พลังงานแสงอาทิตย์ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Mon, 03 Oct 2022 10:45:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png พลังงานแสงอาทิตย์ – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ (SLT) https://www.nectec.or.th/research/research-unit/ssdrg-slt.html Fri, 06 May 2022 01:10:25 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=18960 Read more]]>

ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ หน่วยวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ เน้นงานวิจัยและพัฒนาทางด้าน Photovoltaic Technology, High-Efficiency Crystalline Solar Cells (Silicon, Hybrid tandem), Thin films and emerging materials and devices including Perovskite Solar Cells, Thin film processing technique (PECVD, MOCVD), PV measurements and characterization, PV reliability testing and analysis, PV/ Hybrid System design and integration, PV modeling and simulation

สารบัญ

วิสัยทัศน์

สร้างองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์ให้ทัดเทียมระดับสากล และก่อให้เกิดผลกระทบในด้านวิชาการ เศรษฐกิจและสังคม

พันธกิจ

วิจัย และพัฒนา สร้างองค์ความรู้ และนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้งานโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย ให้เกิดประโยชน์อย่างคุ้มค่าและยั่งยืน ตอบโจทย์ภาคเอกชน และนโยบายประเทศ

เทคโนโลยีหลัก

  • เทคโนโลยีการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์

วิจัยและพัฒนาวัสดุและเทคโนโลยีการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีค่าประสิทธิภาพสูงและมีค่าสัมประสิทธิทางอุณหภูมิต่ำเหมาะกับใช้งานในเขตภูมิอากาศร้อนชื้นและรวมถึงประเทศไทย ได้แก่ เทคโนโลยีการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดฟิล์มบางซิลิคอนบนกระจก เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดฟิล์มบางซิลิคอนแบบโค้งงอได้ เทคโนโลยีการสร้างเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดรอยต่อเฮเทอโรบนผลึกซิลิคอน และเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์ นอกจากนี้ยังมีการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงคุณสมบัติของวัสดุที่เกี่ยวข้องกับเซลล์แสงอาทิตย์ ได้แก่ การกัดกระจกฐานรอง การกัดแผ่นซิลิคอน การพัฒนาฟิล์มอินเดียมทินออกไซด์ที่มีความโปร่งแสงสูง เป็นต้น

  • การวิเคราะห์สมรรถนะและความน่าเชื่อถือของแผงและระบบเซลล์แสงอาทิตย์

ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มีความเชี่ยวชาญในการศึกษาและวิเคราะห์สมรรถนะการทำงานของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ และระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งในเขตร้อนชื้น รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาการเสื่อมสภาพที่เกิดในระบบเซลล์แสงอาทิตย์ เช่น Light induced degradation (LID) และ Potential induced degradation (PID) โดยในการใช้งานจริงเซลล์แสงอาทิตย์และวัสดุที่ใช้ในการประกอบแผงจะมีการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน โดยอัตราการเสื่อมนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ของสถานที่ติดตั้ง เช่น อุณหภูมิ และ ความชื้น ประเทศไทยมีศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ที่สูง แต่การที่สภาพอากาศของประเทศไทยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูง และความชื้นสูงตลอดทั้งปีนั้นส่งผลต่อการผลิตไฟฟ้า และอัตราการเสื่อมของแผง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเก็บผลข้อมูลระยะยาวเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้ประเทศไทย

  • การจำลองและคาดการณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากระบบเซลล์แสงอาทิตย์

ห้องปฏิบัติการวิจัยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ได้พัฒนาโปรแกรมคาดการณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ แบบระยะยาว รายเดือน รายปี และอยู่ระหว่างการพัฒนาโปรแกรมสำหรับการคาดการณ์ล่วงหน้าระยะสั้นแบบไม่เกิน 3 วันล่วงหน้า ผลการคาดการณ์มีประโยชน์ในการประเมินความคุ้มทุน และการบริหารจัดการพลังงาน คณะวิจัยให้ความสำคัญกับรูปแบบของการติดตั้งระบบ ทั้งแบบการติดตั้งบนพื้นดิน บนหลังคา แบบเป็นส่วนนึงของอาคาร และแบบระบบผสมผสาน

  • พัฒนาผลิตภัณฑ์และการประยุกต์ใช้งานเซลล์แสงอาทิตย์

วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆจากเซลล์แสงอาทิตย์ เช่น เซลล์แสงอาทิตย์ชนิดสีสันสวยงาม (Colorful PV) สามารถติดตั้งร่วมกับสิ่งปลูกสร้างทดแทนกระจกอาคารและช่วยลดการส่งผ่านความร้อนเข้ามายังอาคาร เป็นต้น

ผลงานเด่น

solar cell
  • ต้นแบบเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดโค้งงอได้ โดยสร้างขึ้นบนแผ่น polyimide ขนาด 10 cm × 10 cm มีค่ากำลังไฟฟ้า 0.27 W (Voc = 10.3 V, Isc = 45.2 mA, FF = 0.58, Eff = 5.9%)
Solar cell
  • ต้นแบบเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดรอยต่อเฮเทอโรบนฐานรองผลึกเดี่ยวซิลิคอนชนิดเอ็น (SHJ) พื้นที่ขนาด 1 cm× 1 cm มีค่าประสิทธิภาพ 20.2% (Voc = 694 mV, Jsc = 37 mA/cm2, and FF = 0.79)
  • ต้นแบบเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดรอยต่อเฮเทอโรฯที่มีขั้วนำไฟฟ้าบวก-ลบที่ด้านหลัง (IBC-SHJ) พื้นที่ขนาด 1.5 cm× 1.5 cm มีค่าประสิทธิภาพ 18.3% (Voc = 707 mV, Jsc = 35.7 mA/cm2, and FF = 0.73)
Solar cell
  • การประเมินสมรรถนะและความน่าเชื่อถือระยะยาวของเซลล์แสงอาทิตย์หลายเทคโนโลยีและอุปกรณ์แปลงไฟฟ้าที่ติดตั้งใช้งานภายใต้ภูมิอากาศประเทศไทย เป็นการวิเคราะห์การทำงานและอัตราการเสื่อมสภาพของเซลล์แสงอาทิตย์ 4 เทคโนโลยี ที่ติดตั้งใช้งานจริงที่บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร ตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งผลงานวิจัยนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง เนคเทค และบริษัทTABUCHI ELECTRIC จำกัด
Solar Might
  • ซอฟต์แวร์คาดการณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่ติดตั้งในเขตร้อนชื้น (SolarMight) เป็นโปรแกรมคาดการณ์ที่ใช้โมเดลที่เหมาะกับเขตร้อน ใช้ข้อมูลจริงจากการเก็บข้อมูลระยะยาวในประเทศไทยในการพัฒนา สามารถใช้คาดการณ์กำลังการผลิตไฟฟ้าจากระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ก่อนการติดตั้งจริง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ผลงานนี้เป็นการวิจัยและพัฒนาภายใต้โปรแกรมวิทยาการสารสนเทศบริการ ของเนคเทค

บุคลากรและความเชี่ยวชาญ

  • กอบศักดิ์ ศรีประภา นักวิจัย, D.Eng. : Development of photovoltaic technologies for tropical climate, Thin film silicon solar cells, PECVD/ PVD process, Characterization of photovoltaic system
  • จรัญ ศรีธาราธิคุณ นักวิจัย, D.Eng. : Development of thin film and crystalline silicon solar cell, Deposition and characterization of thin film silicon and perovskite materials.
  • อมรรัตน์ ลิ้มมณี นักวิจัย, D.Eng. : Fabrications of multi-crystalline Si solar cell and thin film Si solar cell, Preparation and property analysis of a-Si, a-SiO, a-SiN, a-SiCN, µc-Si, µc-SiO thin films, Characterization of photovoltaic modules and systems, Performance and reliability test of photovoltaic cells, modules and systems, Simulation of photovoltaic performance under tropical climate condition, Development of photovoltaic modules suiting for tropical climate
  • ทวีวัฒน์ กระจ่างสังข์ นักวิจัย, D.Eng. : Solar cell materials, Thin film silicon solar cell, Crystalline silicon heterojunction solar cells
  • อัศวิน หงษ์สิงห์ทอง นักวิจัย, D.Eng. : Thin-film silicon solar cells, ZnO material, PECVD, PVD and MOCVD processes, Characterization of thin-film materials, Semiconductor Physics and devices, PV system design
  • นพดล สิทธิพล นักวิจัย, Ph.D. : Inspection & Testing PV module and system, PV water pumping, PV tracking system and PV string auto cleaning
  • ทรงเกียรติ กิตติสนธิรักษ์ นักวิจัย, Ph.D. : PV module development, PV system and application, PV system design and evaluation (On grid, off grid, Hybrid and Micro grid), PV Monitoring method, PV Modelling and Simulation of PV System
  • พีระวุฒิ ชินวรรังสี นักวิจัย, M.Eng. : PV system and application, PV failure analysis by EL techniques, PV system design and evaluation (On grid, off grid, Hybrid and Micro grid), Simulation of PV System, PV power and solar irradiance forecasting

ติดต่อ

ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ (SLT)
กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ (SSDRG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค)
อีเมล : slt[at]nectec.or.th
โทร. : (+66)2-564-6900 ต่อ 2716

]]>
Solar Cooling’ ระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ https://www.nectec.or.th/news/news-public-document/solarcooling.html Wed, 14 Jul 2021 03:57:43 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=16887
บทความ | เอกชาติ หัตถา
ทีมระบบไซเบอร์-กายภาพ (CPS)
กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม (IIARG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
ภาพประกอบ | อิสริยาพร วรทิศ
เรียบเรียง | ศศิวิภา หาสุข

พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดและเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาวะแวดล้อม หากมีการนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ย่อมจะสร้างความยั่งยืนทางด้านพลังงานให้กับประเทศในภาพรวม ในปัจจุบันการประยุกต์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบซึ่งประกอบด้วย 1) พลังงานไฟฟ้า (Electrical Energy) และ 2) พลังงานความร้อน (Thermal Energy) กล่าวคือ พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์จะได้จากการประยุกต์ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์ (Photovoltaic Panel) โดยอาศัยหลักการทำงานของสารกึ่งตัวนำ (Semiconductor) และผลิตพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current) ออกมาเมื่อแผงเซลล์แสงอาทิตย์ได้รับแสงที่ช่วงความยาวคลื่นตั้งแต่ Ultraviolet ไปจนถึง Visible (รูปที่ 1) ขณะที่พลังงานความร้อนจะได้จากการใช้แผงรับแสงอาทิตย์ (Solar Collector) โดยอาศัยหลักการดูดซับแสงอาทิตย์ที่ช่วงความยาวคลื่นตั้งแต่ Visible ไปจนถึง Infrared และเปลี่ยนไปเป็นพลังงานความร้อน จากนั้นจึงใช้สารทำงาน (Working fluid) พาความร้อนออกมาจากแผงรับแสงอาทิตย์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

ในรูปที่ 1 เมื่อประมาณค่าพื้นที่ใต้กราฟสีเขียว (ค่าพลังงานแสงอาทิตย์โดยรวม) ที่ค่า Air Mass (AM) 1.5 ระหว่างช่วงความยาวคลื่นตั้งแต่ Ultraviolet ไปจนถึง Infrared พบว่า ช่วง Ultraviolet ถึง Visible ซึ่งเป็นช่วงการทำงานของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ จะมีค่าพื้นที่ใต้กราฟน้อยกว่าช่วง Visible ถึง Infrared ซึ่งเป็นช่วงการทำงานของแผงรับแสงอาทิตย์ ดังนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สัดส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่จะมีค่าเหมาะกับแผงรับแสงอาทิตย์ ซึ่งจะสอดคล้องกับค่าประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงพลังงานของแผงเซลล์แสงอาทิตย์และแผงรับแสงอาทิตย์ที่มีค่าอยู่ประมาณ 20% และ 50% ตามลำดับ

solar cooling

รูปที่ 1: สเปคตรัมของแสงอาทิตย์ที่ย่านความยาวคลื่น Ultraviolet, Visible, และ Infrared [1]

ประเทศไทยมีศักยภาพด้านพลังงานแสงอาทิตย์ตลอดทั้งปี และด้วยการสนับสนุนจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำโครงการติดตั้งเครื่องมือวัด ศึกษา และรวบรวมค่าพลังงานแสงอาทิตย์จากสถานีตรวจวัดหลายแห่งทั่วทุกภูมิภาคเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปี จึงทำให้ประเทศไทยมีแผนที่พลังงานแสงอาทิตย์เฉลี่ยตลอดทั้งปีที่สามารถใช้ในการประเมินศักยภาพของพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับการประยุกต์ใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั่วประเทศ และนอกจากนี้ ยังพบอีกด้วยว่า ประเทศไทยมีความระดับความเข้มของพลังงานแสงอาทิตย์ (รูปที่ 2) สูงมากเฉลี่ยประมาณ 18 เมกะจูลต่อตารางเมตรต่อวัน (MJ/m2/day) หรือเทียบเท่ากับพลังงาน 5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน (kWh/m2/day) ซึ่งเป็นค่าที่มากและอยู่ใน 5 อันดับแรกของโลก

Cinque Terre

รูปที่ 2: แผนที่แสงอาทิตย์เฉลี่ยตลอดปี

ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากค่าประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงพลังงานของแผงรับแสงอาทิตย์ที่มีค่าอยู่ประมาณ 50 % และค่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีค่าอยู่ประมาณ 5 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อตารางเมตรต่อวัน จึงมีเหตุผลสำคัญที่ควรจะศึกษาและให้ความสำคัญกับระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากความร้อนที่ได้จากแสงอาทิตย์ไปทำความเย็นภายในอาคารด้วยเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึม

ระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Air Conditioning)

ระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ มุ่งเน้นการประยุกต์และผสมผสานการใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ได้รับจากแผงรับแสงอาทิตย์ชนิดหลอดแก้วสุญญากาศแบบฮีทไปป์ (Evacuated Tube with Heat Pipe Solar Collector) ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานความร้อนด้วยการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ไปเป็นพลังงานความร้อน ร่วมกับเครื่องทำความเย็นชนิดดูดซึมไอแบบ 1 ชั้น (Single Effect Absorption Chiller) ที่เป็นแหล่งรับพลังงานความร้อนจากแผงฯ และเปลี่ยนเป็นความเย็นโดยอาศัยหลักการของวัฏจักรเทอร์โมไดนามิกส์ และท้ายที่สุดกระบวนการทำความเย็นของระบบปรับอากาศจะเหมือนกับระบบปรับอากาศชนิดอัดไอ (Vapor Compression Chiller) ทั่วไปตรงที่ น้ำเย็นที่ผลิตได้จากเครื่องทำความเย็น จะไหลผ่านหัวจ่ายอากาศเย็น (Fan Coil Unit; FCU) ไปยังบริเวณที่ต้องการทำความเย็น (Cooling Space) และไหลเวียนกลับมายังเครื่องฯ เพื่อสร้างความเย็นเป็นวัฏจักรอย่างต่อเนื่อง

Solar Cooling

รูปที่ 3: ความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการความเย็นภายในอาคารกับปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์

รูปที่ 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการความเย็นภายในอาคารกับปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ที่อาคารได้รับจากแสงอาทิตย์ผ่านผนังอาคาร (Building Envelope) ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งแสงอาทิตย์ตกกระทบกับตัวอาคารมากเท่าไร ยิ่งทำให้อาคารต้องการทำความเย็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสภาวะที่ตรงกันในช่วงเวลา (In Phase) ดังนั้นเมื่อเกิดสภาวะการรับความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่มีผลต่อการทำความเย็นภายในอาคาร การประยุกต์ใช้งานเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมโดยอาศัยพลังงานความร้อนจากแผงรับแสงอาทิตย์ ย่อมสามารถใช้งานได้อย่างสอดคล้องในสภาวะเงื่อนไขนี้เป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ ถ้ามีพลังงานแสงอาทิตย์เข้าสู่ตัวอาคารมากขึ้นเท่าไร พร้อมๆ กับถ้าหากสามารถเปลี่ยนพลังงานดังกล่าวไปเป็นความเย็นผ่านเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมได้ ย่อมจะช่วยลดภาระการทำความเย็นของอาคารจากเครื่องปรับอากาศชนิดอัดไอซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำความเย็นหลักภายในอาคารซึ่งกินพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมากถึงประมาณ 50-60% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของอาคาร [4] ดังนั้นรูปแบบการประยุกต์ใช้ระบบปรับอากาศชนิดนี้ จึงเป็นระบบเสริม (Auxiliary system) ที่ทำงานควบคู่กับแหล่งสร้างความเย็นจากระบบปรับอากาศชนิดอัดไอ ซึ่งเป็นระบบหลักของอาคาร และสามารถนำไปสู่การลดการใช้พลังงานไฟฟ้าของอาคารในภาพรวม

กล่าวโดยสรุป ระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ (รูปที่ 4) จะเป็นการเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบของพลังงานความร้อนป้อนเข้าสู่กระบวนการทำความเย็นโดยความร้อน (Thermally- Driven Cooling Process) ด้วยเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึม และได้น้ำเย็น (Chilled water) ออกมาใช้ในการทำความเย็นภายในอาคาร ตามลำดับ

Cinque Terre

รูปที่ 4: ไดอะแกรมของระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์

แผงรับแสงอาทิตย์ (Solar Thermal Collector)

ในปัจจุบัน มีการประยุกต์ใช้แผงรับแสงอาทิตย์ (Solar Thermal Collector) ที่ใช้งานด้านความร้อนหลายชนิด โดยส่วนใหญ่จะเน้นที่ระดับอุณหภูมิที่ใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ อุณหภูมิไม่สูง (ประมาณ 40 องศาเซลเซียส), อุณหภูมิปานกลาง (ประมาณ 60-80 องศาเซลเซียส) ไปจนถึงอุณหภูมิสูงมาก (ตั้งแต่ 100–500 องศาเซลเซียส) การทำให้แผงรับแสงอาทิตย์มีระดับอุณหภูมิที่ต่างกันจะขึ้นกับโครงสร้างของแผง ซึ่งถ้าเป็นแผงรับแสงอาทิตย์ที่สามารถทำระดับอุณหภูมิไม่สูงจนถึงปานกลาง จะมีโครงสร้างที่เป็นชนิดไม่รวมแสง (Nonconcentrating) ขณะที่ ถ้าเป็นแผงรับแสงที่ทำระดับอุณหภูมิสูงมาก จะมีโครงสร้างที่ต้องมีการรวมแสง (Concentrating) และต้องมีการเคลื่อนที่ (Tracking) แผงตลอดทั้งวันทั้งในรูปแบบ 1 แกน หรือ 2 แกน เพื่อให้แผงสามารถรับพลังงานแสงอาทิตย์ได้สูงสุดตลอดทั้งวันตามทิศทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ รูปที่ 5 เป็นโครงสร้างที่อธิบายแผงรับแสงอาทิตย์ได้อย่างชัดเจนว่า ในแต่ละโครงสร้างของแผงรับแสงอาทิตย์ จะมีโครงสร้างอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นแผงชนิดไม่รวมแสง (Nonconcentrating) ที่สามารถทำอุณหภูมิไม่สูงจนถึงปานกลาง จะประกอบด้วย Solar Pond, แผงชนิดแผ่นเรียบ (Flat Plate) และแผงชนิดหลอดสุญญากาศ (Evacuated Tube) แต่ถ้าเป็นแผงชนิดรวมแสง (Concentrating) ที่สามารถทำอุณหภูมิสูงมาก จะมีตั้งแต่กลุ่มที่แผงไม่มีการเคลื่อนที่ (Non tracking) เช่น Compound Parabolic Collector ไปจนถึงกลุ่มที่มีการเคลื่อนที่ 1 แกน (One-Axis Tracking) เช่น Compound Parabolic Collector หรือ Parabolic trough และการเคลื่อนที่ 2 แกน (Two-Axis Tracking) เช่น Parabolic Dish ตามลำดับ

