
Table of Contents

ความพร้อมของ 'คน' คือ ปัจจัยชี้ขาด 70% การใช้ AI ในภาครัฐ
ก.พ.ร. ในฐานะผู้กำกับดูแลการพัฒนาระบบราชการ ก.พ.ร. มองว่า AI คือ เครื่องมือที่จะตอบโจทย์เป้าหมายสูงสุดของการเป็นรัฐบาลดิจิทัลและรัฐบาลแบบเปิด (Digital and Open Government) เพื่อมุ่งสู่การบริการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Citizen-Centric) ที่โปร่งใสและน่าเชื่อถืออย่างแท้จริง

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการ ก.พ.ร. ได้ให้มุมมองว่า การนำ AI มาใช้ต้องไม่ละทิ้งหลักธรรมาภิบาล ทั้งในมิติของความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งต้องตอบโจทย์หลักในมิติต่างๆ ทั้งประสิทธิภาพ หลักนิติธรรม และการมีส่วนร่วม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดกลับไม่ใช่ตัวเทคโนโลยีเอง “สูตรสำเร็จในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ อยู่ที่ คน 70%, กระบวนการ 20%, และเทคโนโลยี 10%” เลขาธิการ ก.พ.ร. อธิบาย และ เน้นย้ำว่า AI ไม่ได้มาเพื่อทดแทนบุคลากรภาครัฐ แต่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเสริมศักยภาพการทำงาน ทั้งในส่วนบริการประชาชน (Front Office) และการทำงานหลังบ้าน (Back Office) เช่น การช่วยถอดเทป หรือยกร่างหนังสือ ดังนั้น โจทย์แรกที่ต้องตีให้แตกจึงไม่ใช่การเลือกเครื่องมือ หรือ เทคโนโลยี แต่คือการปรับกระบวนทัศน์ของคน ให้พร้อมที่จะเป็นผู้สั่งการและใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างชาญฉลาด
ก.พ.ร. ได้นำร่องพิสูจน์แนวคิดนี้ผ่านการทดลองใช้ Generative AI ภายในองค์กร พบว่าเจ้าหน้าที่สามารถประหยัดเวลาการทำงานได้เฉลี่ยคนละ 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเพิ่มผลิตภาพได้ถึง 15% โดยมีการนำ AI มาใช้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การสืบค้นข้อมูล 35% การร่างเอกสาร 32%, ไปจนถึงการช่วยวางแผนและวิเคราะห์ข้อมูล 10% และ 6% ตามลำดับ “อย่างไรก็ตาม AI ยังมีจุดอ่อน และจำเป็นต้องมีกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่บริการภาครัฐ” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว

Go Digitized” บันไดขั้นแรก สู่รัฐบาล AI
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Public Sector AI Empowerment” เพื่อฉายภาพการเปลี่ยนแปลงที่ AI มีต่อโลกเทคโนโลยีและแนวทางการปรับตัวของภาครัฐ โดยชี้ให้เห็นว่า AI ได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์การเข้าถึงความรู้ไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ต้องพึ่งพามนุษย์เป็นตัวกลาง ปัจจุบัน AI ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ AI กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์ แต่เหนือกว่าตรงที่สามารถทำงานได้โดยไม่มีวันหยุด

“AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นคนทำงานในภาครัฐ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในอนาคต อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของ AI จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูลดิจิทัลที่มีคุณภาพ โดยชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคสำคัญของระบบราชการที่ยังคงทำงานด้วยกระดาษ ซึ่งการแปลงข้อมูลจากกระดาษมักก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อน ซึ่งปัญหาหน้าบ้านดิจิทัล หลังบ้านกระดาษ นี้ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรม เช่น กรณีการรับแจ้งความออนไลน์คดีสแกมเมอร์ที่มีกว่า 3 แสนคดีต่อปี แต่กระบวนการหลังบ้านที่ไม่ใช่ดิจิทัลทำให้สามารถจัดการได้เพียงประมาณ 5 หมื่นคดีต่อปีเท่านั้น ดังนั้น ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ หรือ Go Digitized เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับ AI” ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ อธิบาย
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ยกตัวอย่างความสำเร็จของกระทรวงดิจิทัลฯ ที่เปลี่ยนเป็นองค์กรไร้กระดาษ (Paperless) ได้สำเร็จ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น แต่ยังทำให้เกิดข้อมูลดิจิทัลที่พร้อมใช้งาน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาระบบ “เว็บดี” (WebD) ที่ใช้ AI ช่วยกวาดตรวจและจัดการเว็บไซต์ผิดกฎหมายโดยอัตโนมัติ ผลลัพธ์คือสามารถยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน จากเดิมที่จัดการได้เดือนละ 200 URL เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 5,000 URL โดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนบุคลากร
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ ยังได้กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ซึ่งมีแนวทางดำเนินงาน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การเตรียมคนและโครงสร้างพื้นฐาน (Readiness) 2.การส่งเสริมการใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ (Adoption) และ 3. การสร้างแรงจูงใจและมีกลไกขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง (Catalytic Factor) นอกจากนี้ยังได้เสนอแนวคิดการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในอนาคตกับงานที่มีความซับซ้อน เช่น งานจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อช่วยบูรณาการข้อมูลราคาและหาราคาที่เหมาะสม
เส้นทางสู่ภาครัฐที่ พร้อมรับมือ AI

ในช่วงเสวนา “Building an AI-Ready Government: เส้นทางสู่ภาครัฐที่ พร้อมรับมือ AI” ได้สะท้อนภาพ “ระบบนิเวศ AI ภาครัฐ” ที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีผู้สร้างเทคโนโลยีและผู้กำกับดูแลเป็นฟันเฟืองสำคัญ ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ระบุว่า เนคเทคได้พัฒนา Foundation Model ภาษาไทยของตนเองขึ้นมาโดยเฉพาะ โดยใช้ข้อมูลกว่า 28,000 ล้านคำ ทำให้ AI ที่พัฒนาขึ้นมีความเข้าใจในบริบทของภาษาและวัฒนธรรมไทย ซึ่งเหมาะกับโจทย์ของภาครัฐ และมีโครงสร้างพื้นฐานอย่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA Supercomputer รองรับ นอกจากนี้ ยังได้จัดทำเว็บไซต์ opdc.ai.in.th เพื่อเป็นคลังรวบรวมกรณีศึกษาจาก 55 หน่วยงาน และเครื่องมือ AI พร้อมใช้ที่จัดหมวดหมู่ตามภารกิจราชการ ดร.ชัย ยังกล่าวถึงเป้าหมายสุดท้ายว่าต้องการทำให้เครื่องมือ AI เป็นลักษณะ Agentic คือ เป็นแพ็กเกจครบวงจรสำหรับภารกิจเฉพาะทาง เช่น ระบบจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีมนุษย์คอยตรวจสอบในขั้นตอนที่จำเป็น (Human in the loop)

ขณะที่สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือผ่าน AI Governance โดย ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาอาวุโส ETDA กล่าวว่า ประเทศไทยได้ร่วมลงนามกับ UNESCO ในหลักจริยธรรม AI ETDA จึงได้ออก AI Governance Guideline เพื่อเป็นแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ นำ AI ไปใช้อย่างมีธรรมาภิบาล ป้องกันอคติ และสร้างความโปร่งใส พร้อมทั้งมีแผนจะฝึกอบรมบุคลากรในทุกกรม ผ่านโครงการ Train the Trainer ให้สามารถวาง Roadmap การใช้ AI ในองค์กรของตนเองได้อย่างถูกต้อง และกล่าวย้ำว่าต้องสร้าง Mindset ที่ถูกต้องว่า AI ไม่ได้มาไล่คนออก แต่มาเป็นผู้ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้น

