นักวิจัยพัฒนา "ไมโครชิพ" เพื่อวงการแพทย์

ระบุใช้ฝังในร่างกาย ด้วยเป้าหมายเพื่อส่งข้อมูลช่วยแพทย์รักษาโรค
นักวิจัยสหรัฐเดินหน้าทดสอบไมโครชิพชนิดฝังในร่างกาย พร้อมคุณสมบัติใหม่ ส่งข้อมูลกลับไปยังอุปกรณ์รับสัญญาณแบบพกพา รวมทั้งแจ้งเตือนอาการป่วยให้กับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องใช้สาย หรือแบตเตอรี่ชี้เป็นครั้งแรก และเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการแพทย์ ดอกเตอร์ เจย์ ยาดาฟ ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมเส้นเลือดของมูลนิธิคลินิกคลีฟแลนด์ กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่ทางการแพทย์นำวิธีการรับข้อมูล ที่ส่งออกมาจากร่างกายโดยไม่ต้องใช้สาย จึงเรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในแวดวงวิทยาศาสตร์การแพทย์

กระนั้น ไมโครชิพดังกล่าว ซึ่งมีชื่อเรียกว่า เมมส์ (MEMS-Micro-electro mechanical system) จะช่วยให้แพทย์สามารถตรวจสอบสภาพหัวใจของผู้ป่วย ด้วยการถืออุปกรณ์รับสัญญาณไว้ใกล้ตัวผู้ป่วย ซึ่งดีกว่าการสแกนด้วยเครื่องซีเอที (CAT) หรือการผ่าตัด นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังสามารถติดตามอาการป่วยได้ด้วยตัวเอง แม้ขณะอยู่ที่บ้าน นายยาดาฟพัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าวร่วมกับนายมาร์ด อัลเลน ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งจอร์เจีย และนายเดวิด สเติร์น จากบริษัทคาร์ดิโอเมมส์ ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย โดยเป้าหมายในการผลิตเบื้องต้น เพื่อนำไปใช้ในเครื่องบินเจ็ต

ก่อนหน้านี้ มีการนำเมมส์ไปปรับใช้เป็นอุปกรณ์ตรวจสอบระดับความดันเลือดในอวัยวะหรือก้อนเลือดของผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจผิดปกติ หรือภาวะเส้นเลือดแดงโป่งพอง ซึ่งถ้าหากประสบความสำเร็จ เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้แพทย์สามารถจัดการปัญหายุ่งยากได้อย่างง่ายดาย พร้อมกันนี้ นักวิจัยยังเตรียมการจะฝังตัวรับสัญญาณเมมส์เข้าไปในเลือดของผู้ที่ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดโป่งพอง เพื่อติดตามความดันและส่งข้อมูลกลับมายังแพทย์หรือผู้ป่วยได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม ในอดีต นักวิจัยเคยประสบความสำเร็จในการใช้ "เมมส์" ตรวจวัดความดันเลือดของสุนัขที่มีสุขภาพแข็งแรง และสำหรับขั้นตอนต่อไปจะเป็นการทดสอบตัวรับสัญญาณดังกล่าว ในสุนัขที่เป็นเส้นเลือดโป่งพอง เพื่อดูประสิทธิภาพในการตอบรับ รวมทั้งยังวางแผนจะนำไปทดสอบมนุษย์อีกด้วย นายยาดาฟเปิดเผยว่า หากอุปกรณ์รับสัญญาณดังกล่าว ทำงานได้ผล อาจจะนำไปประยุกต์ใช้โรคอื่นๆ อาทิเช่น ออร์โธพิดิกส์ (Orthopedics) เพื่อตรวจสอบความดันที่อาจเป็นสาเหตุของการบาดเจ็บที่รุนแรง เนื่องจาก อุปกรณ์ดังกล่าว มีประสิทธิภาพในการตรวจจับบางสิ่งบางอย่างนอกเหนือจากความดัน อย่างเช่น สัญญาณไฟฟ้า หรือระดับกลูโคส เป็นต้น นอกจากนี้ นายยาดาฟยังเสริมว่า แพทย์สามารถนำอุปกรณ์ไมโครชิพไปใช้งานร่วมกับการผ่าตัดย่อยได้โดยที่ไม่ต้องผ่านการฝึกอบรมมาก่อน อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ดังนั้น นักวิจัยจะต้องเฝ้าดูปัจจัยเสี่ยง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการขับชิพออกจากร่างกาย หรือการที่ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม อย่างเช่น พลาสติกที่ใช้ในการผลิตตัวรับสัญญาณ เป็นต้น "เมื่ออุปกรณ์ดังกล่าวหยุดทำงาน จะต้องไม่ทิ้งอันตรายไว้ในร่างกายผู้ป่วย" นายยาดาฟยืนยัน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2545

 

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.