ต่อกล้าให้เติบใหญ่ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Mon, 19 Sep 2022 10:05:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png ต่อกล้าให้เติบใหญ่ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 เนคเทค x พันธมิตร ชูผลงานเยาวชนสร้างนวัตกรรม Project Based Learning ในโครงการ“ต่อกล้าอาชีวะ” ปี64 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/press-torkla2022.html Mon, 19 Sep 2022 05:10:04 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=29158

19 กันยายน 2565: ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ (เนคเทค สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) พร้อมหน่วยงานพันธมิตร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมปิดโครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) โดยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปิดพร้อมมอบโล่และเกียรติบัตรให้แก่ 15 ผลงาน ที่เข้าร่วมโครงการฯ

ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. กล่าวว่า เนคเทค สวทช. พร้อมหน่วยงานพันธมิตร สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากระทรวงศึกษาธิการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดโครงการ“ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) เพื่อพัฒนาทักษะเพิ่มเติมให้นักศึกษา และพัฒนาผลงานสิ่งประดิษฐ์ด้านการเกษตร จากโจทย์ผู้ใช้งานจริง เปิดรับสมัครตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 มีผลงานส่งเข้าร่วมพิจารณาจำนวน 57 ผลงาน จาก 42 สถาบัน ผลงานได้การคัดเลือกรับทุนสนับสนุนให้พัฒนาต่อยอดพร้อมพัฒนาทักษะเยาวชนในทีมจำนวน 15 ผลงาน 16 สถาบัน

กิจกรรมครั้งนี้ เป็นอีกบทบาทและพันธกิจหนึ่ง ของ เนคเทค สวทช. ในการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศการใช้งานเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศผ่านโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติและเครือข่ายพันธมิตรภาคการศึกษา ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ในการดำเนินโครงการฯ เนคเทค ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่งจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ ร่วมวางแผน วางแนวทางการพัฒนาผลงาน ด้วยเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนากำลังคนในสายอาชีวศึกษา โดยเฉพาะการเสริมสร้างเยาวชนอาชีวศึกษาให้เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ โดยอาศัยฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม ชุมชน และเป็นการช่วยพัฒนาขีดความสามารถของกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมและภาคเศรษฐกิจของประเทศที่มั่นคงในอนาคต

นอกจากการพัฒนาผลงานตอบโจทย์ผู้ใช้แล้ว ผลการวัดการเรียนรู้ของนักศึกษาที่ผ่านโครงการ ยังพบว่า นักศึกษามีคุณลักษณะของการเป็นนวัตกร มีการพัฒนาทักษะ 4Cs (Critical Thinking , Creative Thinking, Collaboration, Communication) อันเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 โดยมีพัฒนาการในด้านกรทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration) สูงที่สุด ในขณะที่อีก 2 ทักษะคือ Critical Thinking , Creative Thinking  ก็เปลี่ยนแปลงมากเช่นกัน ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะสำคัญของนวัตกรในยุคใหม่ ที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ในระยะต่อไป

โดยระหว่างพัฒนาผลงาน มีการอบรมและพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ เสริมความรู้เริ่มตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2564 ดังนี้

  • การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพการพัฒนาผลงาน (Workshop 1) เสริมทักษะการทำงานเป็นทีม การรับโจทย์ปัญหาจากกลุ่มเป้าหมาย ความรู้ด้านเทคโนโลยี แนวคิดการพัฒนาผลงาน ฝึกปฏิบัติการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่  
  • กิจกรรม Clinic Online 2 ครั้ง ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ถึง ต้นเดือนเมษายน 2565 โดยมี พี่เลี้ยงจากเนคเทค เป็นที่ปรึกษา เพื่อให้ทีมสามารถขอคำแนะนำและข้อเสนอแนะ และมีการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง
  • กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และความรู้เชิงธุรกิจ (Workshop 2) ในเดือน พฤษภาคม 2565 เพื่อเสริมทักษะพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทักษะด้านการสื่อสาร ความรู้เชิงธุรกิจ ความรู้เรื่องสิทธิด้านทรัพย์สินทางปัญญา รู้จักรู้ใช้ S-curves บริหารจัดการโครงการ เพื่อเสริมความรู้ให้เยาวชนและคณาจารย์ ที่เข้าร่วมโครงการ สำหรับนำไปใช้ในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลงาน รวมถึงนำไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป

นอกจากนี้ทางโครงการฯ ได้นำทีมพี่เลี้ยงนักวิจัยจากเนคเทคลงพื้นที่ติดตามผลงานทั้งหมดในพื้นที่จริง เพื่อให้คำแนะนำและรับฟังข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ใช้งานเป้าหมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในพื้นที่อีกด้วย 

]]>
ต่อก้าว ต่อยอดให้ “ต่อกล้าอาชีวะ” ติดอาวุธเชิงธุรกิจ การสื่อสารและการออกแบบผลิตภัณฑ์ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/torkla-2022-workshop-2.html Thu, 02 Jun 2022 05:13:19 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=26571
เนื้อหาและภาพประกอบ | กานตวี ปานสีทา และ สิทธิชัย ชาติ เนคเทค สวทช.
เนคเทค สวทช. ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัด Workshop “การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และความรู้เชิงธุรกิจ” ซึ่งเป็นกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 ภายใต้โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชน คณาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาที่ได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความสามารถในการพัฒนาผลงานสิ่งประดิษฐ์ โดยนำองค์ความรู้ ทักษะที่จำเป็น เพื่อฝึกเทคนิคการคิดในเชิงธุรกิจ สามารถวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายด้านการตลาด ผลิตผลงานต่อยอดไปสู่การใช้งานได้จริง รวมถึงได้ฝึกภาคปฏิบัติในการสร้างสรรค์ด้านการออกบบผลิตภัณฑ์ ฝึกทักษะการสื่อสาร การประชาสัมพันธ์ การทำกลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่อีกด้วย กิจกรรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2565 ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี
TK-wotkshop2 (1)
ดร. กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ให้เกียรติกล่าวเปิดกิจกรรม ความว่า “จากค่าย workshop ที่ผ่านมา แต่ละผลงานมีความก้าวหน้าในการพัฒนาจนใกล้จะสำเร็จ แต่อาจจะมีบางมุมที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงพัฒนาผลงานก่อนการใช้งานจริง เช่น การประชาสัมพันธ์ การสื่อสาร รวมทั้งความต้องการของผู้ใช้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการจัดค่ายครั้งนี้ จะเป็นอีกช่วงเวลาในการเติมเต็มส่วนที่ทีมผู้พัฒนาจะได้สอบถาม เรียนรู้ จากวิทยากรและทีมนักวิจัยพี่เลี้ยงของ สวทช. เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาผลงานต่อไป”
การ Workshop ในครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และธุรกิจ โดยน้อง ๆ ทั้ง 15 ทีมที่เข้ารอบในโครงการฯ จะได้เรียนรู้ทักษะสำหรับต่อยอดผลงานไปสู่การใช้งานได้จริง ได้ฝึกภาคปฏิบัติสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ ผ่านหัวข้ออบรมต่อไปนี้

