Covid-19 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 24 Aug 2022 04:54:27 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png Covid-19 – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 3 Steps เตรียมความพร้อมก่อนไปต่างประเทศในช่วง COVID-19 https://www.nectec.or.th/news/news-article/intervac.html Wed, 20 Jul 2022 02:40:36 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27943

บทความและภาพประกอบ : ปทิตตา อุดมวิทิต

ในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยากขึ้น เนื่องจากข้อจำกัดต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ หรือ นักท่องเที่ยว ต้องมีการเตรียมความพร้อมในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการท่องเที่ยว การหาที่พัก หรือการเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องสำหรับการเดินทาง 

สำหรับ 3 Steps สำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องเตรียมพร้อมก่อนการเดินทางไปต่างประเทศในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 มีอะไรบ้าง มาดูกัน 

Step 1 : ศึกษามาตรการและข้อจำกัดของประเทศปลายทาง

เราต้องศึกษารายละเอียดของประเทศที่เราจะเดินทางไปว่าประเทศนั้นเปิดรับนักท่องเที่ยวหรือไม่ มีข้อจำกัดหรือมาตรการอย่างไรบ้าง ต้องกักตัวหรือเปล่าและถ้าหากต้องกักตัวจะต้องกักกี่วัน แล้วมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ 

Step 2 : เตรียมเอกสาร 

นอกจาก Passport ตั๋วเครื่องบิน เอกสารรับรองการตรวจ COVID-19 และเอกสารอื่น ๆ ที่เราจะต้องมีแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ และสำคัญต่อการเดินทางไปต่างประเทศก็คือ หนังสือรับรองการฉีดวัคซีน COVID-19 หรือ International Vaccine Certificate หรือ Vaccine Passport นั่นเอง  

Step 3 : การลงทะเบียนก่อนเข้าประเทศ

เช็คประเทศปลายทางที่เรากำลังจะเดินทางไปว่าต้องมีการลงทะเบียนก่อนเข้าประเทศหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศเกาหลี นักท่องเที่ยวต้องลงทะเบียนผ่านระบบ K-ETA อย่างน้อย 24ชั่วโมง ก่อนขึ้นเที่ยวบิน

ขั้นตอนการขอ Vaccine Passport

สำหรับการขอ Vaccine Passport สามารถขอได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิชัน “หมอพร้อม” โดยคลิกที่เมนู  ” International Certificate ”  แล้วกดเมนู “ขอหนังสือรับรองฯ” หลังจากนั้นกรอกข้อมูลและอัปโหลดไฟล์ภาพหนังสือเดินทาง (Passport) ตามขั้นตอนที่ระบุในแอปพลิเคชัน และทำการชำระเงิน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฯ จะทำการตรวจสอบข้อมูล หากครบถ้วนและถูกต้อง Vaccine Passport แบบอิเล็กทรอนิกส์จะส่งถึงผู้ขอภายใน 3 วันทำการ

จุดเด่นของ INTERVAC

ระบบการออก Vaccine Passport ของไทย หรือระบบ INTERVAC มีจุดเด่นคือ สามารถยืนยันแหล่งที่มาของข้อมูลด้วย Public Key , ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการฉีดวัคซีนได้ , มีการเชื่อมต่อข้อมูลกับหน่วยงานสาธารณสุขและกรมการกงสุล และ ใบรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เมื่อเตรียมความพร้อมครบทั้ง 3 Steps แล้วการเดินทางไปต่างประเทศของคุณในช่วงที่ยังมีการระบาดของ COVID-19 ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากอีกต่อไป

]]>
เนคเทค สวทช. ร่วมกาชาดและภาคีเครือข่ายเดินหน้าต่อ ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นแก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2022nectec-fv-redcross.html Mon, 27 Jun 2022 08:33:34 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27590

กาชาด ยังคงเดินหน้าต่อตามพื้นที่เป้าหมาย ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น 
พร้อมนำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) ที่ร่วมพัฒนากับเนคเทค สวทช. 
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ จ. ตาก