Cinque Terre

รูปที่ 5: โครงสร้างของแผงรับแสงอาทิตย์สำหรับงานด้านความร้อน

ในการศึกษาระบบปรับอากาศพลังงานแสงอาทิตย์ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้ศึกษาการประยุกต์ใช้แผงรับแสงอาทิตย์ชนิดหลอดแก้วสุญญากาศแบบฮีทไปป์ (Evacuated Tube with Heat Pipe Solar Collector) มาใช้งานร่วมกับเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึม โดยที่ แผงรับแสงอาทิตย์ชนิดนี้สามารถทำระดับอุณหภูมิได้สูงถึง 180-200 องศาเซลเซียส และเหตุผลสำคัญที่ทำให้แผงรับแสงอาทิตย์ชนิดนี้สามารถทำระดับอุณหภูมิได้สูงเกิดจากเหตุผลสำคัญ 2 ประการดังนี้

  1. การใช้หลอดแก้วสุญญากาศเพื่อลดการสูญเสียความร้อนกับสภาพแวดล้อม
  2. การใช้ฮีทไปป์ที่สามารถสร้างอุณหภูมิด้วยการใช้หลักการเปลี่ยนสถานะ (Phase change)

รูปที่ 6 เป็นการอธิบายปรากฏการณ์ของการสูญเสียความร้อน (Heat Loss) ซึ่งประกอบด้วย 3 รูปแบบคือ การนำความร้อน (Conduction), การพาความร้อน (Convection), และการแผ่รังสี (Radiation) ที่ความดันภายในของหลอดแก้วในระดับต่างๆ กัน โดยที่ถ้าหากแผงรับแสงอาทิตย์อยู่ภายในหลอดแก้วที่สภาวะความดันปรกติ (1 Bar)(รูปซ้าย) จะพบว่า เมื่อแผงรับแสงอาทิตย์ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ในย่านความถี่ต่างๆ จะมีความร้อนสะสมภายในแผง และทำให้แผงมีอุณหภูมิสูงขึ้นเทียบกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ เป็นผลให้เกิดการถ่ายเทความร้อนทั้ง 3 รูปแบบ ย้อนกลับไปยังสภาพแวดล้อมเนื่องจากผลของความต่างของอุณหภูมิที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากมีการดึงความดันภายในหลอดแก้วให้มีสภาพที่เป็นสุญญากาศเล็กน้อย (10-2 Bar)(รูปกลาง) จะทำให้การสูญเสียความร้อนเนื่องจากการพาความร้อนเริ่มหายไป และการสูญเสียจากการนำความร้อนเริ่มจะมีค่าลดลงด้วย ทั้งนี้เนื่องมาจากอิทธิพลของตัวกลาง (อากาศ) ภายในหลอดแก้วที่มีปริมาณลดลงเพราะอยู่ในสภาวะสุญญากาศเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการลดระดับความดันภายในหลอดแก้วต่อไปจนถึงระดับที่เกือบเป็นสุญญากาศ (10-6 Bar)(รูปขวา) จะทำให้รูปแบบการสูญเสียความร้อนเหลือเพียงการแผ่รังสีเท่านั้น และทำให้แผงรับแสงอาทิตย์สามารถเก็บพลังงานความร้อนไว้ภายในหลอดแก้วมากยิ่งขึ้น และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แผงรับแสงอาทิตย์ชนิดหลอดสุญญากาศมีความสามารถให้การสร้างอุณหภูมิน้ำร้อนให้สูงได้

Solar Cooling

รูปที่ 6: การสูญเสียความร้อนเนื่องจากความดันภายในหลอดแก้วสุญญากาศ [1]

นอกจากผลของความดันภายในหลอดแก้วสุญญากาศแล้ว การใช้ฮีทไปป์ยังเป็นการช่วยเสริมให้แผงรับแสงอาทิตย์ชนิดหลอดสุญญากาศนี้ มีความสามารถในการทำอุณหภูมิให้สูงได้ หลักการทำงานของฮีทไปป์ (รูปที่ 7) จะอาศัยหลักการเปลี่ยนสถานะ (Phase) ของสารทำงาน (Working Fluid) ภายในหลอดฮีทไปป์ที่จะทำหน้าที่รับพลังงานความร้อนจากแผ่นครีบรับแสงอาทิตย์ (Absorber) ที่ติดตั้งอยู่ภายในหลอดแก้วสุญญากาศ จนกระทั่งสารทำงานกลายสถานะเป็นไอ (Vapor) ภายในหลอดฮีทไปป์ และลอยขึ้นไปสู่บริเวณที่จะระบายความร้อนออก ที่เรียกว่า Condenser เมื่อสารทำงานระบายความร้อนด้วยการถ่ายเทความร้อนให้กับสารทำงานอื่นแล้ว สารทำงานจะมีอุณหภูมิลดลง และควบแน่นกลับมาอยู่ในสถานะของเหลว (Liquid) อีกครั้ง และไหลลงสู่บริเวณด้านล่าง เพื่อที่จะไปรับความร้อนเป็นวัฏจักรไปอย่างต่อเนื่องเมื่อมีการรับความร้อนผ่านแผ่นครีบและมีการดึงความร้อนออกจาก Condenser ดังนั้นหลักการทำงานของฮีทไปป์จึงมีรูปแบบเป็น Passive Heat Transfer ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานใดๆ ทำให้ระบบทำงาน มีเพียงแค่ผลต่างของอุณหภูมิที่เกิดขึ้นระหว่างบริเวณที่รับความร้อนและบริเวณ Condenser เท่านั้นในการขับเคลื่อนวัฏจักรของหลอดฮีทไปป์

