บุกสำรวจดีทรอยต์เอเชีย (2) ปั้นไทยขึ้นแท่นผู้นำอุตฯ ยานยนต์
คอลัมน์ Survey ประชาชาติธุรกิจ
ภาพการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไหลเข้ามายังในภาคตะวันออกประเทศไทยในวันนี้
ทำให้ภาพความเป็นเมืองอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือ "ดีทรอยต์" มีความแจ่มชัดมากขึ้น จากการวิเคราะห์ตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์ในอาเซียนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) ชี้ว่า
ในวันนี้ประเทศไทยประกอบรถยนต์มากเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเมื่อปี 2545 ทั้งปีไทยประกอบรถยนต์ 584,951 คัน มากกว่ามาเลเซีย ซึ่งตามมาเป็นอันดับ 2
ที่ประกอบรถยนต์ได้ 456,822 คัน ผิดแต่เพียงเมื่อปีที่ผ่านมายอดจำหน่ายรถยนต์ของไทยเป็นที่
2 มีจำนวน 409,954 คัน รองจากมาเลเซียซึ่งมียอดขาย
434,9548 คัน
ยิ่งไปกว่านั้นจากการวิเคราะห์แนวโน้มในปีนี้คาดว่าไทยกำลังก้าวขึ้นไปอีกขั้นในการเป็นผู้นำทั้งในการประกอบรถยนต์
ตลาดรถยนต์ในประเทศ และการส่งออก โดยคาดว่าจะประกอบรถยนต์ได้ 750,000 คัน เป็นตลาดในประเทศ 510,000 คัน และ 250,000 คันตามลำดับ โดยการส่งออกที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10%
จากการเพิ่มขึ้นของอีซูซู และ GM และในปี 2547 เมื่อโครงการผลิตเพื่อการส่งออกแล้วเสร็จ การผลิตรถยนต์ของไทยก็จะก้าวไปสู่ระดับ
800,000 คัน
เรียกได้ว่าถนนทุกสายในวันนี้มุ่งหน้าสู่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะบริเวณ
อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ของไทย อย่างที่
นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่อาวุโสระดับสูงบริษัท อมตะ คอร์เปอร์ เรชั่น
จำกัด กล่าวไว้ว่า "ภายใน 5
ปีหลังจากนี้บริษัทรถยนต์จากทั่วโลกจะต้องมาอยู่กับเรา"
เหตุผลที่ทำให้บริษัทรถยนต์หลั่งไหลเข้ามานั้น ประการแรกเกิดจากความพร้อมจากการพอกพูนประสบการณ์จากการเริ่มต้นเมื่อ
18 ปีที่แล้ว ที่ มิตซูบิชิเข้ามาลงทุน และเริ่มมีอุตสาหกรรมชิ้นส่วนต่อเนื่องเข้ามาทั้งอุตสาหกรรมเหล็กหล่อ
เคมี พลาสติก กระจก จนถึงทุกวันนี้ไทยมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้ถึง 70%
ทำให้การตัดสินใจเข้ามาลงทุนเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น ประการที่ 2
การวิจัยและการพัฒนาของบริษัทรถยนต์ที่เข้ามาจะถูกต่อ ยอดโดยคนไทย และไทยกำลังจะก้าวไปสู่ระดับแนวหน้า
ประการที่ 3 ภาพบริษัทที่มีเทคโนโลยีในต่างประเทศที่กำลังตามบริษัทมาลงทุน
ทำให้ไทย กลายเป็นแหล่งที่พร้อมในเรื่องชิ้นส่วนและบริษัทรถยนต์ต้องการตรงนี้
และประการที่ 4 ด้วยความเหมาะสมของทำเลที่ตั้งทำให้ไทย
เป็นศูนย์กลางของประเทศในอาเซียน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการส่งออก ประการที่ 5
การที่ไทยเดินหน้าเจรจาเปิดเขตการค้าเสรีกับจีนและอินเดีย
ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้บริษัทรถยนต์ย้ายฐานเข้ามาผลิต
เป็นความพร้อมของทั้งตลาดแรงงาน เทคโนโลยี
และทำเลที่ตั้งที่ทำให้ไทยเนื้อหอมสำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากญี่ปุ่น
ที่วันนี้ยังเป็นชาติหลักในการย้ายการผลิต นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์
รองประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อมตะ คอร์เปอร์ เรชั่น จำกัด วิเคราะห์ว่า เพราะตลาดแรงงานภายในและภาวะเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นด้วยที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
เพราะเมื่อตัดสินใจจะออกนอกประเทศไทยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
วัฒนธรรมไทย ความเชื่อมั่นในเรื่องการเมืองที่มั่นคง ก็เป็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะใช้ที่นี่เป็นฐาน
เช่นเดียวกับ นางวราภรณ์ เฉยสอาด
ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจและการลงทุนภาคตะวันออกที่เชื่อว่า วินาทีนี้ความมั่นคงด้านการเมืองและวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่ทำให้ได้เปรียบมากกว่าประเทศอื่นในแถบเดียวกัน
เพราะหากมองในแง่สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุน แต่ละประเทศไม่แตกต่างกันมาก มาเลเซียที่เป็นเบอร์สองในภูมิภาคนี้ก็สิทธิประโยชน์ใกล้เคียงกับไทย
ดังนั้นถ้าจะให้ประเมินวันนี้ไทยก้าวมาถึงความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว
ในการก้าวขึ้นสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในอาเซียน หากแต่เป็นไปได้หรือไม่ว่า ไทยจะก้าวไปไกลกว่านั้นโดยการก้าวสู่ตลาดจีน
จากการสอบถามนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ของ "ประชาชาติธุรกิจ"
ต่างเชื่อว่า การจะก้าวไปถึงผู้นำในเอเชียคงยังเป็นเรื่องยาก เพราะไม่สามารถที่จะก้าวไปแข่งขันกับจีน
ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่กว่ามาก "เพราะจีนใหญ่กว่าเรามากและเฉพาะการบริโภคในประเทศเราก็สู้ไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าในอาเซียนและเอเชียตะวันออกยังไงเราก็เป็นผู้นำ" นายวิกรมกล่าว
เมื่อภาพความเป็นจริงกำลังปรากฏขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นการต่อยอดและก้าวสู่ความสำเร็จนั้น
ยังต้องใช้องค์ประกอบอีกหลายประการ ข้อมูลส่วนหนึ่งของบีโอไอระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลจำเป็นต้องให้การสนับสนุนเพื่อให้ภาคตะวันออกก้าวสู่ความเป็นดีทรอยต์เอเชียจริงๆ
นั้น รัฐบาลจำเป็นต้องสนับสนุนการย้ายศูนย์วิจัยและพัฒนาไปในพื้นที่จังหวัดระยอง ทั้งยังควรสนับสนุนให้มีการก่อสร้างสนามทดสอบรถยนต์เพื่อทดสอบรถที่ขับด้วยความเร็วสูง
การสนับสนุนให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยหรือก่อตั้งวิทยาเขตที่สอนด้านวิศวกรรมยานยนต์ในแถบปลวกแดง
ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนหลักที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่รวมทั้งควรมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ก้าวสู่ระดับโลก
และนี่เป็นโอกาสและความเป็นไปได้ในการปั้นไทยสู่การเป็น
"ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" แบบตัวจริงเสียงจริง
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2546
|