“Digital Marketing กลยุทธ์การตลาด” โดย คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่มีมุมมองว่า พฤติกรรมผู้บริโภค ประสบการณ์ลูกค้า และการออกแบบเนื้อหาคือ หัวใจ สู่การรุกการตลาดให้ประสบความสำเร็ ดังนั้น การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง แก้ปัญหาได้ตรงจุด จะสามารถสร้างผลงานตอบโจทย์ผู้ใช้อย่างแท้จริง

“ทักษะการสื่อสาร” โดย คุณชญาน์ทัต วงศ์มณี VP Content Management ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเสริมอาวุธ ทักษะการสื่อสาร เรียงร้อยเรื่องราวของผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอผลงานสู่กลุ่มเป้าหมายได้ตรงประเด็นและชัดเจน โดยกล่าวถึง การเปลี่ยนเป้าหมายของการสื่อ จาก “วิธีการสื่อสารที่ทำสนใจ” เป็น “ทำอย่างไรจึงจะมอบคุณค่า มอบประโยชน์ให้แก่ผู้ฟังมากที่สุด” เมื่อเราคิดถึงประโยชน์ของผู้ฟังเป็นสำคัญ เราจะตั้งใจทุ่มเทเพื่อผู้ฟัง และออกแบบการสื่อสารให้เหมาะสมเพื่อคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นผู้ฟังรับรู้ถึงประโยชน์ คุณค่า และความทุ่มเทจากการสื่อสารนั้น ๆ ทำให้เราสามารถสื่อสารได้นาน ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

“ออกแบบด้วยความใส่ใจ ผลิตภัณฑ์น่าใช้” โดย ผศ.ดร. อรช กระแสอินทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เสริมความรู้ด้านการออกแบบนวัตกรรมให้กับนักเรียนและอาจารย์ ด้วยหลักคิดใช้สอยง่าย เข้าถึงผู้ใช้ง่ายสร้างภาพลักษณ์และสร้างโอกาสทางธุรกิจ ฝึกศึกษาโจทย์ของผู้จำลองชิ้นงาน

“ทรัพย์สินทางปัญญา รู้ก่อนรักษาสิทธิ์ได้ก่อน” โดย คุณรัตนากร แสนศักดิ์ ที่ปรึกษา งานจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IPM) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (NSTDA) ว่าด้วยเรื่องราวของทรัพย์สินทางปัญญาในงานประดิษฐ์ ที่ต้องรู้เพื่อรักษาสิทธิ์อันพึงมีในผลงานการประดิษฐ์คิดค้นที่เกิดจากปัญญาในการสร้างสรรค์ของตน โดยทรัพย์สินทางปัญญา ต้องมีการจดทะเบียนหรือยื่นขอการรับสิทธิ์ทางปัญญาในผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ ในแต่ละชนิดด้วย ซึ่งจะมีวิธีและกระบวนการที่แตกต่างกัน

“รู้จัก รู้ใช้ เครื่องมือบริหารโครงการ ด้วย S-curves in Project Management” โดย ดร.เจษฎา ขัดทองงาม นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบวัดและควบคุมระยะไกล (IST) เนคเทค สวทช. ได้แนะนำแนวทางการใช้เครื่องมือ S-curves เสริมในการพัฒนาผลงานที่จะช่วยติดตาม กำกับและแก้ไข ให้โครงการประสบผลตามเป้าหมายที่คาดหวัง” ด้วยเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจไปไม่ถึง หากขาดเครื่องมือติดตามที่ดี S-curves อีกทางเลือกของการช่วยประเมินแผนงานในระยะเวลาที่กำหนด

โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) ดำเนินการโดย งานพัฒนากำลังคนด้านอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศ เนคเทค สวทช. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) สนับสนุนโดย มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

โครงการฯ เปิดโอกาสให้เยาวชนอาชีวะ ได้รับประสบการณ์ตรงในการนําองค์ความรู้ทักษะในสายวิชาชีพ รวมถึง นําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้สร้างสรรค์พัฒนาผลงาน สิ่งประดิษฐ์ที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงให้กับเกษตรกรในชุมชน และช่วยปรับปรุงพัฒนากระบวนการการผลิตผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพ นับเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนทั้งระดับ ปวช. และปวส. ให้มีสมรรถนะการใน ทำงาน ก่อนที่จะเข้าสู่สถานประกอบการหรือเติบโตไปตามเส้นทางต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา และทิศทางการพัฒนาประเทศอีกด้วย

]]>
เนคเทค สวทช. X มูลนิธิสยามกัมมาจล จัดกิจกรรม “การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพในการพัฒนาผลงาน” โครงการต่อกล้าอาชีวะ ปี 64 https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/torkla-rcheewa2021-press.html Tue, 14 Dec 2021 09:53:52 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=23790

