เนคเทค สวทช. ร่วมเวที TCELS ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ สู่นวัตกรรมเพื่อประชาชน

Share to...
Facebook
X

13 สิงหาคม 2568 – ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สวทช. ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของประเทศ ที่งานเสวนา “Public–Private Partnership for AI Expansion in Healthcare” จัดโดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ภาคเอกชน และสมาคมเฮลท์เทคไทย ภายใต้งาน อว.แฟร์ 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ได้รับเกียรติจาก นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมเป้าหมายสำคัญด้านเครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Thailand’s Vision: AI for Equitable, Efficient, and Scalable Healthcare”

ภายในงานได้เปิดตัวแผนงานมุ่งเป้าของประเทศเพื่อผลักดัน “เครื่องมือแพทย์ บริการทางการแพทย์ และยา” เพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมภายในประเทศ ลดการนำเข้า รวมมูลค่า 1,500 ล้านบาท และขยายโอกาสให้ประชาชนกว่า 8.5 ล้านคนเข้าถึงนวัตกรรมที่ผลิตโดยคนไทยภายในปี 2569 พร้อมเวที เสวนาแสดงศักยภาพนวัตกรรมไทยที่สามารถเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาทิ กรณีตัวอย่าง “นวัตกรรมการวิเคราะห์ภาพรังสีทรวงอกด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)”

ดร.ชัย กล่าวในช่วงเสวนาว่า แผนพัฒนา AI ของไทยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2565 โดยด้านการแพทย์ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ เนื่องจากประเทศมีความแข็งแกร่งทั้งในด้านองค์กรการแพทย์ บุคลากร และฐานข้อมูลสุขภาพ ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบนิเวศ (Ecosystem) เพื่อสนับสนุนการทำงานของสตาร์ตอัปและโรงพยาบาลในไทยร่วมกัน โดยมีหัวใจสำคัญคือ การแบ่งปันข้อมูล (Data Sharing) เพื่อเชื่อมโยงผู้พัฒนาและหน่วยงานให้ทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ขณะนี้มีข้อมูลครอบคลุม 9 กลุ่มโรค รวมกว่า 2 ล้านภาพบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังมีการผลักดัน การทดสอบมาตรฐาน (Standard Testing) ในประเทศ ลดการพึ่งพาต่างประเทศ พร้อมขยายศักยภาพห้องปฏิบัติการและบุคลากรผ่านความร่วมมือแบบ Public–Private Partnership

 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการผลักดันสู่เชิงพาณิชย์ (Commercialization) ผ่านเครื่องมืออย่าง บัญชีนวัตกรรม ที่มอบสิทธิพิเศษแก่ผู้ขึ้นทะเบียนให้สามารถจัดซื้อโดยหน่วยงานรัฐได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันกลุ่มการแพทย์และเครื่องมือแพทย์มีผลงานขึ้นบัญชีแล้ว 88 ชิ้น และอยู่ระหว่างพิจารณาอีก 12 ชิ้น ซึ่งกระบวนการพิจารณามีความเข้มงวดแต่พัฒนาให้รวดเร็วขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังเน้นการสร้างผู้บริหารสตาร์ตอัปที่มุ่งมั่นทำงานกับโรงพยาบาลอย่างจริงจัง เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านการแพทย์ของไทยให้เติบโต

ความร่วมมือของทุกภาคส่วนในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์และ AI ทางการแพทย์ของไทยสู่การใช้งานจริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน