innovation-software – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 20 Aug 2025 06:41:55 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png innovation-software – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 AtTime ระบบลงเวลาด้วยการยืนยันตัวตนครบวงจร https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/time-attendance.html Mon, 14 Jul 2025 07:50:54 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=40567

Time Attendance System with Comprehensive Authentication หรือ AtTime

หลายองค์กรอาจเคยเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการลงเวลาเข้า-ออกงานของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นการต่อคิวนาน อุปกรณ์ชำรุดจนไม่สามารถลงเวลาได้ ปัญหาการลงเวลาแทนกัน รวมถึงการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกันซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ทำให้ ‘ทุกครั้งที่ลงเวลาเป็นเรื่องง่าย’ ด้วยระบบลงเวลาโดยใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication) ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยอ้างอิงหลักการยืนยันตัวตนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลผ่าน 3 ปัจจัย ได้แก่ สิ่งที่คุณรู้ (Something you know), สิ่งที่คุณมี (Something you have), สิ่งที่คุณเป็น (Something you are) โดยการผสมผสานทั้ง 3 ปัจจัยนี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการยืนยันตัวตนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งงานวิจัยนี้จึงได้เพิ่ม ‘ปัจจัยที่สี่’ ตำแหน่งที่คุณอยู่ (Somewhere you are) เข้าไปเพื่อเสริมความปลอดภัยและยกระดับความมั่นคงปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น หรือเรียกว่าระบบ AtTime

ระบบ AtTime เป็นระบบลงเวลาทำงานที่ใช้สถาปัตยกรรมการยืนยันตัวตนด้วยปัจจัยที่หลากหลาย อันได้แก่ ภาพใบหน้า รหัสผ่าน โทรศัพท์มือถือ และสถานที่ของผู้ใช้งาน ซึ่งได้ออกแบบระบบในลักษณะ API Services เพื่อรองรับการเชื่อมต่อจากผู้ใช้งานในหลากหลายช่องทาง ทั้งผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ KIOSK โดยได้ใช้เทคนิคการยืนยันตัวตนในแนวคิด Security for use เช่น ผู้ใช้งาน 1 คน จะสามารถใช้งานกับอุปกรณ์สมาร์ตโฟนได้เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งจะต้องเป็นเครื่องที่ได้ผ่านการลงทะเบียนจากผู้ใช้งานที่เป็นเจ้าของเครื่องเท่านั้น เพื่อป้องกันบุคคลอื่นใช้เครื่องอื่นไปใช้ลงเวลาแทนกัน นอกจากนี้ยังออกแบบให้ใช้ชื่อบัญชีและรหัสผ่านชุดเดียวกันกับของหน่วยงานในลักษณะ Single account ในการยืนยันตัวตน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการบริหารจัดการบัญชีผู้ใช้งาน

นอกจากนี้เพื่อเพิ่มความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จึงได้มีการออกแบบระบบให้ป้องกันการแกะรอยในการรับ-ส่งข้อมูล (Data Transmission Security) โดยใช้การเข้ารหัสข้อมูลด้วยวิธี Hybrid Encryption พร้อมทั้งเพิ่มเทคนิค วิธีการเข้ารหัสในรูปแบบ Proprietary Encryption และใช้การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายในลักษณะของ Perfect Forward Secrecy เพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะ Replay Attack และยังคำนึงถึงการออกแบบและพัฒนาหน้าจอสำหรับการตรวจจับใบหน้า (Face Detection) ที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้รองรับอุปกรณ์เคลื่อนที่โดยเฉพาะที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android, iOS ที่มีหลากหลายในท้องตลาด

เทคโนโลยีในการพัฒนา

  • ใช้เทคนิคการพิสูจน์ตัวตนแบบ 4 ปัจจัยที่ต่างกัน ประกอบด้วย Something you know (ต้องรู้รหัสผ่าน), Something you have (ต้องมีและใช้มือถือของผู้ใช้เท่านั้น) Something you are (ต้องใช้ใบหน้า) Somewhere you are (ต้องอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด) การยืนยันตัวตนดำเนินการผ่านชื่อบัญชีและรหัสผ่านของหน่วยงานในรูปแบบ Single Account ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบเดิมของสำนักงาน
  • ใช้เทคนิค Face Verification ในการตรวจสอบใบหน้า โดยเปรียบเทียบใบหน้าปัจจุบันกับข้อมูลใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้ก่อนหน้า ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning)  
  • ใช้เทคนิคการตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้งาน ได้หลายวิธีจาก Internet Wireless Network และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดการระบุตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
  • ใช้เทคนิคการระบุตำแหน่งผู้ใช้งานจากหลายวิธี เช่น ผ่านเครือข่ายไร้สาย และข้อมูล GPS โดยสามารถกำหนดตำแหน่งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร

จุดเด่นของ AtTime

  • สะดวกต่อการใช้งาน: ผู้ใช้งานสามารถลงเวลาได้จากทุกที่ ลดการสัมผัสอุปกรณ์ร่วมกัน ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  • ยืดหยุ่นและปรับแต่งได้: ระบบสามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับลักษณะงานและความต้องการเฉพาะของแต่ละหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มเป้าหมาย

  • หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องบันทึกผลการลงเวลาปฏิบัติงานของบุคลากร
  • หน่วยงานที่ต้องการระบบสำหรับการเช็กอินเข้า-ออกในการเข้าร่วมกิจกรรม เช่น การอบรม สัมมนา หรือการประชุมต่าง ๆ

การนำไปใช้ประโยชน์

ให้บริการในการบันทึกผลการเข้า-ออกปฏิบัติงาน ที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในแพลตฟอร์ม Android และ iOS ที่ชื่อแอปพลิเคชัน “AtTime” รวมถึงเวอร์ชั่น KIOSK ซึ่งถูกนำไปใช้งานสำหรับการลงทะเบียนผู้เข้าอบรม ณ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ ยังมีการนำโมดูล Face Detection ไปประยุกต์ใช้ในการตรวจจับใบหน้าบนอุปกรณ์ Mutherm FaceSense

แอปพลิเคชัน “AtTime” เป็นระบบการยืนยันตัวตนด้วย 4 ปัจจัยที่สามารถใช้งานได้จริง ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทของการลงเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลงานดังกล่าวได้รับ รางวัลระดับดีมาก ในสาขา เทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์  จากงาน “วันนักประดิษฐ์” (Thailand Inventors Day 2025) ซึ่งจัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ
กลุ่มวิจัยสื่อสารและเครือข่าย 

]]>
แพลตฟอร์ม “Acamp” เทคโนโลยีเพื่อจัดการคาร์บอนอัตโนมัติ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/acamp.html Thu, 26 Sep 2024 09:12:57 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37730

ในยุคที่เรากำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน “Acamp” หรือ Automated Carbon Accounting Management Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการบริหารจัดการคาร์บอนแบบอัตโนมัติจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อภารกิจนี้

จุดเด่นของ Acamp

  • การติดตามแบบเรียลไทม์ : Acamp ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดตามข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรแบบเรียลไทม์ บันทึกและจัดเก็บข้อมูลปีฐาน ช่วยให้เห็นภาพรวมและผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ในทันที สามารถใช้ในการวางแผน การลดต้นทุนการผลิตและติดตามการใช้ทรัพยากรอย่างใกล้ชิด
  • ความแม่นยำและการลดความผิดพลาด : ระบบ Acamp เชื่อมต่อกับเซนเซอร์และอุปกรณ์วัดผลต่างๆ ที่ทันสมัย สามารถเชื่อมต่อกับ Power Meter เพื่อคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์แบบเรียลไทม์ ลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและ ลดความเสี่ยงจากข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นเมื่อบันทึกข้อมูลด้วยมือ
  • การลดต้นทุน : การเก็บข้อมูลเพื่อการจัดทำคาร์บอนเครดิตและโครงการลดคาร์บอนถือเป็นการลดต้นทุนในระยะยาว ซึ่งการลดการใช้พลังงานและวัตถุดิบ การลดการปล่อยคาร์บอนส่งผลโดยตรงต่อการลดค่าใช้จ่ายในองค์กร
  • เชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทาน : สามารถเชื่อมต่อข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรไปยังห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้ ทำให้สามารถติดตามและจัดการคาร์บอนในทุกส่วนของธุรกิจ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการขนส่งและกระจายสินค้า
  • สร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ : ข้อมูลที่ได้จาก Acamp สามารถใช้เป็นหลักฐานในโครงการลดคาร์บอนและการขอเครดิตคาร์บอนได้ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด และโอกาสในการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต

เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Acamp

แพลตฟอร์ม Acamp มุ่งเน้นการพัฒนาระบบอัตโนมัติที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ กล่อง Zcarbon และ ซอฟต์แวร์ Acamp

  1. กล่อง Zcarbon สำหรับตรวจวัดการลดคาร์บอนอัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับเซนเซอร์ผ่าน RS-485 ช่วยให้การบันทึกข้อมูลการปล่อยคาร์บอนมีความสะดวกและแม่นยำ
  2. ซอฟต์แวร์ Acamp สำหรับคำนวณค่าคาร์บอนเทียบเท่า (Carbon Equivalent: CO2e) อย่างอัตโนมัติ โดยใช้ค่า Factor ที่ประกาศโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) 

ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลผลและแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นภาพรวมการปล่อยคาร์บอนขององค์กรได้อย่างชัดเจน

กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะกับการใช้งาน Acamp

  • โรงงานอุตสาหกรรม
  • ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)

หน่วยงานพันธมิตร/ร่วมวิจัย/แหล่งทุน

  • บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมการลดคาร์บอน (DTI)

กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
เนคเทค สวทช.

]]>
KidBright μAI : Intelligence of Coding https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/kidbright-ai.html Tue, 24 Sep 2024 10:24:18 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37750

KidBright μAI (คิดไบรท์ ไมโครเอไอ) คือ เครื่องมือส่งเสริมการเรียนรู้โค้ดดิ้ง และ AI ในรูปแบบ STEM Education ผสมผสานการเรียนรู้ใช้งานบอร์ดควบคุม อัตโนมัติ (Micro-controller) พร้อมระบบ AI สำหรับแยกภาพ เสียง หรือ ตรวจจับวัตถุ ด้วยชุดคำสั่งแบบบล็อก (Blockly) ผ่าน KidBright μAI IDE ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำเทคโนโลยีไปใช้แก้ปัญหาโจทย์ในชีวิตประจำวัน พัฒนากระบวนการคิดเชิงระบบ การคิดเชิงวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์

ผลงานเปิดตัวในงาน “รวมพลคน KidBright” KidBright Developer Conference 2024 (KDC24) ครั้งที่ 5  และส่งมอบไปยังโรงเรียนแกนนำกว่า 100 บอร์ด เปิดเป็นแพลตฟอร์ม Open-source ให้ผู้ที่สนใจร่วมพัฒนาระบบและ ปลั๊กอินเสริม พร้อมเปิดอบรมการใช้งานและการพัฒนาปลั๊กอินเสริมด้วย

จุดเด่น "เรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI พร้อมกันในบอร์ดเดียว"

  •  ผสมผสานการเรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI ในบอร์ดเดียว
  • สามารถพัฒนาโมเดล AI ได้ใน 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บข้อมูล การติดป้ายกำกับ การเรียนรู้และสร้างโมเดล AI และการประยุกต์ใช้ผ่านการสร้างชุดคำสั่ง แบบบล็อก
  • รองรับการพัฒนาและติดตั้งปลั๊กอินเสริม สำหรับการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ input /output ดิจิทัลภายนอก และการสื่อสาร IoT ผ่าน Wi-Fi เก็บข้อมูลภาพความละเอียด 2 ล้านพิกเซล และข้อมูลเสียงด้วยไมโครโฟนบนอุปกรณ์ พร้อมการแสดงผลบนจอสี IPS 1.3 นิ้ว
  • เป็นแพลตฟอร์ม Open-source สำหรับการใช้ประโยชน์เพื่อสังคมและเชิงพาณิชย์ ส่งเสริมผู้ประกอบการ

สิ่งที่ผู้ใช้งานจะได้รับ

  •  สามารถออกแบบระบบเทคโนโลยี Coding, AI และ IoT เพื่อแก้ปัญหาโจทย์ในชีวิตจริงได้เอง
  • เรียนรู้หลักการพัฒนาระบบ AI สำหรับการแยกภาพ เสียง และตรวจจับวัตถุ
  • ส่งเสริมทักษะการคิดเชิงคำนวณ (Computational Skill)

KidBright μAI เหมาะกับใครบ้าง?

  • นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา
  • ผู้สนใจที่เริ่มเรียนรู้โค้ดดิ้งและ AI
  • ผู้ประกอบการที่สนใจผลิตและร่วมพัฒนาระบบ

พันธมิตร ร่วมวิจัย/แหล่งทุน

  •  KidBright Community
  • หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)

ผู้วิจัยและพัฒนา

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (EDT)
กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
เนคเทค สวทช.