เนคเทค สวทช. ดำเนินโครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม “การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพในการพัฒนาผลงาน (ค่าย Workshop 1)”  ในระหว่างวันที่ 8 – 12 ธันวาคม 2564 ณ ห้อง Auditorium บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย

พฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 จัดให้มีพิธีเปิดค่ายฯ  โดย ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เกียรติเข้าร่วมเป็นประธานในการเปิดค่ายฯ ในครั้งนี้ พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติที่ทางโครงการฯเชิญร่วมด้วย เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  มี ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค (กล่าวต้อนรับผ่านระบบ webex) และ ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ เข้าร่วมให้การต้อนรับ

โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” เป็นโครงการที่เนคเทค สวทช.ตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมสนับสนุนน้อง ๆ นักศึกษาอาชีวะ ในการพัฒนาโครงการ โดยการนำองค์ความรู้ ทักษะในสายวิชาชีพ และนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ สารสนเทศต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในชุมชนในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งตรงตามวิสัยทัศน์ขององค์กรในการสร้างระบบนิเวศน์ในการใช้งานเทคโนโลยี โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ”  เป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนอาชีวะ ได้รับประสบการณ์ตรงในการนําองค์ความรู้ทักษะในสายวิชาชีพ รวมถึง นําเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้สร้างสรรค์พัฒนาผลงาน สิ่งประดิษฐ์ที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงให้กับเกษตรกรในชุมชน และช่วยปรับปรุงพัฒนากระบวนการการผลิตผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพ นับเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนทั้งระดับ ปวช. และปวส. ให้มีสมรรถนะการใน ทำงาน ก่อนที่จะเข้าสู่สถานประกอบการหรือเติบโตไปตามเส้นทางต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา และทิศทางการพัฒนาประเทศอีกด้วย         

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช

ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 ภายใต้แนวคิด Agritronics @ R-Cheewa จะเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการส่งเสริมสนับสนุนเยาวชนอาชีวศึกษาในด้านการเกษตรแม่นยำ โดยการนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์สารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการการพัฒนาและคิดค้นเพื่อให้ได้ผลงานและสิ่งประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพประกอบกับเป็นแนวทางในการส่งเสริมให้เยาวชนอาชีวศึกษาสามารถนำองค์ความรู้ และทักษะที่ได้รับการพัฒนาในสายวิชาชีพมาร่วมประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในชุมชนของตนเองในพื้นที่ ตลอดจนสามารถนำมาปรับปรุงพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในกระบวนการผลิตต่างๆ รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้ผลิตผลทางการเกษตรนั้น มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการฯ สอดคล้อง ตรงกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการที่จะมุ่งเน้นในพัฒนานักศึกษาอาชีวะ ดังนี้

  1. มุ่งเน้นการศึกษาเพื่อเพิ่มทักษะสายอาชีพด้วยคุณภาพ และ เติมเต็มช่องว่างระหว่างทักษะ โดยขยาย และ ยกระดับอาชีวศึกษาทวิภาคี สู่คุณภาพมาตรฐาน เน้นร่วมมือกับสถานประกอบการชั้นนำ ขับเคลื่อนความร่วมมือการจัดการอาชีวศึกษาระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
  2. มุ่งเน้น Re-Skills, Up Skill และ New Skill การฝึกอบรมวิชาชีพระยะสั้น รวมทั้งผลิตกำลังแรงงานที่มีคุณภาพตามความเป็นเลิศของแต่ละสถานศึกษาและตามบริบทของพื้นที่ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศและสถานประกอบการ
  3. มุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอาชีวศึกษาให้เป็นผู้ประกอบการ พัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์และทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 รวมทั้ง ให้ความร่วมมือในการพัฒนาขีดความสามารถของผู้เรียน ผ่านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
  4. มุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณผู้เรียน ในหลักสูตรอาชีวศึกษา สร้างภาพลักษณ์สถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อดึงดูดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเรียน
  5. สนับสนุนให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาบริหารจัดการอย่างมีคุณภาพ และจัดการเรียนการสอนด้วยเครื่องมือปฏิบัติที่ทันสมัย

ขอขอบคุณ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้ให้ความสำคัญและได้ช่วยสนับสนุนให้เกิดโครงการดีๆ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักศึกษาอาชีวะจะเก็บเกี่ยวความรู้ และสามารถเรียนรู้จากนักวิจัย เนคเทค สวทช.  ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ เพื่อให้สามารถนำสิ่งที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาผลงานและประกอบอาชีพในอนาคต ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมประเทศต่อไป

คุณวรวัจน์ สุวคนธ์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงาน SCB Academy ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ และมูลนิธิสยามกัมมาจล มีแนวทางหลักในการดําเนินงานด้านกิจกรรมเพื่อสังคม คือการสนับสนุนการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และอาชีวศึกษา ในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21 ที่ประกอบด้วย ทักษะการคิดวิเคราะห์ในการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking) ทักษะการทํางานเป็นทีม (Collaboration) ทักษะการสื่อสาร (Communication) และทักษะความคิดสร้างสรรค์(Creativity) การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงการสร้างเสริมสํานึกพลเมือง จิตอาสา ให้กับเยาวชน ซึ่งได้มีการดําเนินงานอย่างจริงจัง มุ่งเน้นที่การพัฒนาเยาวชนในระดับโครงสร้างทั้งระบบ โดยการร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือภาคีที่อยู่ในระบบนั้น

