มินีแบ เล็งย้ายศูนย์กระจายสินค้า จากสิงคโปร์มาไทยใน 2 ปี

มินีแบ ประกาศย้ายศูนย์กระจายสินค้า จากสิงคโปร์มาไทยในอีก 2 ปีข้างหน้า พร้อมเดินหน้า ลงทุนในไทยต่อเนื่อง ประเดิมร่วมทุนครั้งแรก กับมัตสุชิตะ อิเล็กทริค ขยายสายการผลิต หนุนยึดตลาดมอเตอร์โลก

 

นายโทเซอิ ทาเคนากะ กรรมการและผู้อำนวยการระดับภูมิภาค กลุ่มบริษัทมินีแบ ไทย กล่าวว่า บริษัทมีแผนย้ายศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศ (ดิสทริบิวชั่น เซ็นเตอร์) จากสิงคโปร์มาอยู่ในประเทศไทย ภายในเวลาประมาณ 2 ปีข้างหน้า เนื่องจากปัจจุบัน ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของมินีแบ คิดเป็นสัดส่วน 60% ของฐานการผลิตทั่วโลก มีสินค้ากว่า 37 แผนกจากโรงงาน 7 แห่ง รวมการจ้างงานกว่า 30,000 คน เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตเพียง 5% ของทั่วโลก และจีน ซึ่งมีการผลิตสินค้าเพียง 3 กลุ่มเท่านั้น

ทั้งนี้ การย้ายจุดกระจายสินค้ามาที่โรงงานในไทย จะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งไปยังลูกค้าโดยตรง และบริษัทคงมุ่งมั่นลงทุนกับฐานการผลิตในไทยอย่างต่อเนื่อง "สำหรับการเปิดเสรีการค้าภูมิภาคอาเซียน (อาฟตา) นั้น เป็นเรื่องดี ที่ช่วยเปิดตลาดกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่สำหรับบริษัทแล้วคงไม่ได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติม เพราะไม่ใช่ประเทศฐานลูกค้าหลัก และปัจจุบันเราได้รับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน อย่างเต็มที่จากบีโอไออยู่แล้ว" นายทาเคนากะกล่าว

 

ร่วมทุนมัตสุชิตะ

พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจารอบสุดท้าย (ดิว ดิลิเจนท์) ในรายละเอียดการร่วมลงทุนกับบริษัทมัตสุชิตะ อิเล็กทริค ด้วยสัดส่วน 60% และ 40% ตามลำดับ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ และเริ่มการผลิตในไทยได้ปีหน้า โดยนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทขยายกิจการโดยการร่วมทุน เนื่องจากมองว่ามัตสุชิตะ มีงานวิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่ด้านเทคโนโลยีของมอเตอร์ และมีโรงงานหลายแห่งกระจายในสิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย และจีน "ดังนั้น การร่วมทุนระหว่างกัน จะทำให้ลดต้นทุนทั้งการวิจัยและการผลิต และมีแนวโน้มว่ามัตสุชิตะจะรวมโรงงานต่างประเทศ มามุ่งที่บริษัทร่วมทุนไทยแทน" นายทาเคนากะกล่าว ทั้งนี้ เขาคาดหมายว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งตลาดมอเตอร์ในอันดับ 1 และ 2 ในตลาดโลกได้ โดยปัจจุบัน มัตสุชิตะ มีมูลค่าการผลิตมอเตอร์ ประมาณ 70 พันล้านเยนต่อปี และมินีแบ มีมูลค่าการผลิตประมาณ 140 พันล้านเยน อย่างไรก็ตาม เขายังไม่พร้อมเปิดเผยรายละเอียดมูลค่าการลงทุน และกำลังการผลิต ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่จะลดลงภายหลังการร่วมทุน โดยเพียงระบุว่า บริษัทตั้งเป้าว่าทันทีที่เดินเครื่องการผลิต จะสามารถสร้างรายได้ให้ประมาณ 30 พันล้านบาท หรือ 100 พันล้านเยน

 

ขยายสายการผลิตใน 2 รง.

สำหรับสินค้าที่จะผลิตภายใต้การร่วมทุนครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. สเต็ปปิ้ง มอเตอร์ (Stepping Motor) โดยจะขยายเพิ่มในพื้นที่โรงงานบางปะอินที่มีอยู่เดิม 2. พีเอ็ม มอเตอร์ (Permanent Magnetic Stepping Motor) ซึ่งเป็นมอเตอร์ที่ใช้แม่เหล็กถาวรแทนการใช้บอลแบริ่ง ในโรงงานที่ลพบุรี อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าตลาดรวมของการใช้งานมอเตอร์ทั้ง 2 ประเภทนี้ น่าจะไม่เติบโตมากนัก โดยเป็นไปตามผลิตภัณฑ์หลักที่นำมอเตอร์นี้ไปติดตั้ง เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร และเครื่องพิมพ์

 

เพิ่มสินค้ากลุ่มไฮเทค

นายทาเคนากะ กล่าวด้วยว่า ในปีหน้าบริษัทจะลงทุนขยายการผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพิ่มขึ้น เช่น ชิ้นส่วนอุปกรณ์ในเครื่องบิน เพื่อขยายฐานรายได้ใหม่ๆ  ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของบริษัทในปีงบประมาณปัจจุบัน ซึ่งจะสิ้นสุดมีนาคมปีหน้า อยู่ที่ระดับ 4-4.5 พันล้านบาท จากปีที่ผ่านมาลงทุนไปแล้ว 3 พันล้านบาท ส่วนรายได้รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือมากกว่า 40 พันล้านบาท ซึ่งอาจไม่ถึงเป้ารายได้ที่เคยตั้งไว้ 60 พันล้านบาท เนื่องจากแม้ขายสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 แต่ราคาสินค้าก็ปรับลดลงเช่นกัน โดยเฉลี่ยปรับลดตั้งแต่ 5% ขึ้นไป

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 กันยายน 2546

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.