มาตรา ๒๕๒
"ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
โดยปราศจากอคติทั้งปวง
เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนและความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร
ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ"
|
๓.๑ ศาลยุติธรรม
๓.๑.๑ ความเป็นอิสระ
ได้ปฏิรูปให้เป็นอิสระกว่าเดิม
มีสำนักงานธุรการเป็นของตนเอง
พ้นจากกระทรวงยุติธรรม
มาตรา ๒๔๙
ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของผู้พิพากษาและตุลาการไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น
การจ่ายสำนวนคดีให้ผู้พิพากษาและตุลาการ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ
การเรียกคืนสำนวนคดีหรือการโอนสำนวนคดี
จะกระทำมิได้
เว้นแต่เป็นกรณีที่จะกระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี
การโยกย้ายผู้พิพากษาและตุลาการโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิพากษาและตุลาการนั้น
จะกระทำมิได้
เว้นแต่เป็นการโยกย้ายตามวาระตามที่กฎหมายบัญญัติ
เป็นการเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น
เป็นกรณีที่อยู่ในระหว่างถูกดำเนินการทางวินัย
หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญา
มาตรา ๒๗๕
ศาลยุติธรรมมีหน่วยธุรการของศาลยุติธรรมที่เป็นอิสระ
โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา
การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม
สำนักงานศาลยุติธรรมมีอิสระในการบริหารงานบุคคล
การงบประมาณและการดำเนินการอื่น
ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
๓.๑.๒ การบริหารงานบุคคล
กำหนดให้จัดระบบบริหารงานบุคลล
และชั้นขั้นเงินเดือนใหม่
ให้สามารถคงผู้พิพากษาอาวุโสไว้เป็นหลักในศาลต้น
และศาล |