มองผ่านความสำเร็จ "บังกาลอร์" สู่ซอฟต์แวร์ปาร์ค (แบบไทยๆ)

เอกชนต่อเอกชนจุดสานฝันอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์
กิ่งกาญจน์ ตรียงค์
kingkan@nationgroup.com

 

ยอดรายได้ซอฟต์แวร์ส่งออกของอินเดีย มูลค่าราว 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปีที่ผ่านมานั้น ยิ่งช่วยตอกย้ำความสำเร็จตำแหน่งผู้นำของ "บังกาลอร์" ในอุตสาหกรรมนี้ยิ่งขึ้น นอกเหนือจากความโด่งดังในฐานะที่ได้รับการขนานนามเป็น "ซิลิกอน วัลเล่ย์ แห่งเอเชีย" เทียบเคียงกับแหล่งผลิตซอฟต์แวร์ระดับโลก "ซิลิกอน วัลเล่ย์" สหรัฐอเมริกา

 

ปัจจุบัน "บังกาลอร์" เมืองหลวงขนาด 368 ตารางกิโลเมตร ของรัฐคาร์นาทากะ ซึ่งอยู่ตอนใต้ของอินเดีย มีประชากรประมาณ 6 ล้านคนนั้น เป็นแหล่งรวมบริษัทด้านไอที และซอฟต์แวร์นับพันบริษัท และสร้างรายได้เป็นอันดับ 1 ให้กับอุตสาหกรรมส่งออกซอฟต์แวร์ของอินเดีย ด้วยยอดเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 25% เมื่อปีที่ผ่านมา เทียบกับการขยายตัวของตลาดซอฟต์แวร์รวมทั่วโลก อยู่ระดับประมาณ 20% เท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นยังมีมาตรการหนุนอุตสาหกรรมฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาด พร้อมแนะไทยสานอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ระหว่างเอกชนต่อเอกชนเห็นผลชัดเจนกว่าผ่านรัฐ ทั้งเตรียมพร้อมก้าวต่อไปมุ่งตอบรับแนวโน้มเทคโนโลยี และความต้องการใหม่ๆ ในตลาดไอทีระดับโลกขยายสู่การพัฒนาด้านมัลติมีเดีย และแอนิเมชั่น ตลอดจนไบโอเทคโนโลยี ที่มีศักยภาพเพียงพอ จากเคยประสบวิกฤติภาวะขาดแคลนอาหารในอดีต

 

ตั้งเป้าโตแซงหน้าตลาดโลก

โดย นายเจ.ปาทาสารัตถี ผู้อำนวยการร่วม ซอฟต์แวร์เทคโนโลยีปาร์ค ออฟ อินเดีย (STPI) หนึ่งในซอฟต์แวร์ปาร์ค จำนวน 36 แห่งของอินเดีย กล่าวว่า ปีนี้เขาคาดการณ์เติบโตของยอดส่งออกซอฟต์แวร์จากอินเดียไว้ 25-30% เลยทีเดียว ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันมีการจัดทำ SWOT Analysis เกี่ยวกับจุดแข็ง-จุดอ่อน-โอกาส และปัจจัยคุกคามสำหรับอนาคตของซอฟต์แวร์จากอินเดีย ว่า จะไม่ได้ประโยชน์จากต้นทุนด้านบุคลากรอีกต่อไป

 

ท่ามกลางคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบริษัทจากไอร์แลนด์, รัสเซีย หรือจีน แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า ตลาดที่เติบโตขึ้น จะทำให้ยังมี "ที่ว่าง" สำหรับคู่แข่ง แต่ด้วยศักยภาพของบุคลากร และผลิตภัณฑ์ของบริษัทไอทีประเทศแห่งนี้แล้ว จะยังคงทำให้พวกเขาเป็น "ผู้นำ" ในตลาดโลกต่อไป พร้อมกันนี้ เขาก็ย้ำด้วยว่า ความสำเร็จของซอฟต์แวร์จากอินเดียนั้น ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญของสภาพทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ติดกับสหรัฐอเมริกา หรือความเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษของประชากรของชาตินี้เท่านั้น

 

หากแต่ปัจจัยสนับสนุนข้อสำคัญที่สุดนั้น เริ่มตั้งแต่นโยบายเปิดกว้างทางการค้าของรัฐบาลอินเดียในยุคปี ค..1991 ซึ่งต้องการสร้างความคล่องตัว และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของภาคธุรกิจ ทั้งระดับภายในประเทศและการส่งออก ด้วยการออกนโยบาย และผ่อนคลายกฎระเบียบจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างมากมาย รวมถึงมาตรการยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ และไม่ว่ารัฐบาลของประเทศนี้จะเปลี่ยนไปแล้วกี่ชุด แต่นโยบายข้างต้นยังได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบัน เมื่อความต้องการใช้ไอทีในประเทศเริ่มเพิ่มมากขึ้นตามกระแสเศรษฐกิจโลก รัฐบาลก็ยังมีนโยบายสนับสนุน ด้วยการอนุญาตให้บริษัทไอทีที่มุ่งส่งออกเป็นหลัก สามารถป้อนผลิตภัณฑ์ให้กับตลาดในประเทศได้ เป็นมูลค่าไม่เกิน 50% ของยอดส่งออกในปีก่อนหน้านี้ ภายใต้สิทธิประโยชน์เท่าเดิม "สำหรับหน่วยงานแห่งนี้ ได้รับการจัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี ค..1991 เช่นกัน โดยเราจะอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจทุกอย่างให้กับสมาชิก ทั้งพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐาน ที่รวมถึงด้านระบบสื่อสาร ซึ่งทำให้บริษัทไอทีรายเล็กๆ สามารถทุ่มเทกับการทำธุรกิจของเขาได้เต็มที่ ไม่ต้องพะวงกับการลงทุนจำนวนมากๆ ในสิ่งเหล่านี้ แต่เสียค่าใช้จ่ายให้เราเท่าที่เขาใช้งาน"

 

ทั้งนี้ เขายังยกตัวอย่างด้วยว่า ทั้งอินโฟซิส และวิโปร (WIPRO) ที่เป็นบริษัทส่งออกซอฟต์แวร์อันดับ 1 และ 2 ของประเทศ ก็เคยมีสำนักงานเป็นห้องเล็กๆ อยู่ที่นี่มาแล้ว ก่อนจะใหญ่โตติดอันดับโลกอย่างทุกวันนี้

ปัจจุบัน มีบริษัทที่เป็นสมาชิกของซอฟต์แวร์ ปาร์ค ที่บังกาลอร์ จำนวน 116 แห่ง และในจำนวนนี้เป็นบริษัทข้ามชาติถึง 68% ขณะที่ส่วน "อิเล็กทรอนิกส์ ซิตี้" ซึ่งเป็นโซนที่รัฐบาลจัดสรรไว้เป็นเสมือนนิคมอุตสาหกรรมไอทีนั้น มีบริษัทเข้ามาตั้งแล้วไม่ต่ำกว่า 300 แห่ง และในเร็วๆ นี้อาจมีไมโครซอฟท์ตามมาด้วย

 

เล็งปั้นยอดส่งออกฮาร์ดแวร์เพิ่ม

ด้าน นายเอช.เอ นาการาจา ราโอ ผู้บริหารระดับภูมิภาค สมาพันธ์ส่งเสริมการส่งออกซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ (ESC) ภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของอินเดีย กล่าวว่า หน่วยงานแห่งนี้ ได้รับการจัดตั้งเพื่อสนับสนุนการส่งออกทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แววร์ และผลิตภัณฑ์สื่อสารโทรคมนาคม

โดยมูลค่าส่งออกรวมเมื่อปีที่ผ่านมาจำนวน 10.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น คิดเป็นสัดส่วนของซอฟต์แวร์ถึง 8.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะด้านโทรคมนาคมจะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของตลาด "กล่าวได้ว่า มาตรฐานซีเอ็มเอ็ม (Capability Maturity Model) ระดับ 5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการพัฒนาซอฟต์แวร์ นับเป็นจุดแข็งของเรา โดยในจำนวนบริษัทซอฟต์แวร์ที่ได้รับมาตรฐานระดับนี้ 70 แห่งทั่วโลก มีสัดส่วนถึง 46 บริษัทที่เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อินเดีย และจากจำนวนดังกล่าวเป็นบริษัทในบังกาลอร์ถึง 30 แห่ง" นายราโอ กล่าว สำหรับบทบาทของหน่วยงานแห่งนี้ จะสนับสนุนตั้งแต่การกฎระเบียบการจัดตั้งบริษัท, การจดทะเบียน, ด้านภาษี ตลอดจนการสร้างบรรยากาศทางการค้า ซึ่งรวมถึงการประสานกับรัฐบาล และภาคธุรกิจในประเทศคู่ค้า และประเทศเป้าหมาย เพื่อจัดให้มีการพบปะระหว่างนักธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศ

 

"แอนิเมชั่น-ไบโอเทค" ก้าวต่อไป

สำหรับก้าวต่อไปในตลาดโลกของซอฟต์แวร์อินเดียนั้น ผู้บริหารของทั้ง 2 องค์กรที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุน และสร้างอนาคตให้กับผู้พัฒนาในประเทศ กล่าวว่า แม้ความหลากหลายของซอฟต์แวร์ที่พัฒนา และส่งออกไปจากที่นี่ ดูเหมือนจะครอบคลุมแทบทุกด้าน แต่พวกเขาก็ยังมองถึงการพัฒนาเพื่อตอบรับกับแนวโน้มเทคโนโลยี และความต้องการใหม่ๆ ในตลาดไอทีระดับโลกต่อไป ปัจจุบัน ซอฟต์แวร์เด่นๆ จากนักพัฒนาที่นี่จะมุ่งไปยังกลุ่ม ITES (IT Enable Services) และการรับจ้างบริหารกระบวนทำธุรกิจ (BPO : Business Processing Outsourcing) ได้แก่ ระบบแบ็คออฟฟิศ, คอลล์ เซ็นเตอร์

 

ขณะที่ จากนี้ไปจะเตรียมขยายสู่การพัฒนาด้านมัลติมีเดีย และแอนิเมชั่นมากขึ้น โดยเริ่มต้นแล้วด้วยการจับมือกับพันธมิตรในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ป้อนผลงานแอนิเมชั่นเด่นๆ ให้กับผู้ผลิตภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด

นอกจากนี้ ยังมองไปที่การพัฒนาด้านโรโบติกส์, เจเนติก และไบโอเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านไบโอเทคนั้น มั่นใจว่า มีศักยภาพเพียงพอ เพราะประเทศเคยประสบวิกฤติจากภาวะขาดแคลนอาหารเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ในที่สุดก็สามารถแก้ปัญหานั้นได้ รวมถึงปัจจุบันก็ยังมีอาหารเพียงพอสำหรับประชากรร่วมพันล้านคน

 

พร้อมหนุนความร่วมมือไทย-อินเดีย

ขณะเดียวกัน เขายังพร้อมที่จะประสานความร่วมมือทางธุรกิจในรูปแบบข้างต้น ระหว่างผู้พัฒนาของไทยและอินเดียด้วย รวมทั้งย้ำว่า การพบปะกันเพื่อนำมาสู่ข้อตกลงทางธุรกิจนั้นจะมี "บริษัทเอกชน" เป็นหัวใจสำคัญ โดยที่ผ่านมาเขาเคยให้คำแนะนำกับเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ (ซอฟต์แวร์ปาร์ค) ของไทย ถึงแนวทางดังกล่าวเช่นกัน "เราพร้อมจัดสัมมนา-อบรมให้กับบริษัทที่สนใจรวมกลุ่มเดินทางมา หรือแจ้งมาเพื่อให้เรานำกลุ่มบริษัทซอฟต์แวร์จากอินเดียไปจัดสัมมนาให้ที่ประเทศก็ได้ เชื่อว่า จะใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน สามารถสร้างให้เกิดการทำธุรกรรมระหว่างภาคธุรกิจได้ (บิสซิเนส ทรานแซคชั่น)" นายราโอ กล่าว โดยอธิบายว่า กำหนดการในวันแรกจะเป็นการนั่งสัมมนาร่วมกัน และเจรจากันในระดับบริษัทต่อบริษัทในช่วงบ่ายหรือเย็น, วันที่ 2 ไปเยี่ยมบริษัทตามความสนใจเพื่อปรึกษาแนวทางทำธุรกิจร่วมกัน และวันที่ 3 ร่วมลงนามสัญญาความร่วมมือ ซึ่งจากประสบการณ์จัดการพบปะลักษณะนี้ พบว่า 2 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมสัมมนาจะบรรลุข้อตกลงเชิงธุรกิจกันได้

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (SciTech) ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2546

 

 

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.