โครงการนี้ จึงเป็นหนึ่งในโครงการหลักของธนาคารไทยพาณิชย์ และมูลนิธิสยามกัมมาจล ในการพัฒนาสมรรถนะของเยาวชนตามแนวทางดังกล่าว โดยมี NECTEC ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการพัฒนา Digital Literacy ของคนไทย เปรียบเสมือนเครื่องจักรสําคัญในการสร้างฐานรากทางเทคโนโลยีให้ประเทศ เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ทีสําคัญมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา สําหรับความร่วมมือ    ในปีนี้ โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” เป็นการเปิดโอกาสให้เยาวชนอาชีวะได้รับประสบการณ์ตรงในการนําองค์ความรู้ทักษะในสายวิชาชีพ รวมถึงนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สร้างสรรค์พัฒนาผลงาน สิ่งประดิษฐ์ที่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาจากสถานการณ์จริงให้กับเกษตรกรในชุมชน และช่วยปรับปรุงพัฒนากระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ ให้มีประสิทธิภาพ นับเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนทั้งระดับ ปวช. และปวส. ให้มีสมรรถนะการในทํางาน ก่อนที่จะเข้าสู่สถานประกอบการหรือเติบโตไปตามเส้นทางต่าง ๆ ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา และทิศทางการพัฒนาประเทศอีกด้วย

กิจกรรมครั้งนี้เป็น “การอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพในการพัฒนาผลงาน” ครั้งที่ 1 ที่ทุกคนจะได้เรียนรู้ทักษะและพัฒนาสมรรถนะที่หลากหลาย และหวังว่าน้อง ๆ ที่ได้เข้าร่วมเรียนรู้ในโครงการนี้จะสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง ยกระดับผลงาน และสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป

ดร.ชัย วุฒิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) กล่าวว่า มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้มอบงบประมาณส่วนหนึ่งมาสนับสนุนเยาวชนในโครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” นี้ ซึ่งเชื่อว่า โครงการและกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดต่อจากนี้ จะเป็นโอกาสอันดีในการพัฒนาผลงานด้านเทคโนโลยีเกษตร และสารสนเทศไปสู่การประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน เศรษฐกิจ และสังคม ผลักดันไปสู่กลุ่มผู้ใช้งานได้จริง ผมเชื่อมั่นว่า นักพัฒนาที่เข้าร่วมโครงการฯ ในครั้งนี้ ได้ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้นโดยคณะกรรมการของโครงการ ที่ได้คัดเลือกจาก 57 ผลงาน จากสถาบันอาชีวศึกษา 42 แห่ง ที่สมัครเข้าร่วม ผ่านการพิจารณารอบแรก 35 ผลงาน จากนั้นได้นำเสนอแนวทางการพัฒนาผลงานในรูปแบบออนไลน์ต่อคณะกรรมการ จนได้รับการพิจารณาให้ได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงานทั้งสิ้น 15 ผลงาน ที่ได้มาเข้าร่วมค่ายฯ

เนคเทคได้เตรียมสถานีอุตุน้อย ที่สามารถวัดสภาพอากาศผ่านบอร์ด KidBright และ รวบรวมข้อมูลจากทุกสถานีมาเก็บ และแสดงผลบนหน้าเว็ป Utunoi โดยแสดงข้อมูลแต่ละสถานีบนแผนที่ตามพิกัดที่ได้ลงทะเบียนไว้จำนวน 30 สถานี ให้แก่เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อส่งต่อให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี

]]>
“ต่อกล้าอาชีวะ” ประกาศผลการพิจารณาคัดเลือกผลงานที่ได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงาน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/torklarcheewa_15teams.html Mon, 08 Nov 2021 09:57:11 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=23295

ขอแสดงความยินดีกับผลงานทางเทคโนโลยีการเกษตรโครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 (Agritronics @ R-Cheewa) ทั้ง 15 ผลงาน ที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงาน

ตรวจสอบรายชื่อผลงานที่ผ่านการพิจารณาได้ที่นี่

 

 

กิจกรรมต่อไป
1. โครงการฯ ได้กำหนดกิจกรรมต่อไป หลังจากได้ทีมผู้พัฒนาผลงานและอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ผ่านการคัดเลือกได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงานแล้ว คือ กิจกรรม “Workshop 1: อบรมเชิงปฏิบัติการเสริมทักษะในการพัฒนาผลงาน” ซึ่งกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 ธันวาคม 2564 ณ อุทยานวิทยาศาสตรืประเทศไทย จังหวัดปทุมธานี (กรณ๊มีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง)
2. โครงการฯ กำหนดให้ผู้พัฒนาผลงานและอาจารย์ที่ปรึกษาของทั้ง 15 ผลงาน ยืนยันการเข้าร่วมกิจกรรม Workshop 1 โดยจะแจ้งผ่านช่องทางไลน์กลุ่มที่ได้เรียนเชิญทุกท่านเข้าร่วมร่วม พร้อมทั้ง รายละเอียดในส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป รบกวนติดตามการแจ้งข้อมูลข่าวสาร
3. ผลงาน/โครงงานใดต้องการสละสิทธิ์ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รบกวนติดต่อทางอีเมล

]]>
เปิดแล้ว!! โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” เวทีของ #คนพันธ์ุR กับนวัตกรรมทางการเกษตร https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/torkla-archeewa2021.html Fri, 20 Aug 2021 09:18:05 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=19027
เปิดรับสมัครโครงงาน/ผลงาน/สิ่งประดิษฐ์ ด้านเทคโนโลยีการเกษตรที่จะมาช่วยค้นหาวิธี แนวทาง จัดทำเครื่องมือและอุปกรณ์ สำหรับแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในการเพิ่มผลิตผล ลดต้นทุน ลดระยะเวลา ปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต ให้ดียิ่งขึ้น
ชิงทุนในการพัฒนาผลงานมูลค่า 40,000 บาท และรับการอบรมภายในโครงการฯ ฟรี! พร้อมทั้งได้รับคำแนะนำจากนักวิจัยพี่เลี้ยง และผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาผลงานให้สามารถใช้งานได้จริงอีกด้วย
Poster_TorKlaR-Cheewa-01

โครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” (Agritronics @ R-Cheewa) เป็นเวทีในการส่งเสริมสนับสนุนเยาวชนอาชีวศึกษาด้านการเกษตร และด้านอิเล็กทรอนิกส์ สารสนเทศ ในการพัฒนา คิดค้น ผลงานสิ่งประดิษฐ์/เทคนิค/กระบวนการ โดยการนำองค์ความรู้ ทักษะในสายวิชาชีพ และนำเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรในชุมชนในพื้นที่ของตนเอง และ/หรือเพื่อปรับปรุง พัฒนา เพิ่มขีดความสามารถของกระบวนการผลิต ช่วยส่งเสริมให้ผลิตผลทางการเกษตรมีคุณภาพที่สูงขึ้น โดยโครงการฯ ได้รับการสนับสนุนจาก มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพเยาวชน อีกทั้งมีความสนใจในการส่งเสริมการนำเทคโนโลยี มาแก้ไขปัญหารอบตัวหรือปัญหาเศรษฐกิจ สังคมด้วย

คุณสมบัติและเงื่อนไข

คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ

1. เป็นนักเรียน/นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษาตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ
2. เป็นคณาจารย์และบุคลากรด้านการศึกษา ที่สังกัดอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษาตามกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ
3. มีความสนใจ และมีความคิดสร้างสรรค์ ในการพัฒนาผลงานหรือ เพื่อประยุกต์ใช้งานด้านการเกษตรต่างๆ สำหรับแก้ปัญหา หรือช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ
4. มีความพร้อมในการเข้าร่วมโครงการฯ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ตามกำหนดการของโครงการฯ ได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดโครงการฯ

เงื่อนไขในการสมัครเข้าร่วม

1. รับสมัครเป็นทีม ทีมละ 4 ท่าน/ทีม (นักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาด้านเทคโนโลยีเกษตร 2 ท่าน นักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และด้านสารสนเทศ หรือด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 2 ท่าน) และสามารถมีคณาจารย์/บุคลากรด้านการศึกษาอีก 2 ท่านเป็นที่ปรึกษา
2. คิดผลงานสิ่งประดิษฐ์/เทคนิค/กระบวนการในการช่วยแก้ปัญหาหรือช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และผลผลิตที่มีคุณภาพ ส่งเข้าร่วมโครงการฯ โดยจะเป็นผลงานที่คิดสร้างสรรค์ และพัฒนาอยู่ก่อนแล้ว หรือคิดสร้างสรรค์ใหม่ก็ได้
3. ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ ต้องสรรหาเกษตรกรในชุมชน หรือเกษตรในพื้นที่ใกล้เคียงกับสถานศึกษา หรือที่พำนักของทีมผู้สมัคร ที่มีความสนใจให้นำผลงานสิ่งประดิษฐ์ หรือแนวความคิด (Idea) ของผู้สมัครไปทดลอง/ทดสอบการใช้งานยังพื้นที่การเกษตรของตนเอง มาก่อนเข้าร่วมโครงการฯ
4. เตรียมข้อมูลตามผลงานที่จะส่งสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ในรูปแบบของ “ข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาผลงาน” (Proposal) เพื่อชี้แจงให้คณะกรรมการ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ทราบถึงแนวทาง รูปแบบในการพัฒนา และการนำผลงานสิ่งประดิษฐ์ไปใช้งาน (สามารถเข้าดูรายละเอียดในก Proposal ได้ที่นี่  )
5. กรอกใบสมัคร Online พร้อมส่ง “ข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาผลงาน” ในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ผ่านทางเว็บไซต์หลักของโครงการฯ ภายในวัน และเวลา ที่โครงการฯ กำหนด
6. สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้ครบตามวัน และเวลา ที่โครงการฯ กำหนด โดยจะมีการลงนามใน “ข้อตกลงการรับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงาน” ของโครงการฯ ระหว่างผู้พัฒนา (ทีมผู้พัฒนาผลงานที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับทุนสนับสนุนพัฒนาผลงาน) และผู้ให้ทุน (ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ)
7. ผลงานของทีมใดมีการนำ “ระบบเกษตรอัจฉริยะ” (Handy Sense) มาใช้งานเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
8. จัดทำคลิปวิดีโอ ความยาว 5-7 นาที ในการนำเสนอผลงาน (ดูรายลเอียดเกี่ยวกับการจัดทำคลิปวิดีโอได้ที่หัวข้อ “คุณสมบัติเพิ่มเติม”)

ทั้งนี้ หากมีเรื่องที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับเงื่อนไขการสมัครเข้าร่วมที่ไม่อยู่ในทั้ง 8 ข้อข้างต้นนี้ ให้ถือผลการพิจารณาของคณะทำงานโครงการ “ต่อกล้าอาชีวะ” ประจำปี 2564 เป็นที่สิ้นสุดตามแต่ละกรณี

การสมัครเข้าร่วมโครงการ 

1. ผู้สมัครต้องกรอกใบสมัคร Online เท่านั้น เปิดรับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 8 ตุลาคม 2564 ผ่านทางเว็บไซต์หลักของโครงการฯ https://www.nectec.or.th/inno-hrd/
2. ก่อนทำการสมัคร ควรมีข้อมูลข้อผู้ร่วมทีม อาจารย์ที่ปรึกษา และข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาผลงาน ให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการกรอกใบสมัคร

ดูรายละเอียดโครงการ ต่อกล้าอาชีวะ
หรือสอบถามเพิ่มเติมทางอีเมล nectectorkla@gmail.com
]]>
แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 22 | ค.ศ.1971 สำหรับการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับฮอโลแกรม https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nobelprizes-optics22.html Fri, 05 Jul 2019 04:00:25 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=20907
แสงกับรางวัลโนเบล
บทความ | ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร
นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าภาพถ่ายปกติบนฟิล์มที่ใช้ในอดีตและตัวรับภาพดิจิทัลที่ใช้ในปัจจุบันบันทึกข้อมูลที่เป็นความเข้มของแสงที่มาจากวัตถุเท่านั้น ทำให้เราเห็นเฉพาะความกว้างและความสูงของวัตถุในสองมิติเพียงอย่างเดียว

โดยสิ่งที่ขาดอยู่ คือ ความลึกของภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะทางหรือเวลาที่แสงเคลื่อนที่จากตำแหน่งต่างๆ บนวัตถุมาถึงฟิล์มรับภาพ หรือ ตัวรับภาพดิจิทัล ข้อมูลที่สำคัญอย่างระยะทางหรือเวลานี่เองที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้เลย