]]>
Adaptive Education Platform : ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ แนะนำเนื้อหาเฉพาะบุคคล https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/adaptive-education.html Tue, 24 Sep 2024 09:21:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37703

การศึกษาไม่ได้จํากัดแค่ในห้องเรียน เรียนได้ ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เทรนด์การศึกษาของโลกในปี 2024 เน้นผู้เรียนเป็นหลัก เป็นการเรียนที่ปรับวิธีการเรียนให้ตรงกับรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การปรับเนื้อหาและรูปแบบให้เข้ากับผู้เรียน จะทำให้การเรียนรู้ทำได้รวดเร็ว เหมาะสม สอดคล้องกับความสามารถเพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างเต็มที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ยุคใหม่

Adaptive Learning

แพลตฟอร์มสอนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม แบบ Adaptive มุ่งพัฒนาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมตามระดับความสามารถ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะแห่งอนาคต ช่วยทำให้ผู้เรียนทุกคนบรรลุเป้าหมายได้ โดยเพิ่มทักษะการลงมือปฏิบัติผ่านเครื่องมือออนไลน์

ในระบบ e-Learning การนำเข้าบทเรียนเป็นเครื่องมือมาตรฐานที่มีอยู่แล้ว แต่ที่สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้เรียนได้นั้นยังไม่มี “ระบบวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้” ที่พัฒนาจะตอบโจทย์เทรนด์การศึกษา ‘เรียนแล้วติดตาม วิเคราะห์ประเมินผล จบครบในที่เดียว’ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้และนำผลการวิเคราะห์มาแนะนำเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล

ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้และแนะนำเนื้อหาเฉพาะบุคคล เป็นเครื่องมือเพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้บนเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ เน้นการนำไปใช้กับ e-Learning ซึ่งสามารถนำไปใช้ในแบบอื่น ๆ ได้

ออกแบบเนื้อหาเฉพาะบุคคล

 เทคโนโลยีจะออกมาในลักษณะของ STEM Base บูรณาการความรู้ระหว่าง 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษาในปัจจุบัน และเป็นโครงการที่อยู่ในเทรนด์ของโลก การวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ส่วนใหญ่จะนำไปใช้กับ e-Learning ซึ่งในประเทศและต่างประเทศ มีการใช้ e-Learning อย่างแพร่หลาย เช่น Coursera Plus, Conicle, OpenDurian เป็นต้น

ระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันยังมีบางประเด็นที่น่าจะเพิ่มเติมได้ e-Learning ทั่วไป ส่วนใหญ่เนื้อหาจะเป็น PDF, VDO หากต้องการเพิ่มวิชาเฉพาะ เช่น STEM ต้องใช้เนื้อหาในรูปแบบอื่นที่ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น อีกทั้งส่วนที่ยังขาดใน e-learning ปัจจุบันก็คือ เครื่องมือที่ติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างละเอียดมาก ๆ ซึ่งยังไม่มีการนำเครื่องมือติดตามตัวอื่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามพฤติกรรมการอ่าน pdf การดู vdo หรือ การใช้งาน simulator แล้วยังเรื่อง coding วิทยาการข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเน้นทักษะการลงมือปฏิบัติก็ยังไม่มี ที่สำคัญยังไม่สนับสนุนให้สร้างเนื้อหาที่มีการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ แต่เราจะสร้างเครื่องมือ และเปิดโอกาสให้คนอื่น ๆ สามารถนำเครื่องมือไปใช้ติดตามพฤติกรรมบน e-Learning ที่มีอยู่ได้

โครงสร้างของระบบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  1. ส่วนจัดการเนื้อหา Learning Management System, LMS
  2. ส่วนเครื่องมือ Adaptive Education Components, AE
  3. ส่วนโครงสร้างพื้นฐานAdaptive Infrastructure

Learning Management System, LMS ระบบแนะนำเนื้อหาการเรียนรู้เฉพาะบุคคล ที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียน โดยใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการประเมินศักยภาพการเรียนรายวิชา เพื่อแนะนำเนื้อหาที่สอดคล้องและเหมาะสมสำหรับผู้เรียนเฉพาะบุคคล สำหรับหน่วยงานที่มีระบบการเรียน e-Learning เป็นของตนเอง หน่วยงานสามารถเลือกใช้เครื่องมือตามรูปแบบเนื้อหาที่ต้องการ แยกส่วนการวิเคราะห์ และแสดงผลนั้นได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันทั้งหมดก็ได้

Adaptive Education Components, AE ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย เครื่องมือติดตามพฤติกรรม 3 รูปแบบ

  1. เครื่องมือติดตามพฤติกรรมการอ่าน PDF ซึ่งจะวิเคราะห์พฤติกรรมการอ่าน โดยวัดจากความสนใจ ระยะเวลาที่อยู่กับเนื้อหาของผู้เรียน ระบบสามารถบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านการพลิกหน้า การจดบันทึก การทำไฮไลต์ ขณะที่ผู้เรียน ๆ ผ่าน e-book ระบบจะวิเคราะห์การเรียนรู้จาก PDF และนำมาแสดงผลการติดตาม
  2. Coding Simulator ติดตามพฤติกรรม การเขียนคำสั่งโดยการลากและวาง Block บนบอร์ดจำลองเพื่อดูความเข้าใจ ความถูกต้อง และนำไปวิเคราะห์การและติดตามผู้เรียน
  3. Chatbot ช่วยในส่วนคำถามคำตอบ โดย chatbot จะส่งคำถามให้ผู้เรียนหลายระดับ ถ้าผู้เรียนสามารถตอบคำถามระดับใดได้ดี Chatbot ก็จะคัดเลือกคำถามที่เหมาะสมให้กับผู้เรียน

Adaptive Infrastructure ออกแบบโครงสร้างให้รองรับการเพิ่มเครื่องมือติดตามพฤติกรรม และจะมีการส่งผลการวิเคราะห์ของเครื่องมือนั้นไปที่ Adaptive analytics เพื่อประมวลผลรวม ซึ่งเก็บอยู่บนอยู่บน MECA แพลตฟอร์มคลาวด์เซอร์วิส ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่

การใช้งาน

  • สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ใช้ Book Roll เครื่องมือในการติดตามการอ่าน PDF
  • เนคเทค ใช้ PDF, Coding Simulator กับหลักสูตรที่อบรมด้านการพัฒนากำลังคน
  • สำนักการศึกษา กทม. ออกแบบร่วมกับเนคเทคในการทำหลักสูตรทุกช่วงชั้น
  • ร่วมกับด้านการแพทย์ ส่งเสริม 3A Learning Platform ในกลุ่มผู้บกพร่องด้านการเรียนรู้

การขยายผล

มีการขยายผลไปสู่หน่วยงานด้านการศึกษา ได้แก่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และขยายผลการใช้งานในโรงเรียนเขตพื้นที่ EEC

ในการพัฒนาระบบนั้นอาศัยความเชี่ยวชาญของทีมวิจัยหลายส่วน อาทิ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ทีมวิจัยเทคโนโลยีภาษาธรรมชาติและความหมาย ทีมวิจัยอิเล็กทรอนิกส์และระบบทางชีวการแพทย์ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ และทีมวิจัยการเข้าใจเสียงและข้อความ งานแพลตฟอร์มบริการและนวัตกรรมอินเทอร์เน็ต ในการเป็นแนวร่วมในการพัฒนา โดยในปี 2567 ผู้พัฒนาได้ส่งมอบ

