innovation-hardware-electronics – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ Wed, 02 Apr 2025 03:01:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8.2 https://www.nectec.or.th/wp-content/uploads/2022/06/cropped-favicon-nectec-32x32.png innovation-hardware-electronics – NECTEC : National Electronics and Computer Technology Center https://www.nectec.or.th 32 32 MagikFresh : ต้นแบบสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่ https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/magikfresh.html Thu, 23 Nov 2023 10:51:47 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34533

ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นปัญหาที่คนในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่ต้องเผชิญเป็นประจำทุกปี ซึ่งฝุ่น PM2.5 นี้ มีผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าสูง สิ่งที่เราทำได้เพื่อรับมือกับฝุ่น PM2.5 คือการสวมหน้ากากอนามัย เปิดเครื่องกรองอากาศในอาคารบ้านเรือน และมักจะมีคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมภายนอกอาคาร  โดยเฉพาะการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพราะการออกกำลังกาย ร่างกายจะมีอัตราการหายใจเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น การใส่หน้ากากขณะออกกำลังกาย แม้จะช่วยป้องกันฝุ่น PM2.5 ได้ แต่ก็ทำให้เหนื่อยง่ายขึ้น

หลายหน่วยงานให้ความสำคัญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยการติดตั้งเครื่องกรองอากาศขนาดใหญ่ เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่โล่งภายนอกอาคาร แม้ว่าเครื่องกรองอากาศเหล่านี้จะสามารถช่วยกรองฝุ่น PM2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเปรียบเทียบปริมาณอากาศที่เครื่องเหล่านี้สามารถกรองได้ กับปริมาณอากาศภายนอกแล้ว คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากๆ และเนื่องจากเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ฝุ่น PM2.5 สามารถกระจายไปได้ทั่วทุกบริเวณ ส่งผลให้มีบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 ต่ำกว่าค่ามาตรฐาน มีพื้นที่จำกัด ไม่เหมาะกับการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายได้ ทีมวิจัย ซึ่งมีประสบการณ์ในการวิจัยพัฒนาเครื่องกรองอากาศขนาดใหญ่สำหรับใช้ในพื้นที่ปิด จึงได้คิดค้นหาแนวทางการช่วยบรรเทาปัญหาฝุ่น PM2.5 เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ แม้ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าสูงเกินมาตรฐาน จึงเป็นที่มาของนวัตกรรมสวนนันทนาการอากาศสะอาดเพื่อเมืองน่าอยู่นี้ หรือที่มีชื่อเรียกว่า “MagikFresh”

MagikFresh คืออะไร

MagikFresh เป็นการออกแบบการจัดวางโครงสร้าง MagikFresh Pavilion และระบบกรองอากาศ MagikFresh Air Cleaner ให้ทำงานสอดประสานกัน ส่งผลให้เกิดการไหลเวียนของอากาศสะอาดที่ผ่านการกรองแล้วภายในพื้นที่ อากาศสะอาดเหล่านี้จะไหลเวียนออกไปยังช่องเปิดด้านบน สามารถช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่น PM2.5 จากภายนอกเข้ามาภายในพื้นที่ของ MagikFresh นี้ได้ ส่งผลให้สามารถรักษาระดับค่าฝุ่น PM2.5 ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้งานสามารถทำกิจกรรมนันทนาการและออกกำลังกายภายในพื้นที่นี้ได้อย่างสดชื่นและปลอดภัย

จุดเด่นของ MagikFresh

  • โครงสร้าง MagikFresh Pavilion มีขนาดพื้นที่ 100 ตารางเมตร มีลักษณะเฉพาะในการรับอากาศสะอาดจากด้านข้างของโครงสร้าง ในตำแหน่งที่ช่วยเสริมให้มีการไหลเวียนของอากาศสะอาดภายในพื้นที่ และดันออกสู่ช่องเปิดขนาดใหญ่ด้านบน ซึ่งปริมาณอากาศสะอาด ตำแหน่งทางเข้าของอากาศสะอาด และขนาดของช่องเปิดที่เหมาะสม จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่น PM2.5 จากภายนอกเข้ามาภายใน MagikFresh Pavilion ได้ ทำให้สามารถรักษาระดับค่าฝุ่น PM2.5 ให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยกับสุขภาพ และหายใจได้อย่างสดชื่น ซึ่งแนวคิดนี้ ได้รับการคุ้มครองทางทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว
  • ระบบกรองอากาศ MagikFresh Air Cleaner เป็นระบบกรองอากาศที่มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์รวม 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ใช้เทคโนโลยีการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิตแบบมีโอโซนต่ำในการกรองอากาศ สามารถดักจับฝุ่นที่ได้รับประจุให้ไปติดบนแผ่นที่มีขั้วตรงข้ามได้ ชุดกรองอากาศจึงสามารถถอดออกมาล้างทำความสะอาดได้ ไม่ต้องถอดทิ้งเปลี่ยนใหม่ช่วยให้ลดขยะและลดต้นทุน
  • ระบบกรองอากาศ สามารถปรับการทำงานได้อย่างอัตโนมัติตามค่าฝุ่น PM2.5 ช่วยให้สามารถลดการใช้พลังงานได้ในช่วงที่ฝุ่น PM2.5 มีค่าต่ำ
  • นวัตกรรม MagikFresh ช่วยให้ผู้เข้าใช้พื้นที่ ได้รับอากาศสะอาดที่มีค่าฝุ่น PM2.5 ไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในระดับดี หรือสีเขียว ซึ่งระดับค่าฝุ่นใน MagikFresh นี้ จะมีตัวเลขบอกไว้บนหน้าจอบริเวณทางเข้า และแถบไฟสีบริเวณใจกลาง MagikFresh นอกจากนั้น ใน MagikFresh นี้ยังมีอัตราการไหลเวียนของอากาศที่สูง ช่วยให้ผู้เข้ามาทำกิจกรรมนันทนาการหรือออกกำลังกายในพื้นที่ มีความรู้สึกสดชื่น สูดหายใจเอาอากาศสะอาดเข้าไปได้เต็มปอด
  • โครงสร้างของต้นแบบ MagikFresh สามารถถอดประกอบได้ ทำให้เคลื่อนย้ายต้นแบบไปใช้งานในพื้นที่ที่ประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 อื่นๆ ได้อีกด้วย