Cinque Terre

รูปที่ 7: โครงสร้างของหลอดฮีทไปป์
Heat Pipe

รูปที่ 8: ลักษณะการติดตั้งหลอดแก้วกับฮีทไปป์บนท่อ Header [1]
Heat Pipe

รูปที่ 9: ลักษณะการทำงานของหลอดแก้วสุญญากาศชนิดฮีทไปป์ [1]

รูปที่ 8 เป็นลักษณะการติดตั้งหลอดแก้วสุญญากาศกับฮีทไปป์บนท่อ Header ที่มีโครงสร้างการจัดเรียงของหลอดแก้วสุญญากาศเป็นชุด ซึ่งในแต่ละชนิดของแผงรับแสงอาทิตย์จะมีการออกแบบให้มีขนาดแตกต่างกัน โดยจะใช้จำนวนหลอดแก้วเป็นตัวกำหนดขนาดของแผง เช่น แผงชนิด 8 หลอด หรือไปจนถึง 32 หลอด ขึ้นอยู่กับลักษณะและระดับอุณหภูมิที่จะใช้งาน นอกจากนี้ เพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นถึงลักษณะการทำงานของสารทำงานภายในแผงรับแสงอาทิตย์ชนิดหลอดแก้วสุญญากาศแบบฮีทไปป์และการถ่ายเทความร้อนไปยังสภาพแวดล้อม รูปที่ 9 จะแสดงให้เห็นถึงการไหลของทั้งฮีทไปป์ที่สารทำงานจะมีลักษณะการไหลไปมาระหว่าง Condenser และบริเวณที่รับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ ในขณะที่ บริเวณ Condenser จะมีการไหลอีกชนิดที่มีการแลกเปลี่ยนความร้อนด้วยการพาความร้อนที่บริเวณท่อ Heade

เครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึม (Absorption Chiller)

เครื่องปรับอากาศที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ เครื่องปรับอากาศชนิดอัดไอ (Vapor Compression) และเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมไอ (Vapor Absorption) โดยทั่วไประบบปรับอากาศชนิดอัดไอจะประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 4 อุปกรณ์ด้วยกัน คือ 1) เครื่องต้มระเหย (Evaporator) 2) เครื่องอัดไอ (Compressor) 3) เครื่องควบแน่น (Condenser) และ 4) อุปกรณ์ควบคุมสารทำความเย็น (Expansion Valve) ลักษณะการทำงานของเครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะเริ่มเป็นวัฏจักร (Cycle) ดังนี้ เริ่มจากที่ Evaporator สารทำความเย็นจะเปลี่ยนสถานะกลายเป็นไอเมื่อได้รับความร้อน เนื่องจากความดันในอุปกรณ์นี้มีค่าต่ำ เมื่อความร้อนจากบริเวณที่ต้องการทำความเย็น (Cooled Space) มาสัมผัสกับสารทำความเย็นภายใน Evaporator จะมีอุณหภูมิลดต่ำ ซึ่งเป็นสภาวะในการทำความเย็นของระบบปรับอากาศ และเมื่อสารทำความเย็นกลายเป็นไอแล้วจะเข้าสู่ Compressor เพื่ออัดให้ไอของสารทำความเย็นนี้มีความดันเพิ่มขึ้นและเคลื่อนที่ไปยัง Condenser เพื่อที่จะควบแน่นสารทำความเย็นให้กลับมาเป็นของเหลวอีกครั้ง และเป็นการถ่ายเทความร้อนจาก Evaporator ออกไปสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อทำให้สารทำความเย็นได้ควบแน่นกลับมาเป็นสถานะของเหลวอีกครั้ง จากนั้นสารทำความเย็นที่อยู่ในสถานะของเหลวจะไหลผ่าน Expansion Valve เพื่อลดความดันและทำให้อุณหภูมิลดลง เพื่อที่จะสามารถกลับมารับความร้อนที่ Evaporator เป็นวัฏจักรได้อย่างต่อเนื่อง

รูปที่ 10 แสดงแผนภาพอุปกรณ์ต่างๆ ของระบบทำความเย็นและแผนภาพของอุณหภูมิและเอนโทรปี (T-S Diagram) ที่แสดงถึงสภาวะการรับความร้อนของสารทำความเย็นจาก Evaporator (QL) และการคายความร้อน (QH) ที่เครื่องควบแน่น (Condenser) โดยใช้พลังงานไฟฟ้า (Win) ในการขับเคลื่อนเครื่อง Compressor เพื่อให้ระบบทำความเย็นนี้สามารถทำงานได้เป็นวัฏจักรอย่างต่อเนื่อง โดยมีทิศทางการทำงานของสารทำความเย็นจะไหลในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาตามแผนภาพ

Solar Cooling

รูปที่ 10: แผนภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศชนิดอัดไอ [7]

รูปที่ 11 แสดงตัวอย่างของเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมโดยใช้ Generator, Absorber และ Regenerator ทำหน้าที่แทนคอมเพรสเซอร์ในระบบอัดไอ (ตามที่แสดงในเส้นประ) ในขณะที่อุปกรณ์ในการทำความเย็น (เทียบกับรูปที่ 10) ซึ่งประกอบด้วย Evaporator, Condenser และ Expansion Valve จะยังคงเหมือนเดิม

Solar cooling

รูปที่ 11: แผนภาพการทำงานของเครื่องทำความเย็นชนิดดูดซึม [7]

หลักการทำงานของเครื่องทำความเย็นชนิดดูดซึมจะสามารถอธิบายโดยใช้แผนภาพ P-T-x (ความดัน–อุณหภูมิ–องค์ประกอบของสาร) ในรูปที่ 12 และรูปที่ 13 ได้ดังนี้ เริ่มจากที่จุด 4 (บริเวณทางออกของ Generator หรือเรียกอีกชื่อว่า Desorber) องค์ประกอบของสารละลายระหว่างสารดูดซึม (Absorbent) คือ ลิเทียมโบรไมด์ และสารทำความเย็น (Refrigerant) โดยที่สารละลาย (น้ำและเกลือ) ที่มีความเข้มข้นของลิเทียมโบรไมด์สูง (Strong Solution) จะไหลผ่านเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) ที่อยู่ระหว่างจุดที่ 4 และจุดที่ 5 ไปยัง Absorber และที่บริเวณ Absorber ที่อยู่ระหว่างจุดที่ 6 และจุดที่ 1 สารดูดซึมลิเทียมโบรไมด์ที่มีความเข้มข้นสูงจะทำหน้าที่ดูดซึมน้ำที่เป็นไอระเหยออกมาจาก Evaporator และที่ Absorber นี้จะต้องมีการถ่ายเทความร้อนออกไปยังสภาวะแวดล้อมโดยใช้น้ำหล่อเย็น (Cooling Water) เพื่อให้สารละลายใน Absorber มีความสามารถในการดูดซึมไอน้ำได้อย่างต่อเนื่องโดยความเข้มข้นของสารละลายลิเทียมโบรไมด์จะลดต่ำจนกลายเป็นสารละลายเจือจาง (Weak Solution) เนื่องจากสารละลายลิเทียมโบรไมด์ใน Absorber มีน้ำที่มาจากไอน้ำระเหยและละลายปนอยู่มาก จากนั้นสารละลายเจือจางของลิเทียมโบรไมด์จะถูกดูดโดยปั๊มผ่าน Heat Exchanger ไปยัง Generator อีกครั้งเพื่อที่จะทำการระเหยน้ำออกไปและทำให้ลิเทียมโบรไมด์กลับมาเป็นสารละลายที่มีความเข้มข้นสูงสำหรับใช้ในการดูดซึมไอน้ำในวัฏจักรต่อไป ขณะเดียวกัน น้ำที่ได้รับความร้อนจาก Generator จะกลายเป็นไอน้ำและไหลไปยัง Condenser เพื่อลดอุณหภูมิโดยถ่ายเทความร้อนให้กับสภาพแวดล้อมและควบแน่นกลายเป็นน้ำและไหลผ่าน Expansion Valve (Refrigerant Flow Restrictor) ที่อยู่ระหว่างจุดที่ 8 และจุดที่ 9 ไปยัง Evaporator สำหรับใช้ในการรับความร้อนจาก Evaporator ได้อย่างต่อเนื่องในวัฏจักรต่อไป

Solar cooling

รูปที่ 12: แผนภาพการทำงานของเครื่องทำความเย็นชนิดดูดซึม [9]
Solar cooling

รูปที่ 13: แผนภาพความดัน–อุณหภูมิ–องค์ประกอบ (P-T-X) ของเครื่องทำความเย็นชนิดดูดซึม [9]

ดังนั้นโครงสร้างเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมจะใช้ความร้อนเป็นตัวขับเคลื่อนระบบทำความเย็นในการระเหยน้ำออกจากสารละลายเกลือ เพื่อให้สารละลายเกลือสามารถกลับไปดูดซึมไอน้ำได้ใหม่ที่ห้อง Absorber และเพื่อเปรียบเทียบกับระบบอัดไอจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนปั๊มน้ำร้อนในเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมนี้ จะใช้พลังงานน้อยกว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน Compressor ในระบบอัดไอเป็นอย่างมาก และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบปรับอากาศชนิดูดซึมมีการใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากใช้น้ำเย็นเป็นสารทำความเย็นโดยใช้น้ำเกลือเป็นตัวกลางในการขับเคลื่อน ซึ่งไม่เหมือนกับระบบอัดไอซึ่งใช้สารทำความเย็นชนิดสาร Chlorofluorocarbons (CFC) ที่เป็นสารทำลายชั้นโอโซนอีกด้วย