  • ระบบ Adaptive Education ที่แล้วเสร็จ โดยมีเนื้อหาเบื้องต้นเป็นวิชาวิทยาการคำนวณ ช่วงชั้น ป .4 – ม.4
  • ระบบติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ผ่านเครื่องมือ BookRoll, KidBright Simulator และ Chatbot
  • ส่วนวิเคราะห์การเรียนรู้จากการนำผลการติดตามพฤติกรรมของแต่ละเครื่องมือมาประมวลผลร่วมกัน
  • ระบบแสดงผลการการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
  • นำร่องอบรมการใช้งานระบบให้แก่คุณครูและนักเรียน 600 คน

เปิดให้บริการติดตั้งแพลตฟอร์ม Adaptive Education และ Maintenance แก่หน่วยงานที่ต้องการ (Private service) ติดต่อสอบถามได้ที่ ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา หรือ info@nectec.or.th

]]>
“สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/saiwat2024.html Wed, 17 Jul 2024 07:14:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=37140

ลดเวลา เพิ่มมาตรฐานด้านอาหารสัตว์น้ำ
เนคเทค สวทช. พัฒนา “สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) วิจัยและพัฒนา “สายวัด” ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารกุ้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานตรวจสอบขนาดอาหารสัตว์ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์น้ำได้ ทดแทนการวัดด้วยเวอร์เนีย ซึ่งสามารถวัดหลายร้อยเม็ดพร้อมกัน เพียงใช้เวลาการวัด 1 นาที พร้อมสรุปรายงานวิเคราะห์เชิงสถิติทั้งตารางและกราฟฮิสโตแกรม ช่วยลดปัญหาขนาดอาหารกุ้งไม่ได้มาตรฐานของผู้ประกอบการ SME ไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำให้ผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารสัตว์ต้องลดข้อผิดพลาด ลดระยะเวลาในการวัดขนาดของอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านคุณภาพในการผลิต 

คุณสมบัติ

  • สามารถวัดขนาดอาหารที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งยากในการใช้มือจับวัด สามารถวัดได้พร้อมกันตั้งแต่ 100-800 เม็ด โดยใช้เวลาไม่นาน ขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด (ประมาณ 1-3 นาที)
  • สายวัดทำงานต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆได้
  • สามารถวัดความสูงและเส้นผ่านศูนย์กลางของอาหารเม็ดอย่างอัตโนมัติ
  • มีสรุปรายงานการตรวจสอบคุณภาพ ออกเป็นไฟล์ pdf , excel หรือ word ได้
  • สามารถเพิ่มสเปคอาหารได้ไม่จำกัด

พัฒนาโดย

ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (SAI)
กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ (DSARG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)

สอบถามเพิ่มเติม

คุณสุรีรัตน์ รัตนสมบูรณ์
งานธุรกิจทรัพย์สินทางปัญญา
สำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (TLO)
โทร : 0 2564 7000 ต่อ 1619
Email: tlo-ipb[at]nstda.or.th

]]>
ระบบวัดสัณฐานของรากมันสำปะหลัง เพื่อการคัดสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/cassava.html Tue, 16 Jul 2024 09:15:00 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=36768

สัณฐานของมันสำปะหลัง

ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (Morphology) ของพืชส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้อธิบายการแสดงออกของพืช เป็นลักษณะที่สามารถมองเห็นได้ หรือสามารถวัดลักษณะนั้นได้ เช่น สี น้ำหนัก ความสูง โครงสร้าง ขนาด รูปร่าง รูปแบบ เป็นตัวบ่งชี้ถึงการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม (Environment) และลักษณะทางพันธุกรรม (Genotype) โดยทั่วไปนักสรีรวิทยาจะอาศัยการตรวจวัดลักษณะสัณฐานวิทยาต่างๆ (Traits) ของพืช เช่น  ความกว้าง ความยาว น้ำหนัก และลักษณะอื่นๆ  เพื่อการศึกษาและจำแนกลักษณะสายพันธุ์

สำหรับมันสำปะหลังแต่ละสายพันธุ์ มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่แตกต่างกัน นักปรับปรุงพันธุ์จำเป็นต้องมีความรู้ในสาขาต่างๆ รวมไปถึงความรู้ ด้านพันธุ์ศาสตร์ การถ่ายทอดลักษณะต่างๆ ที่จะสามารถจำแนกพันธุ์ของมันสำปะหลัง เพื่อนำลักษณะเด่นมาใช้ในการระบุสายพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง ลักษณะการพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังเป็นลักษณะที่สำคัญลักษณะหนึ่ง ซึ่งแต่ละสายพันธุ์มีการพัฒนาที่แตกต่างกัน และกลายเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่เหมาะกับการ ปลูกในช่วงต่าง ๆ ของแต่ละฤดูปลูก และมีอายุที่พร้อมเก็บเกี่ยวในเวลาต่างกัน ให้ผลผลิต สูง เปอร์เซ็นต์แป้งสูง มีการใช้น้ำ และใช้ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพ ปรับตัวในสภาพแวดล้อมเฉพาะท้องที่ เพื่อกระจายผลผลิตที่จะเข้าสู่โรงงาน รองรับความต้องการในหลากหลายอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการบริโภค รวมถึงอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน

การวัดสัณฐานรากสะสมอาหารข้อมูลสำคัญเพื่อพัฒนาสายพันธุ์

การพัฒนาของรากสะสมอาหารของมันสำปะหลังเป็นลักษณะที่สาคัญลักษณะหนึ่งในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง ซึ่งแต่ละพันธุ์มีการพัฒนาที่แตกต่างกัน ดังนั้นการศึกษาลักษณะทางฟีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง เพื่อให้ได้พันธุ์มันสำปะหลังที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร

การศึกษาลักษณะทางฟีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง เป็นวิธีการหนึ่งในการค้นหาสายพันธุ์ของมันสำปะหลังหลังที่ให้ผลผลิตสูง นำไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรุงพันธุ์มันสำปะหลัง โดยการเปรียบเทียบลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังวัดการเจริญเติบโตของรากสะสมอาหารของรากมันสำปะหลัง รวมถึงศึกษาฟีโนไทป์ของรากสะสมมันสำปะหลังด้วย การใช้วิธีทางแมชชีนวิชั่น ด้วยการตรวจวัดฟีโนไทป์แบบปริมาณงานสูง (High throughput phenotyping)   

เป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง ที่ช่วยสร้างต้นแบบแสดงวิธีการวัดลักษณะทางสัณฐานของรากมันสำปะหลัง สามารถนำมาใช้ช่วยการเร่งกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ให้มีความรวดเร็วขึ้นตามความต้องการในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีทางด้านแมชชีนวิชั่น เป็นการใช้การถ่ายภาพและการประมวลผลภาพมาทำการตรวจวัดลักษณะของพืชแบบไม่ทำลายและสามารถทำการศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การหาค่าการเปลี่ยนแปลงเชิงสันฐานวิทยาในการทดสอบการทนแล้ง  และอาจใช้ลักษณะอื่นๆ  จำเพาะของสายพันธุ์พืช เป็นตัวชี้วัดการทนต่อการขาดน้ำ  ซึ่งการวิเคราะห์ด้วยการประมวลผลภาพ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจวัดได้แบบอัตโนมัติโดยการหาพื้นที่ภาพฉาย (Projected area)

นักวิจัยเนคเทคโดยทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล  ได้พัฒนาระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลัง ใช้วัดระดับการเจริญเติบโตของรากสะสมอาหารของรากมันสำปะหลังหลัง  จำนวนกว่า 600 สายพันธุ์ ร่วมกับ BMBF, JULICH และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง

รูปที่ 1 ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง

ตัวชี้วัดในระบบสามมิติ

แสดงตามรูปที่ 2 โดยการใช้ภาพสามมิติ ที่มีคุณสมบัติในการกระจายตัวของจุดสามมิติอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งอณูของวัตถุ ที่เกิดจากเทคนิคการสกัดจากเงาวัตถุ (Voxel carving) และเส้นโครงรากมันสำปะหลัง สามารถสร้างตัวชี้วัดในระบบสามมิติได้อย่างหลากหลาย ได้แก่ จำนวนราก, ความยาวราก, ความลึกราก, รัศมีราก, มุมราก และ ปริมาตรราก เป็นต้น

รูปที่ 2 ลักษณะทางสัญฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลังในระบบสามมิติ

วิธีการหาเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง

วิธีการหาเส้นโครงของราก (Root skeleton) ตามวิธีการของเรา คำนวณจากภาพสามมิติของรากมันสำปะหลัง โดยใช้การไล่สำรวจ (Tracing) ไปทีละส่วนของราก ในการสร้างจุดโครงอันใหม่ จะใช้จุดโครงล่าสุดเป็นจุดศูนย์กลาง เพื่อสร้างพื้นผิวของทรงกลม ซึ่งมีมุมกวาดรอบทิศทาง ทำการสำรวจส่วนของรากท่อนถัดไป ใช้จุดตัดของพื้นผิวของทรงกลมและภาพสามมิติของรากในการสร้างจุดโครงอันใหม่ การใช้พื้นผิวของทรงกลม ทำให้การไล่สำรวจไปตามภาพสามมิติของรากมีประสิทธิภาพสูง

3.1 ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง 
3.2 ภาพวิดิโอในแต่ละมุมมอง 
3.3 เทคนิค voxel carving
3.4 ภาพสามมิติ
3.5 การสกัดเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง 

ขั้นตอนการเก็บข้อมูล

แสดงตามรูปที่ 3 เริ่มจากการนำรากมันสำปะหลัง ไปยึดไว้กับหัวจับ ภายในห้องถ่าย ซึ่งภายในมีกล้องบันทึกวิดิโอ และแหล่งกำเนิดแสง จากนั้นให้ทำการปิดประตูห้องถ่าย เพื่อทำการบันทึกภาพวิดีโอของรากมันรอบทิศทาง โดยการหมุนหัวจับ 360 องศา ระบบจะสร้างภาพสามมิติของรากมัน จากภาพวิดิโอรอบทิศทาง ด้วยเทคนิคการสกัดจากเงาวัตถุ จากนั้นจึงทำการคำนวณหาเส้นโครงรากมันตามวิธีการที่เราประดิษฐ์ขึ้น

รูปที่ 4 ตัวอย่างของภาพสามมิติรากมันสำปะหลัง และเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง 

ระบบตรวจวัดลักษณะทางสัณฐานวิทยารากมันสำปะหลัง เป็นการเสนอวิธีการคำนวณหาเส้นโครงของรากมันสำปะหลัง (Root skeleton) ได้แก่ พิกัดของเส้นทางที่วางอยู่ในแนวกึ่งกลางของราก โดยกำหนดให้ แต่ละรากประกอบไปด้วยเส้นทางเพียงเส้นทางเดียว ไม่มีการแตกสาขา และทุกรากมีจุดกำเนิดออกมาจากลำต้น เส้นโครงของรากสามารถนำมาใช้ในการคำนวณลักษณะสัณฐานวิทยาของรากมันสำปะหลังหลังได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้ภาพวิดิโอของรากมันสำปะหลังหลังรอบทิศทาง ยังถูกใช้เป็นฐานข้อมูลของภาพดิจิตอล เพื่อในอนาคตสามารถเปิดให้นักวิชาการเกษตรและผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเรียกใช้ เพื่อศึกษาการกระตุ้นผลผลิตรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง และใช้วิเคราะห์หาสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตที่สูง สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ที่ต้องการเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่เพาะปลูกของประเทศไทยในอนาคต

แหล่งข้อมูล

  • อารันต์ พัฒโนทัย, กมล เลิศรัตน์, ประสิทธิ์ ใจศิล, บุญรัตน์ จงดี “มองอนาคตระบบการให้ทุนสนับสนุนการวิจัยทางการเกษตร:กรณีข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย 2566” อ้างอิงจาก https://www.khonthai4- 0.net/system/resource/file/kpfgo_content_attach_file_509_1.pdf สืบค้น 14 มี.ค. 2567
  • Amares Kaewpunya, Teera Phatrapornnant, Panithi Sira-Uksorn, Paniti Pumviset, Pairat Chaichanadee, Sirichai Parittotakapron, “Spherical-Based Three Dimensional Cassava Root Skeleton Extraction”, 2022 19th International Conference on Electrical Engineering/Electronics, Computer, Telecommunications and Information Technology (ECTI-CON), May 2022.
  • สุวลักษณ์ อะมะวัลย์, ประพิศ วองเทียม  “การขยายพันธุ์เชื้อพันธุกรรมมันสำปะหลังหลังสาหรับการศึกษาการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางฟีโนไทป์ และจีโนไทป์ของการพัฒนารากสะสมอาหารของมันสำปะหลังหลัง  06-05-2019” อ้างอิงจาก https://www.doa.go.th/research/showthread.php?tid=2714&pid=2732  สืบค้น 13 มี.ค.67
  • วลัยพร ศะศิประภา, จิณณจาร์ หาญเศรษฐสุข, ณิชา โป๋ทอง, เถลิงศักดิ์ วีระวุฒิ และวารีย์ ทองมี  “พันธุ์และการจำแนกพันธุ์มันสำปะหลัง” สถาบันวิจัยพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กรมวิชาการเกษตร. อ้างอิงจาก  https://at.doa.go.th/cassvar/document.html  สืบค้น 13 มี.ค. 2567
  • ยินดี ชาญวิวัฒนา 2560 “การประเมินความสัมพันธ์ของจีโนไทป์และฟีโนไทป์พืชจากการกระตุ้นการแสดงออกของยีนเพิ่ม ผลผลิตในกลุ่ม ARGOSของ Arabidopsis และมันสำปะหลัง: Phase II ” อ้างอิงจาก https://tarr.arda.or.th/preview/item/n_ttJHxDj2M3OazSkjTwX?isAI=true สืบค้น 13 มี.ค. 67

