5G – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Fri, 23 May 2025 03:38:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png 5G – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทค สวทช. ร่วมขับเคลื่อนโลจิสติกส์ไทยสู่ยุคดิจิทัล ชู “คลังสินค้าอัจฉริยะ” เทคโนโลยี 5G และ AGV ในงาน Intermach 2025 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/intermach2025-5g-agv.html Fri, 23 May 2025 02:50:14 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40105

16 พฤษภาคม 2568 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) โดย คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “คลังสินค้าอัจฉริยะยุคใหม่: พลิกโฉมโลจิสติกส์ด้วยระบบติดตามอุปกรณ์ในคลังสินค้า, การใช้งาน 5G และ AGV อัจฉริยะอย่างยั่งยืน” ภายในงาน Intermach 2025 ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของคลังสินค้าในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างรวดเร็ว โดยมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาเป็นตัวเร่ง เช่น ระบบติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ เทคโนโลยี 5G ที่เพิ่มขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูล และยานยนต์ไร้คนขับอัตโนมัติ (AGV) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าอย่างยั่งยืน

ภายในงานยังมีการจัดเวทีเสวนาและการบรรยายจากผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมงานได้แลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในภาคอุตสาหกรรมไทย อาทิ:

  • แพลตฟอร์มระบุตำแหน่งภายในอาคารสำหรับโรงงานและคลังสินค้าแบบอัจฉริยะ โดย ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล หัวหน้าทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ เนคเทค สวทช.
  • ยกระดับคลังสินค้าด้วย AGV: เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คลังสินค้ายุคใหม่ โดย คุณจักรกฤช พรมจิตร ผู้จัดการฝ่ายขายระบบโลจิสติกส์ บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด
  • โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลยุคใหม่ สำหรับคลังสินค้าและภาคการผลิต โดย คุณภุชงค์ เจริญสุข ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AIS)

ต่อด้วยเวทีเสวนาในหัวข้อ “พลิกโฉมโลจิสติกส์ด้วยระบบติดตามอุปกรณ์ในคลังสินค้า, การใช้งาน 5G และ AGV อัจฉริยะอย่างยั่งยืน” เวทีแห่งการแลกเปลี่ยนมุมมอง วิเคราะห์แนวโน้ม ทิศทาง และแนวทางการพัฒนาโลจิสติกส์ไทยด้วยเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดและยั่งยืน อาทิ ระบบติดตามอุปกรณ์แบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการสินค้า, เทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาเสริมขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูลให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงยานยนต์ไร้คนขับอัตโนมัติ (AGV) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและขนย้ายสินค้าอย่างยั่งยืน วิทยากรประกอบด้วย: ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล (เนคเทค สวทช.) คุณจักรกฤช พรมจิตร (บริษัท ยุงค์ไฮน์ริช ลิฟท์ ทรัค จำกัด) คุณภุชงค์ เจริญสุข (บริษัท AIS)คุณอาทิตย์ สหะวงศ์วัฒนา วิศวกรวางแผนโลจิสติกส์อาวุโส บริษัท โบรเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมี ดร.โรสริน อัคนิจ นักวิเคราะห์อาวุโสจากเนคเทค สวทช. รับหน้าที่ดำเนินรายการตลอดการเสวนา

]]>
[White Paper] 5G Use Cases for Smart Factory/Manufacturing ในประเทศไทย: มุมมองเชิงเทคนิคและความคุ้มค่าการลงทุน https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/5g-smartmanufacturing.html Wed, 27 Mar 2024 04:02:33 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36379

โดย กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
ทีมวิเคราะห์ตลาดและเทคโนโลยี
เนคเทค สวทช.

เทคโนโลยีเครือข่ายเซลลูลาร์ไร้สายมีวิวัฒนาการมาถึงยุคที่ 5 หรือที่เรียกว่าย่อว่า 5th Generation Cellular  Network (5G) ในช่วงปี พ.ศ. 2562 ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต นอกเหนือจากการให้บริการโทรคมนาคมแก่บุคคลทั่วไปในการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือเชื่อมต่อข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเทคโนโลยี 5G มีศักยภาพที่สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงอุตสาหกรรมการผลิตให้เข้าสู่ยุคที่ 4 หรือ ที่เรียกว่า Industry 4.0 ด้วยการเพิ่มการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายข้อมูลที่มีเสถียรภาพ เข้าไปในสายการผลิต เป็นผลให้การผลิตสามารถปรับให้มีความยืดหยุ่นได้ สามารถตรวจสอบ และปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีความใหม่ และมีการปรับปรุงมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ที่ใช้งานได้ในโรงงานกำลังค่อย ๆ เพิ่มจำนวนขึ้น อีกทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้งานยังมีความเข้าใจในการประยุกต์ใช้งานในภาคอุตสาหกรรมการผลิตอย่างจำกัด ผนวกกับความกังวลในความคุ้มค่าที่จะลงทุนในการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละราย เป็นส่วนสำคัญที่ยับยั้งการขับเคลื่อนไปข้างหน้าของการลงทุนใหม่ ๆ ก่อให้เกิดการหยุดชะงักของการพัฒนาอุตสาหกรรมให้ก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0

ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมีการทดลองทดสอบและการถ่ายทอดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G ให้กับอุตสาหกรรมเพื่อนำไปสู่ Smart Factory/Manufacturing ได้อย่างยั่งยืน ให้เข้ากับบริบทของอุตสาหกรรมไทย ซึ่งการทดลองมาจากความต้องการของผู้ประกอบการโรงงาน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถของเทคโนโลยี 5G ในด้านต่าง ๆ ซึ่งเอกสารเผยแพร่ฉบับนี้เป็นสรุปผลการทดลองภายใต้โครงการทดลองและถ่ายทอดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturing ที่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อเป็นการนำร่องศึกษาการใช้งานเทคโนโลยี 5G ในโรงงาน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงประโยชน์จากแนวทางการเลือกใช้เทคโนโลยีทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของการลงทุน และผลกระทบต่อภาคธุรกิจโทรคมนาคมและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงโอกาสและข้อจำกัดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยสามารถก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างแท้จริง

สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่

5G Use Cases for Smart Factory/Manufacturing ในประเทศไทย: มุมมองเชิงเทคนิคและความคุ้มค่าการลงทุน

