เครื่องทำน้ำอุ่นปี' 45 : ขยายตัวต่อเนื่อง ... มูลค่าตลาด 2,000 ล้านบาท
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1135
วันที่ 25 ตุลาคม 2545
เครื่องทำน้ำอุ่น
สินค้าที่มียอดขายเติบโตในช่วงฤดูหนาว หลังจากปี 2544 ที่ผ่านมามียอดขายขยายตัวไม่มากนัก
เนื่องจากฤดูหนาวที่สั้นกว่าปกติโดยเฉพาะตลาดในกรุงเทพ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง
แต่มาในปี 2545 ตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นมีแนวโน้มว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ นอกเหนือจากการคาดการณ์ว่าในปีนี้สภาพอากาศจะหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมาและมีระยะเวลานานขึ้นแล้ว
ยังมีปัจจัยอื่นๆเป็นส่วนประกอบโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของบ้านสร้างใหม่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดจำหน่ายเครื่องทำน้ำอุ่นในปีนี้จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามข่าวการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้ารั่วจากการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายเครื่องทำน้ำอุ่นในตลาดพอสมควร
เครื่องทำน้ำอุ่นที่นิยมใช้กันภายในครัวเรือนมี 2
ชนิดตามประเภทของตัวทำความร้อน คือ ชนิดที่ใช้กระแสไฟฟ้าขนาด 900-6,000 วัตต์ และชนิดที่ใช้แก๊ส ซึ่งปัจจุบันเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้แก็สไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักเนื่องจากไม่สะดวกในการติดตั้งและการใช้งานเท่ากับเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้ไฟฟ้า
ภาวะการแข่งขันของตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นในช่วงท้ายของปี 2545
นี้ มีการแข่งขันทั้งในระดับผู้ผลิตหรือ Supplier และ
ระดับการจำหน่าย
เครื่องทำน้ำอุ่นที่จำหน่ายในประเทศมีทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ
เครื่องทำน้ำอุ่นที่จำหน่ายนอกจากจะมีการผลิตเองในประเทศแล้วยังมีการนำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมด้วย
แหล่งนำเข้าที่สำคัญในปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยนำเข้าเครื่องทำน้ำอุ่นจากมาเลเซียเป็นอันดับหนึ่ง
เปลี่ยนมาเป็นการนำเข้าจากประเทศจีนเป็นอันดับหนึ่ง ร้อยละ 28
ญี่ปุ่นร้อยละ 20 และมาเลเซียร้อยละ 13 ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด เป็นที่น่าสังเกตว่าเครื่องทำน้ำอุ่นจากจีนที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้น
ส่วนใหญ่เป็นเครื่องที่มีราคาต่ำ และมีฟังก์ชั่นการทำงานไม่ซับซ้อนมากนัก โดยเน้นการทำตลาดในระดับล่าง
ส่วนผู้ผลิตแบรนด์เนมรายอื่นๆ ต่างเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเครื่องให้มีความทันสมัยและมีความหลากหลายเพื่อรองรับตลาดทั้งในระดับบนและปรับลดราคาเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีฟังก์ชั่นการทำงานไม่มากให้ลดลงเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับกลาง-ล่าง เป็นที่น่าสังเกตว่าในตลาดระดับกลาง-บนนั้น ผู้ผลิตได้นำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้กับเครื่องทำนำอุ่นรุ่นใหม่ๆ
ที่วางจำหน่าย เช่น การปรับอุณหภูมิของน้ำด้วยระบบดิจิทัล การปรับระดับความแรงน้ำ การเปิด-ปิดวาล์วน้ำ มีสวิตซ์นิรภัยและระบบตัดไฟหรือแก๊สโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าหรือแก๊สรั่ว
(Earth Leakage Breaker : ELB) ระบบตัดไฟอัตโนมัติ (Anti-surge
Device) เมื่ออุณหภูมิของน้ำเกินกว่าระดับ มีฟิลเตอร์กรองน้ำเพื่อให้ได้น้ำที่สะอาด
ระบบปรับอุณหภูมิของน้ำให้อยู่ในระดับปกติได้แม้ขณะที่ไฟฟ้าดับ นอกจากนี้เครื่องทำน้ำอุ่นบางรุ่นยังมีหัวฝักบัวที่สามารถเปิด-ปิดน้ำชั่วคราวได้ด้วย และฝักบัวสามารถปรับสายน้ำได้หลากหลายรูปแบบ เป็นต้น
ซึ่งเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีฟังก์ชั่นการทำงานหลากหลายจะมีราคาแพง ในขณะที่เครื่องทำน้ำอุ่นที่มีฟังก์ชั่นการทำงานไม่มากนัก
ปรับอุณหภูมิของน้ำด้วยมือหมุน จะมีราคาไม่แพงมากนักเป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง นอกเหนือจากการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแล้ว ผู้ผลิตยังเพิ่มบริการหลังการขายด้วยการรับประกันคุณภาพของตัวเครื่องและอะไหล่
1-5 ปี พร้อมกับมีของสมนาคุณหรือของแถมสำหรับผู้ซื้อ และในส่วนของตัวแทนจำหน่ายทางผู้ผลิตจะเน้นการขายเป็นแพ็กเก็จหรือขายเป็นจำนวนมาก
และให้สินค้าแถมทดแทนส่วนลดการขาย
ในกลุ่มตัวแทนจำหน่าย