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
เรียบเรียงโดย กานตวี ปานสีทา

]]>
ระบบบริหารอะไหล่กังหันก๊าซ(Gas Turbine Spare Parts Management System) https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/gasturbinesparepart.html Mon, 17 Jul 2023 08:10:23 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33660

โดย ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบวัดและควบคุมระยะไกล
กลุ่มวิจัยการควบคุมและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง

ระบบบริหารอะไหล่กังหันก๊าซ เป็นความร่วมมือของเนคเทคและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ต้องการบริหารจัดการชิ้นส่วนสำรองและระบบคลังของโรงไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ ให้มีปริมาณอะไหล่ที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการใช้งาน

การวางแผน จัดซ่อม จัดหา บริหารงบประมาณ ฯลฯ ของอะไหล่กังหันก๊าซ เป็นภารกิจรับผิดชอบดูแลของฝ่ายโรงงานและอะไหล่ (อรอ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เนคเทคดูแลระบบบริหารอะไหล่กังหันก๊าซให้กับโรงไฟฟ้าอะไหล่กังหันก๊าซของ กฟผ. มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยเริ่มต้นพัฒนาในปี 2554 ดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2555 ให้บริการด้านการบำรุงรักษาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ในปีแรกสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจ 4.9 ล้านบาท ปี 2563 สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ 525 ล้านบาท และในปี 2565 ระบบดังกล่าว สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ ติดอันดับมูลค่าสูงสุด 899 ล้านบาท จากการประเมินของสวทช.

ระบบบริหารอะไหล่กังหันก๊าซเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อบริหารจัดการอะไหล่กังหันก๊าซให้กับโรงไฟฟ้า ซึ่งอะไหล่มีราคาแพงและมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศทำให้ต้องใช้ระยะเวลานาน

จากเดิมผู้ปฏิบัติงานใช้โปรแกรม Excel ในการเก็บข้อมูล เพื่อคำนวณ วางแผนการใช้ ซ่อม ซื้ออะไหล่ เมื่อพบว่ามีข้อจำกัดในเรื่องของข้อมูลที่มีจำนวนมาก ข้อมูลที่ไม่อัปเดต เนื่องจากมีผู้ใช้งานหลายคน ประกอบกับ การคำนวณแผนการใช้งานมีความซับซ้อนยุ่งยาก ทำให้ ใช้เวลาในการคำนวณมากซึ่งหากเกิดความผิดพลาดในการวางแผนงาน อาจเป็นผลทำให้เกิดการซ่อม หรือสั่งซื้ออะไหล่อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ทันใช้ตามรอบของการบำรุงรักษาเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ทำให้มีราคาแพงมากกว่าปกติ หรือแม้กระทั่งดำเนินการโดยนำอะไหล่ที่หมดอายุเข้าไปทดแทน อาจนำมาซึ่งความเสียหายที่ไม่สามารถประเมินได้

สนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานด้วย Web Base Application

เพื่อให้การบริหารอะไหล่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และมีอะไหล่ในคลังที่เหมาะสม ทีมวิจัยจึงพัฒนาให้ระบบบริหารอะไหล่กังหันก๊าซ เป็น Web Base โดยใช้เทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส เพื่อสนับสนุนการทำงานของผู้บฏิบัติงานได้ดียิ่งขึ้น และออกแบบให้เป็นเวิร์กโฟลว์ที่มีความสามารถในการส่งต่อเอกสารต่าง ๆ ในระบบ เพื่อขออนุมัติการทำงานในแต่ละขั้นตอน ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 4  ระบบ

Workflow การวางแผนการใช้อะไหล่

1. ระบบลงทะเบียนอะไหล่ เป็นระบบที่ใช้เก็บข้อมูลอะไหล่ สเปกอะไหล่ เพื่อใช้ในการวางแผน การบำรุงรักษา รวมไปถึงอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยน เป็นต้น

2. ระบบวางแผนงาน เป็นระบบที่ใช้ในการบริหาร จัดการ และคำนวณแผนการใช้ ซ่อม ซื้อ อะไหล่  รวมไปถึงการติดตามแผน และการนำอะไหล่เข้า-ออก ไปใช้จริง

3. ระบบบริหารสัญญา เป็นระบบที่ใช้สำหรับติดตามกระบวนการทำสัญญา

4. ระบบบริหารงานคลัง เป็นขั้นตอนการบริหารจัดการลำดับสุดท้ายในการวางแผนการรับส่ง อะไหล่ไปยังจุดหมายได้ทันตามและทำการอัปเดตข้อมูลอะไหล่เมื่อมีการทำงานตามกิจกรรมต่างๆ ของคลัง เช่น การซื้อ การซ่อม ผสมอะไหล่ เป็นต้น

ตัวอย่างการบริหารจัดการอะไหล่

Workflow การวางแผนการซ่อมและซื้ออะไหล่ 

ตัวอย่างการวางแผนใช้ซ่อมซื้ออะไหล่

ประโยชน์ที่ได้จากการใช้งานระบบ

  1. ลดภาระงานในการวางแผนเพื่อช่วยจัดการอะไหล่ไปได้ร้อยละ 90 จากเดิมใช้เวลา 3-5 วัน ลดเหลือครึ่งวัน
  2. ลดความเสียหายที่เกิดจากการวางแผนผิด นำอะไหล่หมดอายุไปใช้งาน เกิดความเสียหายกับเครื่องจักรไปได้ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 20
  3. การใช้ระบบ Workflow  สะดวกต่อการติดตามงาน  สามารถติดตามสถานะของอะไหล่ และ สถานะของกิจกรรมที่มีการดำเนินงานได้ อย่างถูกต้อง แม่นยำ
  4. ข้อมูลในระบบมีความแม่นยำ ค้นหาง่าย และสามารถระบุสถานะของอะไหล่ได้ชัดเจน 
  5. มีรายงานสรุปข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งโปรแกรมได้ทำการวิเคราะห์เชื่อมโยงแต่ละโมดูล 
  6. มีการ Backup ข้อมูล ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลไม่สูญหาย กรณีเครื่องเซิร์ฟเวอร์มีปัญหาของระบบ

การบริหารอะไหล่กังหันก๊าซให้กับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทยเป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพิ่มประสิทธิผลต่อการปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ส่งมอบงานได้รวดเร็วมีความถูกต้อง และยังเพิ่มคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้ดีขึ้น และที่สำคัญระบบฯ ยังเป็นผลผลิตเชิงคุณภาพที่สนับสนุนการนำผลงานวิจัยและพัฒนา ถ่ายทอดไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง

*อ้างอิง : ข้อมูลภาพและเนื้อหาบางส่วนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

]]>
สายวัด (SAIWAT) : ซอฟต์แวร์วัดขนาดอาหารสัตว์เพื่อควบคุมคุณภาพสัตว์น้ำ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/saiwat.html Tue, 16 May 2023 03:00:09 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=2263