]]>
5G Use Cases for Smart Factory/Manufacturing: มุมมองเชิงเทคนิคและความคุ้มค่าการลงทุน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/5g-use-cases-for-smart-factory.html Sat, 02 Sep 2023 19:05:13 +0000 https://nectec.or.th/?p=34142
เทคโนโลยี 5G เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่และยังมีการวิวัฒนาการอยู่อย่างต่อเนื่อง การทดลอง ทดสอบ การใช้งานจึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ กทปส. จึงได้จัดให้มีการสนับสนุนทุนเพื่อทำการวิจัยและพัฒนา รวมถึงทดลองทดสอบต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการใช้งานจริงในประเทศไทย ซึ่งในโครงการนี้เป็นการทดลองทดสอบการประยุกต์ใช้ 5G กับภาคอุตสาหกรรม
เนคเทค สวทช. โดย กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและพัฒนาฯ ของ กสทช. (กองทุน กทปส.) ให้ดำเนินงานโครงการทดลองและถ่ายทอดการประยุกตใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturing โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการทดลองนำร่องการใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturing สำหรับประยุกต์ใช้งานในพื้นที่จริง และ สรุปบทเรียนเป็นข้อพิจารณาในการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้งานสำหรับ Smart Factory/Manufacturing สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงความเหมาะสมทางเทคนิคและความคุ้มค่าในการลงทุน
เนคเทค สวทช. จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เวทีเผยแพร่ผลการศึกษา นำเสนอผลการทดลองทดสอบ การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G ในมิติต่าง ๆ ทั้ง ในเชิงเทคนิค และความคุ้มค่าในการลงทุน 
ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวรายงาน “คณะผู้วิจัยได้เริ่มดำเนินกิจกรรมในโครงการตั้งแต่ปี 2565 โดยมีสถานประกอบการร่วมให้พื้นที่และบุคลากรสนับสนุนการทดลองทดสอบดังกล่าว 3 แห่ง ได้แก่ (1) บริษัท ไดซิน จำกัด (2) บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จํากัด (มหาชน) และ(3) บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด หลังจากดำเนินงานทดลองทดสอบ และเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลการศึกษา รวมถึงส่งมอบผลการดำเนินงานให้กับหน่วยงานให้ทุน (กทปส.) โครงการฯ จึงได้จัดประชุมเพื่อนำเสนอผลการทดลองทดสอบ การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G ในมิติต่าง ๆ ทั้งในเชิงเทคนิค และความคุ้มค่าในการลงทุนขึ้น”
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานในโครงการ และผลสรุปจากการนำเสนอจะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยพัฒนาและการประยุกต์ใช้งาน 5G ในประเทศไทย ทั้งยังทำให้เห็นโอกาสและข้อจำกัดการประยุกต์ใช้ 5G ในสภาพความเป็นจริง เพื่อให้ทั้งโรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำข้อมูลไปใช้ปรับปรุงนโยบายด้านนี้ของประเทศต่อไป
นอกจากโครงการนี้ เนคเทค สวทช. มีความมุ่งมั่นที่จะวิจัยและพัฒนา ส่งมอบผลงาน องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้กับประเทศอย่างต่อเนื่อง สำหรับเรื่อง 5G ได้มีการขยายผล โดยมี Testbed 5G อยู่ที่ SMC EECi วังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยนำผลงานที่เกี่ยวข้องในโครงการไปขยายผลต่อที่นั่นเช่นกัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นสนับสนุนการเติบโต และการทดสอบใช้งานให้ 5G ให้กับประเทศได้ต่อไป
ดร.กมล เขมะรังษี ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. กล่าวว่า “เครือข่าย 5G ที่มีบริการสื่อสารเปรียบเสมือนถนน ถ้ามีแต่เพียงถนนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ตอบโจทย์การนำไปใช้งาน Smart Factory/Manufacturing ได้ ผู้ประกอบการควรพิจารณากรณีใช้งานหรือ Use Case ซึ่งเปรียบเสมือนรถที่วิ่งบนถนนที่เหมาะสม” โดย เครือข่าย 5G เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถช่วยยกระดับ Thailand Industry 4.0 Index สำหรับโรงงานในประเทศได้ ดังนั้น ควรมอง 5G เป็นเครื่องมือหนึ่งในการทำ Digital Transformation สำหรับธุรกิจหรือปรับรูปแบบการทำงานธุรกิจไปจากกระบวนการทำงานแบบเดิม
ดร.กมล ยังได้ฉายภาพรวมและแนวโน้มการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 5G รวมถึงสิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้และทำความเข้าใจก่อน การนำ 5G มาใช้สำหรับ Smart Factory/Manufacturing ข้อเสนอแนะนโบายสนับสนุน 5G ในภาคอุตสาหกรรมอีกด้วย
ด้านความท้าทายในการประยุกต์ใช้ 5G และ ความคุ้มค่าในการลงทุน คุณสิรินทร อินทร์สวาท ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล เนคเทค สวทช. ได้นำเสนอผลการศึกษาจากการทดสอบและการหารือโรงงานที่ ร่วมทดสอบ การใช้ 5G กับ Use Case ต่าง ๆ มีโอกาสที่จะคุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมต่าง ๆ หลายด้าน โดยกรณีที่มีแนวโน้ม คุ้มค่า ได้แก่
  • พิจารณาเลือก Use Case ที่มีความสำคัญกับกระบวนการผลิต (Core Business) และมี Pain Point ที่ชัด ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ช่วยแก้ไขปัญหาของโรงงาน จะทำให้มีแนวโน้มจะคุ้มค่ามากกว่า
  • การมองเทคโนโลยี 5G ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารข้อมูลขององค์กร หรือ Network as a Service ที่ควรใช้ตอบโจทย์ Use Cases ได้หลายกรณี เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกรณีต่าง ๆ และเกิดการแชร์ต้นทุน ของโครงสร้างพื้นฐาน 5G ซึ่งข้อมูลที่รวบรวมผ่านเครือข่าย 5G ควรที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์ แก้ปัญหา และวางแผนในการทำงานของโรงงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • บริการ 5G สามารถค่อย ๆ ขยายความสามารถของบริการการสื่อสารไร้สายให้กับโรงงานได้ง่าย หรืออาจจะกล่าวได้ว่า Scalability ได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการใช้เครือข่าย Wi-Fi
อย่างไรก็ตาม คณะวิจัยพบว่ามีประโยชน์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน และการใช้ 5G ของโครงการที่ประเมินเป็นค่าทางตัวเงินไม่ ได้อีกหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการเพิ่มความสา มารถในการแข่งขันขององค์กรในระยะยาว (มองเห็นแนวทางในการปรับปรุงในอนาคต) การพัฒนาความสามารถของบุคลากรให้ปรับตัวเข้ากับหรือสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ การสร้างภาพลักษณ์องค์กร การเกิดโมเดลธุรกิจใหม่ และการปรับปรุงกระบวนการใหม่ โดยลดข้อจำกัดจากเทคโนโลยีเดิม ๆ
นอกจากนี้ในการประชุม ยังได้จัดให้มี Group Talk: 5G Use Cases ในประเทศไทย และประสบการณ์ ตรงจากผู้ร่วมทดสอบ เพื่อรับฟังข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปปรับปรุงผลการดำเนินงาน หรือปรับปรุงแนวทางการวิจัยในโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
โดย คณะวิจัย คุณประสงค์ เกรียงไกรกุล Section manager, Maintenance & Utility บริษัท ไดซิน จำกัด, คุณรณกฤษ วิบูลย์เวชวาณิชย์ (วิทยากร) วิศวกรบริหารแผนกพลังงานและดิจิทัลเทคโนโลยี บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด, คุณพลภัทร์ มาลาธรรม Incubation and Innovation Architecture Senior Manager, คุณวัชรนนท์ ลีวัฒนาพณิชย์ Logistics Analyst Supervisor บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินรายการโดย ดร. พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE)

นอกจากการสัมมนาที่เป็นการรายงานผลการศึกษา ทั้งเชิงเทคนิค และความคุ้มค่าในการลงทุน ในงานนี้ยังมีผู้แทนจากหน่วยงาน/โรงงานที่ให้การสนับสนุนพื้นที่เพื่อทดสอบ มาให้ข้อคิดเห็น ข้อสังเกตจากการทดลองที่น่าสนใจ รวมถึงมีการออกบูธนำเสนอผลงานของเนคเทค และหน่วยงานพันธมิตร ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำเทคโนโลยีทั้ง 5G และอื่น ๆ ไปประยุกต์ใช้กับภาคอุตสาหกรรมสมัยใหม่ (Smart Factory/Manufacturing) อีก 7 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น AIS, TRUE, NT, Ericsson, Saisun (เซี่ยซุน), IRCT (บริษัทสมาชิก SMC)

]]>
เนคเทค สวทช. ร่วมเปิดโลกเทคโนโลยีธุรกิจ 5G แห่งอนาคตในงาน Byond Mobile https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectec-byond-mobile.html Fri, 30 Sep 2022 05:25:22 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=29928

28 กันยายน 2565 ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ร่วมเปิดงาน ‘BYOND MOBILE’ (บิยอน โมบาย) 2022 ในฐานะผู้สนับสนุนการจัดงาน กล่าวว่า “เนคเทค สวทช. ได้ตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี 5G มาโดยตลอด และพร้อมที่จะสนับสนุนทุกงานวิจัยอันจะนำมาซึ่งการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อผลักดันและเสริมสร้างการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยให้ทัดเทียมกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงตั้งเครือข่ายความเร็วสูง และการทดสอบเสถียรภาพของเครือข่าย 5G ที่เกี่ยวข้องในการอำนวยความสะดวกในอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีการจัดตั้งเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EECi เป็นศูนย์กลาง เป็นนวัตกรรมแห่งใหม่บนพื้นที่ EEC ณ วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง โดยมีเป้าหมายสำคัญในการช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิม รวมทั้งสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลอดจนนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งภายในการพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ได้รับเกียรติจากคุณเนวินธุ์ ช่อชัยทิพฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาอีกด้วย

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช.

