อธิปไตย AI ไทยในสมรภูมิเทคโนโลยีโลก ถึงเวลาเปลี่ยนสถานะ จาก ‘ผู้ใช้’ สู่ ‘ผู้สร้าง’ ด้วย AI for Thai

Share to...
Facebook
X

บทความ : วลัยลักษณ์ คงพระจันทร์

เราอยู่ในยุคที่ AI ระดับโลกอย่าง ChatGPT หรือ Gemini กลายเป็นเครื่องมือที่เราคุ้นเคยและขาดไม่ได้ แต่ภายใต้ความสะดวกสบายนั้น มีคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่ซ่อนอยู่และดังขึ้นเรื่อย ๆ คือ เรากำลังฝากอนาคตทางเทคโนโลยีของประเทศไว้กับแพลตฟอร์มของใคร และข้อมูลมหาศาลของคนไทยที่ไหลออกไปทุกวินาที จะย้อนกลับมาหาเราในรูปแบบใด

ในยุคที่ข้อมูลคือขุมทรัพย์ใหม่ อธิปไตยทาง AI (AI Sovereignty) ได้กลายเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่อาจมองข้าม ประเด็นนี้ถูกฉายภาพให้ชัดเจนขึ้นโดย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการเนคเทค สวทช. ในงาน AI for Thai Seminar 2025 ที่ชี้ว่าความสะดวกสบายจากการใช้แพลตฟอร์มระดับโลกนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย ราคานั้นคือความเสี่ยงที่ข้อมูลของคนไทยอาจย้อนกลับมาในรูปของภัยคุกคามทางไซเบอร์ หรือกลายเป็นวัตถุดิบในการสร้างนวัตกรรมที่ถูกนำกลับมาขายให้เราในราคาที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ภาพดังกล่าวได้ยกระดับให้อธิปไตยทาง AIไม่ใช่แค่เรื่องของศักดิ์ศรีทางเทคโนโลยี แต่เป็นเดิมพันสำคัญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติ ซึ่งแพลตฟอร์ม AI for Thai ถูกวางตัวให้เป็นหนึ่งในคำตอบเชิงยุทธศาสตร์สำหรับความท้าทายนี้

ภาพจริงบนสมรภูมิ AI ที่ไทยต้องเผชิญ

ดร.ชัย เริ่มต้นฉายภาพความเป็นจริงของประเทศไทยในเวที AI โลก รายงาน AI Readiness Index จาก Oxford Insights จัดอันดับให้ไทยอยู่ที่ 35 ของโลก แม้อันดับนี้จะดูไม่เลวร้าย และเป็นการก้าวกระโดดขึ้นมาจากอันดับ 60 หลังประเทศมีแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565 – 2570) หรือ แผน AI แห่งชาติ แต่เรายังคงติดหล่มอยู่กับจุดอ่อนสำคัญ 2 ประการที่ทำให้ไปต่อได้ไม่ไกลนัก หนึ่งคือ เราไม่ค่อยพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาใช้เอง และสอง คือ เรามีข้อมูลมหาศาลแต่การเข้าถึงเพื่อนำไปพัฒนา AI นั้นทำได้ยาก

“ภาพนี้สะท้อนชัดเจนในภาคธุรกิจ ซึ่งมีองค์กรเพียง 15-17% เท่านั้นที่นำ AI เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานจริง องค์กรส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะ ‘ยึก ๆ ยัก ๆ’ ลังเลกับการลงทุน สวนทางกับการใช้งานในระดับบุคคลที่หลายคนยอมจ่ายเงิน 600 บาทต่อเดือนเพื่อเข้าถึงเครื่องมือจากต่างชาติไปแล้วสถานการณ์นี้กำลังสร้างช่องว่างของการปรับตัวทางเทคโนโลยีที่น่ากังวล โดยมีเพียงภาคการศึกษาที่ดูเหมือนจะตื่นตัวและเริ่มมีการลงทุนซื้อ Token สำหรับบุคลากรและนักศึกษาเป็นล็อตใหญ่” ดร.ชัย อธิบาย

'AI for Thai' คำตอบจากงานวิจัยกว่า 20 ปี

 AI for Thai แพลตฟอร์มให้บริการ AI สัญชาติไทย คือคำตอบของประเทศไทยต่อโจทย์ที่ท้าทายนี้ ดร.กริช นาสิงห์ขัน หัวหน้างานยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (LTSS) เนคเทค สวทช. ได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่า แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็นการนำผลงานวิจัยด้าน AI ที่เนคเทค สวทช. สั่งสมมากว่า 20 ปี มาทลายกำแพงทางระเบียบและเอกสารที่เคยทำให้เทคโนโลยีของรัฐเข้าถึงยาก เพื่อให้องค์ความรู้เหล่านั้นกลายเป็นบริการที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถหยิบไปใช้ต่อยอดได้อย่างสะดวกและปลอดภัย

ดังนั้น AI for Thai จึงถูกออกแบบมาในฐานะ แพลตฟอร์มบริการ AI ระดับประเทศ (National AI Service Platform) ที่ให้บริการ AI ในรูปแบบ Pre-trained Model ที่ผ่านการฝึกฝนและตรวจสอบความถูกต้องมาแล้ว พร้อมให้นักพัฒนาเรียกใช้งานได้ทันทีผ่าน API ดร.กริช ย้ำว่า “แม้คนทั่วไปจะเข้ามาทดลองใช้ได้ แต่เป้าหมายหลักของแพลตฟอร์ม คือ กลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อให้สามารถหยิบจับบริการกว่า 78 รายการ ไปต่อยอดเป็นแอปพลิเคชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ทันที”

