และระบบควบคุมไร้สายในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่ต้องการความหน่วงในการรับส่งข้อมูลน้อยกว่า 1 ms
  3. ความต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT หรือ อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งจำนวนมหาศาล (massive Machine Type Communications/massive Internet of Things: mMTC) : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ การเชื่อมต่อสรรพสิ่งด้วยอินเทอร์เน็ตจำนวน 1 ล้านอุปกรณ์ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร เช่น ใน Smart City และ Smart Farm เป็นต้น ที่มีความต้องการเชื่อมต่อของสรรพสิ่งพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมหาศาล โดยที่มีอัตราการส่งข้อมูลไม่ว่าต่ำหรือสูง แต่สามารถทนต่อความหน่วงที่สูงได้ และต้องการใช้พลังงานน้อย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี 5G ได้ถูกกำหนดให้ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้งานใหม่ๆ ที่หลากหลาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานทั้ง 3 กรณีด้วยเทคโนโลยี 5G จะต้องทำได้ภายใต้เทคนิคหรือคลื่นความถี่เดียวกัน

ด้วยวิธีการทางเทคนิคเพื่อให้เกิดจุดเด่นในแต่ละกรณีการใช้งานนั้น เทคโนโลยี 5G จะต้องใช้คลื่นความถี่เพื่อรองรับการให้บริการในแต่ละกรณีที่แตกต่างกัน นั่นคือ ในการใช้งานแบบ eMBB ควรเลือกใช้งานในย่านความถี่สูง เช่น 26 GHz (หรือ mmWave) ซึ่งจะมีแบนด์วิทด์ที่กว้างและเหมาะสำหรับการส่งข้อมูลปริมาณมากและความเร็วสูง แต่ข้อจำกัดของคลื่นในย่านนี้ คือ ไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่กว้าง ได้ หรือที่เรียกว่า coverage ของ cell site 5G แคบ อีกทั้งระยะทางสื่อสารระหว่างสถานีฐานกับเครื่องลูกข่ายถูกจำกัดที่ระยะแค่ 200 เมตรเท่านั้น ดังนั้นคลื่นที่ 26 GHz จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะของ Hot Spot หรือในแบบ Pico-cell หรือบางทีจะเรียกว่า Fixed Wireless Broadband Access (FWBA) นั่นเอง

ในขณะที่คลื่นในย่านนี้ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในกรณีการใช้งานแบบ uRLLC ที่ต้องการความหน่วงที่ต่ำและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ดังนั้น สำหรับการใช้งานควรเป็นการใช้คลื่นความถี่ย่าน 26 GHz, 2600 MHz และ 700 MHz ควบคู่กัน เนื่องจากคลื่นในช่วงความถี่ต่ำ (เช่น 700 MHz, 800 MHz และ 900 MHz) สามารถครอบคลุมการให้บริการในบริเวณกว้างซึ่งช่วยลดจำนวนครั้งในการเคลื่อนที่ข้าม Cell site (Hand-over)  ในขณะที่คลื่นความถี่กลาง (2600 MHz) ให้ความหน่วงต่ำกว่าช่วงความถี่ต่ำ (700 MHz) และ ช่วงความถี่ย่าน 26 GHz มีแบนด์วิทด์ที่กว้างเหมาะสำหรับส่งข้อมูลในปริมาณมาก