เมื่อวันที่ 21-22 มิถุนายน 2565 สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมเหล่ากาชาดจังหวัด โรงพยาบาลท่าสองยาง หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก และ International Rescue Committee (IRC) ร่วมด้วยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (เนคเทค สวทช.) ลงพื้นที่ออกหน่วยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 3 (เข็มกระตุ้น) พร้อมนำระบบบริการบันทึกข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) ให้แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ ที่ไม่มีสัญชาติไทย ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ จ.ตาก จำนวนกว่า 220 คน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์แก่เพื่อนมนุษย์ที่เดือดร้อนและไร้โอกาส ตามหลักมนุษยธรรม ให้สามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุข ได้รับความช่วยเหลือในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน

ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ เนคเทค สวทช. ได้นำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) พัฒนาขึ้นโดย ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (IPU/ AINRG) และงานยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (LTSS) เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินงาน ร่วมกับระบบสแกนม่านตา (Iris Scan) จัดเก็บข้อมูลโดย International Rescue Committee (IRC) สำหรับการลงทะเบียนยืนยันตัวตนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และบันทึกข้อมูลประวัติการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า จะทำการเก็บข้อมูลภาพในครั้งแรกของผู้ที่มารับวัคซีน เมื่อมารับการฉีดวัคซีนครั้งถัดไป ระบบฯ สามารถค้นหาข้อมูลบุคคลจากภาพใบหน้า (Face Search) ด้วยขั้นตอนการตรวจจับวิเคราะห์ภาพใบหน้า แล้วนำมาประมวลผลเปรียบเทียบภาพใบหน้าที่ลงทะเบียนไว้แล้วในระบบฯ และคัดเลือกใบหน้าที่ใกล้เคียงขึ้นมาแสดงผล ใช้ในกรณีที่ผู้รับวัคซีนไม่ได้นำเอกสารประจำตน หรือหลักฐานการฉีดวัคซีนมาแสดง แต่หากเคยบันทึกภาพใบหน้าและเก็บข้อมูลลงในระบบฯไว้แล้ว ผู้รับวัคซีนสามารถมาที่จุดคัดกรองให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล โดยใช้ภาพใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้มารับวัคซีนอย่างมากเพราะข้อมูลการฉีดวัคซีนจะได้รับการบันทึกอย่างต่อเนื่อง

ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 จนถึงปัจจุบัน สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย หน่วยงานภาคีเครือข่าย และเนคเทค สวทช. ได้ร่วมออกหน่วยนำระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า ลงพื้นที่ให้บริการแก่กลุ่มชาติพันธ์ุ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบันทึกข้อมูลภายหลังจากรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 42 ครั้ง โดยมีผู้ได้รับวัคซีนจัดเก็บข้อมูลลงในระบบแล้วทั้งสิ้น 8,175คน ได้แก่

  • กลุ่มชาติพันธุ์ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (3 ครั้ง) จำนวน 1,649 คน
  • ศูนย์พักพิงบ้านใหม่ในสอย จ.แม่ฮ่องสอน (3 ครั้ง) จำนวน 2,763 คน
  • ศูนย์พักพิงแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (3 ครั้ง) จำนวน 685 คน
  • ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาคร (1 ครั้ง) จำนวน 1,636 คน
  • ตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร (1 ครั้ง) จำนวน 513 คน
  • แรงงานด้อยสิทธิ ในกรุงเทพฯ ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย กรุงเทพมหานคร (30 ครั้ง) จำนวน 788 คน
  •  ศูนย์การค้าซีคอน บางแค กรุงเทพมหานคร (1 ครั้ง) จำนวน 231 คน
    โดยข้อมูลภาพใบหน้า และข้อมูลทั้งหมดที่ถูกจัดเก็บอยู่ในระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกิจกรรมการดำเนินงานของสภากาชาดไทยเท่านั้น
]]>
เนคเทค สวทช. ต้อนรับคณะบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/2022visitors-secretariat.html Thu, 23 Jun 2022 14:09:29 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=27439

ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ให้การต้อนรับบุคลากรสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เยี่ยมชมเนคเทครับฟังการบรรยายในด้านเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการทำงานหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 256565 ในรูปแบบออนไลน์ โดยมีทีมนักวิจัยร่วมต้อนรับและนำเสนองานวิจัย ดังนี้

“Face Verification” ระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า
โดย คุณศรินทร์ วัชรบุศราคำ นักวิจัย ทีมวิจัยการประมวลผลและเข้าใจภาพ

