ไทยเล็งอินเดีย-เกาหลี หนุนกรุยทาง ต่อยอดความสำเร็จ ส่งออกซอฟต์แวร์

สุจิตร ลีสงวนสุข

 

บริษัทซอฟต์แวร์ไทย พร้อมเดินทางลัดเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดซอฟต์แวร์โลก เล็งต่อยอดความรู้-ผลิตภัณฑ์ของค่ายไอทีอินเดีย และเกาหลี พัฒนาสู่ความชำนาญเฉพาะ ควบคู่การแบ่งงานกันในเครือข่ายผู้ประกอบการ นำร่องสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรม

 

จากเป้าหมายการเพิ่มขนาดของตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ให้เพิ่มเป็น 90,000 ล้านบาท ในปี 2549 พร้อมกับเร่งเพิ่มยอดการส่งออกซอฟต์แวร์จากประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี ไปสู่รายได้ 14,000 ล้านบาท ภายในปีดังกล่าว ทำให้ผู้เกี่ยวข้องของภาคอุตสาหกรรมนี้ ต่างต้องเร่งปรับตัว และหาหนทางก้าวไปถึงเป้าตัวเลขนั้น ขณะเดียวกัน อีกข้อหนึ่งที่อุตสาหกรรมพัฒนาซอฟต์แวร์ของไทย จำเป็นต้องหันมาใส่ใจก็คือ การเพิ่มสัดส่วนของซอฟต์แวร์จากผู้พัฒนาสัญชาติไทยให้สูงขึ้น จากปัจจุบันที่มูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ในกลุ่มนี้มีสัดส่วนเพียง 30% ของมูลค่าตลาดรวม ดังนั้น เมื่อมองข้ามไปยังผู้พัฒนาซอฟต์แวร์จากเอเชียด้วยกัน ที่ประสบความสำเร็จในตลาดโลกอย่างอินเดีย ซึ่งมี "บังกาลอร์" เป็นที่เชิดหน้าชูตา จากการได้รับยกย่องให้เป็นซิลิกอน วัลเล่ย์ แห่งเอเชีย และเกาหลี ผู้ส่งออกเกมดังๆ จนสร้างแฟนพันธุ์แท้เกือบทั่วโลก จึงทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ไทยหลายราย เริ่มหันมามองเพื่อนำมาใช้เป็นกรณีศึกษาบ้าง

 

สร้างความสำเร็จจาก "มาตรฐาน"

นายวิชชุ จารุจันทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตรีม ไอ.ที. คอนซัลติ้ง จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่บริษัทซอฟต์แวร์ไทยจะเรียนรู้ได้จากความสำเร็จของอินเดีย อยู่ที่การทำตลาดเชิงรุก การจัดทำเอกสารประกอบการพัฒนาโปรแกรม และคู่มือ การเรียนรู้การพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เป็นมาตรฐาน "ควรเร่งสร้างทักษะบุคลากร ให้มีศักยภาพรองรับการปรับตัวเข้าสู่แนวโน้มใหม่ของตลาดซอฟต์แวร์ ในด้านกระบวนการธุรกิจ (บิสซิเนส โพรเซส) ที่จะเรียนรู้การออกแบบให้สอดคล้องกับธุรกิจลูกค้า มากกว่าทักษะการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยพัฒนาใหม่ๆ ช่วยงานมากขึ้น ขณะที่กระบวนธุรกิจนั้น ประเทศสหรัฐ ก็ให้ความสำคัญถึงขั้นจดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่ง" นายวิชชุ กล่าว

 

นอกจากนี้ ผู้พัฒนาในไทย ยังสามารถรับงานแบบเหมาช่วง (ซับคอนแทร็กต์) กับบริษัทในอินเดียได้ เพื่อเรียนรู้วิธีการพัฒนา และนำเทคโนโลยี หรือเอ็นจิ้นหลักของโปรแกรม มาพัฒนาต่อยอดโปรแกรม และสร้างเป็นสินค้าใหม่ และขายประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ เขายกตัวอย่างว่า อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ในอินเดียเอง ก็อาศัยการรับพัฒนางานจากประเทศในสหรัฐ และยุโรปมาเรียนรู้ และถอดแบบการพัฒนาคอร์เทคโนโลยี จากหลายๆ งานมาพัฒนาเป็นสินค้าของตัวเองเช่นกัน "ส่วนมากคนอินเดียจะได้รับงานจากคนอินเดียที่ไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ และส่งงานกลับมาที่ประเทศเป็นหลัก ทำให้อินเดีย เป็นตลาดให้บริการไอทีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง" นายวิชชุ กล่าว

 

ขณะที่ นายเฉลิมพล ปุณโณทก กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีที เอเชีย จำกัด ผู้ให้บริการเทคโนโลยีคอลล์ เซ็นเตอร์ และซีอาร์เอ็ม กล่าวว่า อินเดียมีจุดเด่นในฐานะเป็นแหล่งให้บริการเอาท์ซอร์สซิ่ง ระบบคอลล์ เซ็นเตอร์ โดยมีรูปแบบธุรกิจที่เอกชนหลายบริษัทร่วมกัน และแบ่งงานกันทำ ตัวอย่างเช่น การรวมกลุ่มเอกชนในอินเดีย ที่ตั้งเป็นบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นตัวแทนขายหาตลาดงานเอาท์ซอร์ส จากอเมริกา กลับมายังอินเดีย ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งในอินเดีย จะให้บริการระบบไอทีติดตั้งคอลล์ เซ็นเตอร์ และกลุ่มสุดท้าย จัดหาเจ้าหน้าที่ หรือโอเปอเรเตอร์มาทำหน้าที่ในคอลล์เซ็นเตอร์