ในโอกาสนี้ ดร.กมล เขมะรังสี ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) นำเสนองานด้าน 5G Technology Demonstration and Transfer for Smart Factory/Manufacturing พร้อมดร.ละออ โควาวิสารัช และนายเกรียงไกร มณีรัตน์ จากทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ (LAI) นำผลงาน UNAI แพลตฟอร์มระบบระบุตำแหน่งภายในอาคารแบบเวลาจริง ด้วยสัญญาณบลูทูธพลังงานต่ำ และระบบระบุตำแหน่งภายในอาคาร ด้วยเทคโนโลยีบลูทูธพลังงานต่ำ AoA ร่วมจัดแสดงภายในงาน

งาน ‘BYOND MOBILE’ (บิยอน โมบาย) เป็นงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับธุรกิจ 5G เครือข่ายความเร็วสูง อันจะเป็นจุดนับพบที่สำคัญของผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศของอุตสาหกรรม 5G ต่อยอดสู่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่จะเชื่อมโยงผู้ให้บริการและสตาร์ทอัพได้มาพบปะเจรจาธุรกิจเพื่อการต่อยอดในอนาคต โดยงาน BYOND MOBILE 2022 มีกำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน 2565 ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. นับเป็นอีกงานที่ผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์รวมของธุรกิจ 5G แห่งอนาคต ตลอด 2 วันของการจัดงาน มีการนำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำสำหรับธุรกิจชีววิทยาศาสตร์ การแพทย์ด้วยระบบดิจิทัล เทคโนโลยีเพื่อการเกษตร เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ กระบวนการผลิตและวิทยาการหุ่นยนต์ สมาร์ทซิตี้ เมืองแห่งเทคโนโลยี และยานยนต์แห่งอนาคต ด้วยความร่วมมือจากบรรดาผู้ประกอบการและเจ้าของกิจการด้านเครือข่ายความเร็วสูง อินเตอร์เน็ต เครือข่ายการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ และระบบไอทีอัจฉริยะมากกว่า 50 แบรนด์ พร้อมด้วยตารางงานประชุมสัมมนาเชิงวิชาการที่อัดแน่นสำหรับผู้ที่สนใจ ร่วมรับฟังการแบ่งปันข่าวสารความรู้ แนวโน้มของธุรกิจ นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ การสาธิตผลิตภัณฑ์โดย CEO แบรนด์ชั้นนำมากกว่า 40 วิทยากรรับเชิญ ตลอดจนการแข่งขัน Start-up ของธุรกิจสายเทคโนโลยีซึ่งได้รับความสนใจอย่างคับคั่ง

]]>
เนคเทค สวทช. โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) โชว์ผลงานประยุกต์ใช้ 5G เพื่องานด้านอุตสาหกรรม ที่งาน Thailand 5G Summit 2022 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/smc-5gsummit2022.html Fri, 17 Jun 2022 07:08:01 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27371

16 มิถุนายน 2565 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) โดยศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) ร่วมกับ AIS นำผลงาน Co-bot เพื่อโชว์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ใน Industry 4.0 นำเสนอโดย คุณรพีพงศ์ โชครุ่งอิสรานุกูล และ คุณชำนาญ ปัญญาใส ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS) และโครงการทดลองและถ่ายทอดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G สำหรับ Smart Factory/Manufacturing โดย ดร.กมล เขมะรังสี จากกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG) ร่วมออกบูธ ในงาน Thailand 5G Summit 2022: “The Real 5G Leader of The Region” ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 16 – 17 มิถุนายน 2565 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 22 กรุงเทพฯ โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาและนิทรรศการในชื่อ Thailand 5G Summit 2022 ภายใต้แนวคิด The 5G Leader in the Region ที่จัดโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) รวมถึงเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด และ Global System for Mobile Communications Association (GSMA) APAC 5G Industry Community

เพื่อผลักดัน 5G สู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญของไทย และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ผ่านการแสดงศักยภาพและความพร้อมเชิงพาณิชย์ รวมถึงการสร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยี 5G เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศสู่ ASEAN Digital Hub พร้อมประกาศการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเทคโนโลยี 5G ในประเทศ คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากงานไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท อีกทั้งเปิดโอกาสให้ผู้สนใจรับความรู้และสัมผัสเทคโนโลยีโชว์เคสด้าน 5G 

สำหรับงาน Thailand 5G Summit 2022: “The 5G Leader in the Region” มีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดัน 5G สู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสำคัญของประเทศ โดยการส่งเสริมการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการลงทุนเพื่อการประยุกต์ใช้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Digital Hub) มุ่งเน้นการแสดงศักยภาพและความพร้อมในแต่ละภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการขับเคลื่อนเชิงพาณิชย์ (Use Case) รวมถึงการสร้างสังคมคุณภาพด้วยเทคโนโลยี 5G พร้อมส่งเสริมองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทุกภาคส่วนพร้อมใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาระบบนิเวศธุรกิจของกลุ่มเทคโนโลยี 5G ของไทย และผลักดันให้เกิดเครือข่ายพันธมิตรเทคโนโลยี 5G (Thailand 5G Alliance) เพื่อนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในอนาคต

ในโอกาสนี้พลเอก ประยุทธ์ ยังได้กล่าวบนเวทีปาฐกถาพิเศษหัวข้อ The 5G Leader in the Region ว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้ กระทรวงดิจิทัลฯ วางกรอบนโยบายการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ของประเทศ เพื่อบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่รองรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ บนโครงสร้างพื้นฐาน 5G ที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ให้ประชาชน และต่อยอดการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมดิจิทัลโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น อีกทั้งมุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานเช่นการจัดงานในครั้งนี้ที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนระดับโลกอย่าง หัวเว่ย เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ของไทยไปสู่การต่อยอดเชิงพาณิชย์อย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ พร้อมก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ

“Thailand 5G Summit 2022 จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการแสดงศักยภาพและความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่รองรับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ของไทย ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการพัฒนาศักยภาพของดิจิทัลสตาร์ทอัพและกำลังคนดิจิทัลของประเทศ รวมถึงการต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุน และประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G และโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมที่รองรับการใช้ประโยชน์จาก 5G ในภูมิภาคอย่างแท้จริง” พลเอก ประยุทธ์ กล่าว

 

 

]]>
เนคเทค สวทช. จับมือ AIS หารือความร่วมมือการพัฒนา 5G Testbed SMC https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/smc-ais-5g.html Thu, 30 Dec 2021 09:15:27 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=24041
29 ธันวาคม 2564 เนคเทค สวทช. ได้ให้การต้อนรับ คุณนวชัย เกียรติก่อเกื้อ Head of Enterprise Marketing and SME Business Management Section. AIS และคณะ ในโอกาสร่วมประชุมหาความร่วมมือด้านการพัฒนา ทดสอบ และ ติดตั้งระบบ 5G SMC ในพื้นที่ EECi โดยมี ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวต้อนรับและบรรยายสรุปภาพรวมการดำเนินงาน SMC Learning Center พร้อมด้วย ดร.กุลชาติ มีทรัพย์หลาก หัวหน้าทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ, ดร.กมล เขมะรังษี ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย, ดร.รวีภัทร์ ผุดผ่อง ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมืออุตสาหกรรมสมัยใหม่, ดร.พรพรหม อธีตนันท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี ทีมนักวิจัย CPS และ SMR ให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุม อภิปรายแนวทางการพัฒนาความร่วมมือร่วม (5G Activities, SMC EECi) โดย ดร.กมล เขมะรังษี ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย ได้นำเสนอ 5G R&D Activities in SMC อีกด้วย
 
อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน, ผู้คนกำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม
อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง และ สถานที่ในร่ม
อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน, ผู้คนกำลังนั่ง, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม
อาจเป็นรูปภาพของ 3 คน และ สถานที่ในร่ม
อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน และ ผู้คนกำลังนั่ง
ในโอกาสนี้ผู้บริหาร AIS และ คณะได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC Learning Center) โดยมีทีมนักวิจัย CPS ให้การต้อนรับ ดังนี้ โรงงานแห่งการเรียนรู้ดิจิทัลลีน โดย ดร.ธนกร ตันธนวัฒน์, ระบบชุดสาธิตการเชื่อมต่อและการทำงานเครื่องจักรด้วย IIoT โดย ดร.ธีรเชษฐ์ สูรพันธุ์, ระบบควบคุมอัตโนมัติและ IIoT ในงานอุตสาหกรรม โดย คุณรพีพงศ์ โชครุ่งอิสรานุกูล, และ ชุดทดสอบมอเตอร์และระบบส่งกำลัง โดย ดร.สุวัฒน์ โสภิตพันธ์
 
 
อาจเป็นรูปภาพของ 5 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม
อาจเป็นรูปภาพของ 6 คน, ผู้คนกำลังยืน และ สถานที่ในร่ม
 
 
 
 
 
 
 
 
]]>
เนคเทค จับมือไดซินและ ดีแทค ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ด้วยเทคโนโลยี 5G ต่อยอดเป็นต้นแบบดันไทยสู่ฮับซัพพลายเชนยานยนต์ในเอเชีย https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectec-disin-dtac-5g.html Wed, 22 Dec 2021 05:35:53 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=23954

“ไดซิน” บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ประเภทอลูมิเนียมขึ้นรูป มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นหลัก มีกำลังการผลิตติดหนึ่งในสิบของประเทศไทย คิดเป็นมูลค่ายอดขายราว 6 พันล้านบาทต่อปี โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจักรยานยนต์ 52% จากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ 36% นอกจากนี้อีก 8% เป็นรายได้จากการผลิตชิ้นส่วนให้กับภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น เครื่องยนต์การเกษตร และเครื่องยนต์อเนกประสงค์ เป็นต้น

ตลอดเวลายาวนานกว่า 42 ปี ที่ไดซินเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างๆ ที่สำคัญให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้นโยบายมาตรฐานคุณภาพระดับสากลเพื่อขับเคลื่อน และสร้างความมั่นคงให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย

ปัจจุบันไดซินมีความต้องการที่จะยกระดับความสามารถในการผลิตให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล จึงมุ่งเน้นไปสู่ระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ การสื่อสารระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นสำคัญ

นายธนินทร์ ลี้โกมลชัย ประธาน บริษัท ไดซิน จำกัด กล่าวว่า “จากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ทำมามากกว่า 42 ปี สู่การเผชิญหน้าวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติ ที่ต้องปรับตัวสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory)  โดยความร่วมมือกับเนคแทคและดีแทคเป็นก้าวแรกของเราที่นำ 5G มาแก้ปัญหา (Pain point) จากกระบวนการผลิตด้วย AGV (Automated Guided Vehicle)  รถลำเลียงชิ้นส่วนในกระบวนการผลิตเดิมซึ่งไม่สามารถควบคุมการผลิตในแม่นยำ โดยเฉพาะการติดตามตำแหน่งทำให้เกิดการสูญเสียเวลาในการผลิต ทำให้เกิดต้นทุนในการขนส่งชิ้นส่วนภายในโรงงานที่ไม่ทำให้เกิดประโยชน์ และอาจจะทำให้เกิดอันตรายจากการขนส่งที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย”

ในกระบวนการผลิตไดซินได้นำ AGV  หรือรถลำเลียงชิ้นส่วนซึ่งเป็นหัวใจหลักของกระบวนการผลิต ที่กำหนดเส้นทางการเคลื่อนที่และหยุดได้ด้วยแถบแม่เหล็กซึ่งมีผลต่อการผลิตได้ตามเป้าหมาย แต่ถ้าต้องการความแม่นยำและเพิ่มระบบติดตามแบบเรียลไทม์ รวมทั้งกำหนดเส้นทาง (mapping) อย่างแน่นอน AGV แบบเดิมไม่สามารถตอบโจทย์กระบวนการผลิตได้อีกต่อไป โดยเฉพาะยุคที่การแข่งขันสูงและต้องลดการสูญเสียเวลาซึ่งจะเป็นต้นทุนโดยเฉพาะการเร่งผลิตในวิกฤตโรคระบาด ที่ต้องนำแพลตฟอร์มดิจิทัลและ 5G มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ดังนั้น โซลูชัน 5G ที่สามารถรับส่งข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำจะมาตอบโจทย์การเป็นโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) เรื่องควบคุมอัตโนมัติและเซ็นเซอร์ ในรูปแบบ Internet of Things (IoT) ที่สามารถพัฒนาสู่ IoTอื่นๆ ร่วมกัน และสามารถนำดาต้าส่งเข้าระบบคลาวด์และจะนำมาวิเคราะห์ (Data Analytics) และรองรับ Big data เพื่อพัฒนาสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ สำหรับ AGV ของไดซินจะติดตั้งซิมดีแทคเพื่อส่งสัญญาณ 5G สู่แพลตฟอร์มในการใช้งานลำเลียงชิ้นส่วนเข้าสู่แต่ละกระบวนการผลิตอย่างแม่นยำ ไม่ต้องใช้คนมาเฝ้าระวังในการจอดเสีย หรือการสูญเสียเวลา

ระบบติดตามตำแหน่งที่ใช้ในความร่วมมือนี้ เป็นผลงานวิจัยของทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ (LAI) เนคเทค สวทช.ที่มีชื่อเรียกว่า แพลตฟอร์ม “อยู่ไหน” ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ เพื่อส่งข้อมูลตำแหน่งปัจจุบันและสถานะการทำงานของรถ AGV ผ่านเครือข่าย 5G ของทางดีแทคไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแพลตฟอร์ม ในรูปแบบ Internet of Things (IoT) ที่นำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของ AGV เชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลผ่าน 5G ทำให้ทีมงานไดซินสามารถใช้งาน AGV ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ดาต้ามากำหนดจำนวนรอบการวิ่งในกระบวนการผลิต การควบคุมเวลา ผ่านทางเครือข่าย 5G ของดีแทคได้

ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (เนคเทค สวทช.) กล่าวว่า “เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีเครือข่ายการสื่อสาร 5G ว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งที่มีศักยภาพในการผลักดันอุตสาหกรรมไทยให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น เราเล็งเห็นว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศมีความจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อก้าวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 มิเช่นนั้นจะไม่สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก ซึ่งต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ 5G, Internet of Things, Big Data, Artificial Intelligence มาใช้งาน  ในช่วงเริ่มต้น ผู้ประกอบการอาจยังไม่มั่นใจในการลงทุนใช้เทคโนโลยี ทางเนคเทค สวทช. จึงร่วมกับพันธมิตร เช่น ดีแทค สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อพิสูจน์ในภาคอุตสาหกรรมเห็นประโยชน์ และความคุ้มค่าของการลงทุนกับเทคโนโลยี และหวังว่าจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมไปยังโรงงานอื่นๆ ในอุตสาหกรรมที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน สำหรับงบประมาณในการดำเนินการทดลอง 5G Use Case สำหรับโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) นี้ เนคเทค สวทช. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)”