สำหรับบริการในกลุ่ม massive Machine Type Communication (mMTC) หรือ massive Internet of Things นั้น เหมาะสำหรับการใช้งานในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (700 MHz) เนื่องจากปริมาณการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์เซนเซอร์มีขนาดเล็ก และทนต่อความหน่วงสูงได้ ซึ่งด้วยคุณสมบัติของคลื่นความถี่ต่ำสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในอาคารหรือโรงงานได้ดีกว่าคลื่นความถี่กลางและสูง จึงทำให้การเลือกใช้คลื่นความถี่ต่ำเหมาะสมกับกรณีการใช้งานนี้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ mMTC นั้น เริ่มตั้งแต่ในเทคโนโลยียุค 4G แล้ว โดยทางผู้กำหนดมาตรฐานสำหรับระบบเซลลูล่าร์ หรือ 3GPP ได้กำหนดไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ NB-IoT และ LTE-M ความแตกต่างระหว่าง NB-IoT และ LTE-M คือ NB-IoT จะเน้นที่การประหยัดพลังงานมากกว่าและส่งข้อมูลน้อยกว่า ในขณะที่อุปกรณ์ LTE-M จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้มากกว่า โดยทั้งสองอย่างยังคงเป็นมาตรฐานสำหรับใช้ต่อไปในยุค 5G และถูกเรียกว่าเป็นการใช้งานในแบบ 5G Low Power Wide Area (LPWA) use cases ซึ่งการใช้งานในเรื่องของเครือข่ายเซนเซอร์ไม่ว่าจะเป็น เกษตรอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ โลจิสติกอัจฉริยะ สุขภาพอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ และเรื่องของระบบไฟฟ้าหรือพลังงานอัจฉริยะ ที่เป็นจุดเด่นของ IoT นั้นสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอเครือข่าย 5G ให้ติดตั้งสมบูรณ์ทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ให้บริการเครือข่ายเซลลูล่าร์ของประเทศไทยนั้นได้ติดตั้งและอัพเกรดเครือข่ายเป็น 4G หรือ ที่เรียกว่า 4G-LTE มาได้สักระยะแล้ว สิ่งที่เป็นความอัจฉริยะที่สื่อสารผ่านเครือข่าย IoT และระบบเซลลูล่าร์นั้นสามารถใช้งานได้นานแล้วโดยไม่ต้องรอ 5G แต่อย่างใด

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน 5G นั้นในฝั่งอุปกรณ์ของเครือข่ายนั้น การให้บริการ 5G จะมีการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนที่ผู้ใช้งานได้มีโอกาสใช้ระบบเซลลูล่าร์ตั้งแต่ 2G หรือ GSM เป็น 3G มาเป็น 4G-LTE ที่ผู้ใช้งานค่อย ๆ ได้รับการอัพเกรดหรือผลักให้เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจากรุ่นเก่า ๆ ที่เป็น Feature phone จนมาเป็น Smart phone รุ่นใหม่ล่าสุดในแง่ของผู้ใช้ถ้าต้องการใช้ 5G จะต้องซื้อมือถือรุ่นใหม่ที่รองรับระบบ 5G ในราคาหลักหมื่นบาท ซึ่งหากมองในมุมผู้ให้บริการจำนวนผู้ที่สนใจอัพเกรดเป็นมือถือรุ่น 5G อาจจะไม่ค่อยมีมากนัก แม้ในกลุ่มของผู้ให้บริการโครงข่ายเซลลูล่าร์บางรายเองอาจจะไม่ได้ลงทุนปรับสถานีฐานเป็น 5G ทั้งประเทศแต่ก็จะมีลักษณะของการปรับสถานีฐานเป็น 5G เฉพาะในตัวเมืองหรือในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้สูงเป็นหลักเท่านั้น  นั่นคือเราจะยังได้ใช้เครือข่ายผสม 3G-4G-5G ไปอีกระยะหนึ่งอย่างแน่นอน ในด้านความคุ้มทุนของผู้ให้บริการนั้นเค้าย่อมจะต้องใช้งานระบบที่ลงทุนไปแล้วให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่จะปลดระวางอุปกรณ์ไป ในด้านมาตรฐานระบบ 5G นั้นเรียกได้ว่าจริง ๆ แล้วค่อย ๆ ปรับกันมาอย่างต่อเนื่อง

มาตรฐาน 5G NR (New Radio) Release 16 Specification ที่เป็นมาตรฐานการส่งสัญญาณวิทยุที่แท้จริง ก็เพิ่งจะสรุปได้กลางปี 2563 (3 กรกฏาคม 2563) ตามที่เป็นข่าว [3] ซึ่งจะเห็นได้ว่าในส่วนของมาตรฐานสากลที่เป็น 5G ที่แท้จริงนั้นก็ค่อนข้างใหม่มากและการทำ large scale commercialization ก็เริ่มกันกลางปี 2563 นี่เอง ในส่วนของเครือข่ายนั้นโดยส่วนใหญ่ 5G จะเป็นการติดตั้งแบบ Non-stand Alone หรือ NA ซึ่งการให้บริการ 5G แบบนี้จะต้องใช้ 4G-LTE มาให้บริการร่วมด้วย ซึ่งการให้บริการ 5G แบบแท้จริงหรือ แบบที่เรียกว่า SA หรือ Stand Alone ก็ยังมีผู้ผลิตอุปกรณ์เพียงไม่กี่รายในตลาด