เทคโนโลยีด้านการประมวลผลภาพใบหน้า ด้วยการเก็บข้อมูลจากการบันทึกภาพถ่ายใบหน้า นำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบภาพจากขั้นตอนการตรวจจับใบหน้า พัฒนาขึ้นเป็นระบบบริการยืนยันตัวตนด้วยภาพใบหน้า (Face Verification) สำหรับการระบุตัวตนร่วมกับการเชื่อมโยงข้อมูลสแกนม่านตาของสภากาชาดไทย จากระบบ iRespond เพื่อรับวัคซีนโควิด-19 ที่จัดสรรโดยสภากาชาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งระบบดังกล่าวนี้จัดทำขึ้นเพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทย หรือไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร อาทิ กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หนีภัยการสู้รบ แรงงานต่างด้าว โดยใช้วิธีกำหนดรหัสประจำตัวด้วยหมายเลข 13 หลักเป็นการชั่วคราวให้กับผู้รับวัคซีนฯ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการลงบันทึกข้อมูลบุคคล และประวัติการรับวัคซีน เมื่อแรงงานมีการย้ายที่ทำงานหรือถิ่นที่อยู่อาศัย ก็สามารถสืบค้นประวัติการรับวัคซีนได้ง่าย ซึ่งได้จัดเก็บข้อมูลลงในระบบแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 8,041 คน ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่ แรงงานด้อยสิทธิ ในกรุงเทพฯ ณ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ สภากาชาดไทย , กลุ่มชาติพันธุ์ ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน จังหวัดราชบุรี , ศูนย์พักพิงบ้านใหม่ในสอย จังหวัดแม่ฮ่องสอน , ศูนย์พักพิงแม่หละ จังหวัดตาก , ตลาดอาหารทะเลสด จังหวัดสมุทรสาคร

“INTERVAC” ระบบสร้างวัคซีนพาสปอร์ต 
โดย ดร.สุนทร ศิระไพศาล นักวิจัย ทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ

ฐานข้อมูลเอกสารโครงการรับรองการฉีดวัคซีนเพื่อการเดินทางระหว่างประเทศ ที่พัฒนาขึ้นโดย กรมควบคุมโรค ซึ่งในระยะแรกใช้กับวัคซีน COVID-19 เท่านั้น สำหรับโครงการฯ นี้ ได้ต่อยอดระบบเพื่อมาใช้สำหรับการเดินทางไปยังประกอบพิธีฮัจย์ โดยออกใบรับรองการฉีดวีคซีนทั้งสิ้น 3 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค COVID-19 โรคไข้กาฬหลังแอ่น และโรคไข้หวัดใหญ่” ระบบ INTERVAC พัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ที่ทำการบันทึกข้อมูลและประชาชนที่เข้ารับบริการ ซึ่งเดิมการออกเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะจัดทำในรูปแบบ “สมุดเล่มเหลือง” ที่เขียนด้วยลายมือ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาการทำงานมากขึ้น และไม่สามารถรองรับปริมาณและความต้องการของประชาชนได้ ระบบได้เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบหมอพร้อมแบบอัตโนมัติเพื่อช่วยลดความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงข้อมูลการได้รับวัคซีนระชาชนสามารถรับสมุดเล่มเหลืองได้ภายใน 1 วัน ช่วยลดระยะเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ลดลงเฉลี่ยไม่เกิน 5 นาที ต่อ ผู้รับบริการเท่านั้น ระบบ INTERVAC ประกอบไป 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ ส่วนบันทึกข้อมูล: สำหรับเจ้าหน้าที่ทำการคีย์ข้อมูลข้อมูลประชาชน ข้อมูลการฉีดวัคซีน และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้อง , ส่วนของการขอใบรับรอง: มีฟังก์ชันที่จะพิมพ์ข้อมูลแใบรับรองลงสมุดเล่มเหลืองได้ทันที , ส่วนใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์: เป็นการออกใบรับรองในรูปแบบ QR CODE สามารถตรวจสอบได้โดยใช้เทคโนโลยีมาตรฐานสากล ที่เรียกว่า Digital signature ที่สามารถรับรองความถูกต้องของข้อมูล ว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เคยถูกแก้ไข และออกโดยกรมควบคุมโรค

ในช่วงท้ายได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัยและบุคลากรสำนักงานฯ นำความรู้ประสบการณ์ที่ได้รับพัฒนาองค์ความรู้ ถ่ายทอดและประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์