สนใจใช้บริการ

ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสวนจตุจักร สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ MagikFresh เพื่อหายใจรับอากาศสะอาดให้เต็มปอดได้ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง เดือนพฤษภาคม 2567

สำหรับหน่วยงานที่สนใจจัดกิจกรรมเพื่อสาธารณะประโยชน์ในพื้นที่ หรือ หน่วยงานที่สนใจนำนวัตกรรม MagikFresh ไปติดตั้งใช้งาน/รับถ่ายทอดเทคโนโลยี สามารถติดต่อได้ที่ 

กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
ทีมวิจัยนวัตกรรมไร้สายและระบบอัจฉริยะ (WIS)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค สวทช.)
โทร. 0 2564 6900

ขอบคุณ : สำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร และ สวนจตุจักร

]]>
KidBright Net โครงข่ายการสื่อสารเพื่อการศึกษา https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/kidbrightnet.html Tue, 24 Oct 2023 10:52:58 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=34357

KidBright ได้ก้าวไปสู่การเป็นแพลตฟอร์มการศึกษา (Education Platform) ในการพัฒนาทักษะของเด็กไทยทางด้านเทคโนโลยีที่จำเป็น ทั้งในด้านการเขียนโค้ดดิ้ง ทักษะด้านวิทยากรข้อมูล วิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล ทักษะด้านปัญญาประดิษฐ์ และทักษะที่จำเป็นอื่นๆ  การต่อยอดให้ KidBright เป็นเครื่องมือในการสอน Internet of Things และ Big Data ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนได้เข้ามาใช้ประโยชน์ สามารถเข้ามาเรียนรู้ ได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสในการเข้าถึงความรู้ เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองได้อย่างเท่าเทียม

การพัฒนา KidBright  Net โครงข่ายการสื่อสารเพื่อการศึกษา เป็นการสร้างองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล  และวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล ที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาการข้อมูลให้แก่โรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้โรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งองค์ความรู้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การเรียนวิทยาศาสตร์ข้อมูล และองค์ความรู้ในการสร้างโครงข่ายการ สื่อสารขึ้นใช้งานเอง ก่อให้เกิดเป็น Education Community

คุณลักษณะ

KidBright Net ประกอบด้วย ส่วน KidBright Net Gateway และสถานีอุตุน้อย LoRa ทั้งสองส่วนมีการส่งข้อมูลระหว่างกันโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายด้วยคลื่นวิทยุสามารถรับส่งข้อมูลได้ในระยะไกล ความเร็วการรับส่งข้อมูลไม่สูง ใช้พลังงานต่ำ ที่ย่านความถี่ AS923 (920 ถึง 925 MHz) ที่เรียกว่า LoRa (Long Range Network) ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานกับการส่งข้อมูลของ IoT devices

สถานีอุตุน้อย LoRa เป็นสถานีวัดสภาพอากาศ ซึ่งติดตั้งเซนเซอร์ วัดสภาพอากาศ ได้แก่ ทิศทางลม ความเร็วลม ปริมาณน้ำฝน อุณหภูมิ และความชื้น และ KidBright Net Gateway ทำหน้าที่รับข้อมูลจากสถานีอุตุน้อย LoRa (หลายตัว) เพื่อนำส่งข้อมูลขึ้นคลาวด์

KidBright Net มีแอปพลิเคชันรองรับการแสดงผลข้อมูลที่ส่งขึ้นคลาวด์ รวมถึงการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ การส่งข้อมูล การแสดงผล และการวิเคราะห์ผล ผ่านเว็บแอปพลิเคชัน WATCH และ PLAYGROUND

จุดเด่น

  1. เป็นเครื่องมือสอนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูล การแลกเปลี่ยนข้อมูล  และวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล ได้แก่โครงข่ายการสื่อสารไร้สาย อินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง (IoT) วิทยาการข้อมูล และระบบสมองกลฝังตัว
  2. สามารถ Download ส่วนบริหารจัดการที่อนุญาตให้ใช้ประโยชน์ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
  3. ราคาในการดูแลโครงข่ายมีค่าใช้จ่ายต่ำ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเชิงพาณิชย์

กลุ่มผู้ใช้งาน

  1. นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาทั่วประเทศ
  2. โรงเรียนที่สอนในระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ

เครือข่าย KidBright Net ได้รับทุนสนับสนุนจากจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)  ติดตั้งใช้งานในโรงเรียนนำร่อง 30 แห่งทั่วประเทศ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย

Facebook : KidBright

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
112 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถ.พหลโยธิน
ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
เบอร์โทรศัพท์:: 0 2564 6900
E-mail: business[at]nectec.or.th

]]>
Alternate Wet&Dry ระบบตรวจวัดในนาข้าวแบบเปียกสลับแห้ง https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/alternate-wet-dry.html Wed, 06 Sep 2023 07:38:05 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33947

เครื่องมือช่วยในการบริหารจัดการการปล่อยน้ำเข้าและออกจากแปลงนา

การปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง   เป็นการทำนาโดยควบคุมระดับน้ำในแปลงนาให้มีช่วงน้ำขัง สลับกับช่วงน้ำแห้ง สลับกันไป ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเพียงพอต่อความต้องการของข้าว การที่มีช่วงน้ำแห้ง ทำให้รากของต้นข้าวดูดซับอากาศและอาหารได้ดีขึ้น กระตุ้นให้รากและลำต้นของต้นข้าวแข็งแรงขึ้น สามารถดูดซับสารอาหารได้ดีขึ้น ทำให้ใช้ปุ๋ยลดลง ต้นข้าวที่แข็งแรงทนต่อการระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ทำให้ใช้สารเคมีเพื่อป้องกันและกำจัดศัตรูพืชลดลง ต้นข้าวที่แข็งแรงจะแตกกอได้มากขึ้น รวงข้าวสมบูรณ์ ผลผลิตที่ได้รับก็เพิ่มขึ้น

การปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งนี้ เหมาะกับการปลูกข้าวในเขตชลประทาน ในบางพื้นที่ จะใช้ปริมาณน้ำในการปลูกน้อยกว่าวิธีปลูกข้าวนาน้ำขังแบบเดิมมากกว่า 50% โดยจะใช้ท่อดูน้ำ ซึ่งทำจากท่อ PVC ความสูง 25 cm ติดตั้งในแปลงนา โดยให้ปากท่ออยู่เหนือผิวดิน 5 ซม. (ดังรูป) เมื่อถึงช่วงต้องการขังน้ำ เกษตรกรจะสูบน้ำเข้าแปลงนาให้สูงจากผิวดินประมาณ 5 ซม ท่วมปากท่อ หรืออาจจะมากกว่านั้น และจะปล่อยให้น้ำแห้งจนต่ำกว่าผิวดิน 15 ซม. หลังจากนั้นจึงสูบน้ำเข้าไปแปลงสลับกันไปการปลูกข้าวในลักษณะนี้ ช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจก ที่เกิดจากการย่อยสลายอินทรียวัตถุแบบไร้อากาศเมื่อปลูกข้าวแบบขังน้ำเป็นเวลานาน

การทำงานของ Alternate Wet&Dry

  • Alternate Wet&Dry เป็นระบบช่วยในการบริหารจัดการการปล่อยน้ำเข้า และออกจากแปลงนา ประกอบไปด้วยสถานีวัดอากาศ และสถานีตรวจวัด โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์
  • ตรวจวัดสภาพแวดล้อมในแปลงนา โดยวัดระดับน้ำในแปลงนา ความชื้นดิน อุณหภูมิดิน และสภาพอากาศ ได้แก่ ปริมาณน้ำฝน, อุณหภูมิ/ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ความเข้มแสงอาทิตย์ความเร็วและทิศทางลม นอกจากนี้ยังช่วยประเมินสภาพอากาศได้
  • ระบบจะส่งข้อมูลตรวจวัดไปเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 

ปัจจุบันระบบนี้ได้ติดตั้งทดสอบที่ สถาบันวิทยาศาสตร์ข้าวแห่งชาติ จ.สุพรรณบุรี และประเทศบรูไน 

จุดเด่นของเทคโนโลยี

  • ช่วยเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมในแปลงปลูก
  • ช่วยคำนวณการใช้น้ำของแปลงปลูกข้าว จากความสูงของระดับน้ำในแปลงนา
  • ช่วยคำนวณการปล่อยก๊าซมีเทนของแปลงปลูกข้าว จากการควบคุมระดับน้ำในแปลงนา

กลุ่มเป้าหมาย

  • กลุ่มชาวนาที่เน้นการปลูกข้าวที่เน้นการลดคาร์บอนเครดิต
  • กลุ่มผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตร

ผู้วิจัยและพัฒนา

ทีมวิจัยเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัล (DAT)
ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบและเครือข่ายอัจฉริยะ (ITSN)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล (SPE)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
112 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถ.พหลโยธิน
ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
เบอร์โทรศัพท์:: 0 2564 6900
E-mail: business[at]nectec.or.th

]]>
Unai Office (อยู่ไหน ออฟฟิศ) ระบบติดตามครุภัณฑ์ภายในอาคาร https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/unai-office.html Mon, 24 Jul 2023 07:39:16 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33744

Unai Office เทคโนโลยีช่วยระบุตำแหน่ง อุปกรณ์สิ่งของในสำนักงาน โรงพยาบาล หรือ หน่วยงานที่ต้องการจัดการ สิ่งของหรือครุภัณฑ์ จำนวนมาก  ลดการสูญเสียเวลาและทรัพย์สิน หาง่าย หายรู้ ช่วยการวางแผนการใช้ทรัพยากรองค์กร ให้สามารถทำให้กิจกรรมต่างๆ ในองค์กรเป็นไปโดยอัตโนมัติและง่ายขึ้น

ระบบ UNAI office ทำงานโดยใช้เครื่องอ่านสัญญาณ Bluetooth ที่เรียกว่า Anchor และ ใช้ Tag (ป้ายส่งสัญญาณไร้สาย) ติดไว้กับอุปกรณ์ หรือสิ่งของ Tag จะส่งสัญญาณบลูทูท ระบุตำแหน่งสิ่งของไปยัง  Anchor  ที่ติดตั้งภายในอาคาร และ Anchor จะส่งข้อมูลต่อด้วยสัญญาณไวไฟ (Wi-Fi)  ไปยัง Cloud  และ Server Unai จะทำการประมวลตำแหน่งของสิ่งของที่ต้องการหาโดยสามารถแสดงผลผ่าน Mobile App หรือ Web Interface  สามารถใช้ติดตามสิ่งของและรูปแบบการเคลื่อนที่ภายในอาคาร

จุดเด่นของเทคโนโลยี

  1. ใช้เทคนิค RSSI ในการหาตำแหน่งของป้าย มีความแม่นยำที่ 3 เมตร
  2. ใช้ติดตามสิ่งของและรูปแบบการเคลื่อนที่ภายในอาคาร  มีความเที่ยงตรง 95%
  3. Tag (ป้าย) ขนาดเล็ก 3X3 cm หนา 6 mm ใช้ระบบสื่อสารไร้สายบลูทูธ พลังงานต่ำ อายุใช้งาน 7 ปี มีสัญญาณเตือนเมื่อพลังงานต่ำ
  4. User interface สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้

ประโยชน์

  1. ช่วยลดเวลาในการจัดการทรัพยากร
  2. ช่วยติดตามอุปกรณ์สิ่งของภายในอาคารสำนักงานลดการสูญเสียทรัพย์สิน
  3. ช่วยวางแผนการจัดการทรัพยากรในองค์กรโดยอัตโนมัติและง่ายขึ้น

กลุ่มเป้าหมาย

  1. กลุ่ม System Integrator ที่ต้องการต่อยอดการพัฒนาเพิ่มมูลค่าของธุรกิจด้วยข้อมูลตำแหน่งภายในอาคาร
  2. กลุ่มอาคารสำนักงาน โรงพยาบาล สถานประกอบการภาครัฐ เอกชน ที่ต้องบริหารจัดการครุภัณฑ์จำนวนมาก

วิจัยและพัฒนาโดย

ทีมวิจัยระบบระบุตำแหน่งและบ่งชี้อัตโนมัติ (LAI)
กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)

สนใจผลิตภัณฑ์ ติดต่อ...

