นาโนฯ-ยา-อาหาร รั้งตำแหน่งอุตฯ ดาวรุ่ง

กองทุนเอกชน-รัฐ เปิดวิชั่นโอกาสงานไลฟ์ไซน์ในไทย ระบุนากลุ่มโนเทคโนโลยี, ยาจากสมุนไพร และอาหาร ครองอันดับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการลงทุนสูงสุด เหตุมีปัจจัยหนุนจากความพร้อมในฐานะแหล่งผลิต

 

นายราจา บาเชียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอ็คเซส แคปปิตอล จำกัด (www.accesscapital.com) หนึ่งในบริษัทด้านที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ และระดมเงินลงทุน กล่าวว่า นอกจากงานไบโออินฟอร์เมติกส์ที่ไทยอาจอาศัยการเชื่อมโยงระหว่างประเทศแล้ว ในระยะยาวสาขางานวิจัยที่น่าจะมีแนวโน้มสูง ได้แก่ นาโนเทคโนโลยี ซึ่งปัจจุบันเพิ่งเริ่มต้น และกว่าจะมีแอพพลิเคชั่นการใช้งานออกมาก็ประมาณ 2010 หรือปี 2553

 

สำหรับตัวอย่างการใช้นาโนเทคโนโลยีนั้น ก็มีความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ ที่จะพัฒนานาหุ่นยนต์ ที่จะสามารถกำหนดเป้าหมายเฉพาะส่วนในร่างกายของผู้ป่วย เพื่อรักษาและใช้ยาเฉพาะจุดได้ ซึ่งบางรายเชื่อว่าจะสามารถทำได้ใน 10-20 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีด้านยา (Drug Discovery Technology) ซึ่งประเทศไทยเอง ก็มีความพร้อมจากความหลากหลายของพืชสมุนไพรท้องถิ่น ดังนั้นหากใช้งานวิจัยและพัฒนาเข้ามาสนับสนุนมากขึ้น ก็อาจนำไปสู่การสร้างยาตัวใหม่ๆ ออกมา เฉพาะที่ได้จากสมุนไพร (Local Plant)

 

ขณะที่ นายศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการ กองทุนพัฒนานวัตกรรม (กพน.) กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยแล้ว งานด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (ไลฟ์ไซน์ : LifeScience) ที่น่าส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ในระยะแรกน่าจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมด้านอาหารและสมุนไพร เนื่องจากมีความได้เปรียบในฐานะแหล่งผลิตอาหาร และสมุนไพรอยู่แล้ว โดยในส่วนของ กพน. มีนโยบายชัดเจน ที่จะเน้นดำเนินการเชิงรุก และเข้าไปร่วมกับภาคเอกชน เพื่อหาโจทย์และคำตอบร่วมกันสำหรับพัฒนาสิ่งใหม่ ที่สามารถนำไปใช้เชิงพาณิชย์ มีความเป็นไปได้ทางเทคโนโลยีและการตลาด รวมถึงสนับสนุนการเงินที่เป็นเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยและดอกเบี้ยต่ำ ตลอดจนเงินอุดหนุนและเงินร่วมทุน ทั้งนี้ กพน. เป็นกองทุนของภาครัฐที่จัดตั้งขึ้นตามมติ ครม. สิงหาคม 2541 โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และกระทรวงการคลัง ปัจจุบันในแผนดำเนินการ 5 ปี 2545-2549 ได้รับงบประมาณ 1,420 ล้านบาท

 