]]>
เนคเทคนำเทคโนโลยีสนับสนุนสภากาชาดไทยและภาคีเครือข่าย ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่ผู้หนีภัยการสู้รบและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/covid19-vaccine-idps.html Mon, 25 Oct 2021 07:03:07 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=23140

เนคเทค สวทช. ส่งเทคโนโลยีสนับสนุนภารกิจสภากาชาดไทยและภาคีเครือข่าย ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ผู้หนีภัยการสู้รบและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน

สภากาชาดไทยร่วมกับภาคีเครือข่ายให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เชิงรุก สำหรับผู้หนีภัยการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วย และเสียชีวิต สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของคนในประเทศ ณ พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

วันที่ 25 ตุลาคม 2564 เวลา 10.30 น. ณ ที่ทำการศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นายอภิชาติ ชินวรรโณ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ ในฐานะผู้แทนเลขาธิการสภากาชาดไทยได้เป็นประธานในการเปิดงานฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เชิงรุก สำหรับผู้หนีภัยการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยมีนายรณภพ เหลืองไพโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีได้กล่าวต้อนรับคณะผู้บริหารจากสภากาชาดไทยและผู้แทนสานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNHCR) ผู้แทนสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) ผู้แทนคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้มีส่วนร่วมกับสภากาชาดไทยในการดำเนินงานตามโครงการให้บริการฉีดวัคซีนครั้งนี้ด้วย

ขณะเดียวกัน นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย ได้กล่าวถึงความร่วมมือในการปฏิบัติงานของสภากาชาดไทย ซึ่งการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก เป็นการดำเนินงานตามหลักมนุษยธรรม ช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากแก่เพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ เดือดร้อน และไร้โอกาส ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งการได้รับวัคซีนฯ ครอบคลุมทุกคนอย่างรวดเร็ว จะช่วยลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้อย่างมาก รวมทั้งเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ของคนในประเทศ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วน ต้องระดมความร่วมมือกันให้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทั้งคนไทย ประชากรข้ามชาติ หรือกลุ่มชนชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางต่างๆ ซึ่งมีความเสี่ยงที่เจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด-19 และมีความยากลำบากในการเข้าถึงบริการ ให้ได้รับการฉีดวัคซีนฯ ได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 (ซิโนฟาร์ม) ซึ่งสภากาชาดไทยได้มอบหมายสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ นำไปฉีดให้แก่กลุ่มเปราะบาง ทั้งคนไทย และประชากรข้ามชาติ โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชนชั้น วรรณะ ศาสนา เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ลดความรุนแรงในการเจ็บป่วยและเสียชีวิต ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสภากาชาดไทย หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ดำเนินการตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยให้บริการฉีดวัคซีนฯ ไปแล้ว จำนวน 18,211 โดส

สำหรับการปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก ให้แก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวฯ บ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้กำหนดวันปฏิบัติงาน ฉีดวัคซีนฯ เข็มที่ 1 คือ วันที่ 25–26 ตุลาคม 2564 โดยมีผู้รับบริการฉีดวัคซีนฯ จำนวน 1,295 คน และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสภากาชาดไทย กระทรวงมหาดไทย จังหวัดราชบุรี โรงพยาบาลสวนผึ้ง IRC UNHCR โดยการสนับสนุนจาก IFRC ICRC ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จากัด (มหาชน) (AIS)

โดยกำหนดการปฏิบัติงานฉีดวัคซีนฯ เข็มที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งการปฏิบัติงานครั้งนี้ ได้มีการนำระบบบริการฉีดวัคซีนฯ ที่มีการบันทึกข้อมูลของผู้ฉีดวัคซีนฯ ด้วยระบบเทคโนโลยีแบบ Face Verification และ Iris recognition ที่ได้รับการพัฒนาโดยเนคเทค และ iRespond พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบหมอพร้อมของกระทรวงสาธารณสุข (Moph IC) เพื่อลงทะเบียนฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ ซึ่งใช้วิธีกำหนดรหัสประจำตัวบุคคลด้วยการขึ้นต้นด้วยตัวอักษร 1 ตัว ตามด้วยหมายเลข 13 หลักเป็นการชั่วคราวให้กับผู้รับวัคซีนฯ ทั้งนี้ ในโอกาสต่อไป เมื่อสภากาชาดไทยสามารถจัดหาวัคซีนหรือได้รับบริจาควัคซีนจากองค์กรต่างๆได้มากขึ้นก็จะขยายการฉีดวัคซีนไปยังประชากรกลุ่มต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศไทยต่อไป