ฝ่ายพัฒนาเครือข่ายเชิงกลยุทธ์และประเมินผล
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
112 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ถ.พหลโยธิน
ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120
เบอร์โทรศัพท์:: 0 2564 6900
e-mail: business[at]nectec.or.th

]]>
หุ่นยนต์สแกนและตรวจสอบชิ้นงานแบบ 3 มิติ (3D Inspector) https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/3d-inspector.html Thu, 29 Jun 2023 04:17:19 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=33607

โจทย์การพัฒนา 3D Inspector แรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานขาดแคลน จะอาศัยเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่มีราคาแพง ก็จะไปเพิ่มต้นทุนในการผลิตให้สูงขึ้น เมื่่อเครื่องมือมีราคาแพงการที่จะไปเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้จึงเป็นเรื่องไกลตัว

การพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาการตรวจสอบชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นขนาด พื้นผิวของชิ้นงานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบัน ต้องอาศัยการนำเข้าและราคาค่อนข้างสูง เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ เราจึงวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมหลักภายในประเทศ

การพัฒนาระบบด้วยเทคโนโลยีเพื่อการสแกนและตรวจสอบขนาดชิ้นงาน 3 มิติ ใช้เทคโนโลยี 3D vision ในการตรวจสอบงานขนาดชิ้นงานแบบ 3 มิติที่ต้องการความแม่นยำสูง ตัวระบบประกอบด้วย กล้องถ่ายภาพแบบ 3 มิติ หรือ 3D Scanner  แขนกล หรือ Robot Arm  และโต๊ะหมุน หรือ Turn-table

โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วนหลักได้แก่  หุ่นยนต์ที่มีแขนกลจะมีกล้อง 3D สแกนเนอร์ติดที่ปลายแขนหุ่นยนต์ โดยที่ทั้งสองส่วนจะทำงานร่วมกัน ชิ้นงานที่ต้องการสแกนจะถูกนำมาวางบนโต๊ะหมุน เพื่อที่จะวัดขนาด และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ตรวจสอบ หรือประมวลผลต่อ  ระบบจะสแกนเบื้องต้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ได้จะเรียกว่า Point Cloud  คร่าว ๆ ของชิ้นงาน จากนั้นระบบจะคำนวณหามุมมองที่ดีที่สุด สำหรับสแกนโดยอัตโนมัติเพื่อให้ได้ข้อมูล point cloud ของชิ้นงานอย่างครบถ้วน โดยมีการพิจารณาพื้นที่ซ้อนทับเพื่อช่วยลดจำนวนมุมมองที่จะต้องทำการสแกน ซึ่งจะทำให้การสแกนเสร็จเร็วยิ่งขึ้น

การพัฒนาระบบเพื่อสแกนชิ้นงานโดยอัตโนมัติ ชิ้นงานสามารถเป็นวัตถุใด ๆ ที่มีรูปทรงที่เกิดจากการรวมกันของรูปทรงเรขาคณิตที่มีลักษณะพื้นผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ ซึ่งผลของการสแกนสามารถนำไปขึ้นรูปทำ reverse engineering ในรูปแบบของโมเดล 3 มิติแบบดิจิทัลของชิ้นงาน และการตรวจสอบขนาดของชิ้นงาน นอกจากนี้ยังสามารถนำไปทำ mix & match เพื่อตอบโจทย์ให้กับผู้ประกอบการนำไปใช้งาน โดยผู้ประกอบการสามารถเปลี่ยนแขนกล เปลี่ยนกล้อง ได้ตามความต้องการ

คุณสมบัติของระบบ

  1. รองรับชิ้นงานที่มีต้นแบบ CAD และไม่มีต้นแบบ CAD ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-50 เซนติเมตร สูง 8-30 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 30 กิโลกรัม
  2. ระบบให้ความแม่นยำของระยะระหว่างจุดของข้อมูล Point Cloud อยู่ระหว่าง 150-250 ไมครอน
  3. ให้ความแม่นยำของ Point Cloud ที่สแกนเมื่อเทียบกับต้นแบบ CAD อยู่ระหว่าง 250-500 ไมครอน
  4. เวลาในการสแกนเฉลี่ย 8-15 นาทีขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของชิ้นงาน

จุดเด่นของระบบ

  • สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมของพื้นที่การทำงานได้
  • มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถปรับเปลี่ยนองค์ประกอบหลักทั้ง 3 ตัว คือ กล้องถ่ายภาพแบบ 3 มิติ แขนกล และโต๊ะหมุน ให้เป็นรุ่นหรือยี่ห้อต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับประเภทของงานที่ต้องการใช้งานระบบการสแกนอัตโนมัตินี้ได้ โดยมีข้อแม้ว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้งานในระบบต้องมี API หรือ SDK ที่สามารถใช้ในการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้

ขั้นตอนการทำงาน

การประยุกต์ใช้งาน

สามารถนำไปใช้งานในด้าน

  • การตรวจสอบชิ้นงาน เพื่อตรวจสอบว่าชิ้นงานที่ได้จากการผลิตมีความสมบูรณ์และถูกต้องตามคุณลักษณะที่กำหนดไว้หรือไม่ เช่น ขนาด รูปทรง เป็นต้น
  • การออกแบบผลิตภัณฑ์ เหมาะสำหรับในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ไม่มีต้นแบบ CAD ระบบสามารถสแกนผลิตภัณฑ์และสร้างต้นแบบ CAD เพื่อให้เจ้าของผลิตภัณฑ์สามารถนำต้นแบบ CAD ที่ได้นี้ไปใช้สำหรับการทำซ้ำผลิตภัณฑ์ที่มีได้ต่อไป