การบันทึกฮอโลแกรมจากหลักการแทรกสอดกันของแสง
(ซ้าย) การบันทึกฮอโลแกรมจากหลักการแทรกสอดกันของแสง และ (ขวา) การสร้างภาพฮอโลแกรมกลับขึ้นมา (https://science.howstuffworks.com)

ข้อมูลที่เป็นระยะทางหรือเวลาที่แสงใช้ในการเดินทางนี้สามารถอธิบายได้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “เฟส” และปัญหานี้เองที่ได้กระตุ้นให้ Dennis Gabor ค้นพบคำตอบ ซึ่งคำตอบนั้นก็คือ การแทรกสอดกันของแสงที่มาจากวัตถุกับแสงอ้างอิง

ผลที่ได้จะเป็นลวดลายการแทรกสอดกันของแสงทั้งสองที่มีข้อมูลความกว้างและความสูงของวัตถุ รวมไปถึงระยะทางหรือเวลาที่แสงใช้ในการเคลื่อนที่จากตำแหน่งต่างๆ บนวัตถุมาถึงฟิล์มรับภาพ หรือ ตัวรับภาพดิจิทัลในปัจจุบัน

เพื่อที่จะให้ได้ภาพสามมิติของวัตถุกลับขึ้นมาก็นำฟิล์มรับภาพที่ได้บันทึกลวดลายการแทรกสอดกันของแสงไว้มาส่องด้วยแสงอ้างอิงอีกทีหนึ่ง ฟิล์มรับภาพที่ได้บันทึกข้อมูลของวัตถุสามมิติไว้ในรูปของลวดลายการแทรกสอดนี้เรียกว่า ฮอโลแกรม (Hologram) ซึ่งเป็นภาษากรีก และเกิดจากคำสองคำผสมกัน คำแรกคือ Holo ที่หมายถึงทั้งหมดหรือสมบูรณ์ ส่วนอีกคำหนึ่งคือ Gram ซึ่งแปลว่าเขียน ดังนั้น Hologram คือการเขียนหรือการบันทึกข้อมูลของวัตถุอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

การทดลองของ Dennis Gabor เห็นผลในช่วงปี ค.ศ. 1948–1950 และเมื่อเลเซอร์ได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นฮอโลแกรมก็เป็นที่แพร่หลายในวงการวิจัย และ ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในหลายๆ ด้าน เช่น การหาตำแหน่งของวัตถุในสามมิติที่ให้ความละเอียดที่ดีกว่าความยาวคลื่นของแสงที่ใช้ การคำนวณหารูปร่างของวัตถุสามมิติ และการศึกษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัตถุสามมิติในช่วงเวลาต่างๆ

ฮอโลแกรมสีรุ้ง
(ซ้าย) ตัวอย่างฮอโลแกรมสีรุ้งสร้างโดยทีมวิจัยเนคเทค และ (ขวา) แผ่นฮอโลแกรมสำหรับเก็บมูลได้ถึง 300 GB จากบริษัท อินเฟสเทคโนโลยี จำกัด
ประวัติย่อ : Dennis Gabor
Dennis Gabor
Dennis Gabor นักฟิสิกส์และวิศวกรไฟฟ้า ชาวอังกฤษ-ฮังการี ผู้ค้นพบหลักการของการสร้างภาพ 3 มิติแบบฮอโลกราฟี

Dennis Gabor เป็นลูกชายคนโตของผู้บริหารเมือง เขาเกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1900 ในเมือง Budapest ประเทศฮังการี เมื่ออายุได้ 15 ปี ก็เกิดความสนใจในเรื่องของคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์จึงได้ศึกษาแคลคูลัส ทฤษฎีไมโครสโคป และการสร้างภาพสีของ Gabriel Lippmann ด้วยตัวเอง นอกจากนี้เขายังได้ร่วมกับน้องชายของเขาสร้างห้องปฏิบัติการภายในบ้านและได้ทำการทดลองเกี่ยวกับรังสีเอ็กซ์ และ กัมมันตภาพรังสี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงเวลานั้นคนที่จบการศึกษาทางฟิสิกส์หางานได้ยากในฮังการี Dennis Gabor จึงได้ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าที่ Technische Hochschule Berlin และจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี ค.ศ. 1924 และระดับปริญญาเอกในปี ค.ศ. 1927 โดยในระหว่างที่ศึกษาอยู่นี้เองก็ได้แวะไปที่ University of Belin บ่อยๆ เพื่อเข้าฟังการบรรยายทางด้านฟิสิกส์ เพราะที่นี่มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Albert Einstein, Max Planck, Walther Nernst และ Max van Laue อยู่ หลังจากจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1927 ก็ได้เข้าทำงานที่ Siemens & Halske AG โดยรับผิดชอบการออกแบบและสร้างหลอดไฟแคดเมียม แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นหลอดไฟไอปรอทความดันสูง ช่วงปี ค.ศ. 1933-1948 ซึ่งเป็นช่วงที่นาซีเรืองอำนาจ เขาได้ย้ายไปยังสหราชอาณาจักรและเข้าทำงานที่ British Thomson-Houston และที่นี่เองที่ทำให้เขามีบทความวิชาการเกี่ยวกับทฤษฎีการสื่อสาร พัฒนาระบบกล้องถ่ายภาพยนตร์ และทำการทดลองที่เกี่ยวกับฮอโลแกรม (ในขณะนั้นเรียกว่าการสร้างหน้าคลื่นย้อนกลับ หรือ Wavefront Reconstruction)

