ชำแหละขาลง "พีซีแบรนด์ไทย" ต้อง Get Niche หรือ Get Big ไม่งั้นต้อง Get Out
สัมภาษณ์พิเศษ
แม้ว่าในยุคที่รัฐบาลผลักดันเรื่องการนำไอทีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งของภาครัฐและภาคธุรกิจจนทำให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมไอทีมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แต่หากเอกซเรย์เจาะลงไปที่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือพีซี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบพีซีแบรนด์ไทย
(โลคอลแบรนด์)
หรือผู้ประกอบรายย่อย (ดีไอวาย) เรียกว่าอยู่ในจุดวิกฤต ซึ่งหลายฝ่ายยอมรับว่า เป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดของอุตสาหกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เพราะมีปัญหารุมเร้ารอบด้าน ทั้งปัญหาการแข่งขันด้านราคารุนแรง ทำให้มาร์จิ้นโดยเฉลี่ยลดลงต่ำกว่า
5% ประกอบกับช่วงขาลงของตลาดพีซี และกำลังซื้อที่ชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายประสบปัญหาทางการเงินถึงขั้นปิดกิจการ
และเกิดเป็นหนี้เสียในระบบที่เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ตลาด "โน้ตบุ๊ก" ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่กำลังมาแรงและมีอนาคต ผู้ประกอบการโลคอล แบรนด์ก็ไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับบรรดา
"อินเตอร์แบรนด์" และล่าสุดยังมีปัญหาผลกระทบจากการที่สำนัก
งานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้จัดทำร่างมาตรฐาน
มอก.2161 เพื่อเป็นมาตรฐานบังคับใช้กับผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนที่
จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอิน เตอร์แบรนด์, โลคอลแบรนด์
และดีไอวาย โดยเฉพาะกลุ่มดีไอวาย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็ก จะเสียเปรียบรายใหญ่ในแง่ของภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ที่อาจจะไม่คุ้มกับกำไรที่ได้รับ
ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่กำลังรุมเร้าอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้ทางสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ไทย
หรือ "เอทีซีเอ็ม" สมาชิกก็คือกลุ่มผู้
ประกอบการโลคอลแบรนด์ทั้งรายเล็กรายใหญ่ โดยมี "ประทีป
เอื้อศักดิ์เจริญกุล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมโทร
โปรเฟสชันแนล โปรดักส์ จำกัด ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์โลคอลแบรนด์ "เอ็มพีพี" นั่งเก้าอี้นายกสมาคม ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเพื่อประสานความร่วมมือในกลุ่มผู้ประกอบการ
และหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรม ในโอกาสนี้
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ
"ประทีป เอื้อศักดิ์เจริญกุล" เพื่อชำแหละปัญหาและอนาคตของอุตสาหกรรมพีซีไทย ว่าจะไปทางไหน
- มองสถานการณ์ตลาดไอทีในปัจจุบัน
ตอบได้เลยว่า วันนี้เหนื่อย ! ตลาดที่น่าเป็นห่วงที่สุด
คือกลุ่มโลคอลแบรนด์ และดีไอวาย รวมทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ช่วงนี้ตลาดมีการชะลอตัวลง
ซึ่งอาจจะเจอหวัดกันนิดหน่อย เลยทำให้ตลาดเซ็งๆ แต่ตลาดอินเตอร์แบรนด์ต้องยอมรับว่ามีตัวเลขการเติบโตที่ค่อนข้างดี
เรียกว่าพูดกันคนละภาษาเลย
- ประเมินว่าสาเหตุจากอะไร
ข้อมูลที่ได้ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นมุมมองของซัพพลายเออร์ หรือมุมมองของบางบริษัทที่มีปัญหา
ทุกคนก็บอกว่า ผลพวงจากโครงการคอมพิวเตอร์ไอซีที โครงการไอซีทีเป็นโครงการใหญ่ที่มีคนจดจำ