เปิดโครงการตัวอย่าง

ปัจจุบัน กพน. เริ่มเข้าไปสนับสนุนการลงทุนให้กับผู้ประกอบการ ในกลุ่มไลฟ์ไซน์บ้างแล้ว ได้แก่ โครงการนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากอาหารที่เป็นธัญพืช ของบริษัท แม็คโครฟู้ดเทค จำกัด ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธัญพืช โดยเฉพาะข้าว ทางด้านการสนับสนุนนั้น กพน. เน้นประสานให้เกิดผลงานวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพชัดเจนตลอดจนสนับสนุนข้อมูลจากการศึกษาวิจัยเบื้องต้น ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม โครงการดังกล่าวจะมุ่งผลิตอาหารเสริมสุขภาพชนิดใหม่จากธัญพืช โดยมีข้าว ข้าวโพด และถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตโดยในกระบวนการผลิตจะใช้กระบวนการไฮโดรไลซิส (hydrolysis) ด้วยอุณหภูมิและความดันสูง เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารจำพวกพอลิแซคคาไรด์ และเปปไตด์ และได้สารสำคัญชนิดใหม่ เรียกว่า โพลีแซคคาไรด์เปปไตด์ (polysaccharide peptide : PSP) จากผลทางเภสัชวิทยาของ PSP จะทำให้เกิดผลดีต่อร่างกาย ที่ช่วยชะลอความแก่ ช่วยทำให้มีอายุยืนยาว และช่วยในการป้องกันและบรรเทาอาการของโรคทางระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ และโรคที่มีปัญหาเนื่องมาจากภาวะโภชนาการที่ไม่เหมาะสม" นายศุภชัย กล่าว

สำหรับโครงการนี้ กพน.ให้ทุนสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ 500,000 -600,000 บาท ขณะที่การลงทุนรวมทั้งโครงการ อยู่ในระดับ 50-60 ล้านบาท โดยบริษัทระดมเงินกู้ประมาณ 20 ล้านบาท จากแหล่งทุนอื่น เข้ามาสนับสนุนด้วย และปัจจุบันเริ่มส่งผลิตภัณฑ์จากการวิจัย และพัฒนาออกสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว

 

ดึงคลัสเตอร์หนุนตลาดสมุนไพร

เขา กล่าวต่อว่า ส่วนของโครงการด้านสมุนไพรนั้น มีโครงการพัฒนาการผลิตสมุนไพร "ไพล" ให้เป็นน้ำมันหอมระเหย โดยใช้หลักการดำเนินงาน ความร่วมมือแบบคลัสเตอร์ มี 4 บริษัทเอกชนเข้าร่วมที่เชื่อมโยงตั้งแต่การสกัด, การทำสูตร การทำบรรจุภัณฑ์และการตลาด รวมถึงด้านวิชาการจาก 5 มหาวิทยาลัย "แม้ปัจจุบันยังมีมูลค่าตลาดประมาณ 200 ล้านบาท แต่ถ้าหากเพิ่มการวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรม ก็จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้นเป็น 200,000 ล้านบาทได้" นายศุภชัย กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาการผลิตสารสกัดที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพจากใช้ว่านชักมดลูก และกระชายดำ ที่มีฤทธิ์การควบคุมฮอร์โมน ให้เป็นอาหารเสริมสร้างศักยภาพทางเพศ (Natural Viagra) อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ประเทศไทยยังขาดความพร้อม สำหรับการคิดค้น และพัฒนายาตัวใหม่ เนื่องจากงานวิจัยและพัฒนาด้านนี้ ต้องใช้งบประมาณโดยเฉลี่ยต่อตัวยาสูงมากถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ต่อยอดงานไบโอเทค

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือในโครงการ "ผลิตชุดตรวจวินิจฉัยโรคทางการแพทย์" ของบริษัท อินโนวา ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ด้านเทคโนโยีชีวภาพ ที่นำเอางานวิจัยและพัฒนาของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) มาต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยใช้เทคโนโลยี immunochromatography มาผลิตชุดตรวจโรคไวรัสตับอักเสบบี, ซี และตรวจเชื้อเอชไอวี รวมถึงชุดตรวจหายาบ้า ซึ่งสามารถได้ผลลัพธ์ภายใน 5-10 นาที โดย กพน. สนับสนุนโครงการนี้ในรูปแบบการให้เงินอุดหนุนที่ต้องชำระคืน จำนวน 3,500,000 บาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถสร้างชื่อยี่ห้อ "อินโนวา" และขยายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคนี้ ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกกว่าต่างประเทศ ประมาณ 50%

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2546

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.