จีนลุยตั้งมาตรฐานเทคโนฯชิพ "อาร์เอฟไอดี" ใหม่

ด้านผู้เชี่ยวชาญแนะเร่งหามาตรฐานกลาง
จีน เปิดศึกมาตรฐานเทคโนโลยีรอบใหม่ ประกาศพัฒนาระบบติดตามสินค้า "อาร์เอฟไอดี" แข่งชาติตะวันตก หลังถูกวอล-มาร์ท บีบติดตั้งป้ายไฮเทคในสินค้าส่งออกทุกชิ้น เผยหวังลดค่าใช้จ่ายซื้อลิขสิทธิ์ต่างชาติ พร้อมระบุมีสิทธิกำหนดมาตรฐานโลก เหตุเป็นผู้ป้อนสินค้าอันดับหนึ่ง

 

หนังสือพิมพ์ดิ เอเชี่ยน วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ในสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลจีนได้ประกาศตั้งกลุ่มประสานงาน เพื่อร่างมาตรฐานเทคโนโลยีติดตามสินค้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ป้ายประจำตัวสินค้าระบบคลื่นความถี่วิทยุ" (radio frequency identification- RFID) ตัวใหม่ ทั้งนี้ ป้ายสินค้าระบบอาร์เอฟไอดี เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ประกอบการค้าส่ง หรือค้าปลีก สามารถติดตามได้ว่า ตู้ขนส่งสินค้า หรือกล่องพัสดุของตน กำลังอยู่ที่ตำแหน่งใดในเส้นทางขนส่ง และคาดว่าจะมีการนำอุปกรณ์ตัวนี้ ไปติดตั้งลงในสินค้าที่วางจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

 

นายเอ็ดเวิร์ด เจิง ประธานบริษัทสปาร์คิซ อิงค์ ผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ และธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์รายหนึ่ง เปิดเผยว่า ทีมเจ้าหน้าที่ และผู้เชี่ยวชาญของจีน มีแผนเยือนสหรัฐ และญี่ปุ่น ในเดือนหน้า เพื่อพบปะกับตัวแทนรัฐบาล และบริษัทที่สนับสนุนมาตรฐานชิพอาร์เอฟไอดีเวอร์ชั่นปัจจุบัน ที่คาดว่าจะไม่สามารถทำงานร่วมกับชิพของจีนได้ สาเหตุที่รัฐบาลจีน เริ่มดำเนินการเคลื่อนไหว เพื่อพัฒนามาตรฐานอาร์เอฟไอดีของตัวเอง เนื่องจากผู้ประกอบการค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ วอล-มาร์ท สโตร์ อิงค์. และบริษัทเมโทร กรุ๊ป เอจี แห่งประเทศเยอรมนี ได้เรียกร้องให้จีนติดตั้งชิพดังกล่าวลงในสินค้า ที่ส่งออกนอกประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้ผลิตจีน ต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาล

 

บริษัทวอล-มาร์ท นำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเป็นสัดส่วนราว 70% ของสินค้าทั้งหมด และทางบริษัทต้องการให้ผู้ผลิตต่างๆ เริ่มติดชิพอาร์เอฟไอดีในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น ก่อนปี 2548 เพื่อใช้ในการติดตามตู้ขนส่งสินค้าต่างๆ

ระบบอาร์เอฟไอดี ประกอบด้วยชิพคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว ที่จะติดตั้งอยู่บนตู้ขนส่งสินค้า และผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น โดยที่ชิพจะส่งสัญญาณวิทยุออกมา นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์สำหรับอ่านคลื่นสัญญาณเหล่านี้ และเครื่องแม่ข่าย ที่เป็นผู้เก็บข้อมูลสินค้าทั้งหมดเอาไว้ เพื่อแลกเปลี่ยนกันในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งนอกเหนือจากการใช้ตรวจสอบตำแหน่งสินค้าแล้ว คาดว่าในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีตัวนี้จะใช้ในการเก็บข้อมูลด้านพฤติกรรมการจับจ่าย ของลูกค้าแต่ละรายได้

 

"ในที่สุดแล้ว ชิพเหล่านี้ จะเปรียบเสมือนดีเอ็นเอของระบบพาณิชย์ทั่วโลก" นายเจิง กล่าว พร้อมเสริมว่า สินค้าส่งออกของจีน ที่มีมูลค่ารวมถึง 438,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว รวมถึงบทบาทในการเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าระดับโลก เปิดโอกาสให้จีนมีสิทธิกำหนดมาตรฐานชิพอาร์เอฟไอดี "จีนอาจดำเนินการผิดพลาด หากไม่ยอมใช้มาตรฐานระหว่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการทั่วโลก ก็จะตัดสินใจผิดพลาด หากไม่เลือกจีนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ" เขา กล่าว

กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญ เผยว่า การกำหนดมาตรฐานชิพอาร์เอฟไอดี ยังต้องดำเนินการด้านอื่นๆ อีกมาก นับตั้งแต่การเลือกคลื่นความถี่ให้อยู่ในระดับเดียวกัน และอุปกรณ์อ่านสัญญาณที่สามารถทำงานร่วมกันได้ โดยปัจจุบัน สหรัฐและญี่ปุ่น ก็กำลังกำหนดช่วงคลื่นความถี่วิทยุ สำหรับชิพอาร์เอฟไอดี ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างปัญหาให้แก่ผู้ผลิต ที่ต้องส่งสินค้าไปจำหน่ายยังทั้งสองประเทศ ที่ผ่านมา จีนได้พยายามผลักดันให้มีการตั้งมาตรฐานเทคโนโลยีของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าลิขสิทธิ์จำนวนมหาศาล ให้แก่บริษัทต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานเข้ารหัสเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายภายในประเทศ, มาตรฐานเครื่องเล่นดีวีดียุคหน้า, เครือข่ายมือถือ 3จี และเครือข่ายภายในบ้านระบบใหม่ ซึ่งบริษัทต่างชาติหลายแห่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า เทคโนโลยีของจีนยังไม่มีประสิทธิภาพพอ และเป็นเพียงแผนกีดกันทางการค้าวิธีหนึ่ง

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 20 มกราคม 2547

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.