ความแม่นยำที่น้อยกว่า 800 ไมครอน เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในการตรวจสอบคุณภาพของชิ้นงานที่ผ่านการผลิตมาแล้วก่อนจะส่งถึงมือลูกค้า นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ผู้ประกอบการ และช่วยให้เกิดการเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้แล้ว ยังช่วยลดความผิดพลาดของชิ้นงานที่ผลิตขึ้น ผู้ประกอบการที่ต้องการผลิตสินคัาให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐาน สามารถส่งงานให้กับลูกค้าได้ตรงกับความต้องการและยังเพิ่มศักยภาพในก่ารผลิตให้ผู้ประกอบการไทยได้อีกด้วย

อุตสาหกรรมเป้าหมายอันดับด้น ๆ ที่จะได้ประโยชน์จากระบบ “สแกนและตรวจสอบขนาดชิ้นงานแบบ     3 มิติ” ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์  อุตสาหกรรมอากาศยาน หรืออุตสาหกรรมการขึ้นรูปแม่พิมพ์  ปัจจุบันต้นแบบได้ผานการทดสอบระดับห้องปฏิบัติการมาแล้วพร้อมสำหรับการเป็น Testbed

ผู้ที่สนใจอยากสัมผัสหุ่นยนต์แขนกลอัจฉริยะ พลเมืองจากเทคโนโลยีขึ้นสูงจากเนคเทค สวทช.อย่างใกล้ชิด หรือต้องการนำระบบไปพัฒนา นำไปใช้งาน สามารถติดต่อสอบถามไปยังทีมวืจัยสมองกลอัจฉริยะและความจริงเสมือน กลุ่มวิจัยไอโอทีและระบบอัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม และ ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง ได้ในวันและเวลาราชการ หรือในช่องทาง Facebook: SMC

]]>
ZpecSen : สเปกโตรมิเตอร์สำหรับมือถือ (mobile spectrometer) https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/zpecsen.html Mon, 21 Dec 2020 01:00:10 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=12121

 

ZpecSen

 

ZpecSen หรือ เครื่องสเปกโตรมิเตอร์แบบพกพาที่ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน ZpecSen ถูกออกแบบให้ติดตั้งกับสมาร์ทโฟนได้สะดวก ใช้งานง่ายผ่าน Mobile Application ที่ชื่อว่า ZpecSen App และตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลาย โดยมาพร้อมกับ 2 ช่องการตรวจวัด ที่ช่วยให้ตรวจวัดวัตถุโปร่งแสง 2 ชนิดได้พร้อมกัน หรือตรวจวัดแหล่งกำเนิดแสงชนิดต่าง ๆ โดยแสดงข้อมูลเชิงแสงผ่าน กราฟสเปกตรัมในรูปแบบความเข้มแสงที่ความยาวคลื่นต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ

ส่งเสริมการเรียนรู้ จินตนาการ และความเข้าใจ

ZpecSen ได้ถูกออกแบบให้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามจินตนาการของนักเรียน หรือครู/อาจารย์ ซึ่งจะเสริมสร้างประสบการณ์ กระบวนการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา ให้แก่นักเรียนได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ครู/อาจารย์สามารถนำ ZpecSen ไปใช้ทำกิจกรรมการเรียนรู้นอกหลักสูตร หรือพัฒนารูปแบบการสอนแบบใหม่ เพื่อใช้เสริมความรู้และความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแสงให้แก่นักเรียน หรือเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน-การสอนให้ดียิ่งขึ้น โดยการลงมือปฏิบัติจริง

ZpecSen

 

ประโยชน์

  • ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในหลักสูตรแกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องแสง และสเปกตรัม ซึ่งสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้แกนกลางของ
    • ประถมศึกษาปีที่ 2 ตัวชี้วัด 2.3.1-2
    • มัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวชี้วัด 2.1.3, 2.1.6, 2.3.11-12, 2.3.15 , 2.3.17 และ 2.3.19-21
    • มัธยมศึกษาปีที่ 5 ตัวชี้วัด 2.3.9-10
    • สาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม
      • สาระเคมี มัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการเรียนรู้ที่ 1.3
      • สาระเคมี มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการเรียนรู้ที่ 2.20
      • สาระฟิสิกส์ มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการเรียนรู้ที่ 2.13
  • ใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจวัดปริมาณสารเคมีหรือสารชีวภาพแบบพกพา
  • ใช้แทนเครื่องมือพื้นฐานในห้องปฏิบัติการซึ่งมีราคาแพงและไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
Zpecsen

 

คุณสมบัติ

  • A dual channel monitor
  • Two measurement modes
  • Switchable four light sources
  • Built-in Spectral calibration
  • Compatible with Android and IOS

Specification

  • Spectral range 450 – 700 nm
  • Spectral resolution ±10 nm (FWHM)
  • Accuracy ± 3 nm
  • Battery rechargeable
  • Dimension (W x D x H) 7 x 4.3 x 5.5 cm
  • Weight 76g

จุดเด่น

  • ราคาถูก
  • ใช้งานง่าย
  • พกพาสะดวก

กลุ่มเป้าหมาย

  • ครู / อาจารย์
  • นักเรียน / นักศึกษา
ในอนาคตผู้พัฒนาหวังอย่างยิ่งที่จะผลักดันการนำ ZpecSen ไปใช้งานในลักษณะสื่อการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา ทั่วประเทศ ผ่านเครือข่าย พันธมิตร มูลนิธิหรือองค์กรการกุศล
Zpecsen

 