นายกฤษณ์ ประพัทธศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “จากข้อมูลโดยวิจัยกรุงศรีในปี 2564-2565 คาดว่าการผลิตยานยนต์ในประเทศจะฟื้นตัวโดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-4% ต่อปี ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์โลก การร่วมมือกับไดซิน และเนคเทค สวทช. ในครั้งนี้ เป็นการที่ดีแทค บิสิเนสนำเทคโนโลยี 5G ต่อยอดจากการใช้ระบบเครื่องจักรการผลิตที่มีอยู่เดิมด้วยการนำเครือข่าย การใช้ดาต้าเรียลไทม์ และพัฒนาไปสู่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ พร้อมเทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาช่วยในการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลในการวิเคราะห์ นำไปสู่นวัตกรรม การพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดย 5G Use case ที่ดีแทคได้มีโอกาสร่วมงานกับไดซินและเนคเทค สวทช. นี้ จะถูกพัฒนาเป็นโรงงานต้นแบบโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) เพื่อช่วยโรงงานอื่นๆ ในไทยได้พัฒนาต่อยอดต่อไป”

]]>
เนคเทคร่วม “5G อีโคซิสเต็ม” นำ 5G ปั้นโรงงานอัจฉริยะนำร่องที่ SMC https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/5g-ecosystem-smc.html Wed, 22 Sep 2021 10:18:29 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=22783

“5G ไม่ได้มีความสำคัญเพียงเพราะศักยภาพในการรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์มหาศาลความเร็วสูง แต่ยังเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนและธุรกิจทั่วโลก” ดร.พนิตา พงษ์ไพบูลย์ รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวในงานแถลงข่าว BYOND MOBILE ในวันที่ 22 กันยายน 64 ในรูปแบบออนไลน์

โดยมี ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลกล่าวเปิดงานพร้อมด้วย นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ที่ได้กล่าวถึงบทบาทของภาครัฐในการพัฒนา 5G ในประเทศไทย และ คุณธวัชชัย เลิศสำราญ รองผู้อำนวยการธุรกิจมือถือและนวัตกรรมบริการ 5G บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

ดร.พนิตา ได้เล่าถึง ความสำคัญของ 5G ในภาคการผลิต และบทบาทของเนคเทค สวทช.ในการนำ 5G นำร่องสร้างโรงงานอัจฉริยะ ณ SMC “ในภาคการผลิต 5G เป็นองค์ประกอบการเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับการสร้างโรงงานอัจฉริยะ และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีความจริงเสมือน การวิเคราะห์ข้อมูล และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง

เนคเทค สวทช. ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ผ่านการวิจัยและพัฒนา สนับสนุนเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ อีกทั้งยังเชื่อมโยงงานวิจัยไปสู่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ร่วมกับสิทธิประโยชน์และนโยบายที่จะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและ 5G ในประเทศไทย

ปีที่ผ่านมา ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC ภายใต้เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นตามมติ ครม. โดยมุ่งเน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมไทยทั้งขนาดใหญ่และ SME ในการก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ผ่านการใช้ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และระบบอัจฉริยะ 

พร้อมด้วยบริการตอบโจทย์ ตั้งแต่การประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรม 4.0 การให้คำปรึกษาทางธุรกิจและเทคโนโลยี  การพัฒนากำลังคนด้านการผลิตขั้นสูง บริการทดสอบเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี (Testbed) สำหรับการวิจัยและพัฒนา

ขณะนี้ SMC ดำเนินโครงการนำร่องโรงงานอัจฉริยะ 5G ร่วมกับโรงงานต่าง ๆ ในประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และผู้ให้บริการ 5G รายใหญ่ เพื่อเปิดประสบการณ์การใช้เทคโนโลยี 5G ในอุตสาหกรรมไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรม 4.0 พร้อมวิเคราะห์ความคุ้มค่าต่อการลงทุนใช้งาน 5G ในอุตสาหกรรมอีกด้วย”

“เนคเทค สวทช. ตระหนักถึงความสำคัญของ 5G และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” ดร.พนิตา กล่าวทิ้งท้าย

ในช่วงท้ายของการแถลงข่าวมีเสวนาพิเศษในหัวข้อ “ความสำคัญของ 5G ที่เป็นมากกว่าความเร็วอินเทอร์เน็ต 5G ทางเลือกใหม่ในการอำนวยความสะดวกให้กับผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ ในอุตสาหกรรม” โดยกล่าวถึงโซลูชั่น 5G ที่ครบวงจร (end-to-end) ศักยภาพของ 5G ที่เป็นแรงผลักดันให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เมืองอัจฉริยะ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของการสร้างระบบนิเวศ 5G ในประเทศไทยเพื่อความยั่งยืน โดย สมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT), อมตะ คอร์ปอเรชั่น, HUAWEI Asia Pacific, Rohde & Schwarz ดำเนินรายการโดย Mr.Heiko M. Stutzinger กรรมการผู้จัดการจากวีเอ็นยูฯ 

ชวนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอุตสาหกรรม 4.0 และการผลิตที่อัจฉริยะยิ่งขึ้นด้วยการเชื่อมต่อไร้สาย 5G ในสัมมนาออนไลน์ 𝗕𝗬𝗢𝗡𝗗 𝗠𝗢𝗕𝗜𝗟𝗘 𝗪𝗲𝗯𝗶𝗻𝗮𝗿 #𝟮: “𝟱𝗚 𝗶𝗻 𝗠𝗮𝗻𝘂𝗳𝗮𝗰𝘁𝘂𝗿𝗶𝗻𝗴 | 𝗧𝗵𝗲 𝗔𝘂𝘁𝗼𝗺𝗮𝘁𝗶𝗼𝗻 𝗕𝗼𝗼𝘀𝘁𝗲𝗿” 
ในวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เวลา 16.00 – 17.15 น 

ลงทะเบียนได้ฟรีแล้ววันนี้ คลิก

]]>
ประเทศไทยก้าวไกล ต้องใช้ 5G หรือไม่? https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/5gthailand.html Tue, 10 Nov 2020 07:44:35 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=4470

บทความ | ดร.กมล เขมะรังสี , ดร.กลิกา สุขสมบูรณ์ , ดร.ทิวัตถ์ พงศ์ถาวรกมล
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
ภาพปกและเรียบเรียง | ศศิวิภา หาสุข

ในช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีกระแสของเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายยุคที่ 5 หรือที่รู้จักกันในนามของเทคโนโลยี 5G เข้ามาประชาสัมพันธ์ให้สาธารณะชนทราบในสื่อสาธารณะต่าง ๆ สร้างความตื่นตัวทั้งในหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเป็นจำนวนมากที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยี 5G ขับเคลื่อน และในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการจัดการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ครั้งล่าสุดในย่าน 700 MHz, 2600 MHz และ 26 GHz โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ผลจากการประมูลดังกล่าว ทำให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมของไทยสามารถเริ่มให้บริการ 5G เชิงพาณิชย์ได้แล้ว ซึ่งสร้างความคาดหวังที่จะก่อให้เกิดการแข่งขันในภาคธุรกิจโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องขึ้นในประเทศไทย

5G เป็นมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายใหม่ที่ถูกกำหนดขึ้นตามหลังมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 1G, 2G, 3G และ 4G ตามลำดับ  โดยเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 5G ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถรองรับการส่งข้อมูลที่รวดเร็วในระดับหลายกิกะบิตต่อวินาที (Gbps), รองรับความหน่วงต่ำอย่างมาก (Ultra low latency), ความสามารถในการรองรับการใช้งานแบนด์วิดท์ขนาดใหญ่เป็นจำนวนมหาศาล และการเชื่อมต่อการสื่อสารแบบไร้สายที่มีความน่าเชื่อถือสูง (Reliability) เป็นต้น โดยมาตรฐานเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาย 5G ได้ถูกออกแบบตามการคาดการณ์ที่จะมีกรณีการใช้งาน (Use cases) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ [1]