ปัจจุบัน แพลตฟอร์ม AI for Thai มีบริการพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับ AI เช่น การประมวลผลภาษาไทย ทั้ง ข้อความ เสียง และภาพ รวมกว่า 78 รายการ สถิติการใช้งานก็เติบโตอย่างน่าสนใจ โดยมียอดเรียกใช้งานรวมแล้วมากกว่า 120 ล้านครั้ง และมีค่าเฉลี่ยการใช้งานประมาณ 10 ล้านครั้งต่อเดือน

ความสำเร็จของ AI for Thai ไม่ได้อยู่แค่บนตัวเลข แต่ถูกพิสูจน์ผ่านการใช้งานจริงในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การเป็นเบื้องหลังของแอปพลิเคชัน Traffy Fondue ที่ใช้บริการ Problem Extraction ไปแล้วกว่า 36 ล้านครั้งในการคัดแยกปัญหาของเมือง รวมถึงการช่วยงานในรัฐสภาที่นำเทคโนโลยี Speech-to-Text ไปช่วยถอดเสียงการประชุมคณะกรรมาธิการที่มีหลายสิบห้องประชุมย่อยพร้อมกัน ซึ่งช่วยลดภาระของนักชวเลขที่มีจำนวนจำกัดได้อย่างมหาศาล อีกทั้งระบบอ่านคิวอัตโนมัติ (Text-to-Speech) ถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลเกือบ 70 แห่ง ครอบคลุม 28 จังหวัดทั่วประเทศ

AI for Thai มุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ไม่ใช่แค่สร้างแพลตฟอร์ม

 วิสัยทัศน์ของ AI for Thai ไปไกลกว่าการเป็นแค่คลังเครื่องมือ แต่มุ่งสร้างระบบนิเวศ AI ที่แข็งแกร่งของประเทศ กลไกสำคัญที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกัน คือ คลังข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bank) เพื่อแก้ปัญหาข้อมูลเข้าถึงไม่ได้ โดย เนคเทค สวทช. ได้ริเริ่มสร้างและเปิดชุดข้อมูลมาตรฐานสำหรับ AI เช่น ชุดข้อมูลเสียงภาษาถิ่นไทย และที่สำคัญคือ โครงการข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์ (Medical AI Data Platform) ที่ร่วมมือกับโรงพยาบาลวิจัยอย่างน้อย 6 แห่ง โดยรวบรวมภาพทางการแพทย์ได้แล้วประมาณ 2.1 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคสำคัญ ที่จะนำไปใช้พัฒนาบุคลากรและสร้าง AI Model ใหม่ ๆ กลับมาเติมเต็มระบบนิเวศให้เติบโตต่อไป นอกจากข้อมูลแล้ว การสร้างคนก็สำคัญไม่แพ้กัน ผ่านเวที National Benchmark Program ที่สร้าง Leaderboard ให้เหล่านักพัฒนาส่ง AI เข้าแข่งขันในโจทย์ที่สำคัญของประเทศ เช่น การถามตอบข้อมูลจากเอกสาร หรือการถอดเสียงประชุมออนไลน์ นับเป็นการสร้างทั้งมาตรฐานและสร้างคนไปพร้อม ๆ กัน

เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ที่ประเทศต้องมี AI Service Platform

 การมี AI Service Platform ของประเทศ จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ โดย ดร.ชัยชี้ว่ามีข้อมูลอ่อนไหวหลายประเภทที่ไม่สามารถนำไปประมวลผลบนคลาวด์สาธารณะของต่างชาติได้ เช่น ข้อมูลของกรมสรรพากร ศาลยุติธรรม หรือข้อมูลของรัฐสภา เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาบุคลากรระดับลึกที่สามารถสร้างโมเดล AI ได้เอง ไม่ใช่แค่การพัฒนา Prompt Engineer ที่ทำงานอยู่บนผิวของเทคโนโลยี ที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ

ดร.ชัย ย้ำว่า “มูลค่าของการเป็นผู้ใช้ต่ำมากเมื่อเทียบกับมูลค่าของการเป็นผู้ผลิต” โดยเปรียบเทียบกับอดีตที่ไทยเคยสำเร็จในการเป็นฮับอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่กลับพลาดโอกาสในยุคอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และสตรีมมิง จนกลายเป็นเพียงผู้บริโภค สมรภูมิ AI คือโอกาสครั้งใหม่ที่ไทยต้องร่วมกันคว้าไว้

AI for Thai และทิศทางในอนาคตที่จะเปิดตัวเวอร์ชัน 2.0 พร้อมโมเดล Pay-per-use สำหรับภาคธุรกิจ จึงเป็นมากกว่าโครงการเทคโนโลยี แต่คือการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออธิปไตยทาง AI ของประเทศในระยะยาว ดร.กริชระบุว่า “ AI for Thai จะเพิ่มคุณภาพและบริการให้ครอบคลุมโดเมนใหม่ ๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร และการเงิน สร้าง Success Case ให้มากขึ้น และที่สำคัญคือ แพลตฟอร์มเวอร์ชัน 2 ที่กำลังจะเปิดตัวภายในปีนี้ จะมีฟีเจอร์ที่รองรับการใช้งานเชิงพาณิชย์แบบ Pay-per-use เพื่อให้นักพัฒนาที่ทดลองจนสำเร็จ สามารถต่อยอดสู่ธุรกิจจริงได้อย่างไร้รอยต่อ”