การดำเนินงานครั้งนี้นอกจากสภากาชาดไทยจะได้รับความอนุเคราะห์อย่างดียิ่งจาก หน่วยงานข้างต้นแล้ว สภากาชาดไทยยังได้รับความร่วมมือและความเสียสละจากทีมงาน อสม. และอาสาสมัครภาคประชาสังคมทุกท่านซึ่งมีส่วนร่วม และขับเคลื่อนให้การปฏิบัติงาน มีความพร้อมในการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เชิงรุก แก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบฯ ราบรื่นด้วยดีทุกประการ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานครั้งนี้ คือการมุ่งหวังในการป้องกัน ควบคุมการแพร่ระบาด และลดความรุนแรงจากการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากโควิด-19 แล้ว สิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่เลือกเชื้อชาติ ชนชั้น วรรณะ ศาสนา เป็นความเห็นอกเห็นใจ และเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการ สภากาชาดไทย ยังได้กล่าวในรายงานความร่วมมือตามโครงการให้บริการฉีดวัคซีนในตอนท้ายว่า สภากาชาดไทยหวังว่าการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หนีภัยจากการสู้รบในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายความร่วมมือในการทางานด้านมนุษยธรรมระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรภายในประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศต่อไปในอนาคต ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ซึ่งพระราชทานไว้ว่า “งานของสภากาชาดนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ที่สมควรจะได้รับการสงเคราะห์ ซึ่งเป็นคนในประเทศแล้วยังเกี่ยวกับการสงเคราะห์บุคคลที่กำลังตกทุกข์ได้ยากทั่วๆ ไป เป็นงานที่กระทำเพื่อมนุษยธรรมอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกๆ คนที่จะทำงานช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน”

ในการนี้ มีผู้บริหารสภากาชาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมงานดังกล่าว พร้อมตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต่อไป

]]>
NECTEC-ACE Online Series ประเดิมตอนแรกด้วยประสบการณ์ “การสู้ COVID-19 ด้วยเทคโนโลยี” https://www.nectec.or.th/news/news-pr-news/nectecace-online-ep1.html Thu, 01 Oct 2020 16:49:09 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=17571
nectecace-online-ep1
เรื่อง | วลัยลักษณ์ คงพระจันทร์ และ ปาลิตา อินทรักษ์
ถ่ายภาพ | ตุลลาวัฒน์ หอมสินธ์

สถานการณ์ COVID-19 ทำให้งานประชุมวิชาการประจำปีเนคเทค หรือ NECTEC-ACE พลิกโฉมสู่รูปแบบออนไลน์ ​ประเดิมตอนแรกด้วยการเชิญผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานการณ์และการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ร่วมเหลียวหลัง แลหน้า “การสู้ COVID-19 ด้วยเทคโนโลยี”

ผ่านการสัมมนาในหัวข้อ “เทคโนโลยีเพื่อการเฝ้าระวังสถานการณ์ทางระบาดวิทยาของโรคติดต่ออย่างบูรณาการ” ​

นำโดย นายแพทย์ยงเจือ เหล่าศิริถาวร ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล นักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ – สวทช. ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ เนคเทค-สวทช. และดร.ปรัชญา บุญขวัญ นักวิจัยกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค-สวทช. ร่วมดำเนินรายการ ​

เหลียวหลัง | วิกฤตการระบาดของ COVID-19 และการรับมือที่ผ่านมา

การสัมมนาเริ่มต้นด้วยเรื่องราวจุดเริ่มต้นของวิกฤตการระบาดของ COVID-19 และการรับมือที่ผ่านมาของประเทศไทยในมุมมองของกรมควบคุมโรค และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ดังกล่าวของสวทช.

