วิทยาศาสตร์ ... มีคำตอบ จริงหรือ

จุฑารัตน์ ทิพย์นำภา

 

50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพของชาติที่รอรับเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศต้องพัฒนาจากเศรษฐกิจที่มีระบบเกษตรกรรมเป็นพื้นฐาน ไปสู่ระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมที่เติบโตควบคู่ไปกับอุตสาหกรรม วันนี้ประเทศไทยตกขบวนรถไฟสายเทคโนโลยีไอทีไปเรียบร้อยแล้ว โดยถูกมาเลเซียเพื่อนบ้านแซงหน้าไปเป็นฐานผลิตชิพและสินค้าไอทีระดับภูมิภาค และอาจเชื่องช้ากว่า สิงคโปร์ที่ชักธงนำ "วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต" (Life Science) ขึ้นเสาด้วยงบประมาณการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่ กล่าวกันว่า สิงคโปร์ทุ่มไม่อั้นเพื่อซื้อตัวนักวิทยาศาสตร์ด้านเทคโนโลยีชีวภาพมาทำงานวิจัยบนเกาะแห่งนี้ ในอนาคต วิทยาศาสตร์จะช่วยให้ไทยก้าวนำด้านนวัตกรรมได้หรือไม่ อะไรคืออุปสรรค กร ทัพพะรังสี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีคำตอบ ...

 

"ในระยะ 50 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นเพียงแค่ประเทศผู้รับจ้างผลิตสินค้าเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ยุคแห่งเศรษฐกิจการค้าเสรี ไม่มีกำแพงภาษีขวางกั้น ความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศจึงขึ้นอยู่กับทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งที่เป็นเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร นวัตกรรม" กร ทัพพะรังสี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ไซเทค" เขามองว่า นับจากนี้ไปประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งสร้างคนเพื่อสร้างนวัตกรรม และต้องเร่งนำเอาทรัพย์สินทางปัญญาจากการวิจัยและพัฒนา ประดิษฐ์คิดค้น ออกมาสู่ระบบการผลิตให้มากที่สุด โดยรากฐานแล้วมีความจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการเรียนวิทยาศาสตร์ให้กับนักเรียน นักศึกษา เพื่อผลิตคนที่สามารถสร้างนวัตกรรมเองได้ โดยสิ่งนี้จะเป็นตัวชี้อนาคตประเทศว่าจะสู้ต่างชาติได้หรือไม่

 

"ประเทศไทยอาจจะตื่นสายไปหน่อย เมื่อดูจากประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียค่อนข้างก้าวหน้าจากเราไปไกล มองถึงประเทศญี่ปุ่นยิ่งไม่ต้องเทียบเลยเพราะว่าทิ้งขาด ค่าแรงราคาถูก และวัตถุดิบจำนวนมากที่ประเทศไทยมี ก็ไม่สำคัญเทียบเท่ากับการมีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชี้ให้เห็นถึงจุดสะดุดล้มของไทย นอกจากนี้ ถ้าดูจากจำนวนนักวิจัยผู้ที่จะสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นนั้น ยังอยู่ในอัตราส่วนที่ต่ำเพียงแค่ 2.6 ต่อประชากร 10,000 คน ส่วนนักวิจัยในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้น อัตราส่วนของนักวิจัยจะอยู่ที่ 70 ต่อ 10,000 คน ยังโชคดีอยู่ว่า ปัจจุบันหน่วยงานรัฐเริ่มตื่นตัวสร้างนักวิจัยและพัฒนาที่ผลิตงานในเชิงพาณิชย์สู่ตลาดมากขึ้น

 

รมว.วิทย์ กล่าวเสริมว่า รัฐบาลได้กำหนดแนวทางวิทยาศาสตร์ในประเทศให้อยู่บนทิศทางทั้ง 12 คลัสเตอร์ เพื่อวางแผนการเดินทางพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศให้ในแนวทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้าสำเร็จรูป นาโนเทคโนโลยี พลังงานแสงอาทิตย์ แม้ไทยจะไม่สามารถเก่งได้ทุกเรื่อง แต่แนวทางที่จะเป็นส่วนส่งเสริมให้ไทยสามารถต่อสู้กับต่างชาติได้ "คลัสเตอร์ ในที่นี้หมายถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างนักวิจัย หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งมหาวิทยาลัย ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดนวัตกรรมและสิทธิบัตรเป็นของเราเอง โดยอาศัยวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นส่วนสนับสนุนในลักษณะของวิทยาศาสตร์เอื้ออาทร" กร กล่าว อย่างไรก็ดี เขาเห็นว่า ปัญหาที่จะต้องแก้ไขในลำดับต้นๆ น่าจะอยู่ที่ตัวนักวิทยาศาสตร์ไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยมุ่งทำงานวิจัยศึกษาอยู่ในห้องแล็บ เสร็จแล้วงานวิจัยกลับอยู่บนหิ้งไม่ได้ดึงเอางานออกมาใช้ หรือบางครั้งที่นำออกมาแสดงก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับงานวิจัยชิ้นอื่น ซึ่งตอนนี้เรากำลังคิดหาวิธีแก้ไขในส่วนนี้อยู่" ซ้ำร้ายเงินสนับสนุนการวิจัยของประเทศไทยยังย่ำอยู่ที่ร้อยละ 0.26 ของจีดีพี ขณะที่ในประเทศที่ก้าวหน้าแล้ว ทุนสนับสนุนในด้านนี้มักเกินร้อยละ 1 ของจีดีพี ซึ่งรัฐมนตรีเผยว่ารัฐบาลพยายามที่จะเพิ่มงบประมาณสนับสนุนตรงนี้ให้มากขึ้น โดยมุ่งไปที่การสร้างเยาวชนที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ ผลักดันให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เยาวชนที่มีแววอัจฉริยะจะได้รับการสนับสนุน ให้ทุนการศึกษา ส่งเสริมการเข้าค่ายวิทยาศาสตร์ พาไปดูงานวิทยาศาสตร์ที่ต่างประเทศ สิ่งสิ่งที่ทำอยู่นี้เริ่มมองเห็นชัดเจนมากขึ้น

 

หากลำดับตรรกะเพื่อแก้สมการให้กับความเชื่องช้าด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศแล้ว เขาชี้ว่า เมื่อพัฒนาคนให้มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมากขึ้น มีจำนวนนักวิจัยเพิ่มขึ้น นวัตกรรมที่เป็นของตนเองมากขึ้น ในที่สุดวิทยาศาสตร์ก็จะเข้ามาช่วยหาคำตอบในทุกเรื่อง "ในขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯได้เข้าไปทำงานแก้ปัญหาอยู่เบื้องหลังกระทรวงอื่นๆ ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน เมื่อกระทรวงพาณิชย์ไปเจรจาค้าขายสินค้าให้กับสหภาพยุโรป หรืออียู เราจะต้องบอกรายละเอียดของสินค้าตามข้อบังคับของประเทศผู้สั่งสินค้าเข้า วิทยาศาสตร์จึงต้องใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบ (Test Ability) เข้ามาช่วย เพื่อที่จะบอกให้ได้ว่าสินค้าเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร มีคุณภาพพอหรือไม่ที่จะส่งออกขายไปทั่วโลก" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ลำดับที่สี่ของรัฐบาลที่มีพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำกล่าว นอกจากนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังได้เข้าไปช่วยกระทรวงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิต รวมถึงผลิตสินค้ามีคุณภาพมาก ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีการนำเอาเทคโนโลยีชีวภาพเข้าไปช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น หรือแม้แต่ปัญหาพลังงานที่ลดน้อยลงเทคโนโลยีก็มีส่วนดึงเอาพลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโซลาร์เซลล์เข้ามาใช้ พร้อมทั้งเป็นส่วนสนับสนุนทำชิพประกอบบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับกระทรวงมหาดไทยด้วย "งานนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯไม่ใช่พระเอก แต่จะคอยอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยส่งข้อมูลทางเทคโนโลยีให้กับหน่วยงานที่ยังมีปัญหา ในลักษณะของการหาคำตอบจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพื่อส่งให้หน่วยงานเหล่านั้นได้ดำเนินการต่อไป"

 

ด้าน ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มองทิศทางของวิทยาศาสตร์ไทย ว่า มีการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ในยุคก่อนคนไทยทำได้เพียงบรรจุผลิตภัณฑ์ลงกล่องส่งขาย แต่มาถึงตอนนี้ไทยเริ่มผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขึ้นเอง และเริ่มเป็นที่ยอมรับในระดับสากล "นักวิจัยไทยสร้างงานที่เป็นประโยชน์ระดับชาติ เยาวชนไทยสามารถคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกระดับสากล แต่ที่ยังมองไม่เห็นถึงความก้าวหน้าเท่าที่ควรนั้นเป็นเพราะจำนวนคนของเรายังน้อยไป เราต้องเริ่มสร้างบุคลากรในด้านนี้ให้มากขึ้น" อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) กล่าว ดร.ไพรัช บอกว่า ตอนนี้เราเดินมาถูกทางแล้ว พยายามกระตุ้นให้เส้นทางชีวิตของนักวิจัยมีสิ่งตอบแทนที่ดีขึ้น เพื่อเปลี่ยนทัศนคติต่อนักวิทยาศาสตร์ พยายามกระตุ้นในเอกชนทำวิจัยพัฒนามากขึ้น หนุนยกเว้นภาษีให้กับนักวิจัย ปูเส้นทางนักวิทยาศาสตร์ในประเทศให้ดีขึ้น

"เราต้องการสร้างอุทยานวิทยาศาสตร์ ในทุกภูมิภาคของประเทศ สร้างมหาวิทยาลัยที่เป็นสากลในเมืองไทยมีมากขึ้น เพื่อเป็นรังให้นกที่บินออกไปยังต่างประเทศให้กลับคืนรัง สร้างสนามให้กับเค้า กลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศ ในลักษณะของสมองไหลกลับ"



ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 ตุลาคม 2547

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.