การขยายช่องทางการจำหน่ายเครื่องทำน้ำอุ่นของผู้ผลิต ได้ส่งผลให้ภาวะการแข่งขันในกลุ่มตัวแทนจำหน่ายด้วยกันเองเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
จากเดิมเครื่องทำน้ำอุ่นมักจะจำหน่ายอยู่ในร้านจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปเท่านั้น
ต่อมาได้ขยายไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า และที่กำลังได้รับความนิยมมากก็คือ การจำหน่ายในดิสเค้าท์สโตร์
ซึ่งขยายจำนวนสาขาไปยังเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเทศกาลลดราคาสินค้าที่จำหน่าย พร้อมกับเปิดให้มีการจำหน่ายแบบเช่าซื้อ
หรือผ่อนชำระโดยไม่มีดอกเบี้ย (ในช่วงระยะเวลาที่กำหนด) หรือ
ดอกเบี้ยต่ำ 1-1.2% ต่อเดือน เพื่อกระตุ้นยอดขาย ส่วนสินค้าที่คงค้างมาจากปีที่แล้วจะถูกนำมาปรับลดราคาลงเพื่อจำหน่ายระบายสต็อกที่มีอยู่
ในปี
2545 นี้ ตลาดเครื่องทำน้ำอุ่นในช่วงปลายปีเริ่มคึกคักขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ประมาณว่า ยอดจำหน่ายเครื่องทำน้ำอุ่นในปี 2545 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ
10 จากปีที่ผ่านมา มีมูลค่าตลาดประมาณ 2,000 ล้านบาท หรือมีประมาณจำหน่ายประมาณ 650,000 เครื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักอยู่ 3 ประการ คือ
1. สภาพภูมิอากาศ หลังจากผ่านช่วงที่ฝนตกลงมาอย่างหนักจนทำให้เกิดน้ำท่วมหลายแห่ง
และปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นนั้นได้ส่งผลให้ระดับอุณหภูมิในประเทศเย็นลงเร็วกว่าปีที่ผ่านมาและมีความเป็นได้ว่าฤดูหนาวในปีนี้จะมีช่วงระยะเวลาที่ยาวนานกว่าปีที่ผ่านมา
ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดการจำหน่ายเครื่องทำน้ำอุ่น
2. การขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการขยายตัวของบ้านสร้างใหม่ตามโครงการจัดสรรต่างๆ
รวมถึงบ้านมือสองและบ้านสร้างเอง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ
จะขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 หรือมีจำนวนกว่า 36,000 หน่วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่นไว้ใช้ในบ้านเรือน
3. การขยายตัวของธุรกิจเช่าซื้อ ในภาวะเศรษฐกิจเช่นในปัจจุบัน
ธุรกิจเช่าซื้อหรือเงินผ่อนได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในการกระตุ้นยอดการจำหน่าย โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมใช้บริการมากประเภทหนึ่ง
ก็คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งหมายความรวมถึงเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยเช่นกัน ซึ่งธุรกิจเช่าซื้อทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยสามารถซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้โดยผ่อนชำระเป็นรายงวด
แคมเปญผ่อนด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ และระยะเวลาการผ่อนนานเป็นปัจจัยกระตุ้นยอดการจำหน่ายได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม
ปัจจัยที่มีเข้ามามีผลกระทบต่อยอดขายเครื่องทำน้ำอุ่นในปีนี้มากพอสมควร คือ
ความปลอดภัยของเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งเป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ
เพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่นจำนวนไม่น้อยที่ลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานก่อน
ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุไฟรั่วจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ระวัง หรือมีการติดตั้งไม่ถูกต้อง
ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเครื่องทำน้ำอุ่นเพื่อติดตั้งเป็นเครื่องแรกในช่วงฤดูหนาวนี้
นอกจากจะพิจารณากำลังซื้อของตนเองเป็นหลักแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ระบบความปลอดภัยของเครื่องทำน้ำอุ่นจากกระแสไฟฟ้ารั่วที่ได้มาตรฐาน
โดยพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจ เช่น
ฉนวนป้องกันไฟฟ้ารั่ว ระบบตัดไฟอัตโนมัติ การรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือ
มอก. มีการรับประกันคุณภาพ รวมไปถึงการติดตั้งให้ถูกต้องตามวงจรที่แนะนำมา การติดตั้งระบบตัดไฟอัตโนมัติของบ้านอีกชั้นหนึ่ง
การติดตั้งสายดิน เป็นต้น ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัย ควรให้การสอดส่องดูแลหรือการกำหนดมาตรฐานของเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นพิเศษ
เพื่อเป็นการช่วยป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
ที่มา
: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
|