นายแพทย์ยงเจือ เหล่าศิริถาวร ผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการรับมือการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ไปจนถึงประสิทธิภาพในการตรวจและวินิจฉัยโรค COVID-19 ได้เป็นประเทศแรกในโลก

nectecace-online-ep1

ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับว่ามีความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นอันดับ 6 ของโลก เนื่องจากมีการวางรากฐานในการเตรียมความพร้อมการรับมือภัยสุขภาพทางด้านของโรคอุบัติใหม่มากว่า 20 ปี . . . สำหรับการแพร่ระบาดของ COVID – 19 เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าประเทศไทยควบคุมโรคได้อย่างดีเพราะจากการประเมินในช่วงแรกเราคาดว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ แต่เกิดขึ้นจริงกลางเดือนมีนาคม

ทั้งนี้นายแพทย์ยงเจือยังได้แนะนำ 5 แพลตฟอร์มทางดิจิทัลที่เกิดขึ้นเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ได้แก่ DDC Covid-19 สำหรับการรายงานและสอบสวนโรค , DDC-Care ใช้สำหรับติดตามผู้ป่วย ผู้สัมผัส และกลุ่มเสี่ยง, COSTE ใช้ติดตามผู้เดินทางจากต่างประเทศที่กักตัวใน State quarantine, ไทยชนะ ใช้ตรวจสอบประวัติการใช้สถานที่ร่วมกันกับผู้ป่วยยืนยัน และหมอชนะใช้ ตรวจสอบประวัติการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน

สำหรับการใช้งานแอปพลิเคชัน DDC-Care ในการรับมือส่วนของการ Quarantine ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้น

นายแพทย์ยงเจือ กล่าวว่า “การที่จะไปติดตาม สอบสวนโรค ควบคุมโรคกับผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงจริง ๆ เราต้องการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยลดเวลาในการทำงาน เราจึงไปคุยกับทีมงานสวทช. เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีให้มาสอดรับในเรื่องนี้ ซึ่ง DDC-Care เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีที่เราใช้ เรามีเทคโนโลยีที่ร่วมกันจัดทำกับพาร์ทเนอร์อื่นอีกหลายส่วน โดย DDC-Care เป็นส่วนหลักที่ทำให้เราสามารถติดตามผู้ป่วยกับผู้สัมผัสได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

nectecace-online-ep1

ดร.อนันต์ลดา โชติมงคล นักวิจัยศูนย์วิจัยเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือแพทย์ – สวทช. ได้เล่าถึงโจทย์และความท้าทายในการพัฒนาระบบติดตามและประเมินผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ DDC-Care โดยมีระยะเวลาพัฒนาอันจำกัดภายใน 2 – 3 สัปดาห์ และต้องสามารถรองรับผู้ใช้งานกว่า 5 แสนคนได้อีกด้วย พร้อมแนะนำการใช้งานแอปพลิเคชัน DDC-Care

“ในแง่ของผู้พัฒนา คือ เราต้องทำระบบให้เร็วและรองรับ scalability ได้ระดับหลายแสนคนจะทำอย่างไรให้รวดเร็ว ส่วนตัวตอนนั้นกังวลเรื่องการแพร่เชื้อว่าเราจะมีกลุ่มเสี่ยงในประเทศถึง 5 แสนคนเลยหรือ แต่เราเข้าใจว่าถ้ามีระบบออกมาได้ทัน ตัวเลขคาดการณ์ worse case scenario ก็คงจะไปไม่ถึง ก็เป็นที่น่าดีใจว่าสุดท้ายแล้ว ตัวเลขการใช้งาน DDC-Care ก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงจุดนั้น อาจเป็นเพราะว่าระบบของเรามีความเข้มแข็งหลายๆด้าน” ดร.อนันต์ลดา กล่าว

เช่นเดียวกันกับ DDC – Care แดชบอร์ด ที่จำเป็นต้องพัฒนาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาอันจำกัด ซึ่งเป็นส่วนที่รับข้อมูลแบบเรียลไทม์จาก DDC-Care แอปพลิเคชัน เพื่อประมวลผลร้อยเรียงข้อมูลและนำเสนอออกมาในรูปแบบของแดชบอร์ดเพื่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณะสุขรวมถึงบุคคลากรทางการแพทย์ใช้บริการจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อย่างทันท่วงนี้

