สรรพัชญ โสภณ ถอดรหัสตลาดไอทีไทย เมืองไทยกำลังเป็น hot country

จากนโยบายของรัฐบาล พ...ทักษิณ ชินวัตร ที่ทั้งส่งเสริมและผลักดันให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนนำไอทีเข้าไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในทุกๆ จุด เป็นตัวเร่งให้อุตสาหกรรมไอซีทีเมืองไทยมีอนาคตสดใสมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทไอทีจากต่างประเทศแห่เข้ามาลงทุนลงหลักปักฐานในเมืองไทยมากขึ้น ด้วยมองเห็นโอกาสที่อยู่ข้างหน้า ในโอกาสนี้ "ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "สรรพัชญ โสภณ" กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด หรือเอชพี เป็นยักษ์ใหญ่ของวงการไอทีที่ขับเคี่ยวกับยักษ์สีฟ้าไอบีเอ็ม นอกจากนี้ "สรรพัชญ" ยังสวมหมวกของนายกสมาคมธุรกิจคอมพิวเตอร์ไทย (เอทีซีไอ) อีกใบ มาฉายภาพธุรกิจไอทีปีลิงว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน และยักษ์ใหญ่อย่างเอชพีได้วางแผนธุรกิจอย่างไรเพื่อสอดรับกับสภาพตลาดและการแข่งขันที่เปลี่ยนไป

- มองภาพรวมของตลาดไอทีปีนี้อย่างไร
ตลาดไอทีปีนี้ไปได้ค่อนข้างดี ตอนนี้บริษัทต่างชาติได้ย้ายฐานเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้มีการลงทุนด้านไอทีมากขึ้นด้วย เพราะต่างชาติมีความมั่นใจว่ารัฐบาลจะอยู่ยาว ซึ่งก็จะมีผลทำให้โปรเจ็กต์ต่างๆ ได้รับการสานต่อ ต่างจากอดีตที่มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยทำให้โครงการต่างๆ ต้องชะลอไป ในส่วนของเอชพีก็มีการย้ายฐานในส่วนของการผลิตพีซีมาที่ประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยเป็นลักษณะของการจ้างโรงงานในประเทศไทยผลิตตามสเป็กและมาตรฐานคุณภาพของเอชพีทั้งหมด นอกจากนี้ทางเอชพียังได้ย้ายฐานการผลิตคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่มาอยู่ที่สิงคโปร์ ซึ่งก็เป็นผลดีต่อการทำตลาดของบริษัทเช่นกัน เพราะการที่มีฐานการผลิตใกล้ประเทศไทยก็ทำให้ต้นทุนทั้งในแง่ของค่าขนส่งและการรับประกันสินค้าต่างๆ ดีขึ้นมาก นอกจากนี้เวลาในการผลิตก็ควบคุมได้ดีขึ้นไม่ต้องใช้ระยะเวลามากเหมือนที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมไอทีเมืองไทยถ้าเทียบกับประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย หรืออื่นๆ ตอนนี้ตลาดเมืองไทยถือว่าเป็น hot country ของภูมิภาคมีการเติบโตสูงสุด อย่างไรก็ตามตลาดเมืองไทยยังมีฐานที่เล็กมาก และอัตราการใช้ไอทีก็ยังอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำทำให้มีโอกาสการเติบโตอีกมาก

- มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างหรือเปล่า
น่าเป็นห่วงอยู่ 2 เรื่องคือ ปัญหาของไข้หวัดนกซึ่งต้องรอดูว่าจะมีผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจมากแค่ไหน เพราะอุตสาหกรรมนี้ก็มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมากเช่นกัน รวมถึงมีปัญหาความวุ่นวายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

- ตลาดที่มีบทบาทสำคัญในปีนี้
3 ปีที่แล้วอุตสาหกรรมโทรคมนาคมมาแรงมาก เพราะว่าธุรกิจมีการแข่งขันกันรุนแรง มีผู้ให้บริการรายใหม่อย่างทีเอ ออเร้นจ์ หรือฮัทช์เข้ามาในตลาด ทำให้ผู้ให้บริการทุกรายมีการลงทุนนำไอทีเข้ามาช่วยพัฒนาระบบต่างๆ เช่น ระบบบิลลิ่งใหม่ ซึ่งปีนี้อุตฯโทรคมนาคมก็ยังคงโตต่อ แต่จะไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ที่มาแรงของปีนี้ก็คือ เซ็กเตอร์ราชการและรัฐวิสาหกิจ เมื่อรัฐบาลนิ่งโปรเจ็กต์งานประมูลของภาครัฐก็เริ่มเกิด และนายกรัฐมนตรีก็ผลักดันเรื่องการนำไอทีไปใช้ค่อนข้างมาก เชื่อว่าในช่วง 18 เดือนนับจากนี้จะมีโปรเจ็กต์ราชการไหลลื่นและเกิดขึ้นจำนวนมาก สำหรับภาคธุรกิจสถาบันการเงินก็เริ่มมีการลงทุนมากขึ้นหลังจากที่มีปัญหาเมื่อปี 1997 แบงก์มีปัญหาเรื่องเอ็นพีแอล ตอนนี้หลายๆ แบงก์ก็เริ่มเข้าที่มีข้อสรุปเรื่องการควบรวม ก็ทำให้เริ่มมีการลงทุนด้านไอทีอีกครั้ง แต่สำหรับในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตโดยรวมคงจะชะลอตัวเป็นผลสืบเนื่องจากผลกระทบของไข้หวัดนก แต่ก็ยังมีในอุตฯรถยนต์ที่มีการเติบโตที่ดี ซึ่งก็ทำให้ภาพรวมของเซ็กเตอร์อุตสาหกรรมการผลิตคงไม่เติบโต