และถือว่าเป็นโครงการที่ทำให้เกิดผลกระทบตามมา แต่อยากให้มอง 2 ด้าน คือในมุมที่โครงการคอมพิวเตอร์ไอซีทีสนับสนุนการเติบโตของตลาด
อย่างที่ผ่านมา ผู้ค้าอุปกรณ์ต่อพ่วงก็แฮปปี้ จากการมีฐานผู้ซื้อกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นมุมที่ดี
แต่เรื่องเดียวกันนี้ยังมีอีกหลายมิติ ก็มีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการคอมพิวเตอร์ไอซีที
แต่คนทำธุรกิจต้องยอมรับก่อนว่า ปกติจะมีปัจจัยที่ควบคุมได้ และปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้
- จะแก้ปัญหาอย่างไร
ผมว่าประเด็นอยู่ที่ เมื่อเกิดโครงการคอมฯไอซีทีแล้ว ผู้ที่อยู่ในตลาดมีมุมมองเกี่ยวกับโครงการนี้ยังไง
เตรียมยุทธวิธีในการรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นในรูปแบบไหนบ้าง คนที่มองว่าเป็นโอกาสของการเติบโต
ก็พยายามมองข้ามชอตว่า จะสามารถต่อยอดธุรกิจยังไง หรือจะเกาะกระแสยังไง
เพื่อให้อยู่รอด คอมพิวเตอร์ไอซีทีเป็นตัวจุดประกายตลาดใหม่เครื่องราคาถูก แต่ข้อเท็จจริงลูกค้าที่ซื้อคอมพิวเตอร์มีหลายเซ็กเมนต์
และไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่คอมพิว เตอร์ไอซีทีราคา 10,000
บาทต้นๆ เท่านั้น ผู้ค้าบางรายก็เลือกที่จะทำตลาดในเซ็กเมนต์ที่มีระดับราคาสูงขึ้น
อาทิ 13,900 บาท, 15,900 บาท
เป็นทางเลือกให้ลูกค้า ซึ่งที่สุดก็อยู่ได้ แม้ว่าจะมีบริษัทที่รับผลกระทบจากโครงการดังกล่าว
บทพิสูจน์คือ ผลสรุปของโครงการคอมพิวเตอร์ไอซีทีเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ
126,000 เครื่อง ขณะที่ตลาดรวมในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านเครื่อง แสดงว่าเครื่องไอซีทีเข้ามาแชร์ประมาณ 10% เท่านั้น ขณะที่ทำให้ตลาดพีซีปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 20% แสดงว่าโครงการนี้เป็นตัวจุดประกายการเติบโตของตลาด
จริงๆ แล้วก็มีผู้ที่สามารถเติบโตจากโครงการนี้ไม่น้อย อาทิ เอเซอร์,
เบลต้า และเอสวีโอเอ รวมทั้งซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนก็ได้รับการเติบโตจากโครง
การนี้เช่นกัน แสดงว่าเขาสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดได้ และพยายามสร้างโอกาสในการทำตลาดใหม่ๆ
มากขึ้น
- สมาชิก "เอทีซีเอ็ม" ส่วนใหญ่ก็ได้ประโยชน์จากโครงการไอซีที
ผมยอมรับว่า เอทีซีเอ็มได้อานิสงส์จากการเป็นผู้ประกอบเครื่องให้กับโครงการคอมพิวเตอร์ไอซีที
แต่ประเด็นหลักคือ โครงการคอมพิวเตอร์ไอซีทีมีส่วนช่วยในการขยายฐานของตลาดคอมพิวเตอร์
และส่งผลดีต่อผู้ประกอบการที่มีโอกาสสร้างรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ดังนั้น
ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ให้สอด คล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด โดยไม่เน้นการลดราคาสู้เพียงอย่างเดียว
แต่ขยับไปทำตลาดใน ระดับราคาที่สูงขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าในกลุ่มคนที่สูงขึ้น
แทนที่จะลงมาสู้ราคา ทำให้มาร์จิ้นต่ำ ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับโพซิชั่นของแต่ละผู้ประกอบการ
- รุนแรงถึงขั้นทำให้เกิดปัญหาหนี้เสียในตลาด เพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมา โครงการไอซีทีอาจจะถูกมองในแง่กระทบต่อภาพรวม
ทำให้ราคาคอมพิวเตอร์ในตลาดปรับลดลง ผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัวได้อาจประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดน่าจะมาจากรูปแบบการบริหารจัด การที่วิเคราะห์ตลาดผิด โดยเฉพาะที่เน้นการขายผ่านช่องทางจัดจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด
ขณะที่ เงื่อนไขการทำตลาดกับโมเดิร์นเทรดยังไม่เหมาะสม