การควบคุมคุณภาพการผลิตอาหารสัตว์ส่วนมากจะใช้การสุ่มวัดขนาดอาหารเม็ดด้วยเวอร์เนียร์ หรือ เครื่องมือที่ใช้วัดขนาดของชิ้นงาน ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง ขนาดของรูปทรง รวมถึงความลึกของชิ้นงาน ทีละเม็ด การวัดขนาดมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ประกอบกับขนาดของอาหารสัตว์ที่เล็กมาก หลังจากที่วัดเสร็จแล้วต้องจดบันทึกด้วยมือและกรอกข้อมูลนั้นลงโปรแกรม Excel เพื่อคำนวณว่า ขนาดของอาหารสัตว์เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ขนาดที่เล็กใหญ่ของอาหารสัตว์ มีผลทำให้การเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ มีขนาดต่างกัน

ความสำคัญในการวิจัยจึงมาจากความต้องการของผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารสัตว์ต้องลดข้อผิดพลาด ลดระยะเวลาในการวัดขนาดของอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านคุณภาพในการผลิต นักวิจัยทีม SAI จึงใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิชัน เพื่อพัฒนาโปรแกรมการวัดขนาดอาหารสัตว์น้าเพื่อการควบคุมคุณภาพ (Saving And Intelligent softWare for Automatic measurement Technology) หรือ “สายวัด” เพื่อช่วยในการวัดขนาดวัตถุ ควบคุมคุณภาพการผลิต ให้ได้มาตรฐาน เกิดความแม่นยำ ลดระยะเวลาในการกระบวนการผลิต และได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

สายวัด Saiwat
สายวัด Saint

SAIWAI โปรแกรมการวัดขนาดอาหารสัตว์น้ำเพื่อการควบคุมคุณภาพ เป็นโปรแกรมวัดขนาดอาหารเม็ดที่ใช้งานคู่กับสแกนเนอร์ที่ใช้เทคโนโลยีการสแกนแบบ CCD (Charged-Coupled Device) โดยภาพวัตถุจะถูกบันทึกเพื่อใช้ในการวิเคราะห์รูปร่าง จนได้ขนาดความกว้างและความยาวของวัตถุแต่ละเม็ด พร้อมทั้งสรุปขนาดของวัตถุอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์และสรุปรายงานการตรวจสอบคุณภาพเพื่อซ่อมบำรุงเครื่องจักรในระบบผลิตอาหารสัตว์น้ำด้วยได้อีกด้วย

สายวัด Saiwat
สายวัด Saiwat

 

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์

  • วัดอาหารสัตว์น้ำที่มีขนาดเล็กที่ยากต่อการวัดด้วยมือ
  • วัดอาหารเม็ดได้พร้อมกัน 100-800 เม็ด โดยขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารเม็ด
  • สามารถทำงานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้
  • ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างสแกนเนอร์ ซึ่งหาซื้อทดแทนได้ง่าย
  • ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าใช้วัดด้วยมือหลายเท่า โดยใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที (ขึ้นอยู่กับขนาดของอาหารสัตว์)

การขยายผลและถ่ายทอดเทคโนโลยี

สายวัดเป็นผลงานที่ได้มีการนำไปใช้งานจริง ปัจจุบันมีผู้รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ไปแล้ว 4 บริษัท

  • บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จากัด (มหาชน)
  • บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จากัด (มหาชน)
  • บริษัท โกรเบสท์คอร์โพเรชั่น จากัด
  • บริษัท ทีอาร์เอฟ ฟีดมิลล์ จากัด

นอกจากบริษัทที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีไป ผู้พัฒนายังสนใจในการขยายผลความร่วมมือ เสาะหาพันธมิตรในการร่วมวิจัย โดยเน้นกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมาย เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ และผู้ส่งออกสัตว์น้ำ

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (SAI)
กลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์(DSARG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
อีเมล: info@nectec.or.th
โทรศัพท์: 02-564-6900
]]>
ThaiJO 2.0 : Thai Journals Online https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/thaijo2.html Fri, 30 Oct 2020 12:08:20 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=4756
ThaiJO

วารสารวิชาการ (Academic/Research Journal) เป็นช่องทางการนำเสนอผลงานทางวิชาการ ของนักเรียน นักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย และนักวิชาการในสาขาต่างๆ สำหรับประเทศไทยมีระบบบริการวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศ คือ ระบบ ThaiJO หรือ Thai Journals Online ที่เป็นแหล่งรวมวารสารวิชาการที่ผลิตในประเทศไทยทุกสาขาวิชา ทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ปัจจุบันมีวารสารที่อยู่ในระบบฯ กว่าร้อยละ 80 ของวารสารทั้งหมดในประเทศไทย

ถึงแม้จะมีระบบวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางให้บริการในประเทศ แต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานเท่าที่ควร โดยตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี (พ.ศ. 2545-2559) มีผู้ใช้งานในระบบเพียง 235 วารสารเท่านั้น ซึ่งปัญหาของระบบเดิมของ ThaiJO สามารถแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลักคือ

  1. การรองรับปริมาณวารสารขนาดใหญ่ เดิม ระบบ ThaiJO ถูกออกแบบมาเพื่อบริหารจัดการวารสารในปริมาณหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงพอกับการให้บริการวารสารทั้งประเทศ
  2. ระบบเดิมใช้งานยากไม่เหมาะกับทีมบรรณาธิการวารสาร ที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์
  3. ระบบเดิมยังไม่ครอบคลุมกระบวนการทำงานของทีมบรรณาธิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการอบรมการใช้งาน ThaiJO นั้นไม่สามารถจัดทำให้ครอบคลุมทีมบรรณาธิการทั้งหมดได้ เนื่องจากต้องใช้ทรัพยากรทั้งคนและเวลาในการอบรม รวมถึงทีมงานบรรณาธิการที่มีการผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดเวลา

ก้าวข้ามขีดจำกัดสู่ ThaiJO 2.0 ยกระดับ “วงการวารสารวิชาการ”

ด้วยความร่วมมือของสองหน่วยงานระหว่าง ศูนย์ดรรชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ซึ่งมีภารกิจโดยตรงในการยกระดับคุณภาพวารสารไทยและ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ได้ร่วมกันพัฒนาและปรับปรุงระบบสู่ ThaiJO 2.0 โดยพัฒนามาจากซอฟต์แวร์ Open Journal System (OJS) ซึ่งเป็นโอเพนซอร์สซอฟต์แวร์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ถูกนำมาปรับปรุงแก้ปัญหาข้อบกพร่องต่างๆ ของระบบเดิมให้สามารถรองรับข้อมูลวารสารทั้งประเทศได้ เพิ่มกระบวนการให้สมบูรณ์สอดคล้องกับการทำงานของทีมบรรณาธิการวารสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนวกกระบวนการตรวจความซ้ำซ้อน (Plagiarism checking) ด้วยระบบ CopyCatch ไว้ใน ThaiJo2.0 ด้วย และที่สำคัญคือการปรับปรุงให้ระบบใช้งานง่ายเหมาะสำหรับทีมบรรณาธิการที่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะคอมพิวเตอร์ที่ดีมากนัก