โดยในเรื่องของฮอโลแกรมนั้นเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำการทดลองเรื่องนี้ เพียงแต่ขณะนั้นต้องการที่จะปรับปรุงกล้องอิเล็กตรอนไมโครสโคปให้สามารถวิเคราะห์ได้ในระดับอะตอม แต่ผลที่ได้กลับเป็นผลงานใหม่ทางด้านฮอโลกราฟีที่ส่งผลต่อศาสตร์ทางด้าน Electron Holography และ Optical Holography ในอีก 10-20 ปีให้หลังทีเดียว ช่วงปี ค.ศ. 1949-1967 ได้เป็นศาสตราจารย์ทาง Applied Electron Physics ที่ Imperial College of Science and Technology ณ ที่นี้เขาได้ทำงานวิจัยที่สำคัญและยากหลายอย่าง เช่น กล้องไมโครสโคปที่ใช้หลักการฮอโลกราฟี โทรทัศน์สีจอแบน ทฤษฎีพลาสมา และ ทฤษฎีแมคนีตรอน เป็นต้น

แหล่งข้อมูล
  • Nobel Lectures in Physics 1963-1970, World Scientific Publishing, November 1998.
  • https://nobelprize.org , accessed Feb 2019.
  • https://en.wikipedia.org , accessed Feb 2019.
  • ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร, โฟโทนิกส์ มหัศจรรย์แห่งแสง, นานมีบุ๊คพับลิเคชัน, กรุงเทพฯ, กุมภาพันธ์ 2549.

บทความที่เกี่ยวข้อง

]]>
แสงกับรางวัลโนเบล ตอนที่ 20 | ค.ศ.1964 สำหรับงานพื้นฐานทางด้านควอนตัมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งนำไปสู่หลักการทางด้าน Maser และ Laser https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nobelprizes-optics20.html Thu, 27 Jun 2019 02:30:40 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=20996
แสงกับรางวัลโนเบล
บทความ | ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร
นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)

รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปีนี้ก็มีพื้นฐานของความรู้มาจากสิ่งที่ Albert Einstein ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาอีกเช่นกัน โดยในปี ค.ศ. 1917 Albert Einstein ได้เสนอหลักการเกี่ยวกับ Stimulated Emission ที่ว่ากระบวนการดูดซับแสงต้องมีกระบวนการที่คู่กันเกิดขึ้นนอกเหนือจากกระบวนการเรืองแสง (Spontaneous Emission) ที่เข้าใจกันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งทำให้อะตอมปล่อยพลังงานที่เหมือนกับพลังงานตกกระทบออกมา

กระบวนการ Stimulated Emission จะก่อให้เกิดการขยายสัญญาณแสงที่เคลื่อนที่ตกกระทบวัตถุที่มีคุณลักษณะดังกล่าวได้ ทั้งนี้กระบวนการปล่อยพลังงานดังกล่าวออกมาจะต้องมีประสิทธิภาพมากกว่ากระบวนการดูดซับพลังงานเข้าไป หรือ ในอีกนัยหนึ่งคือ อิเล็กตรอนในระดับชั้นพลังงานที่สูงกว่ามีจำนวนมากกว่าอิเล็กตรอนในระดับชั้นพลังงานที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ประชากรผกผัน (Population Inversion)

แสงที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ Stimulated Emission จะมีความถี่ของแสง เฟสของแสง และมีความเป็นโคฮีเรนจ์ (Coherence) เหมือนกัน และนี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากแสงที่เราคุ้นเคยกันในชีวิตประจำวัน

C.H. Townes, How the laser happened: adventure of a scientist
สมุดจดบันทึกของ Townes เกี่ยวกับ Laser (C.H. Townes, How the laser happened: adventure of a scientist, Oxford University Press, 2002)

หลักการ Stimulated Emission นี้เองที่ Charles Hard Townes และเพื่อนร่วมงานของเขาที่สหรัฐฯ รวมไปถึง Nicolay Gennadiyevich Basov และ Aleksandr Mikhailovich Prokhorov ที่รัสเซียได้นำไปใช้ในการสร้างคลื่นไมโครเวฟที่มีความเป็นโคฮีเรนจ์ (MASER – Microwave Amplification by Stimulated Emission of Radiation) เมื่อปี ค.ศ. 1954

ต่อมาประมาณปี ค.ศ. 1958 Charles Townes และ Arthur L. Schawlow ได้นำเสนอวิธีการสร้าง LASER (Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation) รวมไปถึง Aleksandr Prokhorov ที่รัสเซียเองก็ได้เสนอเรโซเนเตอร์เชิงแสง (Optical Resonator) ที่สร้างขึ้นจากกระจกเพียงสองชิ้น หรือ ที่เราคุ้นกันว่าเป็นโครงสร้างการแทรกสอดกันของแสงตามแบบของ Fabry และ Perot

laser
เรโซเนเตอร์ที่ประกอบด้วยกระจกสองชิ้นวางห่างกันอยู่และภายในบรรจุก๊าซไว้ซึ่งเปล่งแสงเลเซอร์ออกมาเมื่อได้รับพลังงาน (ที่มา https://galileo.phys.virginia.edu/classes/533.op6n/UVAPhysicsOpticsLabs.html )

โครงสร้างการแทรกสอดกันของแสงตามลักษณะดังกล่าวเป็นโครงสร้างที่ทำให้เกิดกระบวนการประชากรผกผันได้ และในช่วงระยะเวลานั้นนักวิทยาศาสตร์ในโลกหลายคนได้พยายามที่จะสร้างเลเซอร์ให้สำเร็จ ซึ่งสุดท้ายแล้ววิศวกรที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งชื่อ Theodore Maiman เป็นคนแรกที่สร้างเลเซอร์จากทับทิมสังเคราะห์สำเร็จเป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1960 และ ต่อมาอีกเพียง 2 ปี เลเซอร์ที่สร้างขึ้นจากสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) ก็ได้มีการประดิษฐ์ขึ้นจากฝีมือของ Robert Hall

เลเซอร์ตัวแรกของโลก
(ซ้าย) Maiman (กลาง) สมุดบันทึกของ Maiman ระหว่างทดลองเรื่องเลเซอร์ และ (ขวา) เลเซอร์ตัวแรกของโลก (https://spie.org/x39920.xml )