ตัวอย่างการติดตั้งใช้งานในอาคารเนคเทค

ปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ได้ติดตั้งและทดสอบระบบปรับอากาศด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ที่บริเวณดาดฟ้าอาคาร โดยติดตั้งเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมที่บริเวณชั้น 6 และติดตั้งชุดแผงรับแสงอาทิตย์ที่บริเวณชั้น 7 และชั้น 8 เครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึมมีขนาด 10 ตันความเย็นหรือเทียบเท่ากับ 120,000 บีทียู (BTU) และมีจำนวนแผงรับแสงอาทิตย์ทั้งหมดจำนวน 96 แผง โดยต่อเป็น 2 ชุดชุดละ 48 แผงซึ่งมีรูปแบบการต่ออนุกรมของชุดแผงที่ต่างกันเพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการสร้างระดับอุณหภูมิของชุดแผงฯ ที่อัตราการไหลผ่านของน้ำร้อนที่ต่างกัน

Solar Cooling

รูปที่ 14: ลักษณะการวางของหลอดรับแสงอาทิตย์บน Header
Solar Cooling

รูปที่ 15: ชุดแผงรับแสงอาทิตย์จำนวน 96 แผง
Solar cooling

รูปที่ 16: เครื่อง Absorption Chiller (รูปซ้าย) และถังน้ำร้อน (รูปขวา)
Solar cooling

รูปที่ 17: หน้าจอระบบ WiMarc ที่ใช้วัดค่าอุณหภูมิของชุดแผงรับแสงอาทิตย์ ที่ติดตั้งบริเวณชั้น 7 และชั้น 8
Solar Cooling

รูปที่ 18: Grafana หน้าหลัก

รูปที่ 14 และรูปที่ 15 เป็นลักษณะการติดตั้งจัดวางของชุดแผงรับแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งที่บริเวณดาดฟ้าอาคารเนคเทค รูปที่ 16 เป็นเครื่อง Absorption Chiller และชุดถังน้ำร้อนที่ติดตั้งบริเวณชั้น 6 โดยจะมีการติดตั้งปั๊มน้ำร้อนจำนวน 2 ตัว ที่ทำหน้าที่ดูดน้ำร้อนจากถังน้ำร้อนไหลเวียนขึ้นไปสู่ชุดแผงฯ ทั้งหมด เพื่อเพิ่มระดับอุณหภูมิไปจนถึง 70 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิที่เครื่อง Absorption Chiller เริ่มทำงาน

รูปที่ 17 และรูปที่ 18 เป็นรูปหน้าจอที่แสดงระดับอุณหภูมิของชุดแผงทั้งหมด และรูปหน้าจอ (Dashboard) ของ โปรแกรม Grafana ที่ใช้ในการติดตามสภาวะการทำงานของระบบทั้งหมด ตามลำดับ

สรุปภาพรวมของระบบ

กล่าวโดยสรุปจะเห็นว่า รูปแบบการประยุกต์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานหมุนเวียนที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง มาใช้เป็นแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนระบบปรับอากาศภายในอากาศเพื่อแบ่งเบาภาระการใช้พลังงานไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งในปัจจุบันอาคารสำนักงานในประเทศไทย มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ระบบปรับอากาศแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่า ปริมาณการใช้พลังงงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนระบบปรับอากาศมีการทำลายสถิติการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้น ถ้าหากให้ความสำคัญในการประยุกต์ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผ่านแผงรับแสงอาทิตย์เพื่อนำมาใช้เป็นแหล่งพลังงานความร้อนเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องปรับอากาศชนิดดูดซึม ย่อมที่จะเป็นการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในการแบ่งเบาภาระการใช้พลังงานและช่วยส่งเสริมให้เกิดความตระหนักในการใช้พลังงานสีเขียวอันนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและลดมลพิษให้กับประเทศในภาพรวม

เอกสารอ้างอิง

[1] Planning and Installing – Solar Thermal Systems – A guide for installers, architects and engineers, 2nd Edition Earth Scan Publishing, 2010
[2] https://www.iea-shc.org/task25/
[3] https://www.iea-shc.org/task38/
[4] Hans-Martin, Henning, Solar assisted air conditioning of building – an overview, Applied Thermal Engineering, Page 1734-1749, Elsevier, 2007
[5] New Constructions and Major Renovation Version 2.2 Reference Guide, US. Green Building Council, 2006
[6] ร่างแผนแม่บทพัฒนาพลังงานทดแทนแห่งชาติ 15 ปี (2551-2565), กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน, 2552
[7] Yunus A. Cengel and Michael A. Boles, Thermodynamics – An Engineering Approach, 5th Edition, McGraw Hill, 2006
[8] Fundamentals Handbook (SI Units), Chapter 1: Thermodynamics and Refrigeration Cycles, ASHRAE, 1998
[9] Fundamentals Handbook (SI Units), Chapter 41: Absorption cooling, Heating, and Refrigeration Equipment, ASHRAE, 1998
Cinque Terre

 

Downlond
]]>