สำหรับการนำ 5G ไปใช้งานนอกเหนือจากใช้ Smart Phone 5G นั้น ปัจจุบันสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการนำ 5G CPE (Customer Premise Equipment) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณ 5G Radio มากระจายต่อให้อุปกรณ์ปลายทางในรูปแบบของสัญญาณ Wi-Fi หรือ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตรฐาน Wireless Local Area Network (WLAN) ล่าสุด นั่นคือเป็นการใช้งาน 5G ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือโดยตรง

อุปกรณ์ลูกข่ายที่ต่อกับเครือข่าย 5G โดยตรงในปัจจุบันยังมีจำนวนจำกัด ตัวอย่างเช่น โรงงานหนึ่งอาจจะต้องการใช้แขนหุ่นยนต์ ที่ควบคุมผ่าน 5G ในปัจจุบันปี 2563 นั้นน่าจะยังไม่ค่อยมีให้ใช้งาน ซึ่งเราจะพบว่าการใช้งานประเภท Virtual Reality/Augment Reality (VR/AR), Ultra High definition VDO streaming, Industrial Automation นั้นหากต้องการใช้งานในปัจจุบันส่วนใหญ่จะต่อผ่านเครือข่าย Wi-Fi เป็นหลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ 5G ก็ได้ สิ่งที่ 5G ช่วยได้คือการเป็นท่อส่งข้อมูลปริมาณมากแบบไร้สายนั่นเอง หากเรามีเครือข่ายอื่นที่มีความเร็วสูงอยู่แล้ว 5G อาจจะไม่จำเป็น เช่นถ้าในอาคารเรามีเครือข่าย Ethernet แบบ Gigabit Ethernet หรือ Fiber optics อยู่แล้ว เครือข่ายแบบมีสายเหล่านี้จะดีกว่าในการส่งข้อมูลปริมาณมาก ความผิดพลาดต่ำ และมีความหน่วงต่ำ สามารถให้บริการ Use cases เหล่านี้ได้อยู่แล้ว

สำหรับการใช้งาน 5G ในกลุ่ม uRLLC นั้นจุดเด่นคือการให้บริการแบบไร้สายสำหรับ Application ที่ต้องการ uRLLC  ตัวอย่างที่นิยมหยิบยกขึ้นมา คือ การใช้งานรถอัตโนมัติ Autonomous vehicle เป็น Use case ที่ต้องการ uRLLC แต่ปัจจุบันในประเทศไทย สิ่งที่ผู้ให้บริการเซลลูล่าร์ในประเทศโปรโมทการใช้งานการควบคุมรถจากระยะไกลเป็นไปในลักษณะของ Remote Control รถผ่าน 5G เป็นส่วนใหญ่ และยังไม่มีการใช้งานรถอัตโนมัติที่แท้จริงผ่าน 5G ในประเทศไทย ซึ่งการที่ประเทศไทยจะเห็น Autonomous vehicle ควบคุมผ่าน 5G ได้ทั่วประเทศนั้นอาจจะต้องมีเครือข่าย 5G ครอบคลุมเส้นทางที่รถอัตโนมัติจะวิ่งหรือให้มีทั่วประเทศให้ได้ก่อน เพื่อให้รถอัตโนมัติวิ่งได้ผ่านการควบคุม 5G ได้อย่างแท้จริง  อีกประเด็นคือรถอัตโนมัติส่วนใหญ่จะต้องมีการประมวลผลบนตัวรถเป็นหลักโดยหน่วยประมวลผลความเร็วสูง อาทิเช่น NVDIA Drive AGX [4] ถ้าหากต้องการส่งค่า Sensor ทั้งหมดของรถขึ้นไปบนเครือข่ายคลาวด์เพื่อประมวลผลเพื่อควบคุมรถอัตโนมัติผ่านเครือข่ายคลาวด์นั้นต้องใช้แบนด์วิดท์ปริมาณมาก และจะมีข้อมูลที่ต้องวิ่งผ่าน Core Network ในปริมาณมหาศาล ซึ่งมีการคาดการณ์ในการทดสอบเบื้องต้นจากบริษัท Intel พบว่าข้อมูล Sensor จากรถอัตโนมัติมีขนาด 4 Terabytes ต่อวัน [5]  ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติด้วยเทคโนโลยี 4G และ 5G ที่มีอยู่ในปัจจุบัน  แต่หน้าที่หลักของ 5G น่าจะเป็นท่อส่งข้อมูลปริมาณมากความหน่วงต่ำเป็นหลัก ซึ่งถ้าต้องการส่งข้อมูลปริมาณมากต้องใช้คลื่น 26 GHz ที่สถานีฐานมีรัศมีแคบ จะต้องลงทุนติดตั้งสถานีฐานจำนวนมากเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการเคลื่อนที่ของรถอัตโนมัติ ทำให้จำเป็นจะต้องมีการลงทุนสูงอย่างมากเพื่อให้ได้เส้นทางที่รถอัตโนมัติจะวิ่งได้เป็นระยะทางไกล ๆ  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปัจจุบันรถยนต์ที่มีในท้องตลาด เช่น Tesla ที่สามารถทำงานในโหมด autopilot (semi-autonomous) และ full self-driving capability (ซึ่ง Tesla ไม่ได้เรียกว่าเป็น autonomous) ซึ่งในปัจจุบันยังคงทำงานภายใต้มาตรฐาน 4G-LTE [6] และสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ 5G แต่อย่างใด