  1. ความต้องการส่งข้อมูลปริมาณมากและความเร็วสูง (enhanced Mobile Broadband : eMBB)  : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ Smart Stadium [2] ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่จะถึงนี้ ณ กรุงโตเกียวที่ผู้ชมใน Stadium สามารถเลือกชมภาพการแข่งขันในระดับคุณภาพ 8K video ในมุมมองที่ตนเองอยากเห็นได้อย่างอิสระด้วยเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ซึ่งสร้างประสบการณ์การชมการแข่งขันใหม่  เป็นต้น
  2. ความต้องการสื่อสารที่ความหน่วงที่ต่ำ (ultra-Reliable and Low Latency Communications: uRLLC) : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ แอปพลิเคชั่นของรถยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous vehicle, การผ่าตัดทางไกล (Remote medical surgery), และระบบควบคุมไร้สายในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นที่ต้องการความหน่วงในการรับส่งข้อมูลน้อยกว่า 1 ms
  3. ความต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT หรือ อินเทอร์เน็ตสรรพสิ่งจำนวนมหาศาล (massive Machine Type Communications/massive Internet of Things: mMTC) : ตัวอย่างการใช้งานกรณีนี้ ได้แก่ การเชื่อมต่อสรรพสิ่งด้วยอินเทอร์เน็ตจำนวน 1 ล้านอุปกรณ์ภายในพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร เช่น ใน Smart City และ Smart Farm เป็นต้น ที่มีความต้องการเชื่อมต่อของสรรพสิ่งพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมหาศาล โดยที่มีอัตราการส่งข้อมูลไม่ว่าต่ำหรือสูง แต่สามารถทนต่อความหน่วงที่สูงได้ และต้องการใช้พลังงานน้อย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี 5G ได้ถูกกำหนดให้ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการใช้งานใหม่ๆ ที่หลากหลาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าการใช้งานทั้ง 3 กรณีด้วยเทคโนโลยี 5G จะต้องทำได้ภายใต้เทคนิคหรือคลื่นความถี่เดียวกัน

ด้วยวิธีการทางเทคนิคเพื่อให้เกิดจุดเด่นในแต่ละกรณีการใช้งานนั้น เทคโนโลยี 5G จะต้องใช้คลื่นความถี่เพื่อรองรับการให้บริการในแต่ละกรณีที่แตกต่างกัน นั่นคือ ในการใช้งานแบบ eMBB ควรเลือกใช้งานในย่านความถี่สูง เช่น 26 GHz (หรือ mmWave) ซึ่งจะมีแบนด์วิทด์ที่กว้างและเหมาะสำหรับการส่งข้อมูลปริมาณมากและความเร็วสูง แต่ข้อจำกัดของคลื่นในย่านนี้ คือ ไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่กว้าง ได้ หรือที่เรียกว่า coverage ของ cell site 5G แคบ อีกทั้งระยะทางสื่อสารระหว่างสถานีฐานกับเครื่องลูกข่ายถูกจำกัดที่ระยะแค่ 200 เมตรเท่านั้น ดังนั้นคลื่นที่ 26 GHz จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะของ Hot Spot หรือในแบบ Pico-cell หรือบางทีจะเรียกว่า Fixed Wireless Broadband Access (FWBA) นั่นเอง

ในขณะที่คลื่นในย่านนี้ไม่เหมาะกับการนำไปใช้ในกรณีการใช้งานแบบ uRLLC ที่ต้องการความหน่วงที่ต่ำและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ดังนั้น สำหรับการใช้งานควรเป็นการใช้คลื่นความถี่ย่าน 26 GHz, 2600 MHz และ 700 MHz ควบคู่กัน เนื่องจากคลื่นในช่วงความถี่ต่ำ (เช่น 700 MHz, 800 MHz และ 900 MHz) สามารถครอบคลุมการให้บริการในบริเวณกว้างซึ่งช่วยลดจำนวนครั้งในการเคลื่อนที่ข้าม Cell site (Hand-over)  ในขณะที่คลื่นความถี่กลาง (2600 MHz) ให้ความหน่วงต่ำกว่าช่วงความถี่ต่ำ (700 MHz) และ ช่วงความถี่ย่าน 26 GHz มีแบนด์วิทด์ที่กว้างเหมาะสำหรับส่งข้อมูลในปริมาณมาก

สำหรับบริการในกลุ่ม massive Machine Type Communication (mMTC) หรือ massive Internet of Things นั้น เหมาะสำหรับการใช้งานในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (700 MHz) เนื่องจากปริมาณการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์เซนเซอร์มีขนาดเล็ก และทนต่อความหน่วงสูงได้ ซึ่งด้วยคุณสมบัติของคลื่นความถี่ต่ำสามารถทะลุทะลวงเข้าไปในอาคารหรือโรงงานได้ดีกว่าคลื่นความถี่กลางและสูง จึงทำให้การเลือกใช้คลื่นความถี่ต่ำเหมาะสมกับกรณีการใช้งานนี้

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ mMTC นั้น เริ่มตั้งแต่ในเทคโนโลยียุค 4G แล้ว โดยทางผู้กำหนดมาตรฐานสำหรับระบบเซลลูล่าร์ หรือ 3GPP ได้กำหนดไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ NB-IoT และ LTE-M ความแตกต่างระหว่าง NB-IoT และ LTE-M คือ NB-IoT จะเน้นที่การประหยัดพลังงานมากกว่าและส่งข้อมูลน้อยกว่า ในขณะที่อุปกรณ์ LTE-M จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้มากกว่า โดยทั้งสองอย่างยังคงเป็นมาตรฐานสำหรับใช้ต่อไปในยุค 5G และถูกเรียกว่าเป็นการใช้งานในแบบ 5G Low Power Wide Area (LPWA) use cases ซึ่งการใช้งานในเรื่องของเครือข่ายเซนเซอร์ไม่ว่าจะเป็น เกษตรอัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ โลจิสติกอัจฉริยะ สุขภาพอัจฉริยะ โรงงานอัจฉริยะ และเรื่องของระบบไฟฟ้าหรือพลังงานอัจฉริยะ ที่เป็นจุดเด่นของ IoT นั้นสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอเครือข่าย 5G ให้ติดตั้งสมบูรณ์ทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ให้บริการเครือข่ายเซลลูล่าร์ของประเทศไทยนั้นได้ติดตั้งและอัพเกรดเครือข่ายเป็น 4G หรือ ที่เรียกว่า 4G-LTE มาได้สักระยะแล้ว สิ่งที่เป็นความอัจฉริยะที่สื่อสารผ่านเครือข่าย IoT และระบบเซลลูล่าร์นั้นสามารถใช้งานได้นานแล้วโดยไม่ต้องรอ 5G แต่อย่างใด

อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน 5G นั้นในฝั่งอุปกรณ์ของเครือข่ายนั้น การให้บริการ 5G จะมีการปรับเปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปเหมือนที่ผู้ใช้งานได้มีโอกาสใช้ระบบเซลลูล่าร์ตั้งแต่ 2G หรือ GSM เป็น 3G มาเป็น 4G-LTE ที่ผู้ใช้งานค่อย ๆ ได้รับการอัพเกรดหรือผลักให้เปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจากรุ่นเก่า ๆ ที่เป็น Feature phone จนมาเป็น Smart phone รุ่นใหม่ล่าสุดในแง่ของผู้ใช้ถ้าต้องการใช้ 5G จะต้องซื้อมือถือรุ่นใหม่ที่รองรับระบบ 5G ในราคาหลักหมื่นบาท ซึ่งหากมองในมุมผู้ให้บริการจำนวนผู้ที่สนใจอัพเกรดเป็นมือถือรุ่น 5G อาจจะไม่ค่อยมีมากนัก แม้ในกลุ่มของผู้ให้บริการโครงข่ายเซลลูล่าร์บางรายเองอาจจะไม่ได้ลงทุนปรับสถานีฐานเป็น 5G ทั้งประเทศแต่ก็จะมีลักษณะของการปรับสถานีฐานเป็น 5G เฉพาะในตัวเมืองหรือในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีความต้องการใช้สูงเป็นหลักเท่านั้น  นั่นคือเราจะยังได้ใช้เครือข่ายผสม 3G-4G-5G ไปอีกระยะหนึ่งอย่างแน่นอน ในด้านความคุ้มทุนของผู้ให้บริการนั้นเค้าย่อมจะต้องใช้งานระบบที่ลงทุนไปแล้วให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่จะปลดระวางอุปกรณ์ไป ในด้านมาตรฐานระบบ 5G นั้นเรียกได้ว่าจริง ๆ แล้วค่อย ๆ ปรับกันมาอย่างต่อเนื่อง  