- ตลาดภาครัฐมีโปรเจ็กต์อะไรน่าสนใจบ้าง
คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโปรเจ็กต์ภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการเช่น ขณะนี้เอชพีก็ได้ร่วมกับทางบริษัท กรุงไทยคอมพิวเตอร์เซอร์วิส จำกัด ในการทำโปรเจ็กต์ GFMIS หรืออย่างโครงการ สมาร์ตการ์ดก็เป็นโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจ ในส่วนของเอชพีไม่ได้สนใจเรื่องตัวบัตรสมาร์ตการ์ด แต่โครง การนี้มีระบบงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมาก ซึ่งเอชพีก็มีประสบการณ์ในการบริหารจัดการโครงการ สมาร์ตการ์ดแบบ end to end ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี บัลแกเรีย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้ให้ข้อคิดเห็นกับกระทรวงไอซีทีไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะบริการจัดการโครงการอย่างไร และมีอีกหลายๆ โครงการที่จะทยอยเกิดขึ้น

- ภาพการแข่งขันในตลาดจะเปลี่ยนไปอย่าง ไร
ปีนี้การแข่งขันของธุรกิจจะรุนแรง แนวโน้มรายเล็กรายน้อยจะหดหายไป ซึ่งผลจากวิกฤตเศรษฐ กิจทำให้แต่ละองค์กรต้องโฟกัสการทำธุรกิจมากขึ้นเพื่อให้อยู่รอด นั่นก็คือการทำธุรกิจที่ตัวเองมีความชำนาญ ซึ่งทำให้รูปแบบของการเอาต์ซอร์ซไอทีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เพราะแต่ละธุรกิจและอุตสาห กรรมจะมุ่งเน้นการทำธุรกิจที่ตัวเองถนัดเท่านั้น ส่วนเรื่องไอทีซึ่งยุ่งยากซับซ้อนก็ให้บริษัทด้านไอทีเข้ามารับเอาต์ซอร์ซ  นอกจากนี้ ในภาครัฐก็มีแนวโน้มของการเอาต์ซอร์ซมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งภาครัฐจะมีปัญหาเรื่องบุคลากรเพราะคนไอทีค่าตัวสูงไม่มีใครยอมทำงานอยู่ในภาครัฐ ดังนั้นรูปแบบของเอาต์ซอร์ซก็จะช่วยแก้ปัญหาได้
การที่รูปแบบของการเอาต์ซอร์ซเข้ามามีบทบาทก็ทำให้รูปแบบการแข่งขันเปลี่ยนไป องค์กรหรือบริษัทขนาดเล็กก็อาจจะต้องควบรวมกันเพราะการที่จะมาทำเรื่องเอาต์ซอร์ซจะต้องมีความพร้อมทั้งเรื่องคน ต้องมีเงินและมีโนว์ฮาวเพราะไม่ใช่แค่การขายสินค้า ซึ่งบริษัทคนไทยก็ทำได้ระดับหนึ่ง แต่สำหรับเอชพีแล้วจะมีประสบการณ์การทำงานมาจากทั่วโลก ประสบการณ์คือความผิดพลาด เมื่อรู้ว่าทำแล้วเจ็บก็ไม่ทำ แต่คนที่ไม่เคยก็ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ  เอชพีก็มีประสบการณ์ในการควบรวมกิจการกับคอมแพคมา 18-19 เดือน เป็นการรวมระบบที่แตกต่าง ความคิดที่แตกต่าง เป็นการบริหารความเปลี่ยนแปลงขององค์กรก็มีทำถูกบ้างผิดบ้าง แต่จากประสบการณ์ที่เราค้นพบก็จะนำมาช่วยลูกค้า

- ช่วยขยายความที่บอกว่ารายเล็กจะหดหายไปจากตลาด
เป็นแนวโน้มของตลาด ผู้ที่ไม่มีความแข็งแกร่งก็จะต้องหายไป เป็นการไดรฟ์ของตลาด เนื่องจากแนวโน้มความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไปสู่รูปแบบของการเอาต์ซอร์ซมากขึ้น เพราะต้องการบริการแบบ one stop ไม่ต้องยุ่งยากกับการติดต่อกับหลายๆ บริษัท เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยความต้องการของลูกค้าทำให้ภาพของอุตสาหกรรมต้องเปลี่ยนตามแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด 100% เรื่องนี้เป็นแนวโน้มของตลาดโลกซึ่งในอเมริกาเกิดมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้ถึงเวลาของเมืองไทย

