สำนักข่าวเกียวโดรายงานวานนี้ (17ธ.ค.) อ้างผลสำรวจของไฟแนนเชียล ไทมส์ ที่ระบุว่า เจเนอรัล อิเล็คทริค (จีอี) ยังคงครองแชมป์บริษัทที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลกในปี 2544 ขณะความน่าเชื่อถือของโซนี่ คอร์ป ร่วงลงไปอยู่อันดับ 4 สื่อสิ่งพิมพ์ด้านธุรกิจชั้นนำสัญชาติอังกฤษ ได้ทำการสำรวจเพื่อจัดอันดับบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดในโลก 50 แห่งเป็นประจำทุกปี โดยออกแบบสอบถามความคิดเห็น บรรดาผู้จัดการบริษัทข้ามชาติจำนวน 914 คน จากบริษัทชั้นนำทั่วโลก 50 แห่ง ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม ในการจัดอันดับเมื่อปีที่แล้ว โซนี่ ติดอันดับ 3 ขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ยังคงเป็นบริษัทที่ได้รับความน่าเชื่อถือมากที่สุดอันดับ 6 ในปีนี้ เหมือนปีที่แล้ว แต่เอ็นทีที โดโคโม ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือชั้นนำของญี่ปุ่น กลับติดอันดับเกือบรั้งท้ายคืออันดับที่ 48 เช่นเดียวกับฮอนด้า มอเตอร์ โค และมัตสึชิตะ อิเล็กทริค อินดัสเตรียล ซึ่งติดอันดับที่ 25 และ 44 เมื่อปีที่แล้วนั้น ปรากฏว่าในปีนี้ ได้สูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริหารลงไปจากเดิม จนทำให้ร่วงลงไปอยู่อันดับท้ายๆ ในการสำรวจปีนี้

ส่วนบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดอันดับ 2 คือไมโครซอฟท์ คอร์ป ตามมาด้วยอินเตอร์เนชั่นแนล บิสสิเนส แมชชีนส์ (ไอบีเอ็ม) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำที่รั้งอันดับ 3 เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่ฟองสบู่ในธุรกิจอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมแตก ส่งผลให้อะเมซอน ดอท คอม ผู้ค้าปลีกหนังสือ ซีดี และสินค้าอื่นๆ ทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รวมทั้ง โวดาโฟน บริษัทให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สัญชาติอังกฤษ ร่วงจากรายชื่อ 50 บริษัทไปอย่างน่าเสียดาย แต่โนเกีย คอร์ป ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือสัญชาติฟินแลนด์ กลับไต่ขึ้นจากอันดับ 11 เมื่อปี 2543 มาเป็นอันดับ 7 ในปีนี้ และถือเป็นบริษัทยุโรปรายเดียวที่ติดกลุ่ม15 บริษัทชั้นนำ

ข่าวดีของจีอีครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากบริษัท ตัดสินใจถอนข้อเสนอซื้อกิจการฮันนีเวลล์มูลค่า 42,000 ล้านดอลลาร์ เพราะแผนดังกล่าว ได้รับการคัดค้านจากคณะกรรมการต่อต้านการผูกขาดตลาด ของสหภาพยุโรป ที่เกรงว่าหากอนุมัติไป จะทำให้คู่แข่งรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หมดหนทางแข่งขันในโลกธุรกิจ ซึ่งความล้มเหลวของข้อตกลงฉบับนี้ ได้เปิดโอกาสให้ฮันนีเวลล์ เปิดรับบริษัทอื่นๆ ที่สนใจเข้าซื้อกิจการอย่างเต็มที่ อาทิ ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ของสหรัฐ ซึ่งเคยพ่ายในศึกประมูลซื้อแก่จีอี ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2544