nectecace-online-ep1

โดย ดร.นัยนา สหเวชชภัณฑ์ นักวิจัยกลุ่มวิจัยวิทยาการข้อมูลและการวิเคราะห์ เนคเทค-สวทช. ได้เล่าถึงความท้าทายในการพัฒนา DDC – Care แดชบอร์ด ว่า “การได้มาซึ่ง DDC-Care Dashboard เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามและประเมินกลุ่มเสี่ยงนั้น เราจะต้องจัดการเรื่อง Security Flexibility และ Scalability โดยเราสามารถดำเนินการได้ภายใน 2 สัปดาห์ เพราะเรามีเทคโนโลยีพร้อมใช้ คือ BigStream ที่ช่วยในการรวบรวม จัดการ จัดเก็บข้อมูล และ IAM ช่วยยืนยันตัวตนและจัดการสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล”

nectecace-online-ep1

แลหน้า | เตรียมการรับมือ COVID-19 ในอนาคต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับโรคอุบัติใหม่

ช่วงที่สองของการสัมมนาวิทยากรทั้ง 3 ท่านได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์ เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเตรียมการรับมือ COVID-19 ในอนาคต รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับโรคอุบัติใหม่

สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือ COVID – 19 นั้น นายแพทย์ยงเจือให้ความเห็นว่าในอนาคตต้องมีการวิเคราะห์ระบบงานว่าจุดใดควรนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยสนับสนุนและมีส่วนร่วม โดยประเทศไทยและพันธมิตรหลายภาคส่วนต่างร่วมแรงร่วมใจในการพัฒนาเทคโนโลยีขึ้น ที่สำคัญ คือ จะต้องสามารถเชื่อมโยงแอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์มเข้าหากันได้ สู่แพลตฟอร์มกลางของประเทศ

“เทคโนโลยีโดยตัวมันเองไม่สามารถป้องกันโรคได้ การป้องกันควบคุมโรคได้อย่างดีต้องอาศัย Frontend operation แต่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยประเทศไทยมีทั้ง Frontend operation ที่มีประสิทธิภาพ คือ ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและประชาชน โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาเสริมทัพ” นายแพทย์ยงเจือกล่าว

nectecace-online-ep1

สำหรับการรับมือ COVID-19 ในอนาคตสำหรับแอปพลิเคชัน DDC-Care นั้น ดร.อนันต์ลดา กล่าวว่า “สำหรับ ประสบการณ์ที่ผ่านมา DDC-Care ได้รับการพัฒนาในระยะเวลาอันสั้นก็มีความไม่สมบูรณ์ของระบบในช่วงแรก เราก็ได้ปรับปรุงจากปัญหาที่เราเจอ จุดที่เราขาด อย่างปัจจุบันเราก็กำลังทดสอบเทคโนโลยีเพื่อปิดช่องโหว่ของการติดตามพิกัดกักตัว”

โดยช่องโหว่ดังกล่าว คือ โอกาสที่ผู้ที่ต้องกักตัวจะไม่ได้อยู่ในพิกัดตามที่ส่งจากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสวทช.และภาคเอกชนได้พัฒนาริชแบรนด์ NFC ร่วมกับแอปพลิเคชัน DDC-Care เพื่อยืนยันตัวตนได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างทดสอบทางเทคนิค

nectecace-online-ep1

นอกจากนี้ ดร.นัยนา ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีการตรวจวัดอุณหภูมิเข้ามาเสริมประสิทธิภาพในการรับมือการระบาดของ COVID -19 ในอนาคตอีกด้วย “ในอนาคตมีโอกาสที่จะนำสมาร์ตเทอร์โมมิเตอร์เข้ามาแจกจ่ายตามครัวเรือน เมื่อมีการตรวจวัดไข้ข้อมูลดังกล่าวสามารถส่งแบบเรียลไทม์สู่ระบบ DDC-Care ได้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าระวังภาวะที่อุณหภูมิสูง เนื่องจากอุณหภูมิเป็นจุดบ่งชี้หนึ่งของการติดเชื้อ COVID-19 นอกจากนี้เทคโนโลยี มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” (μTherm-FaceSense) เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ ผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) ตรวจวัดได้หลายคนพร้อมกัน โดยเนคเทค – สวทช. ถ้าในอนาคตสามารถส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์สู่ระบบได้ก็จะทำให้การเฝ้าระวังโรคมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”

nectecace-online-ep1

สำหรับการประยุกต์ใช้ DDC-Care กับโรคอุบัติใหม่นั้น นายแพทย์ยงเจือ กล่าวอย่างมั่นใจว่า DDC-Care ไม่ใช่ระบบที่ใช้สำหรับ COVID-19 เพียงเท่านั้น พร้อมอธิบาย 3 ฟังก์ชันใน DDC-Care ที่สามารถประยุกต์ใช้กับโรคอุบัติใหม่ได้