- อย่างนี้จะกระทบกับคู่ค้าของเอชพีหรือไม่
อุตสาหกรรมนี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน ดังนั้นพาร์ตเนอร์ก็จะต้องมีการเปลี่ยนวิธีการทำงาน การบริหารจัดการตลอดเวลา ทุกคนต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนเพื่อที่จะอยู่รอด เอชพีก็มีหน้าที่ชี้แนะว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างไร ไม่ใช่ว่าเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงเรื่องคนใครออกใครเข้า ทุกอย่างถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตอนนี้ตลาดไอทีไทยมีปัญหาว่าพัฒนาคนไม่ทันกับความต้องการของตลาด เพราะฉะนั้นการแย่งคนก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะไอบีเอ็ม และเอชพีจะเป็น 2 องค์กรที่ถูกแย่งคนไปมากที่สุด

- การที่เอชพีเสียผู้บริหารระดับสูงไปพร้อมกัน 2 คนมีผลกระทบแค่ไหน
โดยข้อเท็จจริงก็ย่อมมีผลกระทบแต่โชคดีที่ความรับผิดชอบของทั้งคุณอโณทัย (เวทยากร) และคุณประเสริฐ (จรูญไพศาล) เป็นธุรกิจที่ทำผ่านพาร์ตเนอร์ทั้งหมด ทำให้มีผลกระทบไม่มากเพราะคู่ค้าก็ยังสามารถขายสินค้าได้ตามปกติ แต่การที่บุคลากรของบริษัทหายไปก็ย่อมต้องหาคนใหม่มาทำงานและมาเทรนกันใหม่

- ตอนนี้ได้คนหรือยัง
กำลังคุยกันอยู่หลายๆ คนก็ไม่ง่ายเพราะทั้ง 2 ตำแหน่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญต้องเข้าใจตลาดและปรับตัวทำงานร่วมกับเราได้

- มีโอกาสเป็นคนนอกวงการหรือไม่
ทั้งในและนอกวงการ ซึ่งก็ยอมรับว่าคนนอกวงการก็มีโอกาสสูงเพราะปัจจุบันคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับไอทีกันมากขึ้น สินค้าไอทีกลายเป็นสินค้าคอนซูเมอร์มากขึ้น ผู้บริหารที่รู้เรื่องไอทีก็ถือว่าเป็นเบสิกของตลาด แต่ที่จะต้องดูคงจะเป็นเรื่องของการแมเนจเมนต์มากกว่า รวมถึงวิธีการทำตลาด การบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย

- ปีนี้เอชพีมีเป้าหมายธุรกิจอย่างไร
เอชพีเป็นองค์กรใหญ่ที่มีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของตลาดได้ดี บริษัทแม่ตั้งเป้าหมายว่าบริษัทจะต้องมีการเติบโตมากกว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม ซึ่งปีนี้ตลาดเมืองไทยจะมีการเติบโตประมาณ 15% เอชพีคงอยู่ที่ 15-20% นอกจากนี้จะต้องสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไม่ให้ลดลง หรือต้องได้ส่วนแบ่งมากขึ้น หมายความว่าเราต้องไปกินตลาดของคู่แข่ง ปีนี้ตลาดจะโตในส่วนของซอฟต์แวร์และเซอร์วิสมากกว่า ฮาร์ดแวร์คงโตไม่มาก

- มองผลกระทบจากโปรเจ็กต์ไอซีทีอย่างไร
ก็คงต้องมีผลกระทบกับผู้ประกอบการเอกชนบ้าง เพราะกลุ่มคนซื้อเป็นกลุ่มเดิม เมื่อลูกค้าซื้อคอมพิวเตอร์เอื้ออาทรแล้วก็คงไม่ซื้อคอมพิวเตอร์เอชพี เป็นโครงการที่ดีทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น มีการพัฒนาสินค้าที่ดีขึ้น ทำให้ระดับราคามาตรฐานในตลาดลดลง ถือว่าโดยภาพรวมแล้วเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เอชพีก็สนใจเข้าไปร่วมสนับสนุนกำลังศึกษาข้อมูลและสเป็กต่างๆ

- 6 เดือนกับตำแหน่งเอ็มดีของเอชพี

ทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ จุดแข็งของเอชพีคือเป็นบริษัทไอทีเซอร์วิสที่มีสินค้าครบวงจร แต่เอชพีก็เป็นองค์กรใหญ่ที่เราจะต้องทำให้คนในองค์กรเดินไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการจัดบ้านให้เข้าที่ ซึ่ง 6 เดือนที่ผ่านมาก็ได้มีการจัดบ้านไปแบบเล็กๆ ทุกอย่างไปได้ดีเกินคาดเพราะปัญหาที่คิดว่าจะเยอะก็ไม่เยอะอย่างที่คิด สำหรับปัญหานั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติของการทำงาน เพราะหน้าที่ของผมคือต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่มีงานทำ

 

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2547

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.