สำหรับประเด็น Smart Health ในกลุ่ม Tele-medicine ที่เป็นอีก Use case ของ 5G ในการโปรโมทการใช้งาน 5G นั้นน่าจะอยู่ในเรื่องของการให้แพทย์สามารถใช้เครือข่ายสื่อสารในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางมาโรงพยาบาลได้หรือสามารถให้คำปรึกษาจากระยะไกล ซึ่งถ้าในการใช้งานลักษณะนี้สามารถทำได้เลยในปัจจุบันไม่ต้องรอเครือข่าย 5G สิ่งที่ 5G ทำได้ดีกว่าเครือข่ายปัจจุบันก็คือการช่วยส่งข้อมูลทางการแพทย์ให้เร็วขึ้น หรือในกรณีการทำการผ่าตัดจากระยะไกล ซึ่งน่าจะเป็นจุดเด่นของอุปกรณ์ 5G ที่ตอบสนองความหน่วงต่ำ แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างการผ่าตัดที่หากเครือข่าย 5G เกิดมีการล่มระหว่างการผ่าตัด จะมีวิธีการอย่างไร ซึ่งการรักษาชีวิตคนอาจจะต้องการให้ลดความเสี่ยงด้านนี้ลงให้ได้มากที่สุด ยกเว้นเสียแต่ว่าคนไข้ไม่สามารถเดินทางมาให้รักษาได้จริงๆ  หรือในกรณีที่ให้ระบบ Artificial Intelligent (AI) ช่วยในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์เพื่อตรวจจับความผิดปกติเช่นก้อนเนื้อมะเร็ง ในกรณีของ 5G นั้นสิ่งที่ช่วยคือการส่งข้อมูลภาพถ่ายคุณภาพสูง แต่ตัว AI ที่แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ในเครือข่าย 5G แต่อย่างไร แต่อยู่ที่ระบบคอมพิวเตอร์เบื้องหลังหรือในระบบประมวลผลคลาวด์ที่มีความสามารถของ AI มากกว่า ซึ่งถ้าเราสามารถพัฒนา AI เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคได้ในปัจจุบัน ซึ่งกรณีการใช้งานในลักษณะนี้ระบบเครือข่าย 4G-LTE ก็สามารถตอบโจทย์การใช้ AI ในด้านการแพทย์ได้เลย

ในมุมมองจากผู้ให้บริการเครือข่ายเซลลูล่าร์ นอกจากการช่วงชิงความได้เปรียบของการเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G แล้ว จริง ๆ แล้วแต่ละรายในปัจจุบันยังคงพยายามหา Use cases ที่จะสร้างรายได้ที่แท้จริงให้กับบริษัท เท่าที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็น Use cases เล็ก ๆ ที่แสดงศักยภาพแต่การที่จะได้ Business cases ที่สร้างรายได้ที่แท้จริงเป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ให้บริการนั้น ไม่ว่าจะเป็น Telemedicine, Smart City หรือ Smart Factory ต่างก็ยังอยู่ในระหว่างการหาจุดคุ้มทุนด้วยกันทั้งนั้น