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ (PHT)
กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ (SSDRG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
อีเมล : grit.pichayawaytin[at]nectec.or.th
โทร : 02-564-6900 ต่อ 2145
]]>
“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” (μTherm-FaceSense) https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/mutherm-facesense2020.html Sun, 31 May 2020 02:00:17 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=2046

μtherm-facesense

การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นวิธีคัดกรองสุขภาพเบื้องต้นที่สามารถบ่งชี้อาการของโรคต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน โรคไข้สมองอักเสบ โรคมาลาเรีย โรคไข้เลือดออก รวมถึงการติดเชื้อ COVID – 19 ที่ทำให้เกิดจุดคัดกรองอุณหภูมิมากมายในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของอุปกรณ์ตรวจวัดอุณหภูมิส่วนใหญ่ คือ ไม่สามารถตรวจวัดครั้งละหลายคนพร้อมกันได้ รวมถึงไม่สามารถรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รับการตรวจคัดกรองได้มากนัก ทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของโรค ในทางกลับกันเครื่องวัดอุณหภูมิที่สามารถทลายข้อจำกัดดังกล่าวก็มีราคาสูงด้วยเป็นอุปกรณ์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” (µTherm-FaceSense) เครื่องวัดอุณหภูมิอัจฉริยะโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีกล้องอินฟราเรดผนวกระบบตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) โดยไม่มีข้อจำกัดแม้สวมหน้ากากอนามัย มีระบบประมวลผลที่รวดเร็วแม่นยำภายใน 0.1 วินาที สามารถตรวจวัดอุณหภูมิได้ครั้งละหลายคนพร้อมกันในระยะห่างสูงสุด 1.5 เมตร จึงช่วยลดระยะเวลารวมถึงลดความเสี่ยงจากความใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่และผู้รับการตรวจคัดกรอง พร้อมรองรับการเชื่อมต่อและจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสารหลากหลาย

“มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” ได้รับการพัฒนาให้มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา รูปทรงทันสมัย ในราคาที่สนับสนุนให้ผู้ผลิตไทยเข้าถึงได้ หวังลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างประเทศ โดยสามารถติดตั้งใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล โรงเรียน เรือนจำ สถานีขนส่งสาธารณะ สถานีรถไฟฟ้า MRT / BTS ห้างสรรพสินค้า ไปจนถึงงานสัมมนา มหกรรมต่าง ๆ เป็นต้น

ความโดดเด่น
● ตรวจจับใบหน้าและวัดค่าอุณหภูมิถูกต้อง แม่นยำ ภายใน 0.1 วินาที
● ตรวจวัดอุณหภูมิครั้งละหลายบุคคลพร้อมกัน ในระยะห่างสูงสุด 1.5 เมตร
● ตรวจจับใบหน้าบุคคลอัตโนมัติ (Face detection) แม้สวมหน้ากากอนามัย
● กำหนดค่าอุณหภูมิเฝ้าระวัง และ ค่าชดเชยสภาพแวดล้อมได้
● รองรับการเชื่อมต่อและจัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่าย Wi-Fi รวมถึงสาย LAN
● รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์แสดงผลผ่าน HDMI 
ข้อมูลทางเทคนิค

● Full 160×120-pixel thermal image resolution
● Full HD visible image resolution
● Face detection embedded with LiDAR Technology
● Low cost & Light weight (1.7 kg)
● Compactness (8.5×22.8×19.5 cm3)

มาตรฐานเทคโนโลยี

● มาตรฐานการทดสอบความปลอดภัย [Information technology equipment (IEC60950-1)]
(Information technology equipment – Safety – Part 1: General requirements)
● มาตรฐานการทดสอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า CISPR 22 (EMC Standard)
(the information for information technology equipment, ITE for the radio disturbance characteristics for electromagnetic compatibility compliance)
● มาตรฐานการทดสอบเทียบอุณหภูมิ (อยู่ระหว่างการทดสอบ)

ประโยชน์ของเทคโนโลยี

● เฝ้าระวังและลดความเสี่ยงการสูญเสียจากผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับภาวะอุณหภูมิของร่างกายที่ผิดปกติและการระบาดของโรคร้ายแรง
● ใช้เป็นฐานข้อมูลอ้างอิงเพื่อออกประกาศการป้องกันและการดูแลเบื้องต้นเกี่ยวกับภาวะหรือโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย รวมถึงทำนายอุบัติการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
● สร้างโอกาสในการเกิดธุรกิจใหม่ทั้งในฐานะผู้ผลิตและผู้ให้บริการ
● สร้างจุดเด่นให้กับสถานที่ที่ใช้งานระบบเพื่อการเอาใจใส่ดูแลและป้องกันสุขภาพ
● ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ

กลุ่มลูกค้า / ผู้ใช้งานเทคโนโลยีเป้าหมาย

● สถานที่ของภาครัฐที่มีผู้คนพลุกพล่านและต้องการลดโอกาสการแพร่กระจายของโรคด้วยการคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ทัณฑสถาน สถานีขนส่งสาธารณะ สถานีรถไฟฟ้า MRT / BTS เป็นต้น
● ภาคเอกชนที่ต้องการเพิ่มบริการการป้องกันและดูแลเอาใจใส่ในสุขภาพลูกค้า เช่น ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดแสดงมหกรรมสินค้า โรงภาพยนตร์ เป็นต้น
● ภาคเอกชนที่มีความต้องการและมีศักยภาพในการผลิตอุปกรณ์เชิงพาณิชย์

วิจัยและพัฒนาโดย
ทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ (PHT) กลุ่มวิจัยอุปกรณ์สเปกโทรสโกปีและเซนเซอร์ (SSDRG)
และทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (SEC) กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย (CNWRG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
สนใจ “มิวเทอร์ม-เฟสเซนซ์” (μTherm-FaceSense)
สนใจรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี
Cinque Terre
สนใจสั่งซื้อผลิตภัณฑ์
หรือติดต่อ ฝ่ายกลยุทธ์วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยี เนคเทค-สวทช.
โทร. 02 564 6900 ต่อ 2353, 2357, 2383, 2352, 2347
E-mail: business@nectec.or.th