นักวิทยาศาสตร์ชื่อ Nicolay Basov ที่นอกเหนือจากจะศึกษา MASER และ LASER แล้ว ยังได้ศึกษาตัวกลางที่เป็นสารกึ่งตัวนำในการนำมาสร้างเลเซอร์ด้วย รวมทั้งยังได้นำเสนอวงจรเชิงแสงสำหรับใช้ทำโลจิกดิจิทัลความเร็วสูง และ ในปี ค.ศ. 1970 ยังได้เสนอการสร้างโปรเจคเตอร์จากลำแสงเลเซอร์ด้วย

ประวัติย่อ : Charles Hard Townes
แสงกับรางวัลโนเบล
Charles Hard Townes นักฟิสิกส์ชาวอเมริกา

Charles Hard Townes เป็นชาวอเมริกันเกิดเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1915 มลรัฐ South Carolina ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นทนายความ เขาได้รับปริญญาตรีทางฟิสิกส์และภาษาศาสตร์จาก Furman University ในปี ค.ศ. 1935 โดยในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ก็เกิดความสนใจในวิชาฟิสิกส์มากขึ้นนอกเหนือจากความสนใจเดิมที่มีอยู่ในเรื่องของธรรมชาติ ขณะที่ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเขายังเข้าทำงานเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ร่วมเป็นนักสะสมของแคมป์ชีววิทยาของมหาวิทยาลัย ร่วมทีมว่ายน้ำของมหาวิทยาลัย และทำหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัย ในปี ค.ศ. 1936 ได้รับปริญญาโทสาขาฟิสิกส์จาก Duke University และได้รับปริญญาเอกจาก California Institute of Technology ในปี ค.ศ. 1939 อาชีพการงานของ Townes เริ่มต้นเป็น Technical Staff ของ Bell Laboratories และได้มีส่วนในการออกแบบระบบทิ้งระเบิดด้วยเรดาร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พร้อมทั้งได้รับสิทธิบัตรในสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1948 ได้เป็นอาจารย์ที่ Columbia University โดยดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ และต่อมาในปึ ค.ศ. 1950 ได้เป็นศาสตราจารย์ ในช่วงปี ค.ศ. 1959-1961 ได้เป็นรองอธิการบดีและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ Institute of Defense Analyses ในปี ค.ศ. 1961 ได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารและศาสตราจารย์ทางด้านฟิสิกส์ที่ Massachusetts Institute of Technology ต่อมาในปี ค.ศ. 1966 และ 1967 ได้เป็นศาสตราจารย์ระดับสูงสุดของ MIT และ University of California ตามลำดับ

ประวัติย่อ : Nicolay G. Basov
แสงกับรางวัลโนเบล
Nicolay G. Basov นักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย

Nicolay G. Basov เกิดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 1922 ที่เมือง Usman ที่รัสเซีย บิดาของเขาเป็นศาสตราจารย์ทำงานเกี่ยวข้องกับผลกระทบของป่าไม้ต่อน้ำใต้ดินและการระบายน้ำบนพื้นผิว หลังจากที่ Nicolay Basov จบระดับมัธยมศึกษาในปี ค.ศ. 1941 ก็เข้าเกณฑ์ทหาร และในปี ค.ศ. 1945 ก็กลับเข้าเรียนที่ Moscow Institute of Physical Engineers โดยศึกษาทางด้านฟิสิกส์ทฤษฎีและการทดลองทางด้านฟิสิกส์ ในปี ค.ศ. 1950 ได้เข้าทำงานที่ P. N. Lebedev Institute of Physics โดยเป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการ Quantum Radio Physics ซึ่งแยกออกมาจากห้องปฏิบัติการ Oscillations ที่มี Aleksandr Prokhorov เป็นหัวหน้าอยู่ Nicolay Basov ยังได้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของภาควิชาโซลิคสเตทฟิสิกส์ที่ Moscow Institute of Physical Engineers ระหว่างทำงานก็ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกโดยทำงานวิจัยร่วมกับ ศาสตราจารย์ Mikhail Leontovich และศาสตราจารย์ Aleksandr Prokhorov จนจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1956

แสงกับรางวัลโนเบล
Aleksandr M. Prokhorov นักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย

Aleksandr M. Prokhorov เกิดในครอบครัวชาวรัสเซียที่ประเทศออสเตรเลียในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 1916 หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรัสเซียก็ย้ายตามครอบครัวกลับภูมิลำเนาเดิมในปี ค.ศ. 1923 Aleksandr Prokhorov เข้าเรียนระดับปริญญาตรีที่ Leningrad State University ในปี ค.ศ. 1934 และจบการศึกษาในอีก 5 ปีถัดมา จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่ P. N. Lebedev Institute of Physics ในห้องปฏิบัติการ Oscillations โดยศึกษาปัญหาการเคลื่อนที่ของคลื่นวิทยุ เขายังได้ร่วมในสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับบาดเจ็บถึง 2 หน ซึ่งหนหลังนี้เองที่ทำให้เขาต้องกลับไปทำงานที่ห้องปฏิบัติการต่อโดยศึกษาทางด้าน Nonlinear Oscillations จุดสำคัญของการศึกษาทางด้านเลเซอร์มาจากการจุดประกายของ Vladimir Veksler ซึ่งได้แนะนำให้เขาศึกษาการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในสภาพวะโคฮีเรนจ์ในแสงซิงโครตรอน ในปี ค.ศ. 1950 ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับ Radio Spectroscopy และควอนตัมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี ค.ศ. 1954 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าห้องปฏิบัติการ Oscillations

แหล่งข้อมูล
  • Nobel Lectures in Physics 1942-1962, World Scientific Publishing, November 1998.
  • https://nobelprize.org , accessed Feb 2019.
  • https://en.wikipedia.org , accessed Feb 2019.
  • ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร, โฟโทนิกส์ มหัศจรรย์แห่งแสง, นานมีบุ๊คพับลิเคชัน, กรุงเทพฯ, กุมภาพันธ์ 2549.

บทความที่เกี่ยวข้อง

]]>