สมาร์ทการ์ดต้องเลื่อนกำหนดคลอดหลังมี.ค.46

ผอ. สำนักบริหารการทะเบียนแจงระบบรองรับต้องใช้เวลาดำเนินการไม่ต่ำกว่า 3 ปี
สำนักบริหารการทะเบียน ชี้การจัดทำระบบรองรับการใช้งานของสมาร์ทการ์ดต้องรอไม่ต่ำกว่า 3 ปี ส่งผลกำหนดออกการ์ดใบแรกตามแผนของก.ไอซีทีต้องเลื่อนจาก 6 เดือนออกไป รอคณะอนุกรรมการไอซีทีการทะเบียนแห่งชาติพิจารณารายละเอียด

 

นายสุรชัย ศรีสารคาม ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ความพร้อมในการจัดทำสมาร์ทการ์ด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานอี-ซิติเซ่น ในโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ตามแผนแม่บทไอซีทีแห่งชาตินั้น คาดว่าบัตรใบแรกคงไม่สามารถเสร็จทันภายในเดือนมีนาคม 2546 ทั้งนี้ เพราะสิ่งสำคัญของการออกบัตรอยู่ที่การนำไปใช้งาน ซึ่งต้องมีสาธารณูปโภครองรับ โดยการทำงานเรื่องนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะอนุกรรมการไอซีที การทะเบียนแห่งชาติ ซึ่งมีคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เป็นประธาน โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานบริหารการทะเบียน เป็นเลขานุการคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณารายละเอียดการจัดทำสมาร์ทการ์ด (e-Citizen Card) ให้เสร็จเรียบร้อย ตั้งแต่การเลือกผู้ผลิตสมาร์ทการ์ด จนถึงการพิจารณาข้อมูลที่จะนำมาใส่ในการ์ด โดยสำนักบริหารการทะเบียน มีหน้าที่รับผิดชอบการเชื่อมโยงข้อมูล และการจัดทำบัตร มีความพร้อมของรหัสพีเคไอ (PKI) ระบบเก็บลายพิมพ์นิ้วมือ ระบบลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนการเชื่อมโยงโครงข่ายเป็นบทบาทของบริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ของน..สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะออกบัตรใบแรกภายใน 6 เดือน

 

ต้องเตรียมพร้อมข้อมูล

"การเตรียมความพร้อมของข้อมูลพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้องคำนึงถึงประโยชน์ในการนำไปใช้งานของบัตรด้วย เพราะเป้าหมายของการจัดทำสมาร์ทการ์ดนั้นมีเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้บริการพื้นฐานได้ ยกตัวอย่างเช่น บัตรประชาชน เพื่อใช้แสดงตน ใช้เลขบัตรประชาชนในการเข้าสู่บริการเครือข่ายของภาครัฐและเอกชน ใช้แทนบัตรสมาชิก ขณะเดียวกันการจัดทำบัตรใบเดียว ยังเพื่อนำไปใช้บริการของภาครัฐได้ เช่น เป็นบัตรประกันสังคม บัตรประกันสุขภาพ บัตรประจำตัวข้าราชการ ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ พร้อมทั้งนำไปใช้ในงานบริการของภาคเอกชน เช่น นำมาใช้เป็นบัตรเงินสด (e-Purse) ใช้บริการเติมเงิน บัตรสะสมคะแนน บริการทางธนาคาร รวมไปถึงการเป็นบัตรระดับนานาชาติ เช่น เป็นบัตรแสดงตน แทนพาสปอร์ต หรือชำระเงิน โดยการจัดทำบัตรจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของข้อมูล เท่าๆ กับการไม่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล" นายสุรชัย กล่าว พร้อมแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า โดยส่วนตัวเห็นว่า การทำบัตรประชาชนอิเล็กทรอนิกส์ควรทำให้แก่ประชาชนสมัครใจ โดยผู้สนใจทำ จะต้องยินดีเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มใบละ 100 บาท จากเดิมที่บริการบัตรแถบแม่เหล็กนั้น รัฐมีต้นทุนประมาณ 28 บาทต่อ 1 ใบ

ส่วนด้านระบบรองรับนั้น จะไม่ต้องลงทุนมากนัก โดยมีสิ่งสำคัญที่ข้อมูลซึ่งจะใส่ลงในบัตร และฐานข้อมูลรองรับ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย ไม่ให้ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้ทางสำนักงานทะเบียนราษฎร มีแผนเตรียมความพร้อมด้านความปลอดภัยของข้อมูลไว้เป็นอย่างดี ซึ่งยากที่จะเข้าถึงระบบได้ อย่างไรก็ตามหากตรวจสอบพบว่ามีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหน่วยงานภาครัฐนั้น จะต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ระบบเองยังเก็บข้อมูลผู้เข้าสู่ระบบไว้ หากมีปัญหาเกิดขึ้นจะนำข้อมูลนั้นมาเป็นหลักฐานเอาผิดได้ ขณะเดียวกันจะเปลี่ยนรหัสลับเข้าระบบทุกเดือน และถ้าเจ้าของข้อมูลต้องการเข้ามาตรวจสอบจะต้องเซ็นยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมกันนั้น กระบวนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน จะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจของแต่ละแห่งเท่านั้น จึงจะมีสิทธิเข้าสู่ระบบได้ ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องกังวลใจ หากมีการใช้บัตรสมาร์ทการ์ดขึ้น

 

ต่างชาติหมายระบายตลาด

แหล่งข่าวในวงการไอซีที กล่าวว่า สมาร์ทการ์ดไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานบริการประชาชน เพราะสามารถใช้ระบบอื่นแทนได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทการ์ดต่างชาติหลายแห่ง คำนวณความต้องการชิพสำหรับสมาร์ทการ์ดเกินกว่าความต้องการจริงในตลาด ดังนั้นจึงเกิดความพยายามเข้ามาเสนอขายให้กับประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยด้วย ฉะนั้น จะเห็นได้ว่า มีหลายโครงการเสนอใช้สมาร์ทการ์ดกัน ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นในการใช้งานจริงแต่อย่างใด

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2545

 

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.