จุดเด่นของ ThaiJO 2.0

  • การบริหารจัดการระบบที่ส่วนกลาง ไม่เป็นภาระของทีมบรรณาธิการวารสาร
  • มีกระบวนการตรวจสอบความซ้ำซ้อน (Plagiarism Checking) ในระบบ โดยใช้เครื่องมือ CopyCatch ให้ข้อมูลแก่บรรณาธิการเพื่อสนับสนุนการพิจารณาคุณภาพบทความ
  • ยกระดับการยอมรับวารสาร ด้วยการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการนั้น เว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน ถือเป็นเกณฑ์หลักของทุกฐานข้อมูลวิชาการ ทั้งภายในประเทศ (Thai Citation Indexed) หรือระดับนานาชาติ เช่น Scopus, Web Of Science เป็นต้น
  • ตอบโจทย์การมีเว็บไซต์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานของวารสารวิชาการไทย เนื่องจากที่ผ่านมา ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและบุคลากร ทำให้มีวารสารจำนวนไม่มากนักที่มีเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐานของตัวเอง

ThaiJO คลังข้อมูลวารสารขนาดใหญ่ของประเทศ

ThaiJO 2.0 มีการบริหารจัดการระบบที่ส่วนกลาง และมีกระบวนการทำงานที่เอื้อกับทีมบรรณาธิการวารสาร ครบถ้วน ใช้งานง่าย ทำให้สามารถเข้าถึงวารสารและผลงานวิจัยต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากในมุมของการบริการวารสารแล้ว ThaiJO 2.0 ยังช่วยให้เรามีคลังความรู้วิชาการของนักวิจัยไทย ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดได้อีกมากมาย ปัจจุบันมีวารสารที่ใช้งานระบบ ThaiJO 2.0 กว่า 800 วารสาร เติบโตจากระบบเดิมราวๆ ปีละ 200%

ThaiJO

ThaiJO

ในอนาคตทีมพัฒนามุ่งหวังที่จะพัฒนาระบบ ThaiJO เพื่อยกระดับการยอมรับของวารสารไทยอย่างไม่หยุดยั้ง โดยวารสารที่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ TCI หรือเป็นส่วนหนึ่งของวารสารนานาชาติ จำเป็นต้องให้บริการผ่านเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่ง ThaiJO 2.0 พร้อมตอบโจทย์และเติมเต็มในเงื่อนไขดังกล่าว

สนใจใช้งานระบบ

ใช้งานระบบได้ที่ https://www.tci-thaijo.org/
ติดตามข่าวสารและกิจกรรมอบรม หรือสอบถามเพิ่มเติม
Facebook: https://www.facebook.com/ThaiJo2.0/

]]>
AI for Thai:แพล็ตฟอร์ม AI สัญชาติไทย https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-software/aiforthai.html Fri, 06 Sep 2019 03:15:55 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=1992

AI for Thai

AI for Thai : Thai AI Service Platform เป็นแพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย มุ่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และ Machine Learning เพื่อเน้นตอบโจทย์ผู้ใช้งาน ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและการบริการต่างๆ ในประเทศไทย เช่น

  • ภาคธุรกิจกลุ่มค้าปลีก (Retail) ใช้ Chatbot โต้ตอบเพื่อตอบคำถาม ให้บริการแก่ลูกค้าแทนพนักงาน
  • กลุ่มโลจิสติกส์ ใช้ระบบรู้จำใบหน้า (Face Recognition) เพื่อตรวจจับใบหน้าของพนักงานขับรถว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือไม่
  • ด้านการแพทย์ก็เริ่มใช้ AI มาวิเคราะห์แนวโน้มความเสี่ยงของโรคส่วนบุคคล หรือการอ่านฟิล์ม X-rays แทนมนุษย์ เป็นต้น
  • ด้านการท่องเที่ยว สามารถใช้ AI แปลภาษาและสามารถวิเคราะห์รูปอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจากภาพถ่าย
AI for Thai เกิดจากการรวบรวมผลงานวิจัยและพัฒนาทางด้าน AI ภายใต้หน่วยวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRU) ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ อันประกอบไปด้วยงานทางด้านการประมวลผลภาษาธรรมชาติของภาษาไทย, งานด้านการเข้าใจภาพในบริบทของความเป็นไทยและงานด้านการรู้จำและสร้างเสียงพูดภาษาไทย

กลุ่มเป้าหมาย/ ผู้ใช้งาน

  • นักพัฒนาระบบ
  • ผู้ประกอบการบริษัท SME
  • Start up และบริษัทอื่นๆ

จุดเด่น

  • มีบริการให้พร้อมเรียกใช้งาน
  • ช่วยให้สามารถต่อยอดสร้างสรรค์แอพพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว
  • ทดสอบใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย* (แบบ Limited Free Service)

APIs & Service

โมดูลต่าง ๆ ที่รวบรวมเข้ามาให้บริการบนแพลตฟอร์ม ถูกจำแนกออกเป็น 3กลุ่ม ได้แก่ Language, Vision และ Conversation ซึ่งโมดูลต่าง ๆ จะพร้อมให้ใช้งานในรูปแบบ Web Service หรือ API

AI for Thai

 

  • Language บริการด้านประมวลผลข้อความภาษาไทยรอบด้าน เช่น Word Segmentation, POS Tagging, Named Entity Recognition ประกอบด้วย
    • Basic NLP (ประมวลผลภาษา)
    • TAG Suggestion (แนะนำป้ายกำกับ)
    • Machine translation (แปลภาษา)
    • Sentiment Analysis (วิเคราะห์ความเห็น)
  • Vision บริการด้านวิเคราะห์และเข้าใจภาพและวิดีโอหลากหลาย เช่น OCR, Face Recognition, Person Heatmap ประกอบด้วย
    • Character Recognition (แปลงอักษรภาพเป็นข้อความ)
    • Object Recognition (รู้จำวัตถุ)
    • Face Analytics (วิเคราะห์ใบหน้า)
    • Person & Activity Analytics (วิเคราะห์บุคคล)
  • Conversation บริการด้านสนทนาแบบครบวงจร ได้แก่
    • Speech to Text (แปลงเสียงพูดเป็นข้อความ)
    • Text to Speech (แปลงข้อความเป็นเสียงพูด)
    • Chatbot (ระบบโต้ตอบทางข้อความอัตโนมัติ)

สนใจใช้งาน

Cinque Terreใช้บริการ AI for Thai ได้ที่ https://aiforthai.in.th

 

วิจัยพัฒนาโดย

กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)

สนใจผลิตภัณฑ์

ฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี (SPD)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
โทร. (02) 564-6900 ต่อ 2351
business[at]nectec.or.th

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

]]>