ในมุมมองของรัฐบาลนั้นการส่งเสริมให้มีการใช้งาน 5G เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันระบบสื่อสารแบบเซลลูล่าร์เป็นเสมือนทางด่วนที่รัฐให้สัมปทานคลื่นความถี่ไปแล้ว เอกชนมีหน้าที่ให้บริการและเอกชนย่อมต้องทำกำไร การกระตุ้นโดยภาครัฐนั้นสามารถทำได้ แต่การลงทุนติดตั้ง 5G เองโดยรัฐนั้นเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะประเทศไทยไม่ได้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ 5G หรือระบบเซลลูล่าร์เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลไกการตลาดที่ต้องมีความต้องการใช้งาน หรือ Demand เมื่อมี Demand ผู้ให้บริการจึงลงทุนในโครงข่ายหรือสร้าง Supply และผู้ให้บริการย่อมต้องดูว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าและมีรายได้แท้จริงหรือไม่  รัฐบาลสามารถกระตุ้นหรือสนับสนุนให้เอกชนหรือหน่วยงานภาครัฐในทุกภาคส่วนให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data, Telemedicine หรือ IoT ที่สามารถทำได้เลยตั้งแต่วันนี้โดยให้เครือข่าย 5G เป็นถนนกว้าง ๆ ที่ทยอยสร้างโดยเอกชน เมื่อความต้องการข้อมูลสูงขึ้นในอนาคตก็จะไม่เกิดปัญหาจราจรติดขัดแต่อย่างไร ในขณะเดียวกันรัฐสามารถช่วยส่งเสริมในเรื่องของการตระหนักรู้ในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมคุ้มค่าต่อการลงทุน และมีการตรวจสอบหรือเฝ้าระวังในด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศรวมทั้งระบบโทรคมนาคมให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการใช้งานและลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี

โดยสรุปในมุมมองของประเทศไทย การเปิดเสรีทางด้านโทรคมนาคมได้สร้างให้เกิดการแข่งขันทางการค้าและบริการเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการประกาศ Lock-down การเดินทางมีการจำกัดอย่างมาก ยอดการใช้งานระบบเครือข่ายเช่นเครือข่าย Internet หรือระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น แต่โครงข่ายการให้บริการของประเทศที่ให้บริการโดยเอกชนของประเทศไทยก็ยังคงสามารถรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไม่มีปัญหา การประชุมผ่าน VDO conference ได้กลายมาเป็นฐานวิถีชีวิตใหม่ หรือ new-normal ที่เราสามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่น โดยยังไม่ได้ต้องรอ 5G แต่อย่างไร และจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รายงานในบทความนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ทันที ไม่ต้องรอการมาหรือการติดตั้งของเครือข่าย 5G แต่อย่างไร สิ่งที่เครือข่าย 5G จะเพิ่มให้อาจจะไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่มา disrupt ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ตอนนี้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างไร สิ่งที่ต้องทำก็คือนำเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้งานเสียตั้งแต่วันนี้หรือพัฒนาทันทีโดยไม่ต้องรอ 5G ไม่ว่าจะเป็น IoT หรือ AI หรือ Big data หรืออื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทำงานได้แล้ว ทั้งในเครือข่ายเซลลูล่าร์ 3G-4G และ 5G ที่กำลังจะมา แล้วในอีกไม่กี่ปี เครือข่ายเซลลูล่าร์ 6G ก็จะมาเช่นเดียวกัน ซึ่งหวังว่าในตอนนั้นประเทศไทยจะได้พัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ ขึ้นแล้วและสามารถใช้งานสอดประสานกับเครือข่ายเซลลูล่าร์ยุคต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ภาคส่วนของประเทศไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐ

[1] M. Shafi, et. at., “5G: A Tutorial Overview of Standards, Trials, Challenges, Deployment, and Practice”, IEEE JOURNAL ON SELECTED AREAS IN COMMUNICATIONS, VOL. 35, NO. 6, JUNE 2017 1201.

[2] James Bourne, “THE STADIUM OF TOMORROW”, [online access: 7 September 2020] https://www.5gexpo.net/2019/11/5g/the-stadium-of-tomorrow/

[3] Huawei, “Huawei Works Together with Industry Partners to Finalizaed 3GPP Release 16 NR Specification”. [Online Access: 8 September 2020] https://www.huawei.com/en/news/2020/7/3gpp-r16-nr-specifications-2020

[4] NVDIA Drive AGX [online access: 31 August 2020] URL: https://www.nvidia.com/en-us/self-driving-cars/drive-platform/hardware/

[5] R. Miller, “Autonomous Cars Could Drive a Deluge of Data Center Demand”. [online access: 28 August 2020] URL. https://datacenterfrontier.com/autonomous-cars-could-drive-a-deluge-of-data-center-demand/.

[6] Telsa [online access: 28 August 2020] URL: https://forums.tesla.com/.

]]>