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 

]]>
กล้องจุลทรรศน์มิวอาย (MuEye) https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/mueyelens.html Thu, 05 Mar 2020 04:00:13 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=2062
กล้องจุลทรรศน์เป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สำคัญในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้มีการพัฒนาความสามารถของกล้องจุลทรรศน์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกล้องจุลทรรศน์มีหลากหลายประเภท หลายราคาขึ้นกับจุดประสงค์การใช้งาน สำหรับภารกิจของ เนคเทค สวทช ในแง่มุมการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น การพัฒนาเครื่องมือแลบที่ซับซ้อน ราคาสูง มีขั้นตอนการบำรุงรักษาเยอะ หรือเข้าถึงยาก ให้เป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ราคาตามกลุ่มเป้าหมาย สามารถใช้งานภาคสนามได้ดี หรือแม้กระทั่งมีความจูงใจให้เยาวชน สามารถเข้าใจในวิทยาศาสตร์ได้มากขึ้น มีความสนุกและมีเจตคติที่ดีต่อการทำงานวิจัย ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายและจะมีประโยชน์ต่อการผลิตกำลังคนเพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโทนิกส์ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้พัฒนากระบวนการผลิตเลนส์พอลิเมอร์ที่มีความทนทานต่อการขึ้นเชื้อรา กำลังขยายสูง เพื่อใช้งานกับกล้องของสมาร์ทโฟน ทำให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบพกพา เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับโรงเรียนหรือครูที่ไม่สามารถจัดซื้อหรือบำรุงรักษากล้องจุลทรรศน์ราคาแพงสำหรับการเรียนการสอนในโรงเรียนได้ อีกทั้งกล้องสมาร์ทโฟนในปัจจุบันมีสมรรถนะสูง ความละเอียดสูงในราคาถูกกว่าระบบบันทึกภาพที่ใช้เชื่อมต่อกับกล้องจุลทรรศน์ ทำให้โดยรวมแล้ว กล้องจุลทรรศน์มิวอายสามารถตอบโจทย์การใช้งานในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาในประเทศไทยได้ดี การผลิตเลนส์พอลิเมอร์ด้วยกระบวนการนี้ได้รับการผลิตและจัดจำหน่ายไปแล้วกว่า 6,000 ชุดกล้องจุลทรรศน์ คิดเป็น 18,000 ชิ้นเลนส์ อีกทั้งทีมวิจัยได้พัฒนาเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขข้อจำกัดในการใช้งานเลนส์ที่มีขนาดเล็ก และโปรแกรมถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟนที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานเป็นกล้องจุลทรรศน์เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์สูงสุด

ในปี 2562 ทีมวิจัยได้นำร่องการใช้งานกล้องจุลทรรศน์มิวอายโรโบคิดในโรงเรียนกว่า 250 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสใช้งาน programmable microscope โดยการสั่งการผ่านบอร์ดคิดไบร์ท ( https://www.kid-bright.org) หรือสั่งการด้วยแอพพลิเคชั่นมิวอายผ่านคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถสั่งการหาระยะโฟกัสอัตโนมัติ และควบคุมการถ่ายภาพมุมกว้างได้ (image stitching function) อันจะเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนในโรงเรียน และการทำโครงงานเพื่อเสริมสร้างทักษะการทำงานวิจัย สอดคล้องกับระบบ STEM Education ที่เน้นการลงมือปฏิบัติของผู้เรียน

Cinque Terre

 

 มิวอายโรโบคิด 

แผนที่แสดงชื่อโรงเรียนที่มีมิวอายโรโบคิดใช้งาน ผ่านการร่วมกิจกรรม (คลิกเพื่อดูแผนที่ขนาดใหญ่)

  1. โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม(FABLAB)
  2. โครงการครูไทย 4.0 ประชันสื่อสร้างสรรค์สอน STEM (KruKid)

การจัดกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์โดยใช้ต้นแบบจากงานวิจัยของทีมวิจัยเทคโนโลยีโฟโนนิกส์ เนคเทค (จัดกิจกรรมโดยเนคเทค และศูนย์หนังสือ สวทช)

]]>
uRTU หน่วยตรวจวัดระยะไกลยูนิเวอร์แซล https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/urtu.html Wed, 04 Sep 2019 09:00:53 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=2070
หน่วยตรวจวัดระยะไกลยูนิเวอร์แซล (Universal Remote Terminal Unit: uRTU) เป็นอุปกรณ์สําหรับตรวจวัดและสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น วาล์ว มอเตอร์ เป็นต้น

uRTU ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณหลายประเภท สามารถเพิ่มหรือลดจํานวน Input/Ouput โดยการเพิ่มหรือลดโมดูลขยาย (Expansion Module) ของ uRTU ได้ตามความต้องการ อีกทั้งสามารถนําไปประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลาย เช่น ระบบเฝ้าระวัง ระบบอ่านค่าข้อมูลเพื่อ ควบคุมการ เปิด-ปิด อุปกรณ์ในโรงงาน และระบบอ่านค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ เพื่อส่งข้อมูลไปประมวลผลที่คอมพิวเตอร์แม่ข่าย

urtu

 

คุณลักษณะ

  • เปลี่ยนสัญญาณข้อมูล Analog ในรูปแบบสัญญาณมาตรฐานทางไฟฟ้าที่ได้รับจาก Sensor เช่น แรงดัน กระแสไฟฟ้า ความถี่ หรือปริมาณอื่น ๆ ให้เป็นข้อมูล Digital เพื่อใช้ในการประมวลผล หรือเปลี่ยนข้อมูล Digital ที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์เพื่อใช้สั่งงานการเปิดปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลโดยอัตโนมัติ (Data logger)
  • สามารถติดต่อกับคอมพิวเตอร์ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ได้ เช่น LAN และ RS232/RS485