ความสำเร็จของการนำ AI มาใช้ ถูกสะท้อนผ่านหน่วยงานที่ได้ลงมือทำจริง ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ต้องเผชิญกับเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนหนาเป็นหมื่นหน้า เภสัชกรอาทิตย์ พันเดช ผู้อำนวยการกองผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรม และการบริการ เล่าว่า องค์กรได้นำ AI มาประยุกต์ใช้ใน 3 ภารกิจหลัก ภายใต้กรอบการทำงาน ‘3S’ คือ Smart People, Smart Process และ Smart Technology ที่เริ่มจากการปรับ Mindset ของคนก่อน ตั้งแต่การยกระดับบริการผ่าน Chatbot ให้คำปรึกษา (Smart Service) การเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลด้วย AI ช่วยอ่านและคัดกรองเอกสารคำขอ (Smart Regulation) ไปจนถึงการเฝ้าระวังเชิงรุกผ่านระบบตรวจจับโฆษณาที่ผิดกฎหมาย (Smart Surveillance) ซึ่งส่งผลให้สามารถลดระยะเวลาในกระบวนการทำงานลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง และต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security) และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

เช่นเดียวกับกรมที่ดิน ที่ ดร.ภีระ ยมวัน ผู้เชี่ยวชาญ ด้านการสำรวจรังวัดเพื่อทำแผนที่ ชี้ให้เห็นถึงการใช้ AI แก้ปัญหาที่ไม่สามารถทำได้ด้วยแรงงานคน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อจำกัดด้านบุคลากรไอทีซึ่งมีจำนวนน้อย ทำให้ต้องอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตร เช่น การสกัดข้อมูลลายมือจากโฉนดกว่า 37 ล้านแปลง และการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศในอดีตเพื่อพิสูจน์สิทธิ์ พร้อมกันนี้ยังได้ให้ข้อเสนอแนะว่าหน่วยงานที่ต้องการเริ่มต้นต้องเตรียมความพร้อม 3 ด้าน คือ 1. คนที่ต้องมีความรู้พอจะเขียน TOR จัดซื้อจัดจ้างได้ 2. ข้อมูล ที่มีคุณภาพ และ 3. เงินหรืองบประมาณระยะยาว

ขณะที่กรมการปกครอง ในฐานะหน่วยงานต้นน้ำของข้อมูลคนทั้งประเทศ นางสาวสุชาดา คำวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบข้อมูล สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กล่าวว่า ภารกิจมุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบเอกสารปลอมแปลง และวิเคราะห์ภาพใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้จำเป็นต้องปรับแก้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องควบคู่กันไป โดยเฉพาะกรณีผู้ที่ผ่านการทำศัลยกรรม ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมการปกครองได้เริ่มนำร่องใช้ AI วิเคราะห์การตอบข้อซักถามใน Call Center 1548 แล้ว

บทสรุปจากเวทีนี้ได้ตกผลึกเป็นภาพเดียวกันว่า การเดินทางสู่รัฐบาล AI ไม่ใช่โครงการของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมที่ต้องอาศัยการผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน โดยจุดสำคัญ คือ การพัฒนาบุคลากรและปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงาน ดังที่ ดร.ชัย ได้กล่าวทิ้งท้ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำว่า
“ขอให้หน่วยงานอย่ารอช้า หากไม่เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ ในอีก 2 ปีข้างหน้าอาจตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก”

นอกจากนี้ภายในงานคณะนักวิจัยเนคเทค สวทช. ยังมีการบรรยายและเวิร์กช็อปพัฒนาทักษะความรู้ด้าน AI ทั้งในเรื่องราวความปลอดภัยของข้อมูล ในหัวข้อ Cyber Security & AI: ปกป้องข้อมูลภาครัฐให้ปลอดภัยในยุค AI” โดย คุณเอกฉันท์ รัตนเลิศนุสรณ์ หัวหน้าทีมวิจัยความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ รวมถึงทักษะที่สำคัญในการสร้างคำสั่ง หรือ Prompt ในการใช้ Generative AI ให้ตอบโจทย์ตามที่ต้องการ โดย คุณปัญจพร ฉัตรสุวรรณ ผู้ช่วยวิจัย ทีมวิจัยการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ และเครื่องมือ Generative AI สัญชาติไทย สำหรับการประยุกต์ใช้ในหน่วยงานภาครัฐ โดย ดร.ศราวุธ คงยัง นักวิจัย กลุ่มวิจัยปัญญาประดิษฐ์