มาตรฐาน 5G NR (New Radio) Release 16 Specification ที่เป็นมาตรฐานการส่งสัญญาณวิทยุที่แท้จริง ก็เพิ่งจะสรุปได้กลางปี 2563 (3 กรกฏาคม 2563) ตามที่เป็นข่าว [3] ซึ่งจะเห็นได้ว่าในส่วนของมาตรฐานสากลที่เป็น 5G ที่แท้จริงนั้นก็ค่อนข้างใหม่มากและการทำ large scale commercialization ก็เริ่มกันกลางปี 2563 นี่เอง ในส่วนของเครือข่ายนั้นโดยส่วนใหญ่ 5G จะเป็นการติดตั้งแบบ Non-stand Alone หรือ NA ซึ่งการให้บริการ 5G แบบนี้จะต้องใช้ 4G-LTE มาให้บริการร่วมด้วย ซึ่งการให้บริการ 5G แบบแท้จริงหรือ แบบที่เรียกว่า SA หรือ Stand Alone ก็ยังมีผู้ผลิตอุปกรณ์เพียงไม่กี่รายในตลาด

สำหรับการนำ 5G ไปใช้งานนอกเหนือจากใช้ Smart Phone 5G นั้น ปัจจุบันสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการนำ 5G CPE (Customer Premise Equipment) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับสัญญาณ 5G Radio มากระจายต่อให้อุปกรณ์ปลายทางในรูปแบบของสัญญาณ Wi-Fi หรือ Wi-Fi 6 ที่เป็นมาตรฐาน Wireless Local Area Network (WLAN) ล่าสุด นั่นคือเป็นการใช้งาน 5G ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือโดยตรง

อุปกรณ์ลูกข่ายที่ต่อกับเครือข่าย 5G โดยตรงในปัจจุบันยังมีจำนวนจำกัด ตัวอย่างเช่น โรงงานหนึ่งอาจจะต้องการใช้แขนหุ่นยนต์ ที่ควบคุมผ่าน 5G ในปัจจุบันปี 2563 นั้นน่าจะยังไม่ค่อยมีให้ใช้งาน ซึ่งเราจะพบว่าการใช้งานประเภท Virtual Reality/Augment Reality (VR/AR), Ultra High definition VDO streaming, Industrial Automation นั้นหากต้องการใช้งานในปัจจุบันส่วนใหญ่จะต่อผ่านเครือข่าย Wi-Fi เป็นหลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ 5G ก็ได้ สิ่งที่ 5G ช่วยได้คือการเป็นท่อส่งข้อมูลปริมาณมากแบบไร้สายนั่นเอง หากเรามีเครือข่ายอื่นที่มีความเร็วสูงอยู่แล้ว 5G อาจจะไม่จำเป็น เช่นถ้าในอาคารเรามีเครือข่าย Ethernet แบบ Gigabit Ethernet หรือ Fiber optics อยู่แล้ว เครือข่ายแบบมีสายเหล่านี้จะดีกว่าในการส่งข้อมูลปริมาณมาก ความผิดพลาดต่ำ และมีความหน่วงต่ำ สามารถให้บริการ Use cases เหล่านี้ได้อยู่แล้ว

สำหรับการใช้งาน 5G ในกลุ่ม uRLLC นั้นจุดเด่นคือการให้บริการแบบไร้สายสำหรับ Application ที่ต้องการ uRLLC  ตัวอย่างที่นิยมหยิบยกขึ้นมา คือ การใช้งานรถอัตโนมัติ Autonomous vehicle เป็น Use case ที่ต้องการ uRLLC แต่ปัจจุบันในประเทศไทย สิ่งที่ผู้ให้บริการเซลลูล่าร์ในประเทศโปรโมทการใช้งานการควบคุมรถจากระยะไกลเป็นไปในลักษณะของ Remote Control รถผ่าน 5G เป็นส่วนใหญ่ และยังไม่มีการใช้งานรถอัตโนมัติที่แท้จริงผ่าน 5G ในประเทศไทย ซึ่งการที่ประเทศไทยจะเห็น Autonomous vehicle ควบคุมผ่าน 5G ได้ทั่วประเทศนั้นอาจจะต้องมีเครือข่าย 5G ครอบคลุมเส้นทางที่รถอัตโนมัติจะวิ่งหรือให้มีทั่วประเทศให้ได้ก่อน เพื่อให้รถอัตโนมัติวิ่งได้ผ่านการควบคุม 5G ได้อย่างแท้จริง  อีกประเด็นคือรถอัตโนมัติส่วนใหญ่จะต้องมีการประมวลผลบนตัวรถเป็นหลักโดยหน่วยประมวลผลความเร็วสูง อาทิเช่น NVDIA Drive AGX [4] ถ้าหากต้องการส่งค่า Sensor ทั้งหมดของรถขึ้นไปบนเครือข่ายคลาวด์เพื่อประมวลผลเพื่อควบคุมรถอัตโนมัติผ่านเครือข่ายคลาวด์นั้นต้องใช้แบนด์วิดท์ปริมาณมาก และจะมีข้อมูลที่ต้องวิ่งผ่าน Core Network ในปริมาณมหาศาล ซึ่งมีการคาดการณ์ในการทดสอบเบื้องต้นจากบริษัท Intel พบว่าข้อมูล Sensor จากรถอัตโนมัติมีขนาด 4 Terabytes ต่อวัน [5]  ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติด้วยเทคโนโลยี 4G และ 5G ที่มีอยู่ในปัจจุบัน  แต่หน้าที่หลักของ 5G น่าจะเป็นท่อส่งข้อมูลปริมาณมากความหน่วงต่ำเป็นหลัก ซึ่งถ้าต้องการส่งข้อมูลปริมาณมากต้องใช้คลื่น 26 GHz ที่สถานีฐานมีรัศมีแคบ จะต้องลงทุนติดตั้งสถานีฐานจำนวนมากเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการเคลื่อนที่ของรถอัตโนมัติ ทำให้จำเป็นจะต้องมีการลงทุนสูงอย่างมากเพื่อให้ได้เส้นทางที่รถอัตโนมัติจะวิ่งได้เป็นระยะทางไกล ๆ  อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ปัจจุบันรถยนต์ที่มีในท้องตลาด เช่น Tesla ที่สามารถทำงานในโหมด autopilot (semi-autonomous) และ full self-driving capability (ซึ่ง Tesla ไม่ได้เรียกว่าเป็น autonomous) ซึ่งในปัจจุบันยังคงทำงานภายใต้มาตรฐาน 4G-LTE [6] และสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ 5G แต่อย่างใด