โมเดิร์นเทรดกำหนดเงื่อนไขส่วนแบ่งมาร์จิ้นการจำหน่ายสินค้าในมาตรฐานเดียวกันกับสินค้าอื่นๆ
ขณะที่มาร์จิ้นของเครื่องพีซีต่ำมากอยู่แล้ว ทำให้ผู้ค้าพีซีที่ขายผ่านโมเดิร์นเทรดแทบ
ไม่เหลืออะไร นอกจากนี้ยังเป็นระบบเหมือนการขายฝาก ถ้าสินค้าขายไม่หมดก็ต้องรับคืน
ขณะที่ผู้ค้าเองก็ไม่รู้ว่าสินค้าตัวเองขายได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นผลเสียต่อสินค้าเทคโนโลยีที่ตกรุ่นเร็ว
อีกส่วนคือเป็นปัญหาภาพรวมของเศรษฐกิจ ผลจากที่ได้มีการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
หรือเงินผ่อน ซึ่งเป็นการใช้เงินในอนาคต ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดไม่สมดุล ถึงเวลานี้ประชาชนมีภาระหนี้มาก
ทำให้กำลังซื้อซบเซา
- บทบาทของเอทีซีเอ็มในการแก้ปัญหา
ตอนนี้เข้ามาดูใน 2-3 ประเด็นได้แก่ 1.การผลักดันให้โลคอลแบรนด์มีศักยภาพในการทำตลาดโน้ตบุ๊กมากขึ้น
เพราะตลาดโน้ตบุ๊กกำลังมีการเติบโต และในอนาคตจะเติบโตมากกว่าพีซี หากโลคอล แบรนด์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้
อนาคตก็จะมีปัญหา 2. ประเด็นมาตรฐาน มอก. 2161 ที่ สมอ.จะประกาศเป็นมาตรฐานบังคับ สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่จำหน่ายในประเทศไทย
ซึ่งกระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรม จะต้องกระตุ้นให้คนที่เกี่ยวข้องเตรียมพร้อม
ในการรับกับมาตรฐานนี้ยังไง และ 3. ความช่วยเหลือในหมู่สมาชิกเพื่อให้อยู่รอด
อาทิ ผู้ค้าที่มีขนาดเล็กก็สนับสนุนให้ไปโฟกัสตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market)
เพื่อเพิ่มโอกาสการ แข่งขัน ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพก็สร้างโอกาสให้สามารถขยายตลาดได้มากขึ้น
- มีแนวคิดการแก้ปัญหาตลาดโน้ตบุ๊กอย่างไร
เท่าที่ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างสมาชิก 18
บริษัทกับผู้ค้าชิ้นส่วนในประเด็นเร่งด่วน คือ เร่งสร้างมาตรฐานด้านคุณภาพของโน้ตบุ๊กโลคอล
แบรนด์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ โดยให้เนคเทคเข้ามาช่วยในการพัฒนาควบคุมคุณภาพ
อาจจะทำเป็นสติกเกอร์รับรองคุณภาพมาตรฐานโดยเนคเทค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า
แต่มาตรฐานการรับรองก็ต้องเข้มข้นพอ และต้องผลักดันให้ทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้เคารพและเห็นความสำคัญกับมาตรฐานนี้
เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นความแตกต่าง ในส่วนผู้ประกอบการก็มีแนวคิดที่จะรวมตัวเพื่อสั่งซื้อชิ้นส่วนและอุปกรณ์ร่วมกัน
เพื่อให้มีอำนาจการต่อรองราคากับผู้ผลิตมากขึ้น ทำให้มีต้นทุนที่ดีขึ้น และสามารถทำราคาที่แข่งขันได้มากขึ้น ขณะนี้ตลาดโน้ตบุ๊กโลคอลแบรนด์ยังมีสัดส่วนในตลาดน้อยมาก
มีรายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่มีศักย ภาพ อาทิ เบลต้า, เอสวีโอเอ
เป็นต้น เป้าหมายของเราต้องการสร้างโน้ตบุ๊กโลคอลแบรนด์ให้มีแชร์ในตลาดมากขึ้น โดยที่สุดแล้วก็มีแชร์ตลาด
1 ใน 3 ใกล้เคียงกับตลาดพีซีในปัจจุบัน
- โอกาสที่ผู้ประกอบการจะอยู่รอดได้
อย่างไรก็ตาม เอทีซีเอ็มจะพยายามผลักดันให้คอมพิวเตอร์โลคอลแบรนด์ได้รับความเชื่อมั่นจากตลาด
และสามารถขยายตัวไปในวงกว้างมากขึ้น แต่ละคนก็ต้องพยายามหาส่วนผสมให้กับตน เอง
ใครก็ตามที่ขายแต่ฮาร์ดแวร์เพียงอย่างเดียว ในอนาคตก็อยู่ลำบาก หรือมีช่องทางจัดจำหน่ายเพียงช่องทางเดียว
ไม่หาโซลูชั่นใหม่เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจ ทิศทางธุรกิจในอนาคตก็อยู่ยาก เรียกว่าไม่
get niche ก็ต้อง get big ไม่งั้นก็ต้อง
get out
ที่มา
: ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 4 ตุลาคม 2547
|