“ระบบและการใช้งาน DDC-Care นั้นสอดรับกับโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำทุกโรคอยู่แล้ว โดย 3 ฟังก์ชันหลัก คือ การดูพิกัดว่ากลุ่มเสี่ยงอยู่ในสถานที่กักตัวหรือไม่ ซึ่งไม่ว่าโรคติดต่อใดเราก็ต้องการรู้พิกัดของกลุ่มเสี่ยง ฟังก์ชันถัดมา คือการ tracking ไม่ว่าจะเป็นโรคไหน เราจำเป็นต้องทราบพื้นที่ที่กลุ่มเสี่ยงอาจมีโอกาสไปแพร่เชื้อ ฟังก์ชันสุดท้าย คือ การรายงานสุขภาพ โดยอาจจะต้องดัดแปลงให้เหมาะสมกับโรคนั้น ๆ ดังนั้น 3 ฟังก์ชันของ DDC-Care พร้อมใช้กับทุกโรคอยู่แล้ว”

สอดคล้องกับความเห็นของดร.อนันต์ลดาที่ว่า DCC-Care ได้รับการออกแบบให้พร้อมรับมือกับโรคติดต่อ หรือ โรคระบาดอื่น ๆ อยู่แล้ว “เรามอง DDC-Care ในระยะยาวตั้งแต่เรื่องชื่อแอปพลิเคชัน โดยตั้งให้เป็นกลาง ๆ คือ ชื่อของกรมควบคุมโรค โดยฟังก์ชันอื่น ๆ เช่น จำนวนวันที่ต้องกักตัว ก็สามารถปรับให้เหมาะสมได้ หรือ หากมีคำถามสุขภาพใหม่ ๆ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้”

นอกจากนี้ ดร.นัยนา ยังได้นำเสนอร่างแพลตฟอร์มการเฝ้าระวังสถานการณ์ทางระบาดวิทยาของโรคติดต่ออย่างบูรณาการสำหรับการประยุกต์ใช้กับโรคอุบัติใหม่ ดังนี้

“แพลตฟอร์มนี้จะถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีการวางกรอบ หรือ ขอบเขตการทำงานทางด้านระบาดวิทยาอย่างคร่าว ๆ และสนับสนุนให้มีการพัฒนาต่อยอดได้ ประกอบไปด้วย การรับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เข้าสู่แพลตฟอร์ม (Data Ingestion Agent) การเก็บข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Data lake) การจัดการคุณภาพของข้อมูล (Data Management) และมาตรฐานต่าง ๆ (Standards) เช่น การควบคุมโรค ข้อมูลส่วนบุคคล การวินิจฉัย การสอบสวนโรค เป็นต้น นำไปสู่โอกาสที่จะทำข้อมูลจากแอปพลิเคชันต่าง ๆ มาบูรณาการใช้งานร่วมกันได้ และการวิเคราะห์ หรือ นำไปสู่การจัดทำข้อมูลเปิดสาธารณะ (Open Data) เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป”

ในโอกาสนี้ เนคเทค-สวทช.ได้แนะนำพิธีกรคนพิเศษ “คุณกิตติ สิงหาปัด” ในรูปแบบนักข่าวปัญญาประดิษฐ์ Text to Speech ที่สามารถแปลงข้อความเป็นเสียงพูดโดยเรียนรู้จากข้อมูลเสียงของคุณกิตติตัวจริง ผลงานวิจัยล่าสุดจากกลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ เนคเทค-สวทช. ที่มาร่วมดำเนินรายการ พร้อมซักถามประเด็นที่น่าสนใจร่วมกับวิทยากรอีกด้วย ​

NECTEC-ACE Online Series ยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ . . . สำหรับตอนต่อไปจะเป็นประเด็นใด ?
👉 ติดตามพร้อมกันเร็ว ๆ นี้ ! ทาง Facebook NECTEC NSTDA​

บทความที่เกี่ยวข้อง

]]>