สำหรับประเด็น Smart Health ในกลุ่ม Tele-medicine ที่เป็นอีก Use case ของ 5G ในการโปรโมทการใช้งาน 5G นั้นน่าจะอยู่ในเรื่องของการให้แพทย์สามารถใช้เครือข่ายสื่อสารในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางมาโรงพยาบาลได้หรือสามารถให้คำปรึกษาจากระยะไกล ซึ่งถ้าในการใช้งานลักษณะนี้สามารถทำได้เลยในปัจจุบันไม่ต้องรอเครือข่าย 5G สิ่งที่ 5G ทำได้ดีกว่าเครือข่ายปัจจุบันก็คือการช่วยส่งข้อมูลทางการแพทย์ให้เร็วขึ้น หรือในกรณีการทำการผ่าตัดจากระยะไกล ซึ่งน่าจะเป็นจุดเด่นของอุปกรณ์ 5G ที่ตอบสนองความหน่วงต่ำ แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างการผ่าตัดที่หากเครือข่าย 5G เกิดมีการล่มระหว่างการผ่าตัด จะมีวิธีการอย่างไร ซึ่งการรักษาชีวิตคนอาจจะต้องการให้ลดความเสี่ยงด้านนี้ลงให้ได้มากที่สุด ยกเว้นเสียแต่ว่าคนไข้ไม่สามารถเดินทางมาให้รักษาได้จริงๆ  หรือในกรณีที่ให้ระบบ Artificial Intelligent (AI) ช่วยในการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์เพื่อตรวจจับความผิดปกติเช่นก้อนเนื้อมะเร็ง ในกรณีของ 5G นั้นสิ่งที่ช่วยคือการส่งข้อมูลภาพถ่ายคุณภาพสูง แต่ตัว AI ที่แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ในเครือข่าย 5G แต่อย่างไร แต่อยู่ที่ระบบคอมพิวเตอร์เบื้องหลังหรือในระบบประมวลผลคลาวด์ที่มีความสามารถของ AI มากกว่า ซึ่งถ้าเราสามารถพัฒนา AI เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคได้ในปัจจุบัน ซึ่งกรณีการใช้งานในลักษณะนี้ระบบเครือข่าย 4G-LTE ก็สามารถตอบโจทย์การใช้ AI ในด้านการแพทย์ได้เลย  

ในมุมมองจากผู้ให้บริการเครือข่ายเซลลูล่าร์ นอกจากการช่วงชิงความได้เปรียบของการเป็นผู้นำเทคโนโลยี 5G แล้ว จริง ๆ แล้วแต่ละรายในปัจจุบันยังคงพยายามหา Use cases ที่จะสร้างรายได้ที่แท้จริงให้กับบริษัท เท่าที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็น Use cases เล็ก ๆ ที่แสดงศักยภาพแต่การที่จะได้ Business cases ที่สร้างรายได้ที่แท้จริงเป็นกอบเป็นกำให้กับผู้ให้บริการนั้น ไม่ว่าจะเป็น Telemedicine, Smart City หรือ Smart Factory ต่างก็ยังอยู่ในระหว่างการหาจุดคุ้มทุนด้วยกันทั้งนั้น

ในมุมมองของรัฐบาลนั้นการส่งเสริมให้มีการใช้งาน 5G เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่าในสถานการณ์ปัจจุบันระบบสื่อสารแบบเซลลูล่าร์เป็นเสมือนทางด่วนที่รัฐให้สัมปทานคลื่นความถี่ไปแล้ว เอกชนมีหน้าที่ให้บริการและเอกชนย่อมต้องทำกำไร การกระตุ้นโดยภาครัฐนั้นสามารถทำได้ แต่การลงทุนติดตั้ง 5G เองโดยรัฐนั้นเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า เพราะประเทศไทยไม่ได้ผลิตอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ 5G หรือระบบเซลลูล่าร์เอง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกลไกการตลาดที่ต้องมีความต้องการใช้งาน หรือ Demand เมื่อมี Demand ผู้ให้บริการจึงลงทุนในโครงข่ายหรือสร้าง Supply และผู้ให้บริการย่อมต้องดูว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าและมีรายได้แท้จริงหรือไม่  รัฐบาลสามารถกระตุ้นหรือสนับสนุนให้เอกชนหรือหน่วยงานภาครัฐในทุกภาคส่วนให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data, Telemedicine หรือ IoT ที่สามารถทำได้เลยตั้งแต่วันนี้โดยให้เครือข่าย 5G เป็นถนนกว้าง ๆ ที่ทยอยสร้างโดยเอกชน เมื่อความต้องการข้อมูลสูงขึ้นในอนาคตก็จะไม่เกิดปัญหาจราจรติดขัดแต่อย่างไร ในขณะเดียวกันรัฐสามารถช่วยส่งเสริมในเรื่องของการตระหนักรู้ในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมคุ้มค่าต่อการลงทุน และมีการตรวจสอบหรือเฝ้าระวังในด้านความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านสารสนเทศรวมทั้งระบบโทรคมนาคมให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการใช้งานและลดความเสี่ยงในการถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดี  

โดยสรุปในมุมมองของประเทศไทย การเปิดเสรีทางด้านโทรคมนาคมได้สร้างให้เกิดการแข่งขันทางการค้าและบริการเป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ประเทศไทยมีการประกาศ Lock-down การเดินทางมีการจำกัดอย่างมาก ยอดการใช้งานระบบเครือข่ายเช่นเครือข่าย Internet หรือระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประเทศมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น แต่โครงข่ายการให้บริการของประเทศที่ให้บริการโดยเอกชนของประเทศไทยก็ยังคงสามารถรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไม่มีปัญหา การประชุมผ่าน VDO conference ได้กลายมาเป็นฐานวิถีชีวิตใหม่ หรือ new-normal ที่เราสามารถใช้งานได้อย่างไหลลื่น โดยยังไม่ได้ต้องรอ 5G แต่อย่างไร และจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รายงานในบทความนี้ จะเห็นได้ว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ทันที ไม่ต้องรอการมาหรือการติดตั้งของเครือข่าย 5G แต่อย่างไร สิ่งที่เครือข่าย 5G จะเพิ่มให้อาจจะไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่มา disrupt ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสามารถทำได้ตอนนี้ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างไร สิ่งที่ต้องทำก็คือนำเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้งานเสียตั้งแต่วันนี้หรือพัฒนาทันทีโดยไม่ต้องรอ 5G ไม่ว่าจะเป็น IoT หรือ AI หรือ Big data หรืออื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทำงานได้แล้ว ทั้งในเครือข่ายเซลลูล่าร์ 3G-4G และ 5G ที่กำลังจะมา แล้วในอีกไม่กี่ปี เครือข่ายเซลลูล่าร์ 6G ก็จะมาเช่นเดียวกัน ซึ่งหวังว่าในตอนนั้นประเทศไทยจะได้พัฒนาเทคโนโลยีอื่น ๆ ขึ้นแล้วและสามารถใช้งานสอดประสานกับเครือข่ายเซลลูล่าร์ยุคต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ภาคส่วนของประเทศไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐ

เอกสารอ้างอิง

[1] M. Shafi, et. at., “5G: A Tutorial Overview of Standards, Trials, Challenges, Deployment, and Practice”, IEEE JOURNAL ON SELECTED AREAS IN COMMUNICATIONS, VOL. 35, NO. 6, JUNE 2017 1201.

[2] James Bourne, “THE STADIUM OF TOMORROW”, [online access: 7 September 2020] https://www.5gexpo.net/2019/11/5g/the-stadium-of-tomorrow/

[3] Huawei, “Huawei Works Together with Industry Partners to Finalizaed 3GPP Release 16 NR Specification”. [Online Access: 8 September 2020] https://www.huawei.com/en/news/2020/7/3gpp-r16-nr-specifications-2020

[4] NVDIA Drive AGX [online access: 31 August 2020] URL: https://www.nvidia.com/en-us/self-driving-cars/drive-platform/hardware/

[5] R. Miller, “Autonomous Cars Could Drive a Deluge of Data Center Demand”. [online access: 28 August 2020] URL. https://datacenterfrontier.com/autonomous-cars-could-drive-a-deluge-of-data-center-demand/.

[6] Telsa [online access: 28 August 2020] URL: https://forums.tesla.com/.

]]>