กลุ่มลูกค้า/ผู้ใช้งานเทคโนโลยีเป้าหมาย

  • ผู้ผลิต/จําหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  • ผู้รับเหมาในงานรวมระบบและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (System Integrator: SI)
  • โรงงานอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร หรือ ธุรกิจที่ต้องการนําข้อมูลจากอุปกรณ์/เครื่องจักร มาวิเคราะห์ ประมวลผล และบริหารจัดการ เพื่อมุ่งไปสู่ industry 4.0
urtu

 

urtu

 

จุดเด่น/ประโยชน์ของเทคโนโลยี

  • สามารถเพิ่มหรือลดจํานวน Input/Output ทั้งสัญญาณ Analog และ Digital ผ่านทาง Expansion Module ได้สูงสุด 5 Modules โดยจํานวน Input/Output ในแต่ละ Module ขึ้นอยู่กับประเภทของสัญญาณจากอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณ
  • สามารถเพิ่มประเภทการรับสัญญาณจากอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณได้อย่างหลากหลายผ่านทาง Expansion Module

สถานภาพการพัฒนา

  • ทรัพย์สินทางปัญญา “อุปกรณ์เลือกโมดูลนําเข้า” เลขที่คําขอ 1801005682
  • อยู่ระหว่างพัฒนาให้ทํางานร่วมกับ IoT ได้

หน่วยงานพันธมิตร

  • บริษัท เอสวีอาร์ เอ็นจิเนียริ่งแอนด์ซัพพลาย จํากัด (SVR)
  • บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จํากัด (มหาชน) (ร่วมทดสอบการใช้งาน)

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยเทคโนโลยีระบบวัดและควบคุมระยะไกล (IST)
กลุ่มวิจัยระบบอัจฉริยะ (INSRG)
อีเมล : jirayut.phontip[at]nectec.or.th
kumpee.suksomboon[at]nectec.or.th
โทร. 0 2564 6900 ext. 2829, 2835
]]>
เครื่องช่วยฟังดิจิทัล KLEAR https://www.nectec.or.th/innovation/innovation-hardware-electronics/klear.html Tue, 03 Sep 2019 07:47:05 +0000 https://www.nectec.or.th/?p=2595
KLEAR

 

เครื่องช่วยฟัง รุ่น KLEAR และ รุ่น KLEAR POWER เครื่องช่วยฟังดิจิทัล 100% แบบกล่อง เหมาะสําหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินระดับน้อยถึงมาก (รุ่น KLEAR) และระดับมากถึงรุนแรง (รุ่น KLEAR POWER) โดยการพัฒนาเครื่องช่วยฟัง มุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหาการได้ยินและทําให้คุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้ กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยการใช้เทคโนโลยีสัญญาณเสียงแบบดิจิทัล ที่ทําให้เสียงมีความคมชัด รวมถึงมีเทคโนโลยี WDRC (Wide Dynamic Range Compressor) ระบบลดเสียงรบกวน (Noise Management) และระบบลดเสียงหวีด (Feedback Cancellation) แบบอัตโนมัติ การเลือกใช้วัสดุคํานึงถึงความทนทานในการ ใช้งานแต่มีน้ําหนักเบา และที่สําคัญคือการใช้แบตเตอรี่ที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป เครื่องช่วยฟังรุ่นนี้ถูกออกแบบโดยเน้นให้ใช้งาน “ง่าย” และมีการทํางานอัตโนมัติ แต่ยังคงไว้ซึ่งปุ่มควบคุมการทํางานที่จําเป็น เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ควบคุมการทํางานได้เอง ปุ่มต่าง ๆ มีความชัดเจน ง่าย และสะดวกสําหรับผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

คุณลักษณะ

  • ระบบดิจิทัล 100%
  • ควบคุมระดับความดังของเสียงแบบอัตโนมัติ 2-Channels WDRC
  • คุณภาพเสียงมีความละเอียด 20 บิต
  • ลดเสียงรบกวนอัตโนมัติตามสภาวะสิ่งแวดล้อม (Adaptive Noise Reduction) โดยแยกลดเสียงรบกวนเป็นอิสระจากกันถึง 32 แถบช่วงความถี่
  • ลดเสียงหวีดหรือเสียงหอนอัตโนมัติ (Feedback Cancellation) และปรับการทํางานตามความถี่ของเสียงหวีด ยกลดเสียงหวีดเป็นอิสระจากกัน ถึง 32 แถบช่วงความถี่
  • ปรับคุณภาพเสียง 4 แบบ
  • มีปุ่มปรับความดัง ระดับ 1-6
  • เสียงเตือนเมื่อแบตเตอรี่อ่อน
  • ใช้แบบ 1 หู หรือ 2 หูได้
  • ใช้แบตเตอรี่แบบ AAA 2 ก้อน

จุดเด่น/ประโยชน์ของเทคโนโลยี

มีเทคโนโลยี WDRC (Wide Dynamic Range Compressor) ระบบลดเสียงรบกวน (Noise Management) และ ระบบลดเสียงหวีด (Feedback Cancellation) แบบอัตโนมัติ

ขอบเขตการใช้งาน

  • สําหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินระดับน้อยถึงมาก (รุ่น KLEAR)
  • สําหรับผู้ที่สูญเสียการได้ยินระดับมากถึงรุนแรง (รุ่น KLEAR POWER)

กลุ่มลูกค้า/ผู้ใช้งานเทคโนโลยีเป้าหมาย

ผู้ให้บริการเครื่องช่วยฟังในโรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชน

หน่วยงานพันธมิตร

  • บริษัท ออดิเมด จํากัด
  • บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จํากัด

สถานภาพการพัฒนา

  • ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานทางไฟฟ้าแล้ว
  • พร้อมจําหน่ายและให้บริการ

วิจัยพัฒนาโดย

ทีมวิจัยการประมวลสัญญาณประสาท (NSP)
กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AINRG)
ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค-สวทช.)
อีเมล : anukool.noymai[at]nectec.or.th
โทร. 0 2564 6900 ต่อ 2468
]]>