 

ปรับสู่การสร้างซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน

อย่างไรก็ตาม เขามองว่าสำหรับประเทศไทยแล้ว น่าจะสามารถสร้างอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ตามความชำนาญเฉพาะด้าน (นิช เพลเยอร์) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดาวรุ่งของประเทศ เช่น ท่องเที่ยว อัญมณี รถยนต์ และอาหาร "ที่สำคัญไทยเป็นประเทศผู้บริโภคมานาน น่าจะสามารถเรียนรู้ซอฟต์แวร์ต่างประเทศ พัฒนาหน้าที่การทำงานของโปรแกรมที่สอดคล้องกับความต้องการตลาดภายในประเทศซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอ โดยที่ผ่านมาองค์กรขนาดใหญ่เอง จะใช้จ่ายไอทีโดยการจัดซื้อซอฟต์แวร์ต่างประเทศเป็นหลัก" นายเฉลิมพล กล่าว

 

ขณะที่นาย เอช เอ นาการายา ราโอ ผู้บริหารประจำภูมิภาค สมาพันธ์ส่งเสริมการส่งออกซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ (อีเอสซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ของอินเดีย กล่าวว่า ในมุมมองของเขาแล้ว ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการท่องเที่ยวให้แข็งแกร่ง เนื่องจาก ปัจจุบันธุรกิจท่องเที่ยว เป็นกลุ่มที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศอยู่แล้ว และประเทศไทยก็มีความพร้อมในส่วนนี้ ส่วนโอกาสในการพัฒนาซอฟต์แวร์ด้านอื่นๆ ได้แก่ ระบบงานบริหารโรงแรมและโรงพยาบาล, เวบดีไซน์, ระบบงานแพทย์ทางไกล (เทเลเมดิซิน), ซอฟต์แวร์โครงการ และงานพัฒนา, โซลูชั่นสำหรับสมาร์ทการ์ด, ระบบงานธนาคารและการประกันภัย, การอบรมระดับสูง เป็นต้น

 

ยก "เกาหลี" สตาร์ทจากตลาดในประเทศ

ขณะที่ การพัฒนาความแข็งแกร่งของซอฟต์แวร์จากบริษัทไทยสำหรับตลาดในประเทศนั้น ผู้พัฒนาหลายรายก็เริ่มมองถึงตัวอย่างความสำเร็จของซอฟต์แวร์ค่ายเกาหลี ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในการสร้างความครบวงจรของซอฟต์แวร์ภาษาท้องถิ่น ตั้งแต่การพัฒนาเอง, สนับสนุนให้เกิดความแพร่หลาย และทำตลาดสินค้ายี่ห้อตัวเอง

นายประสิทธิ์ชัย วีระยุทธวิไล รองประธานกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สามารถเทเลคอม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เกาหลีมีความโดดเด่นด้านซอฟต์แวร์เฉพาะทาง ทั้งระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย เกมมัลติมีเดีย และคีออส ซึ่งโดยมากธุรกิจบริษัทในเกาหลี จะร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ทำให้บริษัทท้องถิ่นสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีของพันธมิตรร่วมทุน อีกทั้งมีภาครัฐที่ให้การสนับสนุน "บริษัทไทยสามารถเรียนรู้งานจากเกาหลี ผ่านการร่วมพัฒนา และติดตั้งระบบงาน ให้กับองค์กรขนาดใหญ่ได้ ตลอดจนนำประสบการณ์รับเอาท์ซอร์สร่วมกันมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าเป็นสินค้า และบริการที่ตอบสนองตลาดในประเทศ โดยเฉพาะตลาดเอสเอ็มอี" นายประสิทธิ์ชัย กล่าว

 

ด้านนายวีระศักดิ์ ทรัพย์แสนอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวเตอร์ ซิสเท็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ความสำเร็จตลาดซอฟต์แวร์เกาหลี อยู่ที่การพึ่งพาตลาดภายในประเทศเอง โดยเกาหลีเป็นชาตินิยม เน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์เอง และสนับสนุนการใช้งานภาษาเกาหลี และทำสินค้าของตนเอง ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสเปรดชีท "เน็กเซล (Nexcl)" และการพัฒนาโปรแกรมที่ทำงานบนเวบ ส่วนช่องทางการเข้าไปจาะตลาดเกาหลีนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบที่ต้องร่วมลงทุนกับบริษัทท้องถิ่น "ธุรกิจไทยคงยากที่จะไปเจาะตลาดในเกาหลี เพราะต้นทุนจะสูง สิ่งที่ทำได้ไปดูงาน เรียนรู้และมาพัฒนาเองจะง่ายกว่า" นายวีระศักดิ์ กล่าว นอกจากนี้ ยังน่าจะใช้เกาหลีเป็นต้นแบบ ในแง่ของการออกใบประกาศนียบัตร (เซอร์ติฟิเคท) ให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ที่พัฒนาสินค้ามีคุณภาพ และสร้างตลาดซอฟต์แวร์ที่เน้นการพึ่งพาตลาดในประเทศด้วย

 

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ (Scitech) ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2546

 
Home | About us | INET | ITE| PTEC | MTS | NTJ | Software Park
National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC)
Copyright ©2001 